30 ธันวาคม 2557

หลุดลอย


นักเรียนที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านทั้งหลายได้รู้อีกว่า
.........................................................................
ผู้คนใดที่มีวิถีแห่งการประพฤติตนดังต่อไปนี้
จิตวิญญาณของพวกเขา ก็จะมีจุดสิ้นสุดอยู่ที่ทางตัน.....
ที่หนทางตันเพราะมันไปต่อไม่ได้
หากจะไปต่อได้...
ต้องใช้พลังภายในกันอีกเยอะ
ต้องเปลืองกาลเวลาพัฒนาตนเองกันอีกแยะ
วิถีแห่งการปฏิบัติที่มิอาจหลุดพ้นในทันที
เมื่อจบสิ้นอายุขัยในภพชาตินี้
จักแบ่งได้เป็น 4 จำพวกด้วยกัน คือ

1.ผู้ฝักใฝ่บุญนิยม:
...........................................
เป็นผู้ประกอบกิจบุญเกื้อหนุนไทยทาน
เพียรสร้างฐานบารมีอยู่เนืองนิจ
เพราะคนเหล่านี้ถูกจูงให้เชื่อว่า
การทำบุญสุนทานอยู่เบื้องล่างนั้น
จักเป็นการสร้างสวรรค์วิมานไว้เบื้องบน
เมื่อตัวตายไปในภพชาตินี้
จิตวิญญาณจักได้มีที่สถิตย์อยู่บนภพภูมิสวรรค์
จักได้มีวิมานอันวิจิตรเป็นของตนเอง
พวกเขาเชื่อว่าหากใครหมั่นประกอบกิจดังว่านี้
ผู้ใดที่สั่งสมบารมีเอาไว้มากกว่า
จิตวิญญาณของเขาก็จะ "หลุดลอย"
ขึ้นไปค้างคาอยู่ในมิติที่สูงกว่า
หากใครประกอบกิจดังว่านี้น้อยกว่า
จิตวิญญาณของผู้นั้นก็จะ "หลุดลอย"
ขึ้นไปค้างคาอยู่ในมิติที่ต่ำกว่า
แต่ไม่ว่าจะหลุดลอยไปติดค้างอยู่สูงหรือต่ำ
มันก็เป็นการหลงมิติของจิตวิญญาณอยู่นั่นเอง
เพราะเหตุดั่งว่านี้แหละ
จึงยังผลให้ภพภูมิสวรรค์นั้น มีหลายชั้นจริง!
ในขณะที่จิตวิญญาณมนุษย์บางรายเมื่อตายแล้ว
จะหลุดลอยไปติดค้างอยู่บนนั้นเสียเนิ่นนาน
กว่าจะเกิดการมีสำนึกทางวิญญาณ
ว่าตนนั้นก้าวเดินผิดทางหรือหลงมิติ
ก็กินเวลาทางโลกไปมากโข
น้อยรายจะโชคดีที่จะได้รับโอกาสจากจอมฟ้า
ให้ได้แบ่งภาคลงมาบำเพ็ญธรรมยังโลกมนุษย์อีกครั้ง
เพื่อสร้างสำนึกใหม่ของตนเสียให้ถูกต้อง
ด้วยการดำเนินวิถีที่จะหลุดพ้นให้ถูกทาง
ทั้งยังให้ทำตนเป็นแบบอย่างที่ถูกต้อง
แก่มวลมนุษย์โลกเสรีที่ยังไร้สำนึกอีกด้วย
แต่ปรากฏว่ากลับมีอยู่มากราย
เมื่อได้รับโอกาสให้ก้าวลงมาจากสวรรค์มายาแล้ว
กลับใช้โอกาสพิเศษของตนนั้นไปอย่างสิ้นเปลือง
ทั้งๆมีรูปเป็นทรัพย์ คือ หล่อ-สวย
มีปัญญาเป็นทรัพย์ คือ เฉลียวฉลาดปราดเปรื่อง
มีธรรมเป็นทรัพย์ คือ กล่าวธรรมะได้น่ารับฟัง
มีบารมีเป็นทรัพย์ คือ มีสาวกก้าวตามมาก
ซึ่งจิตวิญญาณได้พกพาทรัพย์เหล่านี้
ติดตัวลงมาด้วย
แต่พวกเขากลับใช้มันไปไม่ถูกทาง
สิ่งที่พวกเขามักกระทำกันเป็นต้นว่า
แข่งขันกันสร้างวิมานวัตถุมายา
ที่ตนจำแบบมาจากสวรรค์เบื้องบน
ซึ่งท่านทั้งหลายเรียกกันสั้นๆว่า
*สร้างวัด = สร้างวัตถุ* นั่นล่ะนะ
แล้วก็ชักพาสาวกมาเข้าวิมานของตน
ยังผลให้แก่นแท้เบื้องบนต้องเสียใจ
เพราะมันผิดวัตถุประสงค์
ขณะภาคส่วนเบื้องล่างก็เสียทีที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์
เพราะพากัน "หลุดไม่พ้น" ดุจเดิม

2.ผู้ฝักใฝ่เทวนิยม:
...........................................
อันเทวะเบื้องบนทั้งหลายนั้น
แม้ท่านเทวะจะสูงส่งกว่ามนุษย์ก็จริงอยู่
แต่ท่านก็ล้วนผ่านการเป็นมนุษย์มาก่อนแล้ว
ท่านเทวะเองก็ปรารถนาการ "หลุดพ้น"
ด้วยวิถีทางที่ถูกต้องอยู่เช่นกัน
การที่มนุษย์แสดงความคารวะ
ต่อเทพเทวะผู้สูงส่งกว่าตนนั้นชอบแล้ว
แต่ท่านจักต้องไม่ลืมเคารพตนเอง นับถือตนเอง
และมีศรัทธาในตนเองด้วย
มิใช่ยอมรับใครแล้วเที่ยวยกเอาอำนาจที่ในตน
ไปถวายให้คนนั้นผู้นั้นสิ่งนั้นจนหมด
เสมือนว่าตนไม่มีคุณค่าพอที่จะเป็นมนุษย์
การเน้นการเซ่นไหว้บูชา
การยึดถือศรัทธาในวัตถุมงคล
การหวังผลในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์
การมุ่งคิดแต่จะให้เทพช่วย
พฤติกรรมเหล่านี้แม้จะแลดูดี
แต่ก็มิใช่วิถีแห่งการหลุดพ้นแต่อย่างใด

3.ผู้มุ่งประพฤติธรรม
แต่มิได้ทำด้วยจิตสำนึกตนเอง:
.........................................................................
คนเหล่านี้เป็นผู้มีจิตใจศรัทธาในองค์ธรรม
เป็นผู้ที่ยอมก้าวตามพระบรมศาสดา
เป็นผู้ยอมรับว่าพระศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
แต่น่าเสียดายที่พวกเขาเหล่านี้
ถูกเสี้ยมสอนให้เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ด้วยวิธีการชี้แนะให้ท่องจำ
และวิธีการชี้นำให้ทำตามผู้รู้อย่างว่าง่าย
ท่านผู้รู้กำหนดให้ต้องทำอะไรอย่างไร
ก็ทำตามว่าตามไปอย่างนั้น
โดยธรรมะที่ประพฤตินั้นแม้มันจะดี
แต่ก็มิได้ออกมาจากจิตสำนึกของตนเลย
เพราะคิดรู้เองไม่เป็นว่า
ที่ผู้รู้เขาห้ามทำ และสอนให้ทำนั้น
เหตุผลที่แท้จริงคืออะไร
ดังนั้น.....
ถ้าหากยังเป็นคนดีด้วยตนเองไม่ได้
ก็ยังไร้สติทางวิญญาณอยู่ดังเดิม
ผู้ที่มีคุณสมบัติบกพร่องดังกล่าวนี้
จึงยังขาดความเหมาะสมที่จะหลุดพ้นอยู่
ด้วยเหตุผลสำคัญคือ
สั่นสะเทือนจิตสำนึกด้วยตนเองไม่เป็น
หรือขาดคุณสมบัติหลัก
แห่งการเป็นมนุษย์โดยแท้

4.ผู้ขาดปณิธานแห่งการหลุดพ้น:
....................................................................................
เราขอกล่าวตามความจริงว่า
ถ้าท่านจะทำสิ่งใดให้สำเร็จแต่ไม่รู้ว่า
เป้าหมายและวัตถุประสงค์ของตนนั้นคืออะไรแน่
ท่านจะสามารถประสบความสำเร็จ
ในสิ่งที่จะกระทำนั้นได้หรือ...
สภาวะแห่งการหลุดพ้น
ทางจิตวิญญาณของท่านทั้งหลายก็เช่นกัน
มันจะต้องกระทำกันในชีวิตประจำวัน
มันจะต้องกระทำผ่านจิตสำนึกของตัวเอง
มันจะต้องกระทำกันอย่างมีเป้าหมายชัดเจน
มันจะต้องกระทำต่อคนใกล้ตัว
มันจะต้องกระทำต่อเพื่อนร่วมงาน
มันจะต้องกระทำต่อเพื่อนร่วมสังคม
มันจะต้องกระทำต่อเพื่อนร่วมชาติ
มันจะต้องกระทำต่อเพื่อนร่วมโลก
มันจะต้องกระทำต่อดาวโลกดวงนี้
เราขอถามท่านทั้งหลายว่า
หากท่านปฏิบัติธรรมด้วยการกระทำทั้ง 9 นี้
โดยไม่มีเป้าหมายเพื่อการหลุดพ้นเลย
แล้วท่านจะค้นพบ "วิธีการปฏิบัติธรรม"
ที่จะนำพาจิตวิญญาณแก่นแท้ของท่าน
ไปให้ถึงด่านนภาลัย
ซึ่งเป็นประตูแห่งการหลุดพ้น
เพียงบานเดียวนั้นได้อย่างไรกัน
ดังนั้น....
ท่านจึงต้องเรียนรู้ด้วยว่า
การปฏิบัติธรรมเพื่อการหลุดพ้นนั้น
ต้องมีปณิธานอย่างไร
หากไม่รู้....แม้ท่านจะทำดีหรือมีดีที่ในธรรม
แก่นแท้ของท่านก็ยังมีวัน "หลุดลอย" อยู่เช่นเดิม
เอเมน....สาธุ.....

ป.วิสุทธิปัญญา
30-12-2014


29 ธันวาคม 2557

หลุดหล่น


เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ถ้าหากท่านไม่ใส่รหัสการมีสวรรค์มายาเอาไว้ที่ใจ

ไม่คิดฝักใฝ่ว่าตายแล้วตนจะได้ไปสวรรค์
โดยมุ่งแต่การทำบุญเบื้องล่าง
เพื่อหมายว่าจะเอาไปสร้างสวรรค์วิมานเบื้องบน
โดยยึดมั่นในปณิธานแห่งการหลุดพ้น
เอาไว้สถานเดียวจุดหมายเดียวเท่านั้นแล้ว
จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่าน
ก็จะได้รับโอกาสให้ "หลุดหล่น" เสมอ

คำว่า "หลุดหล่น" ทางจิตวิญญาณนี้
มิได้แตกต่างจากลูกหมากผลไม้หรอกนะ
ผลไม้ไม่ว่าผลไหนต้นไหนเมื่อสุกงอมได้ที่แล้ว
มันก็ย่อมจะหลุดหล่นลงมาตรงโคนต้นนั้นเสมอ

จิตวิญญาณของพวกท่านก็เช่นกัน
เมื่อได้รับโอกาสให้ได้เกิดเป็นมนุษย์ในภพชาตินี้แล้ว
ถ้าท่านได้ทำหน้าที่ของท่านในการพัฒนาตนเอง
จากผลอ่อนๆจนกระทั่งแก่แลกระทั่งสุกงอม

ด้วยการยึดเกาะอยู่กับกิ่งก้านของต้นแม่
อันหมายถึงดาวเคราะห์โลกดวงนี้ได้อย่างมั่นคง

ด้วยพลังอำนาจในดอกผลของตนเอง
ที่สามารถฟันฝ่าอุปสรรคปัญหาทั้งหลาย คือ
ความร้อน ความหนาว ความแฉะชื้น
และความแห้งแล้ง ในวันเวลาที่ผ่านมา
จนเกิดความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ
เสมือนการเจริญเติบโต
จนถึงขั้นผลไม้นั้นสุกงอมพร้อมขยายพันธุ์ได้

หากเปรียบไปแล้วผลไม้สุกงอมผลนั้น
ก็ไม่ต่างจาก เมล็ดพันธ์ุทางจิตวิญญาณของท่าน
ที่จะได้รับโอกาสให้หล่นลงมายังโลกนี้ใหม่
เพื่อเจริญเติบโตเป็นผลไม้ต้นใหม่
ที่มีคุณค่าต่อโลกนี้ต่อไปนั่นเอง

จงเป็นผลไม้ที่สมบูรณ์
อยู่กับต้นแม่พันธุ์ของตนคือโลกนี้อย่างร่าเริง
เมื่อหมดสิ้นอายุขัย คือ สุกงอมได้ที่แล้ว
ก็หล่นลงมายังโคนต้นเดิมของท่านต่อไป
จงอย่าหลุดลอยไปทางไหน
จงอย่าหลุดลงไปในเหวลึก
จะดีกว่ามั้ย.......

เอเมน.....สาธุ........

ป.วิสุทธิปัญญา
29-12-2014

หลุดลง


เราขอกล่าวความจริง
ต่อนักเรียนทั้งหลายว่า "นรก" มีจริง
พระองค์ทรงกำหนดสร้างนรกขึ้นไว้
สำหรับเป็นสถานบำบัดจิตวิญญาณของมนุษย์
ที่หลงมิติจนไม่สามารถปฏิบัติภารกิจ
ตามพันธะสัญญา 6 ประการได้อย่างเต็มกำลัง
ในภพชาติแห่งการเป็นมนุษย์นั้น
ดังนั้น.....ถ้าท่านใดเหลวใหล
เมื่อจบสิ้นอายุขัยในภพชาตินั้นๆแล้ว
แก่นแท้ของคนๆนั้นก็จะถูกจัดการให้ "หลุดลง"
เพื่อส่งไปบำบัดอาการหลงมิติให้คืนสมดุลดุจเดิม
ก่อนที่จะได้รับโอกาสให้
กลับคืนสู่การเกิดใหม่อีกครั้ง
จะในภพภูมิสัตว์หรือมนุษย์ก็ว่ากันไป
ซึ่งจะเคลื่อนไปตามพลังแห่งผลกรรมที่ตนก่อไว้
คำว่า "เหลวใหล" ในที่นี้หมายถึง

1.ทำตนเป็นอุปสรรค
ในการดำเนินชีวิตของผู้อื่นอยู่เป็นนิจ

2.ตกเป็นทาสของกิเลสตัณหา
เพราะหลงยึดติดในวัตถุมายาอย่างไร้สติ

3.ใช้อายตนะทั้ง 6 เพียงเพื่อสนองตัณหาตนเอง
และใช้ก้าวล่วงบุคคลอื่นอย่างไร้สติอยู่เป็นนิจ
โดยไม่ใช้มันเพื่อ "คนตนเองให้เป็นมนุษย์"
ตามภารกิจที่ขันอาสาพระบิดากันมา

4.เป็นคนงมงาย
โดยใช้สติปัญญาของสมองตนเองไม่ได้
จึงถูกชักจูงให้ประพฤติผิดคิดชั่วต่อผู้อื่นอยู่เนืองๆ
ชอบนับถือภูติผีปีศาจ นิยมในวัตถุอวิชชา
ลดพลังอำนาจในตนเองลงมาต่ำ
ให้ภูติผีเป็นผู้ชี้นำชะตาชีวิต

5.ทำตนเป็นคนไม่มีศาสนา
ปฏิเสธพระธรรมคำสอนของพระศาสดา
ไม่เชื่อว่ากฎแห่งกรรมมีจริง
ไม่เชื่อว่าภพภูมิและภพชาตินั้นมีจริง
ไม่เชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นมีจริง
ไม่เชื่อเรื่องนิพพานว่า คือการหลุดพ้น
ก้าวล่วงพระบิดาแห่งจิตวิญญาณตนเอง
อย่างไร้มหาสติและเป็นบุตรอกตัญญู
ทั้งไม่ใส่ใจที่จะรับฟังพระโอวาท
และยังเป็นผู้ปรมาสตัวแทนแห่งพระองค์
เพราะไร้มหาสติ เป็นต้น
ปกตินั้นกรรมในข้อ 5 นี้ เป็นกรรมหนัก
ต้องหลุดลงไปลึกๆ
จนมิอาจกำหนดวันเวลาย้อนคืนล่วงหน้าได้
แต่ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนยุคนี้
ดวงจิตวิญญาณผู้ผิดบาปซี่งพเนจรร่อนเร่พวกนี้
จักต้อง "แตกสลาย" อย่างทุกข์ทรมานสถานเดียว!
เพื่อจัดองค์กรโลกใหม่ให้สมดุล
เพื่อชำระโลกทั้งระบบในทุกมิติ
ให้สะอาดพิสุทธิ์ดุจเดิม
เอเมน....สาธุ......

ป.วิสุทธิปัญญา
29-12-2014