29 มีนาคม 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล


สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
กรณีที่จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านหรือของใคร
โผล่ออกมาใช้เครื่องยนต์แห่งกรรมแทนจิตหยาบ
เข่นฆ่าทำร้ายเอาชีวิตคนใกล้ตัวอย่างเหี้ยมโหด
จนแลดูผิดวิสัยของคนใจมนุษย์ทั่วๆไป
ในยามที่จิตหยาบขาดสติ เพราะถูกยั่วยุ
เช่น กรณีที่ลูกฆ่าพ่อแม่
พ่อแม่ฆ่าลูกในไส้ของตัวเอง
พี่น้องสายเลือดเดียวกัน
ลุกขึ้นมาทำร้ายหรือฆ่ากันแบบศึกสายเลือด
สามีทำร้ายหรือเข่นฆ่าภรรยา
ภรรยาทำร้ายหรือเข่นฆ่าสามี
ด้วยพฤติกรรมอันเหี้ยมโหดเหมือนมิใช่มนุษย์
จนทำให้หลายๆท่านคิดเข้าใจผิดกันว่า
มิได้เป็นจิตวิญญาณที่ดีเสมอไป
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะบอกความจริงให้ท่านรู้โดยทั่วกันว่า
ในภพชาติแรกที่ได้รับโอกาสมาเกิดเป็นมนุษย์นั้น
ไม่มีรูปธรรมจิตวิญญาณของใครสักคนหรอก
เป็นจิตวิญญาณที่เลวที่ไม่ดีหรือไม่บริสุทธิ์
เพราะจิตวิญญาณแก่นแท้ของพวกท่านนั้น
เป็นผู้มาจากพระบิดาโดยขันอาสาพระองค์มา
เพื่อทำหน้าที่แทนพระองค์ผู้ทรงบริสุทธิ์
ดังนั้น
จิตวิญญาณแก่นแท้ของพวกท่านจึงไม่มีใครชั่วร้าย
คงมีแต่รักคนไม่น่ารักก็ได้และรักอย่างไม่มีเงื่อนไข
มีแต่จะให้อภัยแก่คนที่ทำตัวไม่น่าให้อภัยได้เสมอ
เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ในระบบโลกเสรีนี้
พระบิดาทรงวางแผนให้จิตวิญญาณของท่าน
เพื่อรับมอบอำนาจให้ทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณ
ด้วยการดำเนินชีวิตในบทบาทของ "คนสองมิติ"
โดยจิตวิญญาณจะถูกจำกัดบทบาทอยู่ข้างใน
สิ่งใดที่จิตหยาบแสดงออกหรือกระทำ
สิ่งใดที่เป็นผลกรรมจากการกระทำของจิตหยาบ
ก็เหมือนจิตวิญญาณเป็นผู้กระทำด้วยตนเอง
และจิตวิญญาณผู้มอบอำนาจต้องรับกรรมนั้นเสมอ
ผลกรรมที่จิตหยาบเป็นผู้ก่อ
แล้วจิตวิญญาณแก่นแท้จักได้รับก็คือ
1.คลื่นการสั่นสะเทือนของจิตหยาบ
ในรูปของจิตไร้สามนึกที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน
เพราะถูกครอบงำด้วยกิเลสตัณหานั่นแหละ
มันจะสั่นสะเทือนจนเข้าไปถึงจิตวิญญาณ
2.แต่เนื่องจากจิตวิญญาณแก่นแท้ของท่าน
ยังมีรูปธรรมทางพลังงานของพลียะเดี้ยนส์
ทำหน้าที่เป็น "แม่นม" คอยหุ้มห่มเอาไว้อยู่
เหมือนดั่งไข่ขาวคอยหุ้มห่อไข่แดงไว้นั่นเอง
เมื่อจิตหยาบส่งคลื่นความถี่ของกิเลสตัณหา
ซึ่งเป็นคลื่นความถี่ย่านต่ำๆพวกโลภโกรธหลง
ผ่านเข้าไปหาจิตวิญญาณที่เป็นแก่นแท้
ก็ต้องส่งผ่านด่านของ "แม่นม" ผู้ปกป้องก่อน
ดังนั้น
คลื่นการสั่นสะเทือนของจิตหยาบ
อันเป็นคลื่นบาปหยาบชั่วรายวันของพวกท่าน
ก็จะถูกพลียะเดี้ยนส์ดูดซับรับเอาไว้เองทั้งหมด
หากมองในภาพรวมสำหรับผู้ไม่รู้อนุตรธรรม
ที่เป็นความจริงขั้นสูงสุดดังกล่าวนี้แล้ว
ก็จะเดาส่งเดชว่าจิตวิญญาณนั้น "ป่วย" แล้ว
สาเหตุที่ท่านเข้าใจว่าจิตวิญญาณนั้นป่วย
เพราะว่าจิตวิญญาณนั้นถูกทำให้เสื่อม
แทนที่จะสั่นสะเทือนตามคุณสมบัติเดิมของตน
คือ รักได้ ให้อภัยเป็น ไม่เห็นแก่ตัวเท่านั้น
แต่กลับสั่นสะเทือนเป็นกิเลสตัณหาแทน
เนื่องจากแม่นมหรือพลียะเดี้ยนส์ของมนุษย์
มิอาจต้านทานแรงสั่นสะเทือนด้านชั่วๆเอาไว้ได้
จึงจำต้องรับเอาคุณสมบัติด้านลบนั้นๆไว้ทั้งหมด
3.เพราะพระบิดาทรงทราบล่วงหน้าแล้วว่า
ถ้าจิตหยาบของบุตรมนุษย์คนใดกระทำผิดพลาด
จิตวิญญาณแก่นแท้โดยพลียะเดี้ยนส์ของผู้นั้น
จะเกิดอาการหลงมิติ ไปในบัดนั้น
การหลงมิติของ "พลียะเดี้ยนส์"
ผู้เป็นแม่นมของจิตวิญญาณของท่านผู้นั้น
จะมีอาการสั่นสะเทือนตนเองเป็นกิเลสตัณหา
พวกโลภะ โทษะ โมหะ กับอารมณ์ขยะทั้งปวง
จนมิอาจยกระดับแรงสั่นสะเทือนเป็นด้านบวกได้
พระองค์จึงทรงกำหนดสร้างนรกภูมิ ขึ้นไว้
โดยทรงมอบให้ประดาฑูตสวรรค์ของพระองค์
ลงมาจุติเป็นพระยายมและยมบาล
ให้คอยทำหน้าที่ดั่งแพทย์พยาบาล
เพื่อช่วยเยียวยาจิตวิญญาณที่ป่วยด้วยหลงมิติ
อันเกิดจากจิตหยาบในภพชาตินั้นๆเหลวไหล
จนเป็นที่พึ่งของจิตวิญญาณของตนไม่ได้
แถมทำร้ายจิตวิญญาณของตนอย่างไร้สติอีกด้วย
เมื่อจิตวิญญาณกลับคืนสู่สมดุลดังเดิมแล้ว
จิตวิญญาณรูปธรรมนั้นพร้อมพลียะเดี้ยนส์
จึงจะได้รับโอกาสขึ้นมาจากนรก
หรือออกจากโรงพบาบาลทางจิตวิญญาณอีกครั้ง
เพื่อ "รอรับโอกาส" ให้ได้กลับมาเกิดใหม่
ด้วยหวังว่า "จิตหยาบ" ของตนในภพชาติใหม่
จะไม่ทำตนเหลวไหลไร้สาระอีก
ถ้าภพชาติใหม่จิตหยาบยังเหลวไหลอีก
วงจรของการลงนรกแล้วมาเกิดใหม่ในภพชาติใหม่
มันก็จะเป็นของมันเช่นว่านี้อยู่อย่างนั้น
ไม่ต่างจากคนที่เข้าๆออกๆโรงพยาบาล
เพราะขาดการใส่ใจดูแลสุขภาพของตนเองนั่นแหละ
แม้กลัวหมอกลัวเข็มกลัวมีดผ่าตัดกลัวโรงพยาบาล
แต่ก็ยังทำตัวเหลวไหลอย่างไร้สติอยู่อย่างนั้น
4.พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านได้รู้กันไว้อีกว่า
การตกนรกเข้าโรงพยาบาลในแดนนรก
เพื่อรักษาอาการป่วยเพราะหลงมิตินั้น
มันจะเป็นจริงได้หายป่วยได้รักษาได้
ก็เฉพาะการป่วยในระดับของ "พลียะเดี้ยนส์"
ที่ยังเป็นระดับขั้นไม่โคม่า เท่านั้น
การหลงมิติเข้าขั้นโคม่าของ "จิตวิญญาณ"
คือ การสั่นสะเทือนด้านลบของจิตหยาบที่รุนแรง
จนแม่นมหรือพลียะเดี้ยนส์ต้านทานเอาไว้ไม่ได้
แม้จะพยายามต้านทานไว้จนสุดฤทธิ์แล้วก็ตาม
แรงสั่นสะเทือนด้านลบนั้นจะทะลุผ่านแม่นม
เข้าไปสั่นสะเทือนจนถึงจิตวิญญาณที่อยู่ด้านใน
ภายในเวลาโลกเพียงสามนาทีจากที่เริ่มต้นเท่านั้น
5.จิตวิญญาณที่รับรู้รับเอาแรงสั่นสะเทือนด้านลบ
ที่จิตหยาบสั่นสะเทือนทะลุกำแพงแม่นมเข้าไปได้
เป็นสิ่งที่น่ากลัวมากที่สุดเพราะจะทำให้ป่วยหนัก
ที่สำคัญคือยมบาลในนรกก็รักษาเยียวยาให้ไม่ได้
แรงสั่นสะเทือนด้านลบทะลุมิติที่ว่านี้
เกิดจากจิตหยาบสั่นสะเทือนด้วยจิตไร้สามนึก
เป็นความโกรธแค้น ผูกใจเจ็บ อาฆาต พยาบาท
ที่พวกท่านทำผิดคิดร้ายต่อกันอย่างรุนแรง
จนทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเสียสมดุลรุนแรงนั่นแหละ
วิธีแก้ไขกรรมนี้มีเพียงวิธีเดียวแต่ยากสุดๆคือ
เมื่อจิตวิญญาณนั้นพี่พลียะเดี้ยนส์หายป่วยแล้ว
แม้จิตวิญญาณจะยังเสียสมดุลหนักอยู่
ท่านพระยายมก็จะอนุญาตให้ออกจากนรก
ให้กลับมาดูแลรักษาตัวเองที่บ้านหรือโลกต่อไป
ถ้าจิตหยาบในภพชาติใหม่
ช่วยเหลือจิตวิญญาณของตน
บำบัดรักษาตนเองเป็นก็จะหายป่วยได้
แต่ถ้ากลับมาเกิดใหม่แล้วยังเหลวไหลไม่ใฝ่รักษา
ปัญหาใหญ่ก็จะตามมาได้อีกเรื่องหนึ่งคือ
ถ้าไม่ถูกเจ้ากรรมคู่อริจากอดีตชาติตามมาฆ่าตาย
ก็จะเป็นฝ่ายฆ่าผู้ที่ตนอาฆาตมาดร้ายตายเสียเอง
6.การรักษาตนเองเป็นหมายถึง
จิตหยาบจักต้องช่วยจิตวิญญาณของตนดังนี้
ต้องมีมหาสติไว้ตลอดเวลา
เพื่อมิให้สร้างเงื่อนไขด้านลบแก่คนรอบข้าง
จนพวกเขาขาดสติอย่างรุนแรง
จนใครบางคนอาจเกิดอาการควบคุมตนเองมิได้
เพราะนั่นจะเป็นการเปิดโอกาสให้คนเหล่านั้น
ใช้จิตวิญญาณที่ป่วยหนักสาหัสอยู่
โผล่ออกมาแทรกแซงจิตหยาบที่จิตตกขาดสติได้
การแก้แค้นเอาคืนตามแรงพยาบาทก็จะเกิดขึ้น
โดยพลียะเดี้ยนส์ของฝ่ายที่แก้แค้นนั้น
จะมิอาจปิดกั้นการแก้แค้นของจิตวิญญาณได้เลย
หมายความว่ามนุษย์คนนั้นจะตกอยู่ในอันตราย
จิตหยาบคือตัวท่านเอง
จักต้องครองมหาสติหรือ #ธรรมชาติสมาธิ ไว้เสมอ
เพื่อระวังจิตตนเองไว้มิให้ตกเป็นทาสอารมณ์ขยะ
อันอาจเกิดจากการถูกยั่วยุเย้ายวนจากคนใกล้ตัว
ซึ่งหนึ่งในนั้นอาจเป็นเจ้ากรรมนายเวร ของท่านก็ได้
โดยท่านต้องลดโทษะจริตลงให้สิ้น
ถ้าท่านเป็นคนวู่วาม
ชอบใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล
ตกเป็นทาสการยั่วยุได้ง่ายๆ
หรือเป็นคนโทษะจริตรุนแรงแล้วละก็
อัตรเสี่ยงในกรณีเช่นนี้ค่อนข้างสูงยิ่ง
พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
เจ้ากรรมนายเวรที่น่ากลัวที่สุด
คือ คนใกล้ตัว นะเอง
ที่น่ากลัวเพราะท่านมิอาจรู้ได้ว่าใครใช่ไม่ใช่
จิตหยาบในภพชาตินั้นต้องเรียนรู้ให้ได้ว่า
ตนมีใครเป็นเจ้ากรรมนายเวรบ้าง
คนรอบข้างน่าจะเป็นผู้ใด
หรือหากไม่แน่ใจตนเองแล้วละก็
ให้พยายามปิดโอกาสการแก้แค้นหรือถูกแก้แค้น
ด้วยการครองลูกแก้วสองดวงไว้ให้มั่นตลอดวัน
หนึ่งคือต้องมี มหาสติ ที่เป็น ธรรมชาติสมาธิ
โดยปฏิบัติตามมรรควิถีจิตจักรวาลจนตลอดชีวิตนี้
ทั้งหมดที่เรากล่าวมาในบทเรียนนี้
เพียงเพื่อจะบอกท่านทั้งหลายว่า
1.จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านทั้งหลาย
โดยธรรมชาติแล้วไม่มีรูปธรรมใดเลวหรือชั่ว
2.จิตวิญญาณอาฆาตพยาบาท
เป็นจิตวิญญาณที่เกิดอาการป่วยขั้นโคม่าแล้ว
เพราะแพทย์หรือยมบาลในนรกไม่รับรักษา
เพราะหมดทางเยียวยาแล้วนั่นเอง
3.การพึ่งตนเองของจิตวิญญาณ
คือการกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก
แล้วให้จิตหยาบทำการช่วยเหลือเยียวยา
ด้วยการปิดกั้นการขาดสติเอาไว้ให้ได้
และต้องมีสำนึกรู้สัจธรรมระดับอนุตรธรรมนี้
ด้วยการสำนึกผิดด้วยจิตหยาบ
แล้วสำนึกบาปด้วยจิตวิญญาณว่า
ท่านยอมอโหสิกรรมให้จำเลยบาปของท่าน
และขออโหสิกรรมต่อโจทก์บาปหรือเจ้ากรรม
ที่ท่านเคยกระทำผิดบาปร้ายแรง
ต่อพวกเขาเอาไว้ในภพชาติก่อน
ด้วยการสำนึกบาปอย่างแท้จริง
ด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้ง
ด้วยคำมั่นว่าจะไม่ทำผิดบาปก้าวล่วงผู้ใดอีกเลย
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
29/03/2021

สนทนาประสาจิตจักรวาล

29/03/2021



พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

กรณีที่จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านหรือของใคร
โผล่ออกมาใช้เครื่องยนต์แห่งกรรมแทนจิตหยาบ
เข่นฆ่าทำร้ายเอาชีวิตคนใกล้ตัวอย่างเหี้ยมโหด
จนแลดูผิดวิสัยของคนใจมนุษย์ทั่วๆไป
ในยามที่ จิตหยาบขาดสติ เพราะถูกยั่วยุ

เช่น กรณีที่ลูกฆ่าพ่อแม่
พ่อแม่ฆ่าลูกในไส้ของตัวเอง
พี่น้องสายเลือดเดียวกัน
ลุกขึ้นมาทำร้ายหรือฆ่ากันแบบศึกสายเลือด

สามีทำร้ายหรือเข่นฆ่าภรรยา
ภรรยาทำร้ายหรือเข่นฆ่าสามี

ด้วยพฤติกรรมอันเหี้ยมโหดเหมือนมิใช่มนุษย์
จนทำให้หลายๆท่านคิดเข้าใจผิดกันว่า
จิตวิญญาณของท่านที่มาเกิดเป็นมนุษย์
มิได้เป็นจิตวิญญาณที่ดีเสมอไป

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะบอกความจริงให้ท่านรู้โดยทั่วกันว่า
ในภพชาติแรกที่ได้รับโอกาสมาเกิดเป็นมนุษย์นั้น
ไม่มีรูปธรรมจิตวิญญาณของใครสักคนหรอก
เป็นจิตวิญญาณที่เลวที่ไม่ดีหรือไม่บริสุทธิ์
เพราะจิตวิญญาณแก่นแท้ของพวกท่านนั้น
เป็นผู้มาจากพระบิดาโดยขันอาสาพระองค์มา
เพื่อทำหน้าที่แทนพระองค์ผู้ทรงบริสุทธิ์

ดังนั้น
จิตวิญญาณแก่นแท้ของพวกท่านจึงไม่มีใครชั่วร้าย
คงมีแต่รักคนไม่น่ารักก็ได้และรักอย่างไม่มีเงื่อนไข
มีแต่จะให้อภัยแก่คนที่ทำตัวไม่น่าให้อภัยได้เสมอ

เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ในระบบโลกเสรีนี้
พระบิดาทรงวางแผนให้จิตวิญญาณของท่าน
แบ่งภาคตนเอง ออกมาเป็น จิตหยาบ
เพื่อรับมอบอำนาจให้ทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณ
ด้วยการดำเนินชีวิตในบทบาทของ "คนสองมิติ"
โดยจิตวิญญาณจะถูกจำกัดบทบาทอยู่ข้างใน
สิ่งใดที่จิตหยาบแสดงออกหรือกระทำ
สิ่งใดที่เป็นผลกรรมจากการกระทำของจิตหยาบ
ก็เหมือนจิตวิญญาณเป็นผู้กระทำด้วยตนเอง
และจิตวิญญาณผู้มอบอำนาจต้องรับกรรมนั้นเสมอ

ผลกรรมที่จิตหยาบเป็นผู้ก่อ
แล้วจิตวิญญาณแก่นแท้จักได้รับก็คือ

1.คลื่นการสั่นสะเทือนของจิตหยาบ
ในรูปของจิตไร้สามนึกที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน
เพราะถูกครอบงำด้วยกิเลสตัณหานั่นแหละ
มันจะสั่นสะเทือนจนเข้าไปถึงจิตวิญญาณ

2.แต่เนื่องจากจิตวิญญาณแก่นแท้ของท่าน
ยังมีรูปธรรมทางพลังงานของ พลียะเดี้ยนส์
ทำหน้าที่เป็น "แม่นม" คอยหุ้มห่มเอาไว้อยู่
เหมือนดั่งไข่ขาวคอยหุ้มห่อไข่แดงไว้นั่นเอง

เมื่อจิตหยาบส่งคลื่นความถี่ของกิเลสตัณหา
ซึ่งเป็นคลื่นความถี่ย่านต่ำๆพวกโลภโกรธหลง
ผ่านเข้าไปหาจิตวิญญาณที่เป็นแก่นแท้
ก็ต้องส่งผ่านด่านของ "แม่นม" ผู้ปกป้องก่อน

ดังนั้น
คลื่นการสั่นสะเทือนของจิตหยาบ
อันเป็นคลื่นบาปหยาบชั่วรายวันของพวกท่าน
ก็จะถูกพลียะเดี้ยนส์ดูดซับรับเอาไว้เองทั้งหมด
หากมองในภาพรวมสำหรับผู้ไม่รู้อนุตรธรรม
ที่เป็นความจริงขั้นสูงสุดดังกล่าวนี้แล้ว
ก็จะเดาส่งเดชว่าจิตวิญญาณนั้น "ป่วย" แล้ว

สาเหตุที่ท่านเข้าใจว่าจิตวิญญาณนั้นป่วย
เพราะว่าจิตวิญญาณนั้นถูกทำให้เสื่อม
แทนที่จะสั่นสะเทือนตามคุณสมบัติเดิมของตน
คือ รักได้ ให้อภัยเป็น ไม่เห็นแก่ตัวเท่านั้น
แต่กลับสั่นสะเทือนเป็นกิเลสตัณหาแทน
เนื่องจากแม่นมหรือพลียะเดี้ยนส์ของมนุษย์
มิอาจต้านทานแรงสั่นสะเทือนด้านชั่วๆเอาไว้ได้
จึงจำต้องรับเอาคุณสมบัติด้านลบนั้นๆไว้ทั้งหมด

3.เพราะพระบิดาทรงทราบล่วงหน้าแล้วว่า
ถ้าจิตหยาบของบุตรมนุษย์คนใดกระทำผิดพลาด
จิตวิญญาณแก่นแท้โดยพลียะเดี้ยนส์ของผู้นั้น
จะเกิดอาการ หลงมิติ ไปในบัดนั้น

การหลงมิติของ "พลียะเดี้ยนส์"
ผู้เป็นแม่นมของจิตวิญญาณของท่านผู้นั้น
จะมีอาการสั่นสะเทือนตนเองเป็นกิเลสตัณหา
พวกโลภะ โทษะ โมหะ กับอารมณ์ขยะทั้งปวง
จนมิอาจยกระดับแรงสั่นสะเทือนเป็นด้านบวกได้

พระองค์จึงทรงกำหนดสร้าง นรกภูมิ ขึ้นไว้
โดยทรงมอบให้ประดาฑูตสวรรค์ของพระองค์
ลงมาจุติเป็นพระยายมและยมบาล
ให้คอยทำหน้าที่ดั่งแพทย์พยาบาล
เพื่อช่วยเยียวยาจิตวิญญาณที่ป่วยด้วยหลงมิติ
อันเกิดจากจิตหยาบในภพชาตินั้นๆเหลวไหล
จนเป็นที่พึ่งของจิตวิญญาณของตนไม่ได้
แถมทำร้ายจิตวิญญาณของตนอย่างไร้สติอีกด้วย

เมื่อจิตวิญญาณกลับคืนสู่สมดุลดังเดิมแล้ว
จิตวิญญาณรูปธรรมนั้นพร้อมพลียะเดี้ยนส์
จึงจะได้รับโอกาสขึ้นมาจากนรก
หรือออกจากโรงพบาบาลทางจิตวิญญาณอีกครั้ง
เพื่อ "รอรับโอกาส" ให้ได้กลับมาเกิดใหม่
ด้วยหวังว่า "จิตหยาบ" ของตนในภพชาติใหม่
จะไม่ทำตนเหลวไหลไร้สาระอีก

ถ้าภพชาติใหม่จิตหยาบยังเหลวไหลอีก
วงจรของการลงนรกแล้วมาเกิดใหม่ในภพชาติใหม่
มันก็จะเป็นของมันเช่นว่านี้อยู่อย่างนั้น
ไม่ต่างจากคนที่เข้าๆออกๆโรงพยาบาล
เพราะขาดการใส่ใจดูแลสุขภาพของตนเองนั่นแหละ
แม้กลัวหมอกลัวเข็มกลัวมีดผ่าตัดกลัวโรงพยาบาล
แต่ก็ยังทำตัวเหลวไหลอย่างไร้สติอยู่อย่างนั้น

4.พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านได้รู้กันไว้อีกว่า

การตกนรกเข้าโรงพยาบาลในแดนนรก
เพื่อรักษาอาการป่วยเพราะหลงมิตินั้น
มันจะเป็นจริงได้หายป่วยได้รักษาได้
ก็เฉพาะการป่วยในระดับของ "พลียะเดี้ยนส์"
ที่ยังเป็นระดับขั้นไม่ โคม่า เท่านั้น

การหลงมิติเข้าขั้นโคม่าของ "จิตวิญญาณ"
คือ การสั่นสะเทือนด้านลบของจิตหยาบที่รุนแรง
จนแม่นมหรือพลียะเดี้ยนส์ต้านทานเอาไว้ไม่ได้
แม้จะพยายามต้านทานไว้จนสุดฤทธิ์แล้วก็ตาม
แรงสั่นสะเทือนด้านลบนั้นจะทะลุผ่านแม่นม
เข้าไปสั่นสะเทือนจนถึงจิตวิญญาณที่อยู่ด้านใน
ภายในเวลาโลกเพียงสามนาทีจากที่เริ่มต้นเท่านั้น

5.จิตวิญญาณที่รับรู้รับเอาแรงสั่นสะเทือนด้านลบ
ที่จิตหยาบสั่นสะเทือนทะลุกำแพงแม่นมเข้าไปได้
เป็นสิ่งที่น่ากลัวมากที่สุดเพราะจะทำให้ป่วยหนัก
ที่สำคัญคือยมบาลในนรกก็รักษาเยียวยาให้ไม่ได้

แรงสั่นสะเทือนด้านลบทะลุมิติที่ว่านี้
เกิดจากจิตหยาบสั่นสะเทือนด้วยจิตไร้สามนึก
เป็นความโกรธแค้น ผูกใจเจ็บ อาฆาต พยาบาท
ที่พวกท่านทำผิดคิดร้ายต่อกันอย่างรุนแรง
จนทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเสียสมดุลรุนแรงนั่นแหละ

วิธีแก้ไขกรรมนี้มีเพียงวิธีเดียวแต่ยากสุดๆคือ
เมื่อจิตวิญญาณนั้นพี่พลียะเดี้ยนส์หายป่วยแล้ว
แม้จิตวิญญาณจะยังเสียสมดุลหนักอยู่
ท่านพระยายมก็จะอนุญาตให้ออกจากนรก
ให้กลับมาดูแลรักษาตัวเองที่บ้านหรือโลกต่อไป

ถ้าจิตหยาบในภพชาติใหม่
ช่วยเหลือจิตวิญญาณของตน
บำบัดรักษาตนเองเป็นก็จะหายป่วยได้

แต่ถ้ากลับมาเกิดใหม่แล้วยังเหลวไหลไม่ใฝ่รักษา
ปัญหาใหญ่ก็จะตามมาได้อีกเรื่องหนึ่งคือ
ถ้าไม่ถูกเจ้ากรรมคู่อริจากอดีตชาติตามมาฆ่าตาย
ก็จะเป็นฝ่ายฆ่าผู้ที่ตนอาฆาตมาดร้ายตายเสียเอง

6.การรักษาตนเองเป็นหมายถึง
จิตหยาบจักต้องช่วยจิตวิญญาณของตนดังนี้

ประการแรก
ต้องมีมหาสติไว้ตลอดเวลา
เพื่อมิให้สร้างเงื่อนไขด้านลบแก่คนรอบข้าง
จนพวกเขาขาดสติอย่างรุนแรง
จนใครบางคนอาจเกิดอาการควบคุมตนเองมิได้

เพราะนั่นจะเป็นการเปิดโอกาสให้คนเหล่านั้น
ใช้จิตวิญญาณที่ป่วยหนักสาหัสอยู่
โผล่ออกมาแทรกแซงจิตหยาบที่จิตตกขาดสติได้
การแก้แค้นเอาคืนตามแรงพยาบาทก็จะเกิดขึ้น
โดยพลียะเดี้ยนส์ของฝ่ายที่แก้แค้นนั้น
จะมิอาจปิดกั้นการแก้แค้นของจิตวิญญาณได้เลย
หมายความว่ามนุษย์คนนั้นจะตกอยู่ในอันตราย

ประการที่สอง
จิตหยาบคือตัวท่านเอง
จักต้องครองมหาสติหรือ ธรรมชาติสมาธิ ไว้เสมอ
เพื่อระวังจิตตนเองไว้มิให้ตกเป็นทาสอารมณ์ขยะ
อันอาจเกิดจากการถูกยั่วยุเย้ายวนจากคนใกล้ตัว
ซึ่งหนึ่งในนั้นอาจเป็น เจ้ากรรมนายเวร ของท่านก็ได้
โดยท่านต้องลดโทษะจริตลงให้สิ้น

ถ้าท่านเป็นคนวู่วาม
ชอบใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล
ตกเป็นทาสการยั่วยุได้ง่ายๆ
หรือเป็นคนโทษะจริตรุนแรงแล้วละก็
อัตรเสี่ยงในกรณีเช่นนี้ค่อนข้างสูงยิ่ง

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

เจ้ากรรมนายเวรที่น่ากลัวที่สุด
คือ คนใกล้ตัว นะเอง
ที่น่ากลัวเพราะท่านมิอาจรู้ได้ว่าใครใช่ไม่ใช่

ประการที่สาม
จิตหยาบในภพชาตินั้นต้องเรียนรู้ให้ได้ว่า
ตนมีใครเป็นเจ้ากรรมนายเวรบ้าง
คนรอบข้างน่าจะเป็นผู้ใด
หรือหากไม่แน่ใจตนเองแล้วละก็
ให้พยายามปิดโอกาสการแก้แค้นหรือถูกแก้แค้น
ด้วยการครองลูกแก้วสองดวงไว้ให้มั่นตลอดวัน
หนึ่งคือต้องมี มหาสติ ที่เป็น ธรรมชาติสมาธิ
สองคือต้องมี ปณิธานแห่งการหลุดพ้นนิพพาน
โดยปฏิบัติตามมรรควิถีจิตจักรวาลจนตลอดชีวิตนี้

ทั้งหมดที่เรากล่าวมาในบทเรียนนี้
เพียงเพื่อจะบอกท่านทั้งหลายว่า

1.จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านทั้งหลาย
โดยธรรมชาติแล้วไม่มีรูปธรรมใดเลวหรือชั่ว

2.จิตวิญญาณอาฆาตพยาบาท
เป็นจิตวิญญาณที่เกิดอาการป่วยขั้นโคม่าแล้ว
เพราะแพทย์หรือยมบาลในนรกไม่รับรักษา
เพราะหมดทางเยียวยาแล้วนั่นเอง

3.การพึ่งตนเองของจิตวิญญาณ
คือการกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก
แล้วให้จิตหยาบทำการช่วยเหลือเยียวยา
ด้วยการปิดกั้นการขาดสติเอาไว้ให้ได้
และต้องมีสำนึกรู้สัจธรรมระดับอนุตรธรรมนี้

ด้วยการสำนึกผิดด้วยจิตหยาบ
แล้วสำนึกบาปด้วยจิตวิญญาณว่า
ท่านยอมอโหสิกรรมให้จำเลยบาปของท่าน
และขออโหสิกรรมต่อโจทก์บาปหรือเจ้ากรรม
ที่ท่านเคยกระทำผิดบาปร้ายแรง
ต่อพวกเขาเอาไว้ในภพชาติก่อน
ด้วยการสำนึกบาปอย่างแท้จริง
ด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้ง
ด้วยคำมั่นว่าจะไม่ทำผิดบาปก้าวล่วงผู้ใดอีกเลย

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
29/03/2021

23 มีนาคม 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล

23/03/2021



พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

จิตวิญญาณ ผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของท่าน
ที่ขันอาสามาเกิดเป็นมนุษย์แห่งโลกเสรีนี้
แม้จะเป็นผู้ขันอาสาพระบิดาเข้ามาเกิด
เพื่อปฏิบัติภารกิจของจิตวิญญาณ
ตาม พันธสัญญา 6 ประการให้ลุล่วงก็จริงอยู่
แต่จิตวิญญาณก็มิได้ขับเคลื่อนความเป็นมนุษย์
เมื่อได้รับโอกาสมาเกิดด้วยตนเองแต่อย่างใด

พระบิดาผู้ทรงอนุญาตให้แก่นแท้ของท่านมาเกิด
ได้ทรงออกแบบให้ท่านแบ่งภาคพลังงานออกมา
เพื่อให้เป็นผู้รับมอบอำนาจทำหน้าที่แทน
ขณะดำเนินชีวิตเป็นมนุษย์ในทุกภพชาติที่เกิด
โดย "ตัวแทน" ของจิตวิญญาณที่เป็นตัวจริงนั้น
มิได้มีรูปธรรมเป็นกล่องพลังงานที่สมดุล
เหมือนกับจิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้แต่อย่างใด

แต่จะเป็นกลุ่มคลื่นพลังงานหลายๆความถี่
จำนวนรวมทั้งสิ้น 189 กลุ่มย่านความถี่
เพื่อให้แบ่งกันทำหน้าที่ขับเคลื่อนกายสังขาร
ทั้งในมิติทางกายภาพและมิติทางพลังงาน
โดยกลุ่มพลังงานที่ถูกแบ่งภาคออกมาเหล่านี้
แต่ละกลุ่มก็จะทำหน้าที่ตามคุณสมบัติเฉพาะตน
ที่พระบิดาได้ทรงกำหนดบทบาทนั้นๆไว้ให้แล้ว
ทรงเรียกกลุ่มพลังงานเหล่านี้ว่า จิตหยาบ นั่นเอง

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

ในการเป็นมนุษย์ของท่านทั้งหลายนั้น
นอกจากท่านจะเป็นคนที่มีสองมิติ
คือมิติทางกายหยาบกับมิติทางจิตวิญญาณแล้ว
ท่านก็เป็นคนที่มี 2 ภาคในตัวเองอีกด้วย

ภาคแรก คือ "จิตวิญญาณ" ตัวตนแก่นแท้
ผู้ขันอาสาพระบิดาเข้ามาเกิดเป็นมนุษย์
ซึ่งจิตวิญญาณของท่านที่เรากล่าวถึงนี่แหละ
คือ "ตัวตนที่แท้จริง" ของพวกท่านใช่ใครอื่น
และก็จิตวิญญาณหรือตัวท่านที่แท้จริงนี่แหละ
ก่อนสิ้นยุคพลังงานเก่าจะต้อง "หลุดพ้น" กลับบ้าน
เพื่อไปกราบพระบาทพระบิดาที่ทรงรอพวกท่านอยู่

ภาคที่สอง คือ "จิตหยาบ" หรือจิตมนุษย์
เป็นผู้รับมอบอำนาจจากจิตวิญญาณที่เป็นตัวจริง
เพื่อให้ทำหน้าที่แทนทุกสิ่งในการเป็นมนุษย์
โดยจิตวิญญาณที่เป็นตัวตนที่แท้จริงของท่าน
ถูกจัดให้เป็น ประธาน ลึกเร้นอยู่ในกายสังขาร
คอยช่วยเหลือและรับรู้การกระทำของจิตหยาบ
ด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า จิตใต้สำนึก ตลอดอายุขัย

โดยจิตหยาบของท่านที่เราเปิดเผยให้รู้นี้
จะได้รับมอบอำนาจแห่งการสำนึกรู้จากพระบิดา
ในการมีอยู่จริงของตนเองและสิ่งแวดล้อม
ผ่านการสัมผัสรู้ดูเห็นของกลไกอายตนะทั้งหมด
เพื่อให้จิตวิญญาณที่เป็นตัวจริงคือตัวท่าน
ยกเอาอำนาจการมีอยู่ของตนให้จิตหยาบแทน

ดังนั้น
พวกท่านที่เป็นมนุษย์ทุกคน
จึงถูกออกแบบให้เป็นคนที่มีสองภาคในตนเอง
คือจิตหยาบกับจิตวิญญาณดังกล่าวแล้ว

แต่ที่ผ่านมาพวกท่านไม่รู้ความจริงในเรื่องนี้
ตามที่พระบิดาทรงออกแบบมาอย่างแยบยล
เพื่อเรียนรู้ว่าพระองค์สามารถจะทำอะไรได้บ้าง
เพราะไม่มีใครเปิดเผยให้ท่านรู้ความจริงนี้ได้
มีแต่พระบิดาพระองค์เดียวเท่านั้นที่ทรงรู้
เพราะทรงเป็นพระผู้สร้างผู้ออกแบบไว้นั่นเอง
สัจธรรมความจริงที่เป็นความลับดังกล่าวนี้
จึงถูกเรียกว่า อนุตรธรรม ที่ไม่มีมนุษย์คนไหนรู้

เมื่อไม่มีใครรู้ความจริงนี้
จึงยังผลให้ท่านทั้งหลาย

เข้าใจผิดเรื่องนิพพาน
เข้าใจผิดเรื่องการหลุดพ้นของจิตวิญญาณ
เข้าใจผิดเรื่องจิตวิญญาณว่าเป็นผู้พเนจร
เข้าใจผิดว่าจิตวิญญาณเป็นบุตรกำพร้า
เพราะไม่มีผู้ให้กำเนิด
เข้าใจผิดว่าตนเองนั้นมีจิตเดียวคือจิตวิญญาณ
ทั้งๆที่พวกท่านใช้จิตหยาบดำเนินชีวิต

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราเคยกล่าวต่อท่านทั้งหลายเสมอมาว่า
เอกภพหรืออนันตจักรวาลอันไพศาลนี้
เป็นห้องทดลองขนาดใหญ่ของพระผู้สร้าง
ซึ่งยุคนี้เราถวายพระนามว่า องค์จิตจักรวาล
ทุกรูปธรรมทุกสรรพสิ่งทุกปรากฏการณ์
ล้วนเป็นไปตามการออกแบบของพระองค์
เพื่อเรียนรู้ว่าทรงสามารถจะทำอะไรได้บ้าง
แม้แต่การเข้ามาเกิดเป็นมนุษย์โลกเสรี
ของจิตวิญญาณตัวตนที่แท้จริงของพวกท่าน
ล้วนเป็นไปตามแผนการของพระองค์ทั้งสิ้น

แผนการของพระผู้สร้างเริ่มต้นจาก
จิตจักรวาลดวงเล็ก หรือ "พระบุตร" ในแดนสุญตา
ซึ่งเป็นสนามพลังงานสากลนอกระบบเอกภพ
แบ่งภาคตนเองออกมาเป็นจิตวิญญาณหรือ "พระจิต"
เพื่อให้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของตน
ในการข้ามมิติเข้ามาเกิดเป็นมนุษย์ยังโลกเสรีนี้

เมื่อเข้ามาเกิดเป็นมนุษย์โลกเสรี
จิตวิญญาณก็จะแบ่งภาคตนเองออกมาอีก
เพื่อให้ทำหน้าที่แทนตนอย่างเต็มรูปแบบ
ซึ่งเรียกตัวแทนของตนว่า จิตหยาบ
ไม่ว่าจิตหยาบจะทำดีหรือทำชั่วก็ตาม
จิตวิญญาณจะต้องรับผิดชอบในกรรมนั้นๆไว้

จะลงนรก จะหลุดลอยขึ้นสวรรค์มายา
จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ในภพชาติใหม่
จะกลายเป็นสัมภเวสีแบบจ้าวไม่มีศาล
จิตวิญญาณของพวกท่านแต่ละคน
จะปฏิเสธความรับผิดชอบในชะตากรรม
อันเกิดจากการกระทำของจิตหยาบไม่ได้

นอกจากนั้น
พระองค์ยังทรงออกแบบไว้ให้จิตหยาบ
เรียนรู้ที่จะสร้างสมคุณสมบัติของจิตวิญญาณ
คือ สั่นสะเทือนเป็นความรักเพื่อให้ให้จงได้
สั่นสะเทือนทางจิตสามนึกด้านบวกให้ได้
และสั่นสะเทือนทางจิตปัญญาของสมองให้ได้
จากเงื่อนไขบททดสอบที่คนรอบข้างยื่นให้
ทั้งดีทั้งร้ายทั้งยากทั้งง่ายโดยมิให้รู้ล่วงหน้า

หลังจากจิตหยาบสามารถทำหน้าที่เป็นมนุษย์
ในนามของจิตวิญญาณจนประสบผลสำเร็จ
ซึ่งต้องยกระดับหรือพัฒนากันหลายภพชาติแล้ว
จิตหยาบหรือจิตปัจจุบันที่เป็น "เงา" ของตัวจริง
จักต้องนำพาจิตวิญญาณหรือตัวจริงกลับบ้าน
ในสภาวะหลุดพ้นนิพพานออกไปจากเอกภพ
หรือที่เรียกว่า "อนันตจักรวาล" ให้จงได้ด้วย
แผนการเรียนรู้ในห้องทดลองของพระบิดา
ที่ทรงออกแบบไว้อย่างสลับซับซ้อนเช่นว่านี้
จึงจะบรรลุผลสำเร็จได้อย่างเต็มภาคภูมิ

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

เพราะความจริงมันสลับซับซ้อนและยุ่งยาก
ตามที่เรากล่าวเปิดเผยมาทั้งหมดนี้แหละ
จิตวิญญาณคือตัวท่านที่แท้จริงของทุกๆคน
จึงต้องเป็นผู้ ขันอาสา มาทำหน้าที่ในระบบโลก
คำว่า "ขันอาสา" แปลว่ายินยอมพร้อมใจเอง
มิได้ถูกบังคับขืนใจให้มาหรือถูกสั่งถูกใช้ให้มา

ในสุดท้ายปลายยุคพลังงานเก่านี้
พระบิดาทรงทราบดีว่า
นอกจากจิตสามนึกของคนทั้งโลก
พากันสั่นสะเทือนในทางต่ำลงมากขึ้น
เพราะล้มเหลวในภารกิจของจิตวิญญาณ
โดยจิตหยาบ "หลงทาง" และ "หลงธรรม" แล้ว
มนุษย์ยังคลั่งแต่โลกิยธรรมกับโลกุตรธรรม
กลับไม่ใส่ใจใน อนุตรธรรม ความจริงชั้นสูง
ที่พระบุตรเอกในยุคที่ผ่านมา
ถูกส่งมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อให้กล่าวความจริง
ที่เป็นความลับของจิตวิญญาณของพวกท่าน
ดังบางเสี้ยวส่วนที่เรานำมากล่าวไว้ข้างต้นนั้น

พระองค์ถูกปฏิเสธเพราะทรงกล่าวความจริง
ในเรื่องของพระผู้เป็นเจ้า
เรื่องของพระผู้สร้าง
เรื่องของพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
เพราะหลงผิดคิดว่าพระบุตรเอกผู้กล่าวความจริงนี้
เป็นพวกลัทธิ "เทวะนิยม" ที่ชวนให้เชื่อว่า
พระพรหมเป็นผู้สร้างโลกสร้างจักรวาล
จึงเกิดอคติทันทีที่ได้ยินคำว่า "พระบิดา"
หรือได้ยินคำว่า "พระเจ้า" เท่านั้น

นี่จึงเป็น ปมด้อย ทางปัญญาของมนุษย์
แต่เป็น ปมใหญ่ ทำให้จิตวิญญาณนิพพานไม่ได้
เพราะมิจฉาทิฐิกับการหลงตัวเองของจิตหยาบ
บั้นปลายจะทำให้จิตวิญญาณคือตนเองเดือดร้อน

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
23/03/2021

 สนทนาประสาจิตจักรวาล

23/03/2021



พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

แม้จะมีใครบางคนบนโลกนี้
กล่าวประณามเหยียดหยามเราว่าเป็นคนไม่ดี
เมื่อเราบอกความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
เราเป็นพระบุตรเอกแห่งองค์จิตจักรวาล
พระผู้เป็นเจ้าเหนือสิ่งทั้งปวง
พระผู้ทรงบัญชาให้เรากลับมาจุติเป็นมนุษย์
เพื่อมากล่าวพระโอวาทประกาศอนุตรธรรม
แก่มวลมนุษย์โลกเสรีทั้งหลาย
และชี้ทางหลุดพ้นนิพพานกลับคืนบ้านเกิด
ของจิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้ของพวกท่านด้วย

โดยพวกเขาเหล่านี้
กล่าวเท็จใส่ร้ายเราว่าเป็นคนหลอกลวง
ในสามประการ คือ

1.หลอกลวงว่าเราเป็นบุตรเอกแห่งพระบิดา

2.หลอกลวงว่าเราคือคนเฝ้าประตูคอกแกะ
ผู้เคยสัญญาว่าจะมาจูงเจ้าสาวเข้าประตูเรือนหอ
เมื่อถึงวันที่พระบิดาทรงพิพากษาโลกและมนุษย์

3.หลอกลวงว่าเราสามารถชี้ทางหลุดพ้นนิพพาน
เพื่อนำพาจิตวิญญาณพวกท่านกลับบ้านเกิด
ให้ทันก่อนกาลสิ้นยุคพลังงานเก่านี้ได้

ทั้งสามเรื่องเหล่านี้
เราถูกพวกเขากล่าวหาว่าหลอกลวง
โดยมิได้ใช้สติปัญญาพิจารณาให้ถ่องแท้ก่อน
โดยไม่เคยศึกษาเรียนรู้พระโอวาทพระบิดา
ที่ทรงสื่อผ่านเรามาเพื่อพวกท่านเลย

คนที่ก้าวล่วงเราเหตุเพราะพวกเขาไม่เชื่อ
เหตุที่พวกเขาไม่เชื่อก็เพราะพวกเขาไม่รับฟัง
เหตุที่พวกเขาไม่รับฟังเพราะพวกเขามีอัตตาสูง
เพราะมีอัตตาสูงพวกเขาจึงเป็นคนใจแคบ
จนไม่ยอมเปิดใจรับฟังความรู้ใหม่
เนื่องจากยึดติดความเชื่อเดิมของตนอยู่

การที่พวกเขาเหล่านี้
จะยอมรับหรือปฏิเสธความจริงของเรา
ในข้อหาว่าหลอกลวงทั้งสามประการที่ว่านั้น
ตัวเรามิได้ใส่ใจแต่อย่างใดทั้งสิ้น
เพราะสัจธรรมความจริงไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้

แต่ที่เราจะขอนำมากล่าวไว้ในที่นี้ซึ่งสำคัญกว่า
ก็คือคำหยามหมิ่นของพวกเขาที่มีต่อเราว่า
ถ้าเป็นบุตรเอกแห่งพระบิดาจริงแท้แล้ว
ก็แสดงฤทธิ์ปาฏิหาริย์แบบพระเยซูให้ดูหน่อยสิ
นี่ต่างหากที่เราจำเป็นจะต้องกล่าวไม่กล่าวไม่ได้

เพราะผู้ที่กล่าวก้าวล่วงเราท้าทายเรานี้
ถ้าเขาเป็นคนนับถือพระบิดาศรัทธาพระเยซูแล้ว
เราจะกล่าวความจริงว่าแท้แล้วพวกเขางมงาย
เพราะไปหลงในฤทธิปาฏิหาริย์ของพระองค์
โดยไปเชื่อตามคนนำทางตาบอดนั่นเอง

เราจึงจะกล่าวความจริงให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า
พระเยซูคริสต์นั้นทรงเป็นพระบุตรเอก
ผู้เสด็จลงมาจุติตามพระบัญชาแห่งพระเจ้า
ซึ่งจิตวิญญาณของเราก็มีพันธสัญญาหน้าที่
และมาจากพระบิดาเช่นเดียวกันกับพระองค์

เราจึงขอยืนยันว่าพระเยซูเจ้าพระองค์นั้น
ไม่มีวันจะสำแดงฤทธิ์ปาฏิหาริย์ต่อมนุษย์
เพื่อจูงใจให้หันหน้ามาหาพระองค์หรือพระเจ้าแน่ๆ
แม้จะทรงสำแดงได้แต่พระองค์จะไม่ทำแน่นอน
เพราะทรงรู้ว่ามนุษย์จะงมงายไม่ใช้สติปัญญา
จนมิอาจสั่นสะเทือนจิตสามนึกในการเป็นมนุษย์ได้

เนื่องจากทรงเน้นให้พี่ๆน้องๆผู้ก้าวตาม
ฉลาดคิดรู้ด้วยปัญญามากกว่าเชื่อตามอย่างงมงาย
ศาสนาของพระองค์จึงเป็น ศาสนาคิด มิใช่ "คริสต์"
คำสอนและพระโอวาทจึงเต็มไปด้วยอุปมาอุปมัย
ผู้ใดไม่ใช้ปัญญาจะไม่เข้าใจในคำสอนของพระองค์
ผู้ใดขาดทักษะการใช้ปัญญาของสมองของตน
ก็จะแปลรหัสคำสอนที่เป็นอุปมาอุปมัยผิดพลาด
ดังเช่นคนนำทางตาบอดทั้งหลายนั่นเอง
ซึ่งผลิตผลผ่าเหล่าของคนนำทางตาบอดคนหนึ่ง
ก็คือคนที่เข้ามาท้าทายเราให้แสดงปาฏิหาริย์
ในแบบพระเยซูตามความเชื่อของเขานั่นแหละ

เหตุเพราะคนนำทางตาบอดสอนพวกเขาว่า
พระเยซูจะกลับมาไถ่บาปให้แก่ผู้ศรัทธาในพระองค์
พวกเขาจึงได้แต่รอคอยพระองค์กลับมาอย่างจดจ่อ
เพราะเข้าใจว่าพระองค์จะเสด็จมาแบกรับบาป
ที่พวกเขาทั้งหลายก่อไว้ทั้งหมดแทนให้
ซึ่งถ้าเป็นได้จริงก็เป็นปาฏิหาริย์ของพระองค์แล้ว

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
แท้แล้วคำว่าพระองค์จะกลับมา "ไถ่บาป" ให้นั้น
หมายความว่าจะกลับมาสอนให้พวกท่านรู้ว่า
การกระทำแบบใดบ้างที่ผิดบาปไม่สมควรทำ
การกระทำแบบใดบ้างที่ถูกต้องดีงามที่สมควรทำ

เพราะเมื่อท่านรู้ว่าสิ่งใดควรทำสิ่งใดไม่ควรทำแล้ว
การก่อกรรมทำผิดบาปก็จะไม่เกิดขึ้นอีกตลอดไป
นั่นเท่ากับว่ามนุษย์โลกเสรีที่เชื่อฟังพระองค์
ต่างจะได้รับการ "ไถ่บาป" โดยทั่วหน้ากันนั่นเอง
นี่คือความหมายที่ถูกต้องตรงจริง

อีกตัวอย่างหนึ่ง
ซึ่งคนนำทางตาบอดพาให้ศาสนิกงมงายกันอยู่
โดยอ้างว่าพระองค์รักษาคนป่วยโรคเรื้อนให้หายได้
ถ้าพระองค์ทำได้จริงตามความเชื่อดังกล่าวนี้
ก็นับว่าเป็นฤทธิปาฏิหาริย์ได้อีกเรื่องหนึ่งแล้ว

แต่สำหรับกรณีนี้เราจะกล่าวความจริงให้รู้ว่า
พระศาสดาที่เป็นพระบุตรเอกในยุคนั้น
ทรงมีปัญญาปาฏิหาริย์ที่สามารถสอนธรรมะ
ให้กับมนุษย์ทุกระดับวุฒิภาวะเข้าถึงสัจธรรมได้

แม้กระทั่งคนชั่วที่ไม่มีใครคบหาสมาคมด้วย
ที่ไม่ต่างจากคนเป็นโรคเรื้อนซึ่งเป็นโรคติดต่อ
ถ้าใครเป็นแล้วจะรักษาไม่หายต้องตายทุกคน
ผู้คนจึงรังเกียจคนที่ป่วยด้วยโรคเรื้อนกันทั้งนั้น
พระองค์ก็สามารถสอนให้คนชั่วที่ทำตัวน่ารังเกียจ
ให้เปลี่ยนจากคนชั่วมาเป็นคนดีได้
นี่คือความหมายที่แท้จริงที่ท่านต้องรู้

ดังนั้น
การที่ท่านเยาะหยันเรามาว่า
เราสามารถแสดงปาฏิหาริย์
แบบพระเยซูได้หรือไม่นั้น
ตัวอย่างที่เรายกมาข้างต้นนั้นคือคำตอบ
โดยเราขอสรุปไว้สั้นๆในที่นี้ว่า

คำตอบแรกก็คือ
จงอย่าหลงผิดบิดเบือนพระคัมภีร์
โดยหลงในอุตริอัศจรรย์กันไปเองต่อไปอีกเลย

คำตอบสุดท้ายก็คือ
ถ้าพระเยซูทรงแสดงปัญญาปาฏิหาริย์ได้
พระบุตรเอกเช่นเราก็ย่อมแสดงได้เช่นเดียวกัน
ซึ่งเราสำแดงในการกล่าวพระโอวาทเสมอมา
ใครมีตาก็จงดูใครมีหูก็จงฟังกันเอาเองเถิด

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
23/03/2021


ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาแห่งการ"คิด"


สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
แม้จะมีใครบางคนบนโลกนี้
กล่าวประณามเหยียดหยามเราว่าเป็นคนไม่ดี
เมื่อเราบอกความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
เราเป็นพระบุตรเอกแห่งองค์จิตจักรวาล
พระผู้เป็นเจ้าเหนือสิ่งทั้งปวง
พระผู้ทรงบัญชาให้เรากลับมาจุติเป็นมนุษย์
เพื่อมากล่าวพระโอวาทประกาศอนุตรธรรม
แก่มวลมนุษย์โลกเสรีทั้งหลาย
และชี้ทางหลุดพ้นนิพพานกลับคืนบ้านเกิด
ของจิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้ของพวกท่านด้วย
โดยพวกเขาเหล่านี้
กล่าวเท็จใส่ร้ายเราว่าเป็นคนหลอกลวง
ในสามประการ คือ
1.หลอกลวงว่าเราเป็นบุตรเอกแห่งพระบิดา
2.หลอกลวงว่าเราคือคนเฝ้าประตูคอกแกะ
ผู้เคยสัญญาว่าจะมาจูงเจ้าสาวเข้าประตูเรือนหอ
เมื่อถึงวันที่พระบิดาทรงพิพากษาโลกและมนุษย์
3.หลอกลวงว่าเราสามารถชี้ทางหลุดพ้นนิพพาน
เพื่อนำพาจิตวิญญาณพวกท่านกลับบ้านเกิด
ให้ทันก่อนกาลสิ้นยุคพลังงานเก่านี้ได้
ทั้งสามเรื่องเหล่านี้
เราถูกพวกเขากล่าวหาว่าหลอกลวง
โดยมิได้ใช้สติปัญญาพิจารณาให้ถ่องแท้ก่อน
โดยไม่เคยศึกษาเรียนรู้พระโอวาทพระบิดา
ที่ทรงสื่อผ่านเรามาเพื่อพวกท่านเลย
คนที่ก้าวล่วงเราเหตุเพราะพวกเขาไม่เชื่อ
เหตุที่พวกเขาไม่เชื่อก็เพราะพวกเขาไม่รับฟัง
เหตุที่พวกเขาไม่รับฟังเพราะพวกเขามีอัตตาสูง
เพราะมีอัตตาสูงพวกเขาจึงเป็นคนใจแคบ
จนไม่ยอมเปิดใจรับฟังความรู้ใหม่
เนื่องจากยึดติดความเชื่อเดิมของตนอยู่
การที่พวกเขาเหล่านี้
จะยอมรับหรือปฏิเสธความจริงของเรา
ในข้อหาว่าหลอกลวงทั้งสามประการที่ว่านั้น
ตัวเรามิได้ใส่ใจแต่อย่างใดทั้งสิ้น
เพราะสัจธรรมความจริงไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้
แต่ที่เราจะขอนำมากล่าวไว้ในที่นี้ซึ่งสำคัญกว่า
ก็คือคำหยามหมิ่นของพวกเขาที่มีต่อเราว่า
ถ้าเป็นบุตรเอกแห่งพระบิดาจริงแท้แล้ว
ก็แสดงฤทธิ์ปาฏิหาริย์แบบพระเยซูให้ดูหน่อยสิ
นี่ต่างหากที่เราจำเป็นจะต้องกล่าวไม่กล่าวไม่ได้
เพราะผู้ที่กล่าวก้าวล่วงเราท้าทายเรานี้
ถ้าเขาเป็นคนนับถือพระบิดาศรัทธาพระเยซูแล้ว
เราจะกล่าวความจริงว่าแท้แล้วพวกเขางมงาย
เพราะไปหลงในฤทธิปาฏิหาริย์ของพระองค์
โดยไปเชื่อตามคนนำทางตาบอดนั่นเอง
เราจึงจะกล่าวความจริงให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า
พระเยซูคริสต์นั้นทรงเป็นพระบุตรเอก
ผู้เสด็จลงมาจุติตามพระบัญชาแห่งพระเจ้า
ซึ่งจิตวิญญาณของเราก็มีพันธสัญญาหน้าที่
และมาจากพระบิดาเช่นเดียวกันกับพระองค์
เราจึงขอยืนยันว่าพระเยซูเจ้าพระองค์นั้น
ไม่มีวันจะสำแดงฤทธิ์ปาฏิหาริย์ต่อมนุษย์
เพื่อจูงใจให้หันหน้ามาหาพระองค์หรือพระเจ้าแน่ๆ
แม้จะทรงสำแดงได้แต่พระองค์จะไม่ทำแน่นอน
เพราะทรงรู้ว่ามนุษย์จะงมงายไม่ใช้สติปัญญา
จนมิอาจสั่นสะเทือนจิตสามนึกในการเป็นมนุษย์ได้
เนื่องจากทรงเน้นให้พี่ๆน้องๆผู้ก้าวตาม
ฉลาดคิดรู้ด้วยปัญญามากกว่าเชื่อตามอย่างงมงาย
ศาสนาของพระองค์จึงเป็น #ศาสนาคิด มิใช่ "คริสต์"
คำสอนและพระโอวาทจึงเต็มไปด้วยอุปมาอุปมัย
ผู้ใดไม่ใช้ปัญญาจะไม่เข้าใจในคำสอนของพระองค์
ผู้ใดขาดทักษะการใช้ปัญญาของสมองของตน
ก็จะแปลรหัสคำสอนที่เป็นอุปมาอุปมัยผิดพลาด
ดังเช่นคนนำทางตาบอดทั้งหลายนั่นเอง
ซึ่งผลิตผลผ่าเหล่าของคนนำทางตาบอดคนหนึ่ง
ก็คือคนที่เข้ามาท้าทายเราให้แสดงปาฏิหาริย์
ในแบบพระเยซูตามความเชื่อของเขานั่นแหละ
เหตุเพราะคนนำทางตาบอดสอนพวกเขาว่า
พระเยซูจะกลับมาไถ่บาปให้แก่ผู้ศรัทธาในพระองค์
พวกเขาจึงได้แต่รอคอยพระองค์กลับมาอย่างจดจ่อ
เพราะเข้าใจว่าพระองค์จะเสด็จมาแบกรับบาป
ที่พวกเขาทั้งหลายก่อไว้ทั้งหมดแทนให้
ซึ่งถ้าเป็นได้จริงก็เป็นปาฏิหาริย์ของพระองค์แล้ว
พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
แท้แล้วคำว่าพระองค์จะกลับมา "ไถ่บาป" ให้นั้น
หมายความว่าจะกลับมาสอนให้พวกท่านรู้ว่า
การกระทำแบบใดบ้างที่ผิดบาปไม่สมควรทำ
การกระทำแบบใดบ้างที่ถูกต้องดีงามที่สมควรทำ
เพราะเมื่อท่านรู้ว่าสิ่งใดควรทำสิ่งใดไม่ควรทำแล้ว
การก่อกรรมทำผิดบาปก็จะไม่เกิดขึ้นอีกตลอดไป
นั่นเท่ากับว่ามนุษย์โลกเสรีที่เชื่อฟังพระองค์
ต่างจะได้รับการ "ไถ่บาป" โดยทั่วหน้ากันนั่นเอง
นี่คือความหมายที่ถูกต้องตรงจริง
อีกตัวอย่างหนึ่ง
ซึ่งคนนำทางตาบอดพาให้ศาสนิกงมงายกันอยู่
โดยอ้างว่าพระองค์รักษาคนป่วยโรคเรื้อนให้หายได้
ถ้าพระองค์ทำได้จริงตามความเชื่อดังกล่าวนี้
ก็นับว่าเป็นฤทธิปาฏิหาริย์ได้อีกเรื่องหนึ่งแล้ว
แต่สำหรับกรณีนี้เราจะกล่าวความจริงให้รู้ว่า
พระศาสดาที่เป็นพระบุตรเอกในยุคนั้น
ทรงมีปัญญาปาฏิหาริย์ที่สามารถสอนธรรมะ
ให้กับมนุษย์ทุกระดับวุฒิภาวะเข้าถึงสัจธรรมได้
แม้กระทั่งคนชั่วที่ไม่มีใครคบหาสมาคมด้วย
ที่ไม่ต่างจากคนเป็นโรคเรื้อนซึ่งเป็นโรคติดต่อ
ถ้าใครเป็นแล้วจะรักษาไม่หายต้องตายทุกคน
ผู้คนจึงรังเกียจคนที่ป่วยด้วยโรคเรื้อนกันทั้งนั้น
พระองค์ก็สามารถสอนให้คนชั่วที่ทำตัวน่ารังเกียจ
ให้เปลี่ยนจากคนชั่วมาเป็นคนดีได้
นี่คือความหมายที่แท้จริงที่ท่านต้องรู้
ดังนั้น
การที่ท่านเยาะหยันเรามาว่า
เราสามารถแสดงปาฏิหาริย์
แบบพระเยซูได้หรือไม่นั้น
ตัวอย่างที่เรายกมาข้างต้นนั้นคือคำตอบ
โดยเราขอสรุปไว้สั้นๆในที่นี้ว่า
คำตอบแรกก็คือ
จงอย่าหลงผิดบิดเบือนพระคัมภีร์
โดยหลงในอุตริอัศจรรย์กันไปเองต่อไปอีกเลย
คำตอบสุดท้ายก็คือ
ถ้าพระเยซูทรงแสดงปัญญาปาฏิหาริย์ได้
พระบุตรเอกเช่นเราก็ย่อมแสดงได้เช่นเดียวกัน
ซึ่งเราสำแดงในการกล่าวพระโอวาทเสมอมา
ใครมีตาก็จงดูใครมีหูก็จงฟังกันเอาเองเถิด
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
23/03/2021