ให้สอดคล้องต้องกันกับธรรมชาติ
การหนีสงครามเข้าป่าเข้าถ้ำ
กับการแกล้งทำเป็นอายตนะมืดบอด
จึงมิใช่การปฏิบัติธรรม
#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
พี่ๆน้อง
ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ถ้าคุณฉลาดมองโลก
โดยสามารถมองเห็นโลกตามความเป็นจริงได้
การเรียนรู้ของคุณก็จะถูกต้องตรงจริงได้เสมอ
คำว่า
“ฉลาดมองโลก” นี่แหละ
จะถูกกำกับด้วยการ
#ฉลาดใช้อายตนะ สัมผัสสิ่งเร้า
การฉลาดใช้อายตนะสำหรับมนุษย์ก็คือ
#ช่างสังเกต
ช่างสังเกตหมายถึง
“หูไว ตาไว” ต่อสิ่งที่ได้รู้ได้เห็น
ถ้าคุณเป็นคนรอบครอบมากขึ้นจิตก็จะยิ่งละเอียดมาก
คุณจะเป็นคนหูไวต่อสิ่งที่ได้ยินตาไวต่อสิ่งที่เป็นพิรุธ
เมื่อมีสิ่งเร้าผ่านหูผ่านตาให้รับรู้ได้อย่างมากมายแล้ว
มันก็จะง่ายขึ้นสำหรับคุณในการ
#เลือกเรื่องมาเรียนรู้
คำว่า
“เลือกเรื่องมาเรียนรู้” หมายถึง
ฉลาดที่จะหยิบเอาบางเรื่องมา
“นึก” ตั้งคำถามตนเอง
เพื่อทำการคิดวิเคราะห์ให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
โดยนึกคิดอย่างมีวัตถุประสงค์คือเพื่อการเรียนรู้เท่านั้น
โดยมีเป้าหมายของการเรียนรู้ก็คือจะต้องได้
“คำตอบ”
ที่ถูกต้องตรงจริงชัดเจนสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้
ซึ่งผลการคิดที่ได้นี้ได้จากการ
“ฉลาดเรียนรู้” นั่นเอง
ดังนั้น
การเป็นคนฉลาดมองโลก
จึงต้องฉลาดใช้อายตนะภายนอกทั้งห้า
วันๆจะเอาแต่นั่งหลับตาปิดวาจาปิดหูไม่รู้ไม่เห็นอะไร
ไม่คบหาไม่สมาคมกับใครทั้งๆที่เป็นสัตว์สังคมไม่ได้
เพราะมันคือการ
“ขังตนเอง” ไว้ในป่าในถ้ำตามลำพัง
ที่พวกคุณเรียกว่า
#ขังเดี่ยว อยู่คนเดียว
ไม่มีใครหรือสิ่งใดจะเป็นครูผู้ยื่นบททดสอบให้คุณได้
ไม่มีใครหรือสิ่งใดจะเป็นครูผู้ยื่นบทเรียนชีวิตให้คุณได้
จึงต้องเป็นครูสอนตนเองในโลกมืดและวังเวงเท่านั้น
ไม่ต่างจากการนั่งนับนิ้วมือกับนับนิ้วเท้าของตนเอง
ซึ่งนับไปนับมารวมแล้วก็นับได้แค่ไม่เกินยี่สิบนิ้ว
เพราะว่ามันมีนิ้วให้คุณฝึกนั่งนับได้อยู่เพียงแค่นั้น
ครั้นจะฝึกนับนิ้วให้ได้มากกว่านั้นก็ไม่มีเพื่อนให้ยืมนับ
เนื่องจากคุณเลือกที่จะหนีสังคมหรือปลีกวิเวกไปแล้ว
ความไม่ฉลาดเรียนรู้จึงทำให้คุณขาดพร่องในความรู้
คือ
“รู้น้อยกว่าที่คุณต้องรู้” เพราะคุณขาดเพื่อนเรียน
ที่พวกเขาทั้งโลกสามารถเป็นสารพัดครูให้คุณได้
แต่เป็นครูคนแรกและคนสุดท้ายของคุณไม่ได้เท่านั้น
ถ้าคุณฉลาดคิดวิเคราะห์เมื่อสัมผัสรู้ดูเห็นความจริง
ที่เป็น
“โลกียะธรรม” ด้วยสติปัญญาสมองซีกซ้ายแล้ว
ต่อไปก็เป็นหน้าที่ของสมองซีกขวาคือ
#ปัญญาญาณ
จะต้องนำเอาโลกียะธรรมที่ได้มานั้นใช้เป็นวัตถุดิบ
เพื่อนำมา
#สังเคราะห์ ด้วยปัญญาญาณที่เป็นคลื่นแสง
ให้เหมือนกับการที่พืชนำวัตถุดิบจากรากมาสังเคราะห์
ที่ใบซึ่งมีสีเขียวๆด้วยพลังงานแสงอาทิตย์นั่นแหละ
หลักการสังเคราะห์วัตถุดิบหรือปรุงอาหารด้วยการคิด
เพื่อนำไปใช้บริโภคในการดำเนินชีวิตด้วยสมองซีกขวา
มีดังต่อไปนี้
คือ
1.ให้มีแต่วัตถุประสงค์ในการคิดนั่นคือ
คิดเพื่อที่จะนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตของตน
มิใช่คิดเพื่อวัตถุประสงค์อย่างอื่น
2.ไม่กำหนดเป้าหมายในการคิดล่วงหน้าว่า
ตนจะต้องได้คำตอบมาเป็นจำนวนมากสักเท่าไหร่
3.ไม่ตีกรอบการคิดเอาไว้ว่า
ตนจะต้องคิดให้ได้คำตอบภายในเวลาเท่านั้นเท่านี้
ด้วยการกำหนดกรอบเวลาในการคิดเอาไว้ล่วงหน้า
4.ไม่คิดด้วยการยึดติดในหลักการและเหตุผล
เหมือนกับการคิดด้วยสติปัญญาของสมองซีกซ้าย
แต่ต้องคิดแบบดอกไม้บานหรือคิดให้ได้จนสุดขอบฟ้า
โดยไม่ตีกรอบการคิดนั้นๆของตนเองเอาไว้
ตัวอย่างเช่น
เคยคิดอย่างมีหลักการก็เปลี่ยนเป็นไม่ยึดหลักการบ้าง
เคยคิดโดยยึดเหตุผลหรือทฤษฎีก็ลองไม่ยึดติดดูบ้าง
การคิดแบบนี้สมองซีกขวาของคุณนั้นถนัดนักแล
5.ให้คุณคิดสังเคราะห์วัตถุดิบที่ได้มานั้น
ด้วยวิธีคิดให้เป็นภาพเอาไว้ตามที่สมองซีกขวาถนัด
เพราะการคิดให้เป็นภาพตัวชี้วัดก็คือ
“ความเข้าใจ”
ซึ่งจะช่วยให้คุณเห็นความจริงของสิ่งนั้นได้ชัดยิ่งขึ้น
ผลลัพธ์จากการคิดสังเคราะห์ของคุณที่จะได้รับนั้น
มันคือสิ่งที่เรียกว่า
#การคิดสร้างสรรค์ นั่นเอง
ถ้าสิ่งที่คุณคิดสร้างสรรค์ได้นั้น
คุณทำให้มันเป็น
“รูปธรรม” จนนำมาใช้ประโยชน์ได้จริง
สิ่งสร้างสรรค์ก่อนใครเพื่อนที่เป็นผลงานของคุณชิ้นนั้น
มันจะถูกเรียกว่า
#นวัตกรรม คำโก้หรูกับเขาได้แน่นอน
ต่อไปนี้คุณคงกระหายใคร่จะรู้กันแล้วสิว่า
จะใช้สมองซีกขวาสังเคราะห์สัจธรรมด้วยปัญญาญาณ
เพื่อการเป็นนักคิดสร้างสรรค์เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่
เพื่อเป็นคนชอบธรรมในระดับ
#อริยะบุคคล ได้อย่างไร
คงต้องติดตามเรียนรู้ในตอนต่อไป
กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดาที่ทรงเมตตา
เอเมน
สาธุ
29/12/2566
#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
คุณจะต้องคิดรู้ด้วยใช้สมองซีกขวานำซ้ายก็ต่อเมื่อ
1.ต้องการทำความเข้าใจในการอ่านตำราหรือคัมภีร์
โดยอ่านไปและคิดตามไปด้วยว่ามันคืออะไรอย่างไร
ซึ่งต้องเริ่มต้นกระบวนการคิดด้วยสมองซีกซ้ายก่อน
เมื่อรู้ว่าอะไรเป็นอะไรอย่างไรแล้วจึงคิดให้เป็นภาพ
ดังนั้น
ขั้นตอนแรกคือการคิดพิจารณาด้วยวิธีวิเคราะห์
โดยใช้พลังอำนาจของสติปัญญาจากสมองซีกซ้าย
เมื่อวิเคราะห์สำเร็จแล้วจึงนำเอา
“วัตถุดิบ” ที่ได้นั้น
มาดำเนินการคิดต่อด้วยวิธีคิดเห็นให้เป็นภาพ
ซึ่งการคิดให้เป็นภาพก็คือการใช้ #จินตนาการ นั่นเอง
พระพุทธเจ้าเรียกวิธีจินตนาการนี้ว่า
#จินตมยปัญญา
2.ในการฟังธรรมคำสอนของท่านผู้รู้เพื่อทำความเข้าใจ
ซึ่งขณะฟังอยู่นั้นก็ให้คิดตามไปด้วยโดยคิดให้เป็นภาพ
ตัวชี้วัดความเข้าใจของคุณก็คือภาพที่คุณคิดเห็นนั้นว่า
มันสอดคล้องตรงจริงกับที่ครูเขาต้องการสอนคุณหรือไม่
ถ้าสอดคล้องต้องกันหรือตรงกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยนแล้ว
แสดงว่าคุณเข้าใจถูกต้องแล้ว
ถ้าภาพมายาในจินตนาการของคุณนั้นไม่ชัดเจน
แสดงว่าคุณยังมีความเข้าใจในเรื่องนั้นคลุมเครืออยู่
คุณยังต้องการคำอธิบายขยายความจากครูเพิ่มเติม
ถ้าภาพมายาในจินตนาการของคุณนั้นมันขาดๆเกินๆอยู่
แสดงว่าการรับฟังของคุณมีข้อมูลบางอย่างไม่ครบถ้วน
จะต้องได้รับการเติมเต็มด้วยการฟังซ้ำอีกครั้งเสมอ
วิธีที่คุณจะรู้ว่าการรับฟังข้อมูลของคุณนั้นเป็นเช่นไร
คุณอาจใช้วิธีขอให้ครูช่วยเมตตากล่าวซ้ำให้ฟังอีกครั้ง
โดยคุณต้องรับฟังครูอย่างตั้งใจและมีสมาธิไม่วอกแวก
ไม่เข้าใจตรงไหนก็ให้ถามครูเพื่อสร้างความชัดเจนทันที
อย่าอายที่จะถามครูนะเพราะครูไม่คิดว่าศิษย์โง่แน่นอน
ครูมีแต่จะภูมิใจในตัวศิษย์ที่สนใจในคำสอนเสียมากกว่า
ดังนั้น
ขณะเรียนรู้ด้วยการอ่านตำราและการฟังครูผู้สอน
พวกคุณจะต้องใช้สมองสองซีกของตนด้วยกันทั้งสิ้น
การฉลาดฟังฉลาดนึกฉลาดคิดตามและฉลาดที่จะเข้าใจ
จึงเป็นคุณสมบัติอันโดดเด่นของผู้เป็นอัจฉริยะบุคคล
3.การมองหาสัจธรรมจาก
“สิ่งแวดล้อม”
ด้วยการเป็นครูคนแรกและคนสุดท้ายของตัวเอง
คำว่า #สิ่งแวดล้อม ในที่นี้เราหมายถึง
#สิ่งแวดล้อมในธรรมชาติของพระบิดาหรือสภาวะธรรม
#สิ่งแวดล้อมที่พบเห็นได้จากพฤตินิสัยของคนรอบข้าง
#สิ่งแวดล้อมที่เป็นเรื่องราวเหตุการณ์สถานการณ์ต่างๆ
ขั้นแรกคุณต้องเป็นคนช่างสังเกตคือฉลาดมองฉลาดฟัง
โดยสามารถแลเห็นจุดเด่นและจุดด้อยในสิ่งแวดล้อมได้
การมองหาจุดด้อยที่ว่านี้มิใช่มองเพื่อการจับผิดคิดลบ
แต่เป็นการมองเพื่อศึกษาเรียนรู้โดยมีเขาเป็นครูเท่านั้น
การฉลาดฟังและฉลาดถามคนที่รู้มากกว่าคุณก็ต้องเป็น
มิเช่นนั้นแล้วคุณจะหาสาระอะไรในชีวิตกับเขาไม่ได้เลย
ถ้าได้แต่มองผ่านตาและฟังผ่านหูแต่การเรียนรู้ไม่เกิดขึ้น
เมื่อไม่มีการเรียนรู้ใดๆเกิดขึ้นเท่ากับสมองคุณก็ไม่ได้ใช้
คุณคงจำได้ว่า
เราเคยกล่าวความจริงให้คุณรู้กันมาบ้างแล้วว่า
สมองมนุษย์นั้นพระบิดามิได้ติดตั้งให้คุณไว้แค่คั่นหู
แต่ทรงติดตั้งไว้ให้คุณใช้มันในการดำเนินชีวิต
เพื่อประโยชน์ในการคิดตัดสินใจและเพื่อการเรียนรู้ทุกสิ่ง
โดยเฉพาะการเรียนรู้ที่จะรักคนที่ทำตัวไม่น่ารักให้ได้
การเรียนรู้ที่จะแก้ไขปัญหาชีวิตและงานที่ทำให้ทุกข์ใจ
ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเล็กๆน้อยๆไปจนถึงปัญหาใหญ่ๆ
เพราะประดาสิ่งมีชีวิตที่ดำรงอยู่ในระบบโลกนี้นั้น
ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้
สัตว์ประจำโลกและมนุษย์โลก
มีเพียงแค่มนุษย์โลกเท่านั้นที่สมองใช้ในการคิดรู้ได้ดี
ส่วนสัตว์ประจำโลกนั้นเขาใช้กันได้แต่สัญชาตญาณ
เหมือนกันกับที่มนุษย์โลกทุกคนต่างล้วนมีให้ใช้ได้
แต่ความฉลาดทางปัญญาของสมองสองซีกเขาไม่มี
เพราะสัตว์ทั้งหลายใช้จิตวิญญาณกับสมองก้อนเดียว
ทำการขับเคลื่อนพฤติกรรมเพื่อการดำเนินชีวิตบนโลก
พวกเขาล้วนไม่มีจิตหยาบทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณ
ในการขับเคลื่อนพฤติกรรมเพื่อดำเนินชีวิตแต่อย่างใด
เพราะสัตว์ประจำโลกใช้แต่ #สัญชาติญาณ
พวกเขาจึงมีลักษณะโดดเด่นกว่ามนุษย์ดังต่อไปนี้
1.สัตว์ประจำโลกไม่มีมารยาสาไถย
2.สัตว์ประจำโลกไม่มีใครโกหกตอแหล
3.สัตว์ประจำโลกวางแผนการล่วงหน้าไม่เป็น
4.สัตว์ประจำโลกไม่มีการขี้หลงขี้ลืม
5.สัตว์ประจำโลกรักพวกรักพ้องของตน
6.สัตว์ประจำโลกไม่มีใครจู้จี้ขี้บ่นจนน่ารำคาญ
7.สัตว์ประจำโลกพร้อมก้าวตามจ่าฝูงหรือผู้นำเสมอ
8.สัตว์ประจำโลกไม่มีจ่าฝูงที่คอรัปชั่นฉ้อฉลคดโกง
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดาที่ทรงเมตตา
เอเมน สาธุ
28/12/2566
#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
สำหรับมนุษย์โลกซึ่งโลกเป็นดาวแห่งทางเลือกเสรีนี้
มีหน้าที่จะต้องคนสองมิติให้เข้ากันเป็นหนึ่งเดียวให้ได้
ด้วยวิธีการ #หมุนธรรมจักรในตนเอง ให้เป็นผลสำเร็จ
โดยใช้ความรักเพื่อให้ที่เป็นความรักอันบริสุทธิ์สะอาด
ทำการสั่นสะเทือนจิตหยาบเป็นกระบวนการ
5 ขั้นตอน
ที่พระศาสดาทรงเรียกว่า “ขันธ์ 5” อันประกอบด้วย
รูป เวทนา สัญญา สังขาร
และวิญญาณขันธ์ตามลำดับ
โดยจิตหยาบหรือจิตปัจจุบันของคุณจะต้องสั่นสะเทือน
เพื่อการทำงานร่วมกันกับกลไกอายตนะภายนอกทั้งห้า
ทันทีที่จิตมีการ #รับรู้ ข้อมูลการสัมผัสสิ่งเร้าภายนอก
ที่เป็นรูปรสกลิ่นเสียงเย็นร้อนอ่อนแข็งเพื่อ
#การเรียนรู้
ให้รู้ว่าที่ตนสัมผัสรู้ดูเห็นอยู่นั้นมันคืออะไรอย่างไรทำไม
เพื่อทำความไม่รู้แต่เดิมนั้นให้ได้รู้กระจ่างสว่างกมล
แน่นอนว่า
ถ้าต้องการเรียนรู้โลกหรือทุกสิ่งในมิติทางกายภาพนั้น
ความสามารถในการเป็นคนช่างสังเกตด้วยอายตนะทั้ง
5
กับความสามารถในการใช้ #จิตตปัญญา ทั้งสองเรื่องนี้
พวกคุณจักต้องฝึกทักษะในการใช้งานกันให้ชำนาญด้วย
ตัวอย่างเช่น
ต้องฝึกตาให้ไวต่อสิ่งที่เป็นพิรุธ
ต้องฝึกหูให้ไวต่อสิ่งที่ได้ยิน
ต้องฝึกทักษะในการควบคุมจิตให้เข้าถึงความว่าง
ต้องฝึกทักษะในการกำหนดนึกเพื่อให้สมองคิด
ต้องฝึกทักษะในการรับรู้เพื่อการคิดรู้
ต้องฝึกทักษะในการคิดรู้อย่างมีหลักการและเหตุผล
ถ้าคุณสามารถเข้าถึงคุณสมบัติทั้ง
6 ที่ว่านี้ได้
จึงจะถูกเรียกว่าเป็น #อัจฉริยะบุคคล ได้อย่างเต็มคำ
เพราะคุณจะเป็นพหูสูตเป็นปราชญ์เมธีหรือบัณฑิต
ซึ่งมากด้วยภูมิรู้และภูมิปัญญาอย่างเต็มล้นกับเขาได้
โดยจะไม่รู้สึกว่าตนเสียชาติเกิดแต่อย่างใดทั้งสิ้น
ยิ่งถ้าคุณเป็น “อัจฉริยะบุคคล”
ได้แล้ว
ยังสามารถนำเอาภูมิรู้กับภูมิปัญญาของตนที่มีอยู่
ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันเพื่องานและเพื่อสังคมได้
คุณก็จะมี #ภูมิทำ เป็นคุณสมบัติที่เพิ่มขึ้นมาได้ด้วย
มันยิ่งจะทำให้คุณเป็นผู้มีพลังอำนาจในมิติโลกสูงสุด
คือมีภูมิรู้ภูมิปัญญาและภูมิทำที่จะทำให้มั่งคั่งมั่นคง
ตราบชั่วชีวิตนี้กันเลยทีเดียว
ภารกิจของจิตหยาบหรือจิตปัจจุบันของคุณ
ซึ่งรับบทบาทหน้าที่เป็นคนสองมิติแทนจิตวิญญาณ
มิได้มีแค่การพัฒนาจิตตปัญญาให้เป็นอัจฉริยะเท่านั้น
พวกคุณยังต้องยกระดับสู่การเป็น #อริยะบุคคล ด้วย
โดยคุณสมบัติของอริยะบุคคลนั้นจะต้องประกอบด้วย
ทั้ง 4 ภูมิดังต่อไปนี้ คือ
1.มีภูมิรู้ที่ได้จาก
การเป็นคนชอบเรียนรู้
2.มีภูมิปัญญาที่ได้จาก
การเป็นคนชอบคิดช่างคิด
3.มีภูมิทำที่ได้จาก
การเป็นคนชอบปฏิบัติชอบทำ
4.มีภูมิธรรมที่ได้จาก
การเป็นคนชอบปฏิบัติธรรม
ถ้าคุณต้องการสร้างคุณสมบัติของคนชอบธรรม
คุณก็จะต้องเพิ่ม “ภูมิธรรม”
ในตนเองให้ได้ด้วย
โดยการเพิ่มภูมิธรรมนี้จะทำได้ด้วย
3 วิธีคือ
1.#ด้วยการอ่านพระคัมภีร์หรือพระไตรปิฎก
ที่มีผู้หยิบยกเอาพระวจนธรรมคำสอนของศาสดา
มาจดจารบันทึกไว้เป็นหลักธรรมคำสอนสืบเนื่องมา
ซึ่งผู้อ่านจักต้องรอบครอบระมัดระวังในการอ่านด้วย
เพราะพระศาสดามิได้ทรงบันทึกคำสอนนั้นด้วยตนเอง
จึงมีความผิดพลาดคลาดเคลื่อนหรือบิดเบือนแฝงอยู่
คุณจึงต้องอ่านแล้วคิดตามให้เข้าใจควบคู่กันไปด้วย
จงอย่าเชื่อตามทันทีที่ได้อ่านเพราะว่าคุณรู้สึกชอบ
จงอย่าปฏิเสธทันทีที่ได้อ่านเพราะคุณรู้สึกว่าไม่ชอบ
โดยที่คุณยังไม่เข้าใจในคำสอนนั้นๆเลยว่าคืออะไร
โดยที่คุณยังไม่เข้าใจในคำสอนนั้นๆเลยว่าคืออย่างไร
ซึ่งเป็นลักษณะของคนโง่ง่ายจนงมงายทั้งสิ้น
จงอย่าเชื่อในทันทีที่คุณได้อ่าน
เพราะเห็นว่าคนส่วนใหญ่เขาเชื่อกันมาแต่โบราณแล้ว
ตนจึงตัดสินใจแห่ตามหรือเชื่อตามคนโบราณไป
โดยมิได้ใช้สติปัญญาพิจารณาก่อนตัดสินใจเชื่อตาม
จงอย่าปฏิเสธในทันทีที่คุณได้อ่าน
เพราะเห็นว่ามีหลายคนที่ไม่เชื่อเรื่องนั้นมานานแล้ว
ตนจึงตัดสินใจแห่ตามหรือไม่เชื่อตามคนพวกนั้นไป
โดยมิได้ใช้สติปัญญาก่อนตัดสินใจว่าไม่เชื่อตาม
คนประเภทดังกล่าวนี้เป็นคนที่เรียกว่า
#เห็นช้างขี้แล้วขี้ตามช้าง นั่นเอง
2.#ด้วยการฟังเทศน์ฟังธรรมจากท่านผู้รู้จริง
เนื่องจาก “ผู้รู้จริง”
ในสัจธรรมทั้งหลายนั้นหายากมาก
เพราะต้องเป็นทั้งนักบวชนักเรียนและนักปฏิบัติแท้จริง
ซึ่งพวกคุณไม่อาจพิจารณาจากมายาภายนอกที่เห็นได้
นอกจากฉลาดฟังฉลาดรับรู้และฉลาดเรียนรู้กันเท่านั้น
เนื่องจาก “มายาภายนอก”
สามารถหลอกลวงกันได้
แต่สาระธรรมที่เขาบอกไม่สามารถจะหลอกคนฉลาดได้
ถ้าคุณใช้ปัญญาของสมองสองซีกซ้ายและขวาเป็น
3.#ด้วยวิธีฝึกทักษะการใช้สมองซีกขวาของตนเอง
โดยนำเอาสาระธรรมที่คุณฟังอยู่อ่านอยู่และเห็นอยู่
มา #สังเคราะห์ ด้วย #ปัญญาญาณของสมองซีกขวา
เพื่อทำความเข้าใจความจริงของสิ่งนั้นก่อนนำไปปฏิบัติ
ให้เห็นจริงและเห็นแจ้งในชีวิตจริงของตนต่อไป
ทั้งสามประการนี้คือการเพิ่มภูมิธรรมให้ตนเอง
บนเส้นทางแห่งการเป็น #อริยะบุคคล โดยแท้
โปรดติดตามตอนต่อไป
กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดาที่ทรงเมตตา
เอเมน สาธุ
27/12/2566
#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
หลักคิดและวิธีคิดด้วยสติปัญญาของสมองซีกซ้าย
ที่เราสาธยายถึงวิธีการใช้เอาไว้ให้ในบทที่ผ่านมานั้น
เป็นวิธีคิดที่พระพุทธองค์ทรงเรียกว่า
#อิทัปปัจจยตา
นั่นคือหลักการคิดอย่างมีเหตุผลรองรับในทุกขั้นตอน
ถ้าหากจะเข้าถึงเหตุผลได้จิตต้องว่างจากกิเลสก่อน
เพื่อทำให้ตัวเองสัมผัสรู้ดูเห็นทุกสิ่งได้อย่างตรงจริง
อันเป็นการมองโลกด้วยแว่นใสๆไม่ใช่แว่นสี
ถ้าพวกคุณไม่เรียนรู้และฝึกฝนวิธีคิดตามที่เรากล่าวนั้น
สมองซีกซ้ายมันก็จะทำงานในการคิดให้คุณได้เช่นกัน
เรียกว่าเป็น #การคิดแบบจิตมนุษย์ ในระบบอัตโนมัติ
โดยการคิดของคุณนั้นมันจะสะเปะสะปะไปตามที่จิตนึก
ซึ่งเราบอกความจริงให้รู้กันมาแล้วว่าจิตมนุษย์มี
3 นึก
คือ นึกออก นึกเอา
และนึกเองวกวนกันอยู่ตลอดเวลา
ทั้งสามนึกที่เกิดขึ้นนั้นมันยังมีทั้งนึกบวกกับนึกลบด้วย
นึกบวกก็คือนึกดีหรือ “ดำริชอบ”
นึกลบก็คือนึกไม่ดีหรือ
“ดำริชั่ว”
โดยทั้งนึกดีและนึกไม่ดีจะถูกอารมณ์รู้สึกและทัศนคติ
ที่เป็นคุณสมบัติของจิตในปัจจุบันขณะเป็นตัวกำหนด
อันหมายถึงการนึกไปตามกิเลสที่เป็นมารภายในนั่นเอง
ซึ่งคุณจะถามหา #เหตุผล ของการนึกไม่ได้เลยว่า
ทำไมคุณจึงนึกบวกหรือทำไมคุณจึงนึกลบอย่างนั้น
พระบิดาจึงทรงสื่อสอนพวกคุณเอาไว้ว่า
นอกจากต้องมองโลกด้วยเลนส์ใสคือว่างจากกิเลสแล้ว
คุณต้องเลือกนำเอาสิ่งที่นึกอยู่ในจิตขึ้นมาคิดทีละเรื่อง
เพื่อให้ตรงกับคุณสมบัติของจิตที่เป็นธรรมชาติของคุณ
ซึ่งมันจะสั่นสะเทือนเพื่อการนึกและคิดได้ทีละเรื่องด้วย
โดยต้องสำรวมระวังอย่าให้จิตเกิดกิเลสมารมาเข้าแทรก
ขณะที่คุณกำลังสร้างกระบวนการนึกเพื่อคิดเอาไว้ให้ได้
นอกจากนั้น
คุณยังต้องมองโลกหรือมองคนอื่นๆอย่าง
#มีเหตุผล
ขณะที่คุณกำลังนึกเพื่อคิดในสิ่งนั้นเรื่องนั้นอยู่เช่นกัน
ถ้าจิตคุณในปัจจุบันขณะสามารถเอาชนะกิเลสมารได้
การเข้าถึงเหตุผลของการนึกและคิดก็จะไม่ยากเลย
คุณลองสังเกตตนเองดูก็ได้ว่าตอนที่จิตสงบเย็นเป็นปกติ
กับขณะที่คุณกำลังเสียสมดุลทางอารมณ์หรือว้าวุ่นอยู่
ไม่ว่ากำลังงมงายลุ่มหลงเพราะจิตถูก
“เย้ายวน” จนเขว
หรือกำลังโกรธกริ้วเพราะจิตถูก
“ยั่วยุ” ให้พลุ่งพล่าน
จะพบว่าความสามารถในการใช้เหตุผลจะตกต่ำลงเสมอ
ดังนั้น
การที่คุณสามารถสร้างกระบวนการคิดด้วยสติปัญญา
โดยคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือคิดทีละเรื่องได้ต่อเนื่อง
เพราะไม่ยอมให้จิตนึกคิดเรื่องอื่นเข้ามาแทรกซ้อน
ไม่ยอมให้จิตเกิดอารมณ์รู้สึกใดๆเข้ามาสอดแทรก
จนสามารถนึกคิดเรื่องนั้นได้ยาวนานจนกว่าจะคิดได้
หรือคิดเรื่องนั้นไปเรื่อยๆจนกว่าจะได้คำตอบที่ใช่
แล้วค่อยหยิบเอาเรื่องอื่นมาคิดพิจารณากันต่อไป
ปฏิบัติการนี้แหละจึงเรียกว่า #นั่งสมาธิ ถ้านั่งคิด
ปฏิบัติการนี้แหละจึงเรียกว่า #นอนสมาธิ ถ้านอนคิด
ปฏิบัติการนี้แหละจึงเรียกว่า #เดินสมาธิ ถ้าเดินคิด
ปฏิบัติการนี้แหละจึงเรียกว่า #ยืนสมาธิ ถ้ายืนคิด
ทั้งหมดที่เรานำมากล่าวสรุปไว้ให้
เป็นวิธีคิดและหลักคิดด้วย #สติปัญญาของสมองซีกซ้าย
ด้วยวิธี #กดปุ่ม ใช้งานมันให้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
แทนที่จะใช้วิธีนึกคิดแบบ #อัตโนมัติ ด้วยอำนาจกิเลส
ตามที่พวกคุณคุ้นชินกับมันมาตั้งแต่อายุครบสามขวบนั้น
จนยังผลให้เซลล์สมองซีกซ้ายทำงานได้ไม่เต็มร้อย
ถ้าพวกคุณฝึกฝนตนเองตามบทเรียนของพระองค์
โดยสามารถจะกดปุ่มใช้สมองซีกซ้ายได้ชำนาญแล้ว
คุณก็จะประสบความสำเร็จในชีวิตทั้งมั่งคั่งและมั่นคงได้
โดยไม่ต้องง้อโชควาสนาด้วยการรอคอยเก็บกินบุญเก่า
ไม่ต้องพึ่งพาวิชา “มู”
ให้ตกเป็นกรรมกรแสงของมาร
ที่พระเยซูทรงเรียกเจ้าของวิชามารนี้ว่า
“ผีโสโครก”
ซึ่งคุณจะพึ่งหนึ่งสมองกับสองมือและลำขาของตนได้
เนื่องจากคุณมองโลกเป็น นึกเป็น
คิดเป็นและทำเป็น
โดยคนที่มีคุณสมบัติครบถ้วนทั้งสามอย่างนี้เท่านั้น
จึงจะถูกเรียกว่าผู้เป็น #อัจฉริยะบุคคล ได้อย่างเต็มคำ
จึงจะเป็นผู้ที่มีความสง่างามในมิติโลกด้านกายภาพ
เพราะมีปัญญาเป็นอาวุธเพื่อจัดการความทุกข์ทั้งปวงได้
โดยจะเป็นผู้ที่ไม่ต้องลอกเลียนความคิดรู้ของผู้ใดเลย
เมื่อเราสอนคุณให้เป็นอัจฉริยะได้แล้ว
ในบทต่อไปเราจะสอนพวกคุณ
ให้เรียนรู้วิธีคิดด้วยสมองซีกขวาบ้าง
เพื่อการเป็น #อริยะบุคคล บนเส้นทางนิพพานแท้
มิใช่นิพพานเทียมเท็จแบบตาลยอดด้วนกันต่อไป
เชิญติดตามให้ใกล้ชิดไว้...จงอย่าได้ละลืม
กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดาที่ทรงเมตตา
เอเมน สาธุ
26/12/2566