31 ธันวาคม 2566

คำสอน 31/12/2023

 

การปฏิบัติธรรมคือการทำตน
ให้สอดคล้องต้องกันกับธรรมชาติ
การหนีสงครามเข้าป่าเข้าถ้ำ
กับการแกล้งทำเป็นอายตนะมืดบอด
จึงมิใช่การปฏิบัติธรรม

30 ธันวาคม 2566

คำสอน 30/12/2023

 

นึกออกคือจำบางเรื่องในอดีตได้
นึกเอาคือนึกถึงสิ่งใหม่ในปัจจุบันขณะ
นึกเองคือการทึกทักเดาใจผู้อื่น
นี่คือ "จิตสามนึก" ของมนุษย์
ที่เป็นบ่อเกิดพฤติกรรมภายนอก

29 ธันวาคม 2566

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 29/12/2566

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

ถ้าคุณฉลาดมองโลก

โดยสามารถมองเห็นโลกตามความเป็นจริงได้

การเรียนรู้ของคุณก็จะถูกต้องตรงจริงได้เสมอ

 

คำว่า “ฉลาดมองโลก” นี่แหละ

จะถูกกำกับด้วยการ #ฉลาดใช้อายตนะ สัมผัสสิ่งเร้า

การฉลาดใช้อายตนะสำหรับมนุษย์ก็คือ #ช่างสังเกต

ช่างสังเกตหมายถึง “หูไว ตาไว” ต่อสิ่งที่ได้รู้ได้เห็น

ถ้าคุณเป็นคนรอบครอบมากขึ้นจิตก็จะยิ่งละเอียดมาก

คุณจะเป็นคนหูไวต่อสิ่งที่ได้ยินตาไวต่อสิ่งที่เป็นพิรุธ

เมื่อมีสิ่งเร้าผ่านหูผ่านตาให้รับรู้ได้อย่างมากมายแล้ว

มันก็จะง่ายขึ้นสำหรับคุณในการ #เลือกเรื่องมาเรียนรู้

 

คำว่า “เลือกเรื่องมาเรียนรู้” หมายถึง

ฉลาดที่จะหยิบเอาบางเรื่องมา “นึก” ตั้งคำถามตนเอง

เพื่อทำการคิดวิเคราะห์ให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

โดยนึกคิดอย่างมีวัตถุประสงค์คือเพื่อการเรียนรู้เท่านั้น

โดยมีเป้าหมายของการเรียนรู้ก็คือจะต้องได้ “คำตอบ”

ที่ถูกต้องตรงจริงชัดเจนสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้

ซึ่งผลการคิดที่ได้นี้ได้จากการ “ฉลาดเรียนรู้” นั่นเอง

 

ดังนั้น

การเป็นคนฉลาดมองโลก

จึงต้องฉลาดใช้อายตนะภายนอกทั้งห้า

วันๆจะเอาแต่นั่งหลับตาปิดวาจาปิดหูไม่รู้ไม่เห็นอะไร

ไม่คบหาไม่สมาคมกับใครทั้งๆที่เป็นสัตว์สังคมไม่ได้

เพราะมันคือการ “ขังตนเอง” ไว้ในป่าในถ้ำตามลำพัง

ที่พวกคุณเรียกว่า #ขังเดี่ยว อยู่คนเดียว

ไม่มีใครหรือสิ่งใดจะเป็นครูผู้ยื่นบททดสอบให้คุณได้

ไม่มีใครหรือสิ่งใดจะเป็นครูผู้ยื่นบทเรียนชีวิตให้คุณได้

จึงต้องเป็นครูสอนตนเองในโลกมืดและวังเวงเท่านั้น

 

ไม่ต่างจากการนั่งนับนิ้วมือกับนับนิ้วเท้าของตนเอง

ซึ่งนับไปนับมารวมแล้วก็นับได้แค่ไม่เกินยี่สิบนิ้ว

เพราะว่ามันมีนิ้วให้คุณฝึกนั่งนับได้อยู่เพียงแค่นั้น

ครั้นจะฝึกนับนิ้วให้ได้มากกว่านั้นก็ไม่มีเพื่อนให้ยืมนับ

เนื่องจากคุณเลือกที่จะหนีสังคมหรือปลีกวิเวกไปแล้ว

ความไม่ฉลาดเรียนรู้จึงทำให้คุณขาดพร่องในความรู้

คือ “รู้น้อยกว่าที่คุณต้องรู้” เพราะคุณขาดเพื่อนเรียน

ที่พวกเขาทั้งโลกสามารถเป็นสารพัดครูให้คุณได้

แต่เป็นครูคนแรกและคนสุดท้ายของคุณไม่ได้เท่านั้น

 

ถ้าคุณฉลาดคิดวิเคราะห์เมื่อสัมผัสรู้ดูเห็นความจริง

ที่เป็น “โลกียะธรรม” ด้วยสติปัญญาสมองซีกซ้ายแล้ว

ต่อไปก็เป็นหน้าที่ของสมองซีกขวาคือ #ปัญญาญาณ

จะต้องนำเอาโลกียะธรรมที่ได้มานั้นใช้เป็นวัตถุดิบ

เพื่อนำมา #สังเคราะห์ ด้วยปัญญาญาณที่เป็นคลื่นแสง

ให้เหมือนกับการที่พืชนำวัตถุดิบจากรากมาสังเคราะห์

ที่ใบซึ่งมีสีเขียวๆด้วยพลังงานแสงอาทิตย์นั่นแหละ

 

หลักการสังเคราะห์วัตถุดิบหรือปรุงอาหารด้วยการคิด

เพื่อนำไปใช้บริโภคในการดำเนินชีวิตด้วยสมองซีกขวา

มีดังต่อไปนี้ คือ

 

1.ให้มีแต่วัตถุประสงค์ในการคิดนั่นคือ

คิดเพื่อที่จะนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตของตน

มิใช่คิดเพื่อวัตถุประสงค์อย่างอื่น

 

2.ไม่กำหนดเป้าหมายในการคิดล่วงหน้าว่า

ตนจะต้องได้คำตอบมาเป็นจำนวนมากสักเท่าไหร่

 

3.ไม่ตีกรอบการคิดเอาไว้ว่า

ตนจะต้องคิดให้ได้คำตอบภายในเวลาเท่านั้นเท่านี้

ด้วยการกำหนดกรอบเวลาในการคิดเอาไว้ล่วงหน้า

 

4.ไม่คิดด้วยการยึดติดในหลักการและเหตุผล

เหมือนกับการคิดด้วยสติปัญญาของสมองซีกซ้าย

แต่ต้องคิดแบบดอกไม้บานหรือคิดให้ได้จนสุดขอบฟ้า

โดยไม่ตีกรอบการคิดนั้นๆของตนเองเอาไว้

 

ตัวอย่างเช่น

เคยคิดอย่างมีหลักการก็เปลี่ยนเป็นไม่ยึดหลักการบ้าง

เคยคิดโดยยึดเหตุผลหรือทฤษฎีก็ลองไม่ยึดติดดูบ้าง

การคิดแบบนี้สมองซีกขวาของคุณนั้นถนัดนักแล

 

5.ให้คุณคิดสังเคราะห์วัตถุดิบที่ได้มานั้น

ด้วยวิธีคิดให้เป็นภาพเอาไว้ตามที่สมองซีกขวาถนัด

เพราะการคิดให้เป็นภาพตัวชี้วัดก็คือ “ความเข้าใจ”

ซึ่งจะช่วยให้คุณเห็นความจริงของสิ่งนั้นได้ชัดยิ่งขึ้น

ผลลัพธ์จากการคิดสังเคราะห์ของคุณที่จะได้รับนั้น

มันคือสิ่งที่เรียกว่า #การคิดสร้างสรรค์ นั่นเอง

 

ถ้าสิ่งที่คุณคิดสร้างสรรค์ได้นั้น

คุณทำให้มันเป็น “รูปธรรม” จนนำมาใช้ประโยชน์ได้จริง

สิ่งสร้างสรรค์ก่อนใครเพื่อนที่เป็นผลงานของคุณชิ้นนั้น

มันจะถูกเรียกว่า #นวัตกรรม คำโก้หรูกับเขาได้แน่นอน

 

ต่อไปนี้คุณคงกระหายใคร่จะรู้กันแล้วสิว่า

จะใช้สมองซีกขวาสังเคราะห์สัจธรรมด้วยปัญญาญาณ

เพื่อการเป็นนักคิดสร้างสรรค์เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่

เพื่อเป็นคนชอบธรรมในระดับ #อริยะบุคคล ได้อย่างไร

 

คงต้องติดตามเรียนรู้ในตอนต่อไป

 

กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดาที่ทรงเมตตา

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

29/12/2566




คำสอน 29/12/2023

 

คุุณจะใช้ความรู้สึกที่เป็นกิเลส
รักชอบหรือไม่รักไม่ชอบใครนั้นไม่ได้
แต่ต้องใช้สติปัญญาหาเหตุผลว่า
คุณจะรักเขาได้เพราะเหตุใด

28 ธันวาคม 2566

คำสอน 28/12/2023

 

คุณจะยกระดับจิตหยาบสู่มิติที่ 5 ได้ด้วยวิธีหมุน
ธรรมจักรในตนเองเท่านั้น อำนาจภายนอกช่วย
ไม่ได้ #ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เท่านั้น!

คำสอน 28/12/2023

 

มนุษย์มีจิตหยาบเป็นรูปธรรมทางพลังงานแค่ 4 
เหลี่ยมมุม จะเพิ่มเป็น 5 มุมได้ก็ด้วยอำนาจใน
ตนเองและคนรอบข้างช่วยเหลือเท่านั้น

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 28/12/2566

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

คุณจะต้องคิดรู้ด้วยใช้สมองซีกขวานำซ้ายก็ต่อเมื่อ

 

1.ต้องการทำความเข้าใจในการอ่านตำราหรือคัมภีร์

โดยอ่านไปและคิดตามไปด้วยว่ามันคืออะไรอย่างไร

ซึ่งต้องเริ่มต้นกระบวนการคิดด้วยสมองซีกซ้ายก่อน

เมื่อรู้ว่าอะไรเป็นอะไรอย่างไรแล้วจึงคิดให้เป็นภาพ

 

ดังนั้น

ขั้นตอนแรกคือการคิดพิจารณาด้วยวิธีวิเคราะห์

โดยใช้พลังอำนาจของสติปัญญาจากสมองซีกซ้าย

เมื่อวิเคราะห์สำเร็จแล้วจึงนำเอา “วัตถุดิบ” ที่ได้นั้น

มาดำเนินการคิดต่อด้วยวิธีคิดเห็นให้เป็นภาพ

ซึ่งการคิดให้เป็นภาพก็คือการใช้ #จินตนาการ นั่นเอง

พระพุทธเจ้าเรียกวิธีจินตนาการนี้ว่า #จินตมยปัญญา

 

2.ในการฟังธรรมคำสอนของท่านผู้รู้เพื่อทำความเข้าใจ

ซึ่งขณะฟังอยู่นั้นก็ให้คิดตามไปด้วยโดยคิดให้เป็นภาพ

ตัวชี้วัดความเข้าใจของคุณก็คือภาพที่คุณคิดเห็นนั้นว่า

มันสอดคล้องตรงจริงกับที่ครูเขาต้องการสอนคุณหรือไม่

ถ้าสอดคล้องต้องกันหรือตรงกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยนแล้ว

แสดงว่าคุณเข้าใจถูกต้องแล้ว

 

ถ้าภาพมายาในจินตนาการของคุณนั้นไม่ชัดเจน

แสดงว่าคุณยังมีความเข้าใจในเรื่องนั้นคลุมเครืออยู่

คุณยังต้องการคำอธิบายขยายความจากครูเพิ่มเติม

ถ้าภาพมายาในจินตนาการของคุณนั้นมันขาดๆเกินๆอยู่

แสดงว่าการรับฟังของคุณมีข้อมูลบางอย่างไม่ครบถ้วน

จะต้องได้รับการเติมเต็มด้วยการฟังซ้ำอีกครั้งเสมอ

 

วิธีที่คุณจะรู้ว่าการรับฟังข้อมูลของคุณนั้นเป็นเช่นไร

คุณอาจใช้วิธีขอให้ครูช่วยเมตตากล่าวซ้ำให้ฟังอีกครั้ง

โดยคุณต้องรับฟังครูอย่างตั้งใจและมีสมาธิไม่วอกแวก

ไม่เข้าใจตรงไหนก็ให้ถามครูเพื่อสร้างความชัดเจนทันที

อย่าอายที่จะถามครูนะเพราะครูไม่คิดว่าศิษย์โง่แน่นอน

ครูมีแต่จะภูมิใจในตัวศิษย์ที่สนใจในคำสอนเสียมากกว่า

 

ดังนั้น

ขณะเรียนรู้ด้วยการอ่านตำราและการฟังครูผู้สอน

พวกคุณจะต้องใช้สมองสองซีกของตนด้วยกันทั้งสิ้น

การฉลาดฟังฉลาดนึกฉลาดคิดตามและฉลาดที่จะเข้าใจ

จึงเป็นคุณสมบัติอันโดดเด่นของผู้เป็นอัจฉริยะบุคคล

 

3.การมองหาสัจธรรมจาก “สิ่งแวดล้อม”

ด้วยการเป็นครูคนแรกและคนสุดท้ายของตัวเอง

 

คำว่า #สิ่งแวดล้อม ในที่นี้เราหมายถึง

#สิ่งแวดล้อมในธรรมชาติของพระบิดาหรือสภาวะธรรม

#สิ่งแวดล้อมที่พบเห็นได้จากพฤตินิสัยของคนรอบข้าง

#สิ่งแวดล้อมที่เป็นเรื่องราวเหตุการณ์สถานการณ์ต่างๆ

 

ขั้นแรกคุณต้องเป็นคนช่างสังเกตคือฉลาดมองฉลาดฟัง

โดยสามารถแลเห็นจุดเด่นและจุดด้อยในสิ่งแวดล้อมได้

การมองหาจุดด้อยที่ว่านี้มิใช่มองเพื่อการจับผิดคิดลบ

แต่เป็นการมองเพื่อศึกษาเรียนรู้โดยมีเขาเป็นครูเท่านั้น

การฉลาดฟังและฉลาดถามคนที่รู้มากกว่าคุณก็ต้องเป็น

มิเช่นนั้นแล้วคุณจะหาสาระอะไรในชีวิตกับเขาไม่ได้เลย

ถ้าได้แต่มองผ่านตาและฟังผ่านหูแต่การเรียนรู้ไม่เกิดขึ้น

เมื่อไม่มีการเรียนรู้ใดๆเกิดขึ้นเท่ากับสมองคุณก็ไม่ได้ใช้

 

คุณคงจำได้ว่า

เราเคยกล่าวความจริงให้คุณรู้กันมาบ้างแล้วว่า

สมองมนุษย์นั้นพระบิดามิได้ติดตั้งให้คุณไว้แค่คั่นหู

แต่ทรงติดตั้งไว้ให้คุณใช้มันในการดำเนินชีวิต

เพื่อประโยชน์ในการคิดตัดสินใจและเพื่อการเรียนรู้ทุกสิ่ง

โดยเฉพาะการเรียนรู้ที่จะรักคนที่ทำตัวไม่น่ารักให้ได้

การเรียนรู้ที่จะแก้ไขปัญหาชีวิตและงานที่ทำให้ทุกข์ใจ

ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเล็กๆน้อยๆไปจนถึงปัญหาใหญ่ๆ

 

เพราะประดาสิ่งมีชีวิตที่ดำรงอยู่ในระบบโลกนี้นั้น

ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ สัตว์ประจำโลกและมนุษย์โลก

มีเพียงแค่มนุษย์โลกเท่านั้นที่สมองใช้ในการคิดรู้ได้ดี

ส่วนสัตว์ประจำโลกนั้นเขาใช้กันได้แต่สัญชาตญาณ

เหมือนกันกับที่มนุษย์โลกทุกคนต่างล้วนมีให้ใช้ได้

แต่ความฉลาดทางปัญญาของสมองสองซีกเขาไม่มี

เพราะสัตว์ทั้งหลายใช้จิตวิญญาณกับสมองก้อนเดียว

ทำการขับเคลื่อนพฤติกรรมเพื่อการดำเนินชีวิตบนโลก

พวกเขาล้วนไม่มีจิตหยาบทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณ

ในการขับเคลื่อนพฤติกรรมเพื่อดำเนินชีวิตแต่อย่างใด

 

เพราะสัตว์ประจำโลกใช้แต่ #สัญชาติญาณ

พวกเขาจึงมีลักษณะโดดเด่นกว่ามนุษย์ดังต่อไปนี้

 

1.สัตว์ประจำโลกไม่มีมารยาสาไถย

2.สัตว์ประจำโลกไม่มีใครโกหกตอแหล

3.สัตว์ประจำโลกวางแผนการล่วงหน้าไม่เป็น

4.สัตว์ประจำโลกไม่มีการขี้หลงขี้ลืม

5.สัตว์ประจำโลกรักพวกรักพ้องของตน

6.สัตว์ประจำโลกไม่มีใครจู้จี้ขี้บ่นจนน่ารำคาญ

7.สัตว์ประจำโลกพร้อมก้าวตามจ่าฝูงหรือผู้นำเสมอ

8.สัตว์ประจำโลกไม่มีจ่าฝูงที่คอรัปชั่นฉ้อฉลคดโกง

 

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดาที่ทรงเมตตา

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

28/12/2566




คำสอน 28/12/2023

 

มนุษย์มีหน้าที่ใช้ความรัก หมุน
ธรรมจักรพิทักษ์สมดุลโลก เพื่อค้ำจุน
เอกภพให้สมดุลไว้ให้ได้และยกระดับ
จิตหยาบสู่มิติที่ 6 จนเป็นหนึ่งเดียวกับ
จิตวิญญาณของตนให้ได้ด้วย

27 ธันวาคม 2566

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 27/12/2566

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

สำหรับมนุษย์โลกซึ่งโลกเป็นดาวแห่งทางเลือกเสรีนี้

มีหน้าที่จะต้องคนสองมิติให้เข้ากันเป็นหนึ่งเดียวให้ได้

ด้วยวิธีการ #หมุนธรรมจักรในตนเอง ให้เป็นผลสำเร็จ

โดยใช้ความรักเพื่อให้ที่เป็นความรักอันบริสุทธิ์สะอาด

ทำการสั่นสะเทือนจิตหยาบเป็นกระบวนการ 5 ขั้นตอน

ที่พระศาสดาทรงเรียกว่า “ขันธ์ 5” อันประกอบด้วย

รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณขันธ์ตามลำดับ

 

โดยจิตหยาบหรือจิตปัจจุบันของคุณจะต้องสั่นสะเทือน

เพื่อการทำงานร่วมกันกับกลไกอายตนะภายนอกทั้งห้า

ทันทีที่จิตมีการ #รับรู้ ข้อมูลการสัมผัสสิ่งเร้าภายนอก

ที่เป็นรูปรสกลิ่นเสียงเย็นร้อนอ่อนแข็งเพื่อ #การเรียนรู้

ให้รู้ว่าที่ตนสัมผัสรู้ดูเห็นอยู่นั้นมันคืออะไรอย่างไรทำไม

เพื่อทำความไม่รู้แต่เดิมนั้นให้ได้รู้กระจ่างสว่างกมล

 

แน่นอนว่า

ถ้าต้องการเรียนรู้โลกหรือทุกสิ่งในมิติทางกายภาพนั้น

ความสามารถในการเป็นคนช่างสังเกตด้วยอายตนะทั้ง 5

กับความสามารถในการใช้ #จิตตปัญญา ทั้งสองเรื่องนี้

พวกคุณจักต้องฝึกทักษะในการใช้งานกันให้ชำนาญด้วย

 

ตัวอย่างเช่น

ต้องฝึกตาให้ไวต่อสิ่งที่เป็นพิรุธ

ต้องฝึกหูให้ไวต่อสิ่งที่ได้ยิน

ต้องฝึกทักษะในการควบคุมจิตให้เข้าถึงความว่าง

ต้องฝึกทักษะในการกำหนดนึกเพื่อให้สมองคิด

ต้องฝึกทักษะในการรับรู้เพื่อการคิดรู้

ต้องฝึกทักษะในการคิดรู้อย่างมีหลักการและเหตุผล

 

ถ้าคุณสามารถเข้าถึงคุณสมบัติทั้ง 6 ที่ว่านี้ได้

จึงจะถูกเรียกว่าเป็น #อัจฉริยะบุคคล ได้อย่างเต็มคำ

เพราะคุณจะเป็นพหูสูตเป็นปราชญ์เมธีหรือบัณฑิต

ซึ่งมากด้วยภูมิรู้และภูมิปัญญาอย่างเต็มล้นกับเขาได้

โดยจะไม่รู้สึกว่าตนเสียชาติเกิดแต่อย่างใดทั้งสิ้น

 

ยิ่งถ้าคุณเป็น “อัจฉริยะบุคคล” ได้แล้ว

ยังสามารถนำเอาภูมิรู้กับภูมิปัญญาของตนที่มีอยู่

ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันเพื่องานและเพื่อสังคมได้

คุณก็จะมี #ภูมิทำ เป็นคุณสมบัติที่เพิ่มขึ้นมาได้ด้วย

มันยิ่งจะทำให้คุณเป็นผู้มีพลังอำนาจในมิติโลกสูงสุด

คือมีภูมิรู้ภูมิปัญญาและภูมิทำที่จะทำให้มั่งคั่งมั่นคง

ตราบชั่วชีวิตนี้กันเลยทีเดียว

 

ภารกิจของจิตหยาบหรือจิตปัจจุบันของคุณ

ซึ่งรับบทบาทหน้าที่เป็นคนสองมิติแทนจิตวิญญาณ

มิได้มีแค่การพัฒนาจิตตปัญญาให้เป็นอัจฉริยะเท่านั้น

พวกคุณยังต้องยกระดับสู่การเป็น #อริยะบุคคล ด้วย

โดยคุณสมบัติของอริยะบุคคลนั้นจะต้องประกอบด้วย

ทั้ง 4 ภูมิดังต่อไปนี้ คือ

1.มีภูมิรู้ที่ได้จาก การเป็นคนชอบเรียนรู้

2.มีภูมิปัญญาที่ได้จาก การเป็นคนชอบคิดช่างคิด

3.มีภูมิทำที่ได้จาก การเป็นคนชอบปฏิบัติชอบทำ

4.มีภูมิธรรมที่ได้จาก การเป็นคนชอบปฏิบัติธรรม

 

ถ้าคุณต้องการสร้างคุณสมบัติของคนชอบธรรม

คุณก็จะต้องเพิ่ม “ภูมิธรรม” ในตนเองให้ได้ด้วย

โดยการเพิ่มภูมิธรรมนี้จะทำได้ด้วย 3 วิธีคือ

 

1.#ด้วยการอ่านพระคัมภีร์หรือพระไตรปิฎก

ที่มีผู้หยิบยกเอาพระวจนธรรมคำสอนของศาสดา

มาจดจารบันทึกไว้เป็นหลักธรรมคำสอนสืบเนื่องมา

ซึ่งผู้อ่านจักต้องรอบครอบระมัดระวังในการอ่านด้วย

เพราะพระศาสดามิได้ทรงบันทึกคำสอนนั้นด้วยตนเอง

จึงมีความผิดพลาดคลาดเคลื่อนหรือบิดเบือนแฝงอยู่

คุณจึงต้องอ่านแล้วคิดตามให้เข้าใจควบคู่กันไปด้วย

 

จงอย่าเชื่อตามทันทีที่ได้อ่านเพราะว่าคุณรู้สึกชอบ

จงอย่าปฏิเสธทันทีที่ได้อ่านเพราะคุณรู้สึกว่าไม่ชอบ

โดยที่คุณยังไม่เข้าใจในคำสอนนั้นๆเลยว่าคืออะไร

โดยที่คุณยังไม่เข้าใจในคำสอนนั้นๆเลยว่าคืออย่างไร

ซึ่งเป็นลักษณะของคนโง่ง่ายจนงมงายทั้งสิ้น

 

จงอย่าเชื่อในทันทีที่คุณได้อ่าน

เพราะเห็นว่าคนส่วนใหญ่เขาเชื่อกันมาแต่โบราณแล้ว

ตนจึงตัดสินใจแห่ตามหรือเชื่อตามคนโบราณไป

โดยมิได้ใช้สติปัญญาพิจารณาก่อนตัดสินใจเชื่อตาม

จงอย่าปฏิเสธในทันทีที่คุณได้อ่าน

เพราะเห็นว่ามีหลายคนที่ไม่เชื่อเรื่องนั้นมานานแล้ว

ตนจึงตัดสินใจแห่ตามหรือไม่เชื่อตามคนพวกนั้นไป

โดยมิได้ใช้สติปัญญาก่อนตัดสินใจว่าไม่เชื่อตาม

คนประเภทดังกล่าวนี้เป็นคนที่เรียกว่า

#เห็นช้างขี้แล้วขี้ตามช้าง นั่นเอง

 

2.#ด้วยการฟังเทศน์ฟังธรรมจากท่านผู้รู้จริง

เนื่องจาก “ผู้รู้จริง” ในสัจธรรมทั้งหลายนั้นหายากมาก

เพราะต้องเป็นทั้งนักบวชนักเรียนและนักปฏิบัติแท้จริง

ซึ่งพวกคุณไม่อาจพิจารณาจากมายาภายนอกที่เห็นได้

นอกจากฉลาดฟังฉลาดรับรู้และฉลาดเรียนรู้กันเท่านั้น

เนื่องจาก “มายาภายนอก” สามารถหลอกลวงกันได้

แต่สาระธรรมที่เขาบอกไม่สามารถจะหลอกคนฉลาดได้

ถ้าคุณใช้ปัญญาของสมองสองซีกซ้ายและขวาเป็น

 

3.#ด้วยวิธีฝึกทักษะการใช้สมองซีกขวาของตนเอง

โดยนำเอาสาระธรรมที่คุณฟังอยู่อ่านอยู่และเห็นอยู่

มา #สังเคราะห์ ด้วย #ปัญญาญาณของสมองซีกขวา

เพื่อทำความเข้าใจความจริงของสิ่งนั้นก่อนนำไปปฏิบัติ

ให้เห็นจริงและเห็นแจ้งในชีวิตจริงของตนต่อไป

 

ทั้งสามประการนี้คือการเพิ่มภูมิธรรมให้ตนเอง

บนเส้นทางแห่งการเป็น #อริยะบุคคล โดยแท้

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดาที่ทรงเมตตา

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

27/12/2566




คำสอน 27/12/2023

 

เมตตาธรรมค้ำจุนโลก
หายถึงความรักที่บริสุทธิ์ของมนุษย์
จะฉุดช่วยให้โลกหมุนรอบตัวเอง
อย่างต่อเนื่องจนเกิดความสมดุล
โดยไม่มีอาการแกว่งส่ายได้

26 ธันวาคม 2566

คำสอน 26/12/2023

 

ฝึกทักษะการใช้จิตปัญญา กับการแสวงหา "วิ
ชามู" คุณควรคิดดูว่าจะเลือกอะไร

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 26/12/2566

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

หลักคิดและวิธีคิดด้วยสติปัญญาของสมองซีกซ้าย

ที่เราสาธยายถึงวิธีการใช้เอาไว้ให้ในบทที่ผ่านมานั้น

เป็นวิธีคิดที่พระพุทธองค์ทรงเรียกว่า #อิทัปปัจจยตา

นั่นคือหลักการคิดอย่างมีเหตุผลรองรับในทุกขั้นตอน

 

ถ้าหากจะเข้าถึงเหตุผลได้จิตต้องว่างจากกิเลสก่อน

เพื่อทำให้ตัวเองสัมผัสรู้ดูเห็นทุกสิ่งได้อย่างตรงจริง

อันเป็นการมองโลกด้วยแว่นใสๆไม่ใช่แว่นสี

 

ถ้าพวกคุณไม่เรียนรู้และฝึกฝนวิธีคิดตามที่เรากล่าวนั้น

สมองซีกซ้ายมันก็จะทำงานในการคิดให้คุณได้เช่นกัน

เรียกว่าเป็น #การคิดแบบจิตมนุษย์ ในระบบอัตโนมัติ

โดยการคิดของคุณนั้นมันจะสะเปะสะปะไปตามที่จิตนึก

ซึ่งเราบอกความจริงให้รู้กันมาแล้วว่าจิตมนุษย์มี 3 นึก

คือ นึกออก นึกเอา และนึกเองวกวนกันอยู่ตลอดเวลา

ทั้งสามนึกที่เกิดขึ้นนั้นมันยังมีทั้งนึกบวกกับนึกลบด้วย

 

นึกบวกก็คือนึกดีหรือ “ดำริชอบ”

นึกลบก็คือนึกไม่ดีหรือ “ดำริชั่ว”

โดยทั้งนึกดีและนึกไม่ดีจะถูกอารมณ์รู้สึกและทัศนคติ

ที่เป็นคุณสมบัติของจิตในปัจจุบันขณะเป็นตัวกำหนด

อันหมายถึงการนึกไปตามกิเลสที่เป็นมารภายในนั่นเอง

ซึ่งคุณจะถามหา #เหตุผล ของการนึกไม่ได้เลยว่า

ทำไมคุณจึงนึกบวกหรือทำไมคุณจึงนึกลบอย่างนั้น

 

พระบิดาจึงทรงสื่อสอนพวกคุณเอาไว้ว่า

นอกจากต้องมองโลกด้วยเลนส์ใสคือว่างจากกิเลสแล้ว

คุณต้องเลือกนำเอาสิ่งที่นึกอยู่ในจิตขึ้นมาคิดทีละเรื่อง

เพื่อให้ตรงกับคุณสมบัติของจิตที่เป็นธรรมชาติของคุณ

ซึ่งมันจะสั่นสะเทือนเพื่อการนึกและคิดได้ทีละเรื่องด้วย

โดยต้องสำรวมระวังอย่าให้จิตเกิดกิเลสมารมาเข้าแทรก

ขณะที่คุณกำลังสร้างกระบวนการนึกเพื่อคิดเอาไว้ให้ได้

 

นอกจากนั้น

คุณยังต้องมองโลกหรือมองคนอื่นๆอย่าง #มีเหตุผล

ขณะที่คุณกำลังนึกเพื่อคิดในสิ่งนั้นเรื่องนั้นอยู่เช่นกัน

ถ้าจิตคุณในปัจจุบันขณะสามารถเอาชนะกิเลสมารได้

การเข้าถึงเหตุผลของการนึกและคิดก็จะไม่ยากเลย

 

คุณลองสังเกตตนเองดูก็ได้ว่าตอนที่จิตสงบเย็นเป็นปกติ

กับขณะที่คุณกำลังเสียสมดุลทางอารมณ์หรือว้าวุ่นอยู่

ไม่ว่ากำลังงมงายลุ่มหลงเพราะจิตถูก “เย้ายวน” จนเขว

หรือกำลังโกรธกริ้วเพราะจิตถูก “ยั่วยุ” ให้พลุ่งพล่าน

จะพบว่าความสามารถในการใช้เหตุผลจะตกต่ำลงเสมอ

 

ดังนั้น

การที่คุณสามารถสร้างกระบวนการคิดด้วยสติปัญญา

โดยคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือคิดทีละเรื่องได้ต่อเนื่อง

เพราะไม่ยอมให้จิตนึกคิดเรื่องอื่นเข้ามาแทรกซ้อน

ไม่ยอมให้จิตเกิดอารมณ์รู้สึกใดๆเข้ามาสอดแทรก

จนสามารถนึกคิดเรื่องนั้นได้ยาวนานจนกว่าจะคิดได้

หรือคิดเรื่องนั้นไปเรื่อยๆจนกว่าจะได้คำตอบที่ใช่

แล้วค่อยหยิบเอาเรื่องอื่นมาคิดพิจารณากันต่อไป

 

ปฏิบัติการนี้แหละจึงเรียกว่า #นั่งสมาธิ ถ้านั่งคิด

ปฏิบัติการนี้แหละจึงเรียกว่า #นอนสมาธิ ถ้านอนคิด

ปฏิบัติการนี้แหละจึงเรียกว่า #เดินสมาธิ ถ้าเดินคิด

ปฏิบัติการนี้แหละจึงเรียกว่า #ยืนสมาธิ ถ้ายืนคิด

 

ทั้งหมดที่เรานำมากล่าวสรุปไว้ให้

เป็นวิธีคิดและหลักคิดด้วย #สติปัญญาของสมองซีกซ้าย

ด้วยวิธี #กดปุ่ม ใช้งานมันให้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

แทนที่จะใช้วิธีนึกคิดแบบ #อัตโนมัติ ด้วยอำนาจกิเลส

ตามที่พวกคุณคุ้นชินกับมันมาตั้งแต่อายุครบสามขวบนั้น

จนยังผลให้เซลล์สมองซีกซ้ายทำงานได้ไม่เต็มร้อย

 

ถ้าพวกคุณฝึกฝนตนเองตามบทเรียนของพระองค์

โดยสามารถจะกดปุ่มใช้สมองซีกซ้ายได้ชำนาญแล้ว

คุณก็จะประสบความสำเร็จในชีวิตทั้งมั่งคั่งและมั่นคงได้

โดยไม่ต้องง้อโชควาสนาด้วยการรอคอยเก็บกินบุญเก่า

ไม่ต้องพึ่งพาวิชา “มู” ให้ตกเป็นกรรมกรแสงของมาร

ที่พระเยซูทรงเรียกเจ้าของวิชามารนี้ว่า “ผีโสโครก”

ซึ่งคุณจะพึ่งหนึ่งสมองกับสองมือและลำขาของตนได้

 

เนื่องจากคุณมองโลกเป็น นึกเป็น คิดเป็นและทำเป็น

โดยคนที่มีคุณสมบัติครบถ้วนทั้งสามอย่างนี้เท่านั้น

จึงจะถูกเรียกว่าผู้เป็น #อัจฉริยะบุคคล ได้อย่างเต็มคำ

จึงจะเป็นผู้ที่มีความสง่างามในมิติโลกด้านกายภาพ

เพราะมีปัญญาเป็นอาวุธเพื่อจัดการความทุกข์ทั้งปวงได้

โดยจะเป็นผู้ที่ไม่ต้องลอกเลียนความคิดรู้ของผู้ใดเลย

 

เมื่อเราสอนคุณให้เป็นอัจฉริยะได้แล้ว

ในบทต่อไปเราจะสอนพวกคุณ

ให้เรียนรู้วิธีคิดด้วยสมองซีกขวาบ้าง

เพื่อการเป็น #อริยะบุคคล บนเส้นทางนิพพานแท้

มิใช่นิพพานเทียมเท็จแบบตาลยอดด้วนกันต่อไป

 

เชิญติดตามให้ใกล้ชิดไว้...จงอย่าได้ละลืม

 

กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดาที่ทรงเมตตา

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์


26/12/2566