25 กรกฎาคม 2555

“นายสลับนาง” กับ “นางสลับนาย”



“นายสลับนาง” กับ “นางสลับนาย”

(((+))) นี่...เป็นชาย แต่หมาย ได้เป็นหญิง
บ้างเป็นหญิง กลับหมาย เป็นชายบ้าง
ทั้งสองกรรม ยามอดีต ใฝ่ผิดทาง
ชาตินี้นาง สลับนาย จนว่าย...วน...

(((+))) เหตุแห่งกรรม ทำไว้ หลายฉบับ
ไม่ยอมรับ เพศแท้ ที่แม่สน
ไม่พอใจ ร่างร้าย แห่งกายตน
ไม่สานผล สมเหตุ แห่งเพศตัว

(((+))) จะเพศใด ได้เกิด นั้นเลิศยิ่ง
ชายหรือหญิง เป็นบุญ คุณล้นหัว
งามไม่งาม กรรมดล อย่าหม่นมัว
ละเว้นชั่ว ทำดี อยู่ที่ใจ

ป.วิสุทธิปัญญา
2-7-12

19 กรกฎาคม 2555

อย่าเดินถ่างขา ถ้าอยากนิพพาน



(((+)))นักเรียนห้องเรียน ป.วิสุทธิปัญญา ทุกคน

1.คำว่า "เดินถ่างขา" หมายถึง การดำเนินชีวิตแบบคนเดียวแสดงสองบทบาท คือ ยึดถือทั้งแบบนักรบแห่งแสงสว่าง เอาเยี่ยงอย่างพระหรือนักบวชหรือผู้ครองศีล ขณะที่ตนเองนั้นยังเลือกที่จะครองเรือนเสมือนพร้อมที่จะถือบทบาทของ "นักสู้เพื่อการรู้แจ้ง" ไปด้วย
2.เธอทุกคนจักต้องรู้ว่า ถ้าเธอไปเลือกรับเอาวิถีปฏิบัติของ "นักรบแห่งแสงสว่าง" ผู้ละสิ้นซึ่งอาสวกิเลสแล้วอย่างที่เธอเพียรฝืนทำกันอยู่นั้น เธอก็จะประสบชะตากรรมเหมือนทุกภพชาติที่ผ่านมา คือ "บวชมานมนานแต่นิพพานไม่ได้"
3.เพราะวิถีปฏิบัติบนเส้นทางสายนิพพานของบรรดา "นักรบแห่งแสงสว่างนั้น" เขาเน้นการสร้างพลังอำนาจในตัวเอง โดยปฏิบัติกับจิตและปัญญาของตัวเอง ที่เรียกว่า "กรรมฐาน" คือ ทำอยู่ในที่ตั้งคนเดียว ลูกเมียไม่เกี่ยวหรือถือครองสันโดดเพื่อสร้างสมถะนั่นเอง
4.พวกเขาเน้นข้อพระธรรมในพระไตรปิฎกอันเสมือนเป็นตัวแทนแห่งพระโอวาทคำสอนของพระบรมมหาศาสดา เน้นครองพระธรรมวินัยที่พระศาสดาทรงบัญญัติไว้ทั้ง 227 ข้อ กับพระธรรม 84,000 พระธรรมขันธ์ โดยมุ่งปฏิบัติตามนั้นอย่างเคร่งครัด ขณะที่เขาทั้งหลายจักต้อง "จำวัดปฏิบัติกรรมฐานสมาธิ และจำศีล" โดยเคร่งครัด มิเช่นนั้นจะยกระดับจิตปัญญาสู่สภาวะการรู้แจ้งไม่ได้ ที่สำคัญคือ ปิดกั้นตนเองให้ไกลจากอาสวกิเลสอันเป็นสิ่งยั่วยุทั้งปวง รวมทั้งรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ ลาภสมบัติ แม้ลูกเมียและอื่นๆ
5.เพราะถ้าใกล้สิ่งยั่วยุเหล่านี้ โอกาสที่จิตจะตกจนก่อกรรมใหม่ๆขึ้นมาได้ ในขณะที่กรรมเก่าก็ยังแก้ไขไม่สำเร็จอยู่อีกต่างหากด้วย การครองสันโดด(อยู่กับตัวเองคนเดียว) ก็เพื่อเหตุผลตรงนี้ด้วย
6.ถ้าเธอรักจะเจริญรอยตาม ก้าวตามพวกเขาไปในเส้นทางนี้ จณะที่เธอยังไม่ได้ละวางทางโลก เธอเห็นรึไม่ว่าเธอสามารถรับเอาศีลมาได้แค่ 5 ข้อ ไม่ก็ 8 ข้อเท่านั้น ทั้งๆที่แท้แล้วมีตั้ง 227 ข้อมิใช่หรือ เพราะเหตุใดจึงรับมาเท่านั้นล่ะ ก็เพราะมันไม่เป็นธรรมชาติในบทบาทผู้ครองเรือนอย่างเธอใช่มั้ยล่ะ?

14 กรกฎาคม 2555

ความรู้มีไว้ใช้มิได้มีไว้แบกขน



ความรู้มีไว้ใช้มิได้มีไว้แบกขน
(((+)))
เกิดเป็นคน อับปัญญา ก็ว่าโง่
เกิดเป็นคน พาโล ก็ว่าชั่ว
เกิดเป็นคน ไม่กล้า ก็ว่ากลัว
เกิดเป็นคน เห็นแก่ตัว ก็ว่าชัง 

การเรียนมาก รู้มาก แบกหนักหรือ
คนร่ำลือ เรียนน้อย เหมือนถอยหลัง
ที่ไม่รู้ ทำเป็นรู้ ดูเซซัง
ใครสอนสั่ง ว่าเรียนมาก จะยากนาน?

ที่เรียนมาก ยากนาน เพราะมันโง่
มีความรู้ เพียงไว้โม้ โชว์ทั่วย่าน
ใช้ความรู้ ไม่เป็น ไม่เห็นงาน
จึงซมซาน แบกวิชา ไม่กล้าวาง....

ป.วิสุทธิปัญญา
14-07-2012 

13 กรกฎาคม 2555

ใช้ชีวิตคู่อย่างไรให้ยืนยาว



จะสอบผ่านบททดสอบชีวิตคู่กันได้ ต้องใส่ใจเรื่องเหล่านี้ 
........................................................................................


สาเหตุที่เขาไม่ค่อยจะพูดกับเธอ.................
อาจไม่ใช่เป็นเพราะมีนิสัยเป็นคนไม่ค่อยชอบพูดอย่างที่เธอคิดก็ได้ เป็นต้นว่า

1.เขากำลังคิดเรื่องอื่นอยู่อย่างจดจ่อ
2.เขากำลังรอให้เธอง้อเพราะเธอทำให้เขางอน
3.เขาไม่อยากพูดกับเธอ เนื่องจากเธอเป็นคนไม่ยอมฟังเขาพูดบ้าง จึงนิ่งเสียตำลึงทอง
4.เขาไม่อยากพูดกับเธอ เพราะพูดทีไรทะเลาะกันทุกที ตัวเขาไม่อยากมีปัญหากับเธอจึงเงียบเฉยดีกว่า
5.เขาไม่อยากพูดกับเธอในขณะนั้น เพราะมีปัญหาทางปาก เช่น ปวดฟัน ปวดเหงือก ปวดลิ้น ไม่ก็เจ็บคออยู่
6.เขายังมีอารมณ์ค้าง ไม่พอใจเธอมาตั้งแต่วันวานแล้ว
7.เขากำลังเบื่อเธอ เซ็งเธอ เพราะความไม่เข้าใจกัน ความไม่ยอมกัน
8.เขาเบื่อความดื้อรั้นดันทุรังของเธอ พูดอะไรก็ไม่เชื่อ แนะอะไรก็ไม่ฟัง เธอเอาแต่ความคิด ความเชื่อ และอารมณ์ของเธอเองเป็นสำคัญ มีแต่หลักกูไม่มีหลักการและไม่มีเหตุผล
9.สาเหตุอีกเยอะแยะเลย....
(((+)))พบสาเหตุแล้ว แก้ไขที่เหตุ ทุกอย่างก็แจ๋ว....

ป.วิสุทธิปัญญา

07 กรกฎาคม 2555

เก็บรักมาหักชัง



บทเรียนจาก หลักสูตร "เก็บรักมาหักชัง"
ของเหล่ายุวจิตจักรวาลทายาท หลักสูตร 12

เป็นคาถาวิเศษ ใช้หยิบขึ้นมากำราบมารทันทีที่ก่อตัวขึ้นภายในสภาวะจิตของตน เพื่อการเก็บความรักขึ้นมาหักล้างความเป็นลบที่กำลังจะก่อตัวขึ้นให้ทันภายใน 3 นาทีที่พระบิดาทรงโปรโมชั่นเอาไว้ให้พวกเธอนั่นเอง

ป.วิสุทธิปัญญา
07-08-2012

03 กรกฎาคม 2555

แท่งเทียน


(((+)))ศิษย์รักแห่งเราทั้งหลาย....


1.แท่งเทียน คือ หลักธรรม
2.มือกุมกำ คือ หลักฟ้า
3.ความร้อน คือ ความเพียร
4.อีกแสงเทียน คือ ปัญญา
5.เทียนหยด คือ หยาดเหงื่อ
6.แท่งที่เหลือ คือ เวลา
7.เทียนสั้น คือ มรรคา
8.เทียนดับวับ คือ นิพพาน

ป.วิสุทธิปัญญา
03-07-2012

Attn.:Teerawat


Attn.:Teerawat
Q1:ในศาสนาคริสต์พวกเราถูกสอนให้สวดบทภาวนาต่างๆ เพื่ออ้อนวอนสรรเสริญและขอพรจาก พระบิดา พระบุตรและพระจิต รวมทั้งบรรดานักบุญต่างๆ แต่หลังจากที่ได้ศึกษาธรรมะและหนังสือของอาจารย์ ผมมีปัญหาว่า เราควรสวดเพื่อระลึกถึงความรักของพระองค์...มากกว่าขอพร ใช่มั้ยครับ?
Answer: In the Name of God @ Jesus Chryst

1.การที่คุณถูกสอนให้ทำเช่นนั้น ก็เพื่อให้คุณเข้าถึงการเป็น "คนสามมิติ" ด้วยการทำสามเหลี่ยมกับองค์จิตจักรวาลหรือพระบิดาหรือพระเจ้าเอาไว้ตลอดเวลา โดยใช้กุศโลบายให้คุณสรรเสริญ-ภาวนา-ขอพระพร จากพระผู้เป็นเจ้าซึ่งเป็นยอดสูงสุดของสามเหลี่ยมเอาไว้ทุกลมหายใจเข้าออกเลย

2.การปฏิบัติเช่นนี้ก็เพื่อที่จะช่วยให้มนุษย์ เมื่อทิ้งกายสังขารลงไปเมื่อใด จะสามารถนำพาจิตวิญญาณตนเองคืนกลับสรวงสวรรค์ นอกระบบเอกภพ หรือแดนสุญตาที่จิตวิญญาณมนุษย์จากมาเสียนานทันที เพื่อจะได้กลับไปกราบพระบาทพระบิดาได้เลย โดยไม่ต้องแวะระหว่างทางที่ไหนให้ยุ่งยาก วุ่นวาย เสียเวลาไงครับ และถ้าระลึกถึงพระองค์ตลอดเวลา การทำชั่วย่อมไม่มี เมื่อไม่มีทำชั่วคำว่า "นรก" จึงมิพักต้องไปกล่าวถึงไว้ในศาสนาคริสต์ถูกมั้ย? ถ้าจะมีก็กล่าวเตือนแค่เพียงว่า "จะถูกไฟชำระ" ใช่มั้ยล่ะ??

3.เธอและชาวคริสต์ของเราทั้งหลาย จะต้องทำความเข้าใจด้วยว่า การทำสามเหลี่ยมกับพระบิดานั้น "เรา" สอนพวกเธอให้ทำสัญลักษณ์ด้วยมือแตะตรงหน้าผากและไหล่ซ้าย-ขวา เพื่อชี้ตาที่สามของเธอกับตัวตนที่เป็นมนุษย์ของเธอเอง เป็นรหัสที่เธอจะต้องใช้ปัญญาญาณถอดความให้ได้ว่า ไหล่ซ้ายขวาคือฐานของสามเหลี่ยม ด้านหนึ่งหมายถึง "พระบุตร" และอีกด้านหนึ่ง หมายถึง "พระจิต" และหน้าผากที่ตั้งของตาที่สามหมายถึงองค์จิตจักรวาลหรือพระบิดานั่นเอง ที่ผ่านมาพวกเธอทำสามเหลี่ยมแบบนี้มาตลอดและยังทำอยู่ใช่มั้ย?

4.สำหรับพระบิดาซึ่งเป็นยอดสามเหลี่ยมนั้น หมายถึงพระผู้สร้างหรือผู้ให้กำเนิดทุกสรรพสิ่ง และเป็นผู้ทรงอนุญาตให้จิตวิญญาณของพวกเธอมาเกิดเป็นมนุษย์บนโลกนี้ ซึ่งก็คือพระเจ้าหรือพระผู้เป็นเจ้านั่นเอง ดังนั้น ถ้าพวกเธอเป็นมนุษย์ ไม่ว่าเธอจะมีเชื้อชาติศาสนาใดหรือไม่มีศาสนา พวกเธอก็มีพระเจ้าพระองค์เดียวกันทั้งนั้น ไม่ว่าเธอจะลืมพระเจ้าไปแล้ว เธอจะปฏิเสธพระองค์ หรือเธอจะต่อต้านพระองค์ เธอก็ยังคงมีพระองค์อยู่เช่นเดิม

5.ไหล่ซ้ายและขวาที่เธอแตะ อันเป็นฐานของสามเหลี่ยมนั้น ด้านหนึ่งหมายถึงพระบุตร คือ องค์จิตจักรวาลดวงเล็ก ซึ่งเป็นรูปธรรมทางพลังงานที่มี 11 เหลี่ยมมุม และทุกวันนี้ยังคงดำรงตนเองอยู่กับพระบิดานอกระบบเอกภพ โดยที่พระบุตรก็คือ ตัวตนภาคแรกที่สูงส่งของมนุษย์ที่พระบิดาทรงกำหนดสร้างขึ้นไว้ในแดนสุญตา จำนวนมากมายนับไม่ถ้วน และทรงอนุญาตให้หนึ่งรูปธรรม สามารถแบ่งภาคตนเองออกมาเป็นกล่องพลังงาน 6 เหลี่ยมมุม ที่มนุษย์เรียกว่า "จิตวิญญาณ" ได้ถึง 36 รูปธรรม เพื่ออาสามาเกิดเป็นมนุษย์บนโลกเสรีนี้ 

6.ดังนั้น มนุษย์แต่ละคนจึงมี "พระบุตร" 1 รูปธรรมด้วยกันทั้งสิ้น และพระบุตร 1 รูปธรรม ก็จะสามารถแบ่งภาคตนเองออกมาเป็นจิตวิญญาณได้เต็มที่ถึง 36 รูปธรรม (รวมทั้งตนเองด้วย) "เรา" เรียกจิตวิญญาณที่ถูกแบ่งภาคมาเกิดเป็นมนุษย์ในแต่ละคนว่า "พระจิต"... อันเป็นรหัสของไหล่อีกด้านหนึ่งที่เธอสัมผัสนั่นเองยังคงระลึกถึงกันได้อยู่ไหม?

7.การที่ "เรา" กำหนดรหัสเช่นนี้ไว้ ก็เพื่อให้เธอทั้งหลายได้น้อมนำจิตวิญญาณของเธอสร้างความสัมพันธ์เป็นระบบสามเหลี่ยมไว้กับพระบิดา และตัวตนภาคแรกของเธอหรือ "พระบุตร" เอาไว้ให้มั่นคงตลอดเวลา โดยอาศัยพลังงานความรักจากจิตวิญญาณของเธอเองที่สั่นสะเทือนมอบให้แก่เพื่อนมนุษย์และโลกตลอดวัน กับพลังงานของความศรัทธาอย่างสุดซึ้งที่พวกเธอพึงจะมีต่อองค์พระบิดาหรือพระเจ้าของเธอเป็นตัวขับเคลื่อนกระบวนการปฏิสัมพันธ์อันศักดิ์สิทธิ์นี้ ประหนึ่งว่าเธอมียอดเจดีย์หรือเสาอากาศสวมครอบไว้บนศีรษะเธอ ในการติดต่อสัมพันธ์กับองค์จิตจักรวาลซึ่งเธอสามารถเคลื่อนย้ายไปได้ทุกที่ ทุกแห่งหน และทุกเมื่อที่เธอปรารถนา โดยไม่ต้องยุ่งยากเสียเวลาไปติดตั้งหรือสร้างเสาอากาศ สร้างเจดีย์ สร้างสัญลักษณ์ที่เป็นวัตถุใดๆขึ้นมาให้รกโลกของพระบิดาแห่งเราโดยไม่จำเป็นอีก

8.เพื่อให้พวกเธอสามารถเข้าถึงการเป็น "คนสามมิติ" ดังกล่าวมาแล้วได้จริงๆเราจึงแนะเน้นพวกเธอเสมอว่า "จงรักให้ได้ แม้ว่าเขาจะไม่น่ารักก็ตาม" "จงให้อภัยเขาให้ได้ แม้ว่าเขาไม่สมควรที่เราจะให้อภัยก็ตาม" และเราสอนเธอให้รักในพระเจ้า รักในพระบิดา ทั้งนี้ก็เพื่อใช้คลื่นพลังงานความรัก ในรูปของคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวกที่เป็นคลื่นจิตนี่เอง ทำให้สามเหลี่ยมนี้ศักดิ์สิทธิ์สมดุล ในอันที่จะช่วยให้เธอสื่อสารกับพระบิดาหรือพระเจ้าได้ และพระองค์ก็ได้ทรงเมตตาประทานพรตามที่พวกเธอจำนวนมากร้องขออยู่เสมอมาแม้จะไม่บ่อยเท่าใดนัก เนื่องจากพระองค์มีพระประสงค์จะให้พวกเธอรู้จักขอจากตนเองมากกว่า แต่ถ้าเป็นความรักแล้วพระองค์ทรงมีให้แก่พวกเธอเสมอมาและตลอดไป

ป.วิสุทธิปัญญา

ใจหรือจิตใจ


Visudhi Punya (((+)))

1.คำว่า "ใจหรือจิตใจ" อักษรจีนเน้นจุดสี่จุด โดยมีรูปลักษณ์ดั่งเคียวกั้นอยู่ท่ามกลาง

2.จุดทั้งสามหมายถึง การเป็นคน 3 มิติ อันหมายถึง "มนุษย์"

3.จุดที่ลักษณะคล้ายเคียวอยู่ท่ามกลางนั้น มันมิใช่สิ่งกีดขวาง แต่เป็นสัญลักษณ์ของการเคลื่อนไหว-เหวี่ยงหมุน ทั้งสามจุดนั้นให้สมดุลต่างหาก

4.เนื่องจากพวกเธอต้องใช้จิตหรือจิตใจเป็นกลไกการขับเคลื่อน สู่การเป็นคนสามมิติให้สำเร็จ และลูกศรแสดงทิศทางการเหวี่ยงหมุนที่เธอเรียกว่าเคียวเกี่ยวข้าว ทุกอย่างจึงเป็นสัญลักษณ์แทนคำว่า "ใจ" ที่วันๆจักต้องทำหน้าที่ดังว่านี้ให้สำเร็จ

5.จุดแรกจึงหมายถึงจิตวิญญาณตนเองที่อยู่บนโลก เชื่อมโยงกับจุดที่สองคือตัวตนภาคแรกที่สูงส่งของตนในแดนสุญตา และจุดสูงสุดคือองค์จิตจักรวาลผู้ทรงเป็นพระบิดาซึ่งสถิตย์ประทับอยู่ตรงแกนกลางของมหาจักรวาลนั่นแล....

6.หมายความว่าถ้าทำสำเร็จ เธอก็นิพพานได้ คือ กลับบ้านได้ และทุกคนต้องกลับบ้านด้วยโดยใช้จิตเป็นตัวขับเคลื่อน สมดั่งคำว่า "จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว" นั่นเอง

ป.วิสุทธิปัญญา

02 กรกฎาคม 2555

พลังจิตหยุดวิกฤตโลกได้อย่างไร?



(((*1*))) พลังจิตหยุดวิกฤตโลกได้อย่างไร?

1.วิกฤตโลก หมายถึง สภาวการณ์ที่โลกเผชิญกับภัยพิบัติรูปแบบต่างๆที่แนวโน้มนับวันจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

2.พลังจิต หมายถึง พลังงานของจิตอันได้จากการผลิตของจิตมนุษย์ เมื่อมีการสั่นสะเทือนเป็นอารมณ์รู้สึกเกิดขึ้นและเมื่ออยู่ในอาการสุขสงบ โดยที่พลังงานของจิตนั้นจะแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ ชนิดที่มีคุณสมบัติทางไฟฟ้าเป็นบวก กับ ชนิดที่มีคุณสมบัติทางไฟฟ้าเป็นลบ

3.พลังจิตของมนุษย์ จึงเป็นคลื่นความถี่ทางพลังงานที่เป็นชนิดเดียวกันกับคลื่นความถี่ของสนามแม่เหล็กโลกนี่เอง จะต่างกันก็ตรงที่พลังอำนาจแม่เหล็กโลกจะมีเพียงชนิดเดียวคือ ชนิดที่มีคุณสมบัติทางไฟฟ้าเป็นบวก (ความรัก) เท่านั้น

4.คุณสมบัติทางไฟฟ้าของคลื่นพลังจิต จะเป็นด้านบวกหรือลบ ขึ้นกับอารมณ์รู้สึกของสภาวะจิตในขณะนั้นๆจะเป็นตัวกำกับ เช่น ถ้าสภาวะจิตสุขสงบและอารมณ์ดีพลังจิตที่ผลิตสร้างออกมาก็จะมีคุณสมบัติทางไฟฟ้าของคลื่นเป็นบวก แต่ถ้าอารมณ์ไม่ดีหรือสั่นสะเทือนเป็นกิเลสตัณหาและขณะมีสภาวะจิตว้าวุ่นสับสนแล้ว พลังจิตที่ผลิตสร้างออกมาก็จะมีคุณสมบัติทางไฟฟ้าเป็นลบเสมอ

5.สภาวะจิตกับอารมณ์รู้สึก ในมนุษย์แต่ละคนในทุกขณะจิตเมื่อยามตื่น ไม่ว่าในขณะนั้นๆเธอจะมีสติอยู่หรือไม่ก็ตาม ล้วนสามารถผลิตสร้างพลังจิตในรูปของคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กออกมาภายนอกอยู่ตลอดเวลา วิธีการส่งคลื่นดังกล่าวนี้ออกมาภายนอกคล้ายๆกับการแผ่รังสีของพระสุริยะเทพ (Sun) นั่นเอง

(((*2*))) พลังจิตหยุดวิกฤตโลกได้อย่างไร?

6.เธอทุกคน สัตว์ทุกตัว ต้นไม้ทุกต้น ทรายทุกเม็ด และดินทุกๆอณู ต่างก็ล้วนมีคุณสมบัติและสมรรถนะในการแสดงศักยภาพแห่งการ ผลิตสร้างพลังงานที่มีคุณสมบัติด้านบวกหรือ “ความรัก” ออกมาภายนอกรูปธรรมของตนได้ทั้งสิ้น เพราะคุณสมบัติดังว่านี้ถูกกำหนดโดยพระผู้สร้างหรือพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งพวกเธอกล่าวพระนามว่า “องค์จิตจักรวาล” นั่นเอง

7.พระองค์ทรงกำหนดสร้างขึ้นไว้เช่นนี้ก็เพื่อ มอบพลังอำนาจให้พวกเธอสำหรับการเข้ามาทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับดาวเคราะห์โลกให้สำเร็จดังประสงค์ เพราะทรงอนุญาตให้พวกเธอมาเกิดแล้วกำหนดหน้าที่ให้ทำโดยไม่ประทานพลังอำนาจที่จะใช้ทำหน้าที่นั้นๆย่อมไม่ได้

8.หน้าที่ของพวกเธอและทุกสรรพสิ่งในระบบโลก ในบทบาทของ “เพื่อนร่วมงาน” ก็คือ การสั่นสะเทือนจิตสำนึกแห่งตน ผ่านอารมณ์รู้สึกนึกคิดของจิตที่เป็นด้านบวก เพื่อผลิตสร้างพลังจิตด้านบวกในรูปของคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก มอบให้แก่ดาวเคราะห์โลกโดยเฉพาะ ซึ่งพวกเธอสามารถกระทำได้ด้วยจิตใจของเธอเอง โดยมีเพื่อนร่วมโลกทุกคน ทุกตัว และทุกสิ่ง ในทุกขณะจิตยามที่เธอตื่นอยู่จะเป็นผู้หยิบยื่นเงื่อนไขทั้งดีและร้าย ให้เธอใช้กระตุ้นสภาวะจิตของเธอให้มันสั่นสะเทือนทางด้านบวกทั้งวี่วันให้จงได้ ส่วนใครจะดีจะร้ายกับเธอนั้น มีเพียงคำตอบเดียวก็คือ เธอจักต้องสั่นสะเทือนจิตใจมอบความรักแก่เขาให้ได้นั่นแหละเธอ...ไม่มีเป็นอื่นเด็ดขาด!

9.พลังจิตชนิดบวกของพวกเธอนั้น เมื่อสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกเป็นการแสดงออกหรือกระทำดีต่อกันแล้ว จำนวน 1% ของผลผลิตทางพลังงานร่วมที่เกิดขึ้นในทุกวินาที คือ พลังงานเริ่มต้นที่พวกเธอแต่ละคนแต่ละหมู่คณะได้มอบให้แก่ดาวเคราะห์โลกของเธอไปแล้ว ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาเธอมิอาจล่วงรู้

10.พลังจิตด้านบวกในรูปของคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กที่มีอำนาจทางไฟฟ้าเป็นบวกนี้ คือ พลังงานเริ่มต้นที่พวกเธอจะต้องช่วยกันผลิตสร้างขึ้นมอบให้ดาวโลกในทุกวินาที เพื่อใช้จุดคบเพลิงหรือจุดไฟให้แก่ดาวโลกของเธอเอง ด้วยสำนึกว่ามันคือ “หน้าที่ทางจิตวิญญาณ” ของสัตว์ทั้งหลายและมนุษย์ทุกคนอย่างพวกเธอนี่แหละ

11.ถ้าเธอเลือกแสดงบทบาทของผู้ครองเรือน เธอจึงต้องกระทำหน้าที่ดังกล่าวนี้ผ่านการเป็นคนสองมิติและสองบทบาท สองมิติหมายถึงต้องกระทำผ่านจิตและปัญญาหรือรวมเรียกว่า “จิตสำนึก” ส่วนสองบทบาท หมายถึง การเป็นนักรบแห่งแสงสว่าง และการเป็นนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง ควบคู่กันไปในชีวิตประจำวัน

12.การแสดงบทบาทของนักรบแห่งแสงสว่าง คือ การที่เธอจะต้องต่อสู้กับความไม่รู้ ความเกียจคร้าน ความเหนื่อยล้า ความทุกข์ยาก และความท้อแท้ในชีวิต เพื่อเอาชนะกิเลสตัณหาราคะอวิชชาและอุปาทานที่เธอต้องเผชิญมันอยู่รายวันนั้น เพื่อยกระดับแรงสั่นสะเทือนแห่งจิตหยาบให้เป็นหนึ่งกับใจคือจิตวิญญาณแก่นแท้ของเธอเองให้จงได้ เมื่อทำสำเร็จเครื่องยนต์แห่งกรรมของเธอก็จะทำการผลิตสร้างพลังจิตด้านบวก ที่จะใช้จุดคบเพลิงเพื่อให้แสงสว่างแก่ดาวโลกของเธอได้ในที่สุด

ป.วิสุทธิปัญญา
2-7-12

(((*)))ไฟชำระแท้จริงหมายความว่าอย่างไร? 

ทราบแต่ว่าถ้าบาปหนักตกนรก บาปเบาลงไฟชำระ แล้วมีโอกาสไปสวรรค์ได้
(((+)))ถ้าจะให้เข้าใจง่ายๆนั้น ใครที่ทำผิดบาปครั้งที่เป็นมนุษย์เมื่อตายไปจิตวิญญาณของคนผู้นั้นก็จะต้องถูกส่งไปลงนรก เพื่อไปปรับจูนจิตสำนึกทางวิญญาณที่หลงมิติหรือเสียสมดุลไป(การชำระบาป)ให้คืนกลับสู่ความสมดุล อันหมายถึงการบำบัดรักษานั่นเอง

ทุกรูปธรรมทีจะถูกชำระบาปในนรกจะต้องเผชิญกับสถานการณ์อันไม่พึงประสงค์ เช่น ความทุกข์ทรมาน การอยู่ไม่เย็นไม่เป็นสุขหรือทำนองนั้น เปรียบเสมือนตกอยู่ในกองไฟฟอนนั่นแหละ เมื่อปรับสมดุลได้ดังเดิมแล้วถือว่า "ไฟชำระบาป" บรรลุผลแล้ว ก็ขึ้นมาจากนรกเพื่อมาเป็นมนุษย์แล้วมีโอกาสที่จะนิพพานหรือคืนกลับสวรรค์ไปกราบพระบาทพระบิดาตามปกติเหมือนคนอื่นๆต่อไป

แต่ถ้าหากมนุษย์คนใดทำกรรมหนักหนามากเหลือเกิน ก็จะตกนรกขุมที่ต่ำกว่าขั้นที่ 13 ลีกลงไปอีกจนถึงขั้นสุดท้าย คือ 16 นั่นแหละ ขั้นที่ 14-16 คือนรกโลกันต์ ลงไปแล้วกลับขึ้นมาไม่ได้อีกแล้วก็นิพพานหรือไปสวรรค์ก็ไม่ได้เสียด้วยสิ....

ปัญญาญาณ คือ อะไร?



(((+))) ปัญญาญาณ คือ อะไร?
1.คือ ระดับค่าของการสั่นสะเทือนของเซลสมองซีกขวา อันเกิดจากการกดปุ่มใช้มัน
2.คือ ระดับค่าความเข้มสนามแม่เหล็กของสมองซีกขวา ที่ได้จากการสั่นสะเทือนในขณะที่เธอกดปุ่มใช้มันอยู่
3.คือ พลังอำนาจทางปัญญาของจิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้ของเธอ ที่จิตหยาบของเธอสามารถเข้าถึงการใช้งานมันได้ในขณะนั้น
(((+))) 
1.ปัญญาญาณ จะเกิดมีได้หรือไม่นั้น ไม่เกี่ยวข้องกันกับว่าใครคนนั้นจะต้องมีภูมิรู้ ภูมิธรรม ภูมิปัญญา ถึงพร้อมเสียก่อน
2.แต่ภูมิรู้และภูมิธรรม...จะต้องได้มาจากภูมิปัญญาแห่งตนเท่านั้น 
3.หากไร้ซึ่งภูมิปัญญาใยจะมีเครื่องมือแสวงหาภูมิรู้และภูมิธรรมได้ล่ะ

ป.วิสุทธิปัญญา
02-07-2012