31 สิงหาคม 2566

คำสอน 31/08/2023

 


"อริยสัจ 4"
เป็นวิธีจัดการปัญหา
ที่นำมาซึ่งความทุกข์ทั้งปวง
อย่าห่วงเรื่องทุกข์อีกเลย

30 สิงหาคม 2566

คำสอน 30/08/2023

 

การปฏิบัติธรรมสำหรับชาวบ้าน
คือการรักคนที่ทำตัวไม่น่ารักให้ได้
อภัยคนที่ทำตัวไม่น่าให้อภัยเป็น
โดยต้องฉลาดทางจิตปัญญาเท่านั้น
คุณจึงจะทำได้สำเร็จ

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 30/08/2023






#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
ทุกสิ่งอย่างในมิติแห่งเนื้อหนัง
ที่นักวิชาการของโลกเรียกว่า #มิติทางกายภาพ
ซึ่งเป็นรูปรสกลิ่นเสียงเย็นร้อนอ่อนแข็งทั้งหลาย
ที่กลไกอายตนะภายนอกสัมผัสรู้ดูเห็นกันได้นั้น
ล้วนมีสาเหตุแห่งการเกิดขึ้นด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
ไม่มีสิ่งใดปรากฏการณ์ใดในเอกภพอันไพศาลนี้
จะอุบัติขึ้นด้วยตนเองได้โดยไม่มีเหตุแห่งการเกิด
 
ตัวอย่างเช่น
กลางคืนที่มีแต่ความมืดเพราะไร้สุริยันจันทรา
กลางคืนที่เห็นบางอย่างได้รำไรเพราะมีดาวบนฟ้า
น้ำฝนที่หล่นลงมาจากฟ้าก็มีสาเหตุที่มาแห่งฝนตก
กลางวันที่ร้อนแรงและมีแสงสว่างเพราะดวงอาทิตย์
กลางวันที่อบอ้าวและฟ้าหลัวเพราะมีเมฆฝนบดบัง
ลาวาร้อนแรงแดงฉานไหลเพราะแรงดันในแกนโลก
น้ำตกจากผาลงมาเบื้องล่างเพราะแรงความโน้มถ่วง
ใบไม้ที่มีสีเขียวขจีเพราะภายในใบนั้นมีคลอโรฟิล
เลือดมนุษย์และสัตว์มีสีแดงเพราะมีสารฮีโมโกลบิน
ป่าไม้ไพรพฤกษ์เกิดไฟป่าได้เพราะเหตุจากฟ้าผ่า
กอไผ่เกิดไฟไหม้ได้เพราะลมทำให้ลำต้นเสียดสีกัน
ฯลฯ
 
ตัวอย่างทั้งหมดที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น
ล้วนเป็นเรื่องราวของปรากฏการณ์หรือเหตุการณ์
ที่มันเกิดขึ้นในมิติโลกทางกายภาพซึ่งคุณสังเกตได้
ที่สังเกตได้ก็เพราะว่ามันมีทั้งที่มาและมีที่เป็นไป
คำว่า “มีที่มา” ก็คือมีสาเหตุแห่งการเกิดขึ้นของสิ่งนั้น
ส่วนคำว่า “มีที่เป็นไป” ก็คือมีผลที่เกิดขึ้นจากเหตุนั้น
โดยความจริงเหล่านี้นี้เป็นสัจธรรมระดับ #โลกิยธรรม
 
ดังนั้น
ทุกสรรพสิ่งทุกเหตุการณ์หรือทุกเรื่องราวที่ปรากฏ
มันจึงล้วนเกิดจากเหตุหรือมีสาเหตุที่ทำให้มันเกิด
สมดังคำกล่าวที่ว่า
 
1.#เพราะสิ่งนั้นมีสิ่งนี้จึงมี
2.#ถ้าไม่มีสิ่งนั้นก็จะไม่มีสิ่งนี้เกิดขึ้นมาได้
3.#ทุกสิ่งอย่างล้วนเกิดจากเหตุ
4.#ถ้าเหตุดับทุกสิ่งก็จะดับตามไปด้วย
 
ทั้งสี่อย่างนี้เป็นความจริงในมิติแห่ง “แก่นแท้”
ซึ่งเป็นสัจธรรมความจริงทางด้าน #โลกุตตรธรรม
ที่ได้จากการนำเอาความจริงที่เป็น “โลกิยธรรม”
มาสังเคราะห์ด้วยปัญญาญาณของสมองซีกขวา
ซึ่งจะเข้าใจความจริงนี้ได้ต้องใช้จินตนาการเท่านั้น
คำว่า “จินตนาการ” ก็คือ การคิดให้เห็นเป็นภาพ
มิใช่คิดเป็นคำพูดหรือคิดเป็นตัวอักษรหรือบทความ
ตามแบบที่สมองซีกซ้ายของคุณต่างถนัดคิดกันอยู่
 
เมื่อพวกคุณมีสมองสองซีกให้ใช้คิดรู้กันอยู่
ถ้าเป็นคนชอบธรรมกันจริงๆแล้วพวกคุณก็ต้องรู้ว่า
สมองสองซีกของมนุษย์ที่พระเจ้าทรงติดตั้งไว้ให้นั้น
ตัวคุณสามารถ “กดปุ่ม” ใช้งานเพื่อการคิดกันก็ได้
อย่าหยิบใช้กันแค่เพียงอัตโนมัติหรือใช้โดยบังเอิญ
เหมือนในอดีตที่แล้วมากันเท่านั้น
 
คุณจะเข้าถึงประสิทธิภาพสูงสุดของสมองซีกซ้ายได้
ด้วยวิธีกดปุ่มใช้งานจากการกำหนดนึกให้สมองคิด
โดยจิตหยาบต้องสั่งให้สมองซีกซายคิดไปทีละเรื่อง
หลักสำคัญก็คือคิดอย่างมีเหตุผลและใช้เหตุผลเป็น
จึงจะเข้าถึง “สติปัญญาสูงสุด” ของสมองซีกซ้ายได้
         
วิธีการใช้สมองซีกขวาคิดด้วยปัญญาญาณก็เช่นกัน
ต้องกำหนดจิตคิดไปทีละเรื่องโดยจิตว่างจากสิ่งอื่น
วัตถุดิบที่จะนำมาใช้ในการคิดก็คือ “โลกิยธรรม”
ที่คิดวิเคราะห์มาได้จากสติปัญญาของสมองซีกซ้าย
ซึ่งคุณต้องไม่ตีกรอบจำกัดในการคิดสังเคราะห์มัน
คำว่า “ไม่ตีกรอบการคิด” คือ การไม่ยึดติดในเหตุผล
ไม่ยึดติดในรูปแบบไม่ยึดติดในทฤษฎีหรือข้อกำหนด
เพราะการคิดโดยติดยึดกับสิ่งเหล่านี้ก็คือคิดในกรอบ
ซึ่งวัตถุดิบที่คุณกำลังจะหยิบมาสังเคราะห์กันต่ออยู่นั้น
มันได้ผ่านขั้นตอนการคิดในกรอบเหล่านี้มาแล้วนั่นเอง
จะกลับไปใช้วิธีคิดซ้ำแบบเดิมด้วยสมองซีกเดิมทำไม
 
ด้วยเหตุนี้เอง
ถ้าคุณจะเปลี่ยนการคิดโดยมาใช้สมองซีกขวาเสียบ้าง
คุณจึงต้องรู้วิธีกดปุ่มใช้งานเพื่อการคิดสังเคราะห์ด้วย
ต้องรู้ด้วยว่าสมองซีกขวาของคุณต้องใช้วัตถุดิบอะไร
ต้องรู้ด้วยว่าสมองซีกขวามันทำงานของมันอย่างไร
จึงจะสามารถเข้าถึงประสิทธิผลสูงสุดของสมองซีกขวา
ในแบบกดปุ่มใช้งานแทนการใช้งานแบบบังเอิญกันได้
 
การคิดด้วยสมองซีกขวาคือการใช้ปัญญาญาณนี้
นักวิชาการโลกจะเรียกว่าเป็น #การคิดสร้างสรรค์
คำว่า “คิดสร้างสรรค์” หมายถึงนำ “โลกิยธรรม” ที่ได้
มาสังเคราะห์เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการดำเนินชึวิต
ไม่ต่างจากพืชนำเอาแร่ธาตุในดินมาสังเคราะห์แสง
เพื่อปรุงเป็นอาหารในการหล่อเลี้ยงชีวิตของตนสืบไป
เนื่องจากแร่ธาตุที่รากดูดซับเข้าไปเป็นวัตถุดิบเท่านั้น
ยังนำเอาไปใช้เป็นอาหารเลี้ยงตนเองทันทีไม่ได้
 
การสังเคราะห์แสงของพืชจึงเป็นการปรุงอาหาร
การสังเคราะห์ความจริงด้าน “โลกิยธรรม” ของมนุษย์
จึงเป็นการสังเคราะห์วัตถุดิบด้วยปัญญาของวิญญาณ
เพื่อนำไปใช้เป็นอาหารในการดำเนินชีวิตประจำวัน
ร่วมกับครอบครัวและผู้คนในสังคมอย่างเป็นปีติสุข
 
สำหรับมนุษย์โลกจากอดีตกาลที่ผ่านมา
มักถูกสอนให้เชื่อตามถูกจูงใจให้เชื่อตามกันตลอดมา
กระบวนการคิดของสมองสองซีกของคุณจึงถูกปิดมิติ
ลักษณะการปิดมิติก็คือ #การกดปุ่มคิดเองไม่เป็น
จนมีนิสัยชอบไหว้วานให้คนอื่นๆคิดแทนตนเอง
เช่น กรณีเมื่อมีปัญหาขึ้นมาก็มักจะหันไปถามคนอื่น
จึงกลายเป็นมนุษย์เจ้าปัญหาที่น่าเบื่อน่ารำคาญไป
ซึ่งนับวันตนเองจะมีแต่ความโง่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ขณะคนรอบข้างที่ถูกป้อนคำถามก็จะฉลาดขึ้นเรื่อยๆ
เพราะพวกเขาไม่เบื่อตอบแต่ขยันคิดขยันลับปัญญา
 
นอกจากนั้น
การถูกจูงใจให้เชื่อตามทำตามหรือให้ชอบตาม
เป็นวิธีการ “ขายความคิดความรู้” ของมอดมาร
โดยใช้อามิสรางวัลทั้งด้านบวกหรือด้านลบมาจูงใจ
การจูงใจที่มักจะใช้กันคือด้านบวกโดยจูงใจให้ชอบ
เมื่อคุณชอบสิ่งที่เขาเอามาจูงใจนั้นคุณก็จะเชื่อตาม
ขณะที่ยังมีการจูงใจทางด้านลบโดยจูงใจให้ไม่ชอบ
เมื่อไม่ชอบสิ่งที่เขาเอามาจูงใจนั้นคุณก็จะไม่เชื่อตาม
โดยสิ่งที่เขาเอามาจูงใจมนุษย์ก็คือ “รางวัลจูงใจ”
ซึ่งเป็นรางวัลที่อยากได้กับรางวัลที่คุณไม่อยากได้
พวกเขาเรียกว่า #ทฤษฎีหัวแครอท&ทฤษฎีไม้เรียว
อันเป็นทฤษฎีการจูงใจซึ่งกำเนิดมาจากโลกตะวันตก
ถิ่นที่มอดจากต่างแดนแฝงตัวเป็นๆเข้ามาตั้งแต่แรก
 
พวกคุณจึงต้องรู้ว่า
พระเจ้าทรงสร้างและติดตั้งจิตสามนึกเอาไว้ให้แล้ว
จิตสามนึกหมายถึงสามตัวนึกคือนึกออกนึกเอานึกเอง
ทั้งสามตัวนึกก็คือต้นกำเนิดพฤติกรรมของมนุษย์
ถ้าจิตหยาบของคุณ “นึกไม่เป็น” คุณก็จะ “คิดไม่เป็น”
 
คำว่า “นึกไม่เป็น” หมายถึงตั้งคำถามตัวเองไม่เป็น
คุณจะกลายเป็นคนจำพวก “ไปไหนมาสามวาสองศอก”
ซึ่งเป็นพวกที่พูดคุยกับใครก็ไม่รู้เรื่องคิดรู้เองก็ไม่ได้
คุณจะกลายเป็นคน “นึกไปตามกิเลส” ให้กิเลสพาไป
ทำให้คุณมองโลกด้วยกิเลสจนแลไม่เห็นความจริงได้
โดยมนุษย์ส่วนใหญ่ที่ตกเป็นทาสการจูงใจของมอด
จะเป็นคนโง่ง่ายงมงายกับความรู้แบบผิดๆจนดักดาน
คนพวกนี้จะปฏิเสธขนมปังของพระเจ้าไปเอายาพิษแทน
ยังผลให้เข้าถึงพลังอำนาจสูงสุดในตนเองกันไม่ได้
 
จะใช้สติปัญญาของสมองซีกซ้ายก็ไม่เป็น
เพราะถูกปิดกั้นการคิดด้วยค่านิยมทางสังคม
ที่มักสอนให้เชื่อตามทำตามพูดตามคนอื่นจนเคยตัว
เพราะถูกสอนให้เสพติดกิเลสจนเข้ากระดูกดำ
กิเลสจึงครอบงำจิตหยาบเอาไว้เสียจนมืดมิด
ทำให้จิตหยาบไม่อาจเข้าถึงสติปัญญาของสมองได้
เพราะกิเลสคอยบงการให้นึกตามคิดตามมันนั่นเอง
ซึ่งเป็นแผนการโสโครกของมอดมารผู้หวังร้ายทั้งสิ้น
 
นอกจากความจริงของทุกสิ่งในมิติโลกทางกายภาพ
จะมีสาเหตุมีที่มาของการเกิดดังกล่าวมาทั้งหมดแล้ว
หากเราจะชวนคุณให้หันมามองเรื่องนี้ในอีกมุมหนึ่ง
ก็สามารถจะกล่าวได้ว่าทุกสิ่งในเอกภพอันไพศาลนี้
ล้วนมี “ผู้ให้กำเนิด” ด้วยกันทั้งสิ้นก็ย่อมได้
 
ตัวอย่างเช่น
ดอกไม้ผลไม้หน่อไม้ก็เป็นผลของต้นไม้ต้นนั้น
ต้นมะพร้าวเมื่อออกผลก็จะเป็นผลของมะพร้าวต้นนั้น
มะพร้าวต้นนั้นจะมีดอกออกผลเป็นของต้นอื่นไม่ได้
หมูหมากาไก่ตัวไหนที่เป็นผู้ออกไข่ออกลูก
หมูหมากาไก่ตัวนั้นก็จะเป็นเจ้าของไข่เจ้าของลูก
หมูหมากาไก่ตัวนั้นจะออกไข่ออกลูกแทนตัวอื่นไม่ได้
พวกคุณที่เป็นมนุษย์ก็เช่นเดียวกัน
พ่อแม่ของใครก็เป็นพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของคนนั้น
พ่อแม่ของใครก็คือผู้เป็นเหตุแห่งการเกิดของคนนั้น
คำว่า “ผู้เป็นเหตุแห่งการเกิด” หมายถึง #ผู้ให้กำเนิด
อันหมายถึงบิดามารดาผู้ที่เป็นเหตุให้คุณเกิดนั่นแหละ
 
คุณอย่าลืมว่าพวกคุณเป็น #คนสองมิติ
มิติแรกเป็นมิติแก่นแท้ก็คือจิตวิญญาณผู้อาสามาเกิด
มิติที่สองเป็นมิติของกายหยาบก็คือมิติทางกายภาพ
อันประกอบด้วยจิตหยาบกับกายสังขารฝ่ายเนื้อหนัง
เมื่อคุณยอมรับว่าตัวคุณเองมีพ่อกับแม่เป็นผู้ให้กำเนิด
คุณก็ต้องยอมรับต่อไปว่าจิตวิญญาณแก่นแท้ของคุณ
ต้องมีตัวตนหรือมีรูปธรรมของ “ผู้ให้กำเนิด” เช่นกัน
จิตวิญญาณจะถือกำเนิดเองไม่ได้แน่
 
ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากองค์จิตจักรวาล
เพื่อวิสุทธิชนยุคสุดท้ายผู้เป็นลูกแกะของพระเจ้า
 
เอเมน สาธุ
ปัญญาวิสุทธิ์
30/08/2566

29 สิงหาคม 2566

คำสอน 29/08/2023

 

จิตหยาบจะยกระดับสู่มิติที่สูงขึ้นได้
ต้องว่างจากกิเลสอย่างสิ้นเชิงเท่านั้น
ทั้งต้องหมุนธรรมจักรด้วยรักเพื่อให้
ได้ทุกเงื่อนไขในชีวิตประจำวันด้วย

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 29/08/2023

#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
เพราะความจริงที่เป็นระดับ #อนุตรธรรม นั้น
สมองสองซีกของมนุษย์โลกทุกคนมีขีดจำกัดอยู่
จึงไม่สามารถที่จะเข้าถึงความจริงขั้นสูงสุดนี้เองได้
พระเจ้าจึงทรงมีพระเมตตาบัญชาให้ #พระบุตรเอก
ซึ่งเป็นพระจิตวิญญาณจากพระนิเวศน์คือแดนสุญตา
เดินทางข้ามมิติเข้ามาในห้องทดลองของพระองค์
ห้องทดลองก็คือ “เอกภพ” หรือ “อนันตจักรวาล”
ให้มาเกิดเป็น #คนสองมิติ มาทำหน้าที่ในระบบโลก
ในบทบาทของ #พระศาสดาที่มาจากพระเจ้า
 
พระบุตรเอกผู้รับบทบาทพระศาสดาที่มาจากพระเจ้า
จะเสด็จเข้ามาทำหน้าที่ประกาศอนุตรธรรมแก่มนุษย์
เฉพาะในวาระสำคัญที่โลกกำลังวิกฤตด้านจิตสามนึก
จนยังผลให้ดาวเคราะห์โลกเกิดอาการเสียสมดุลไป
โดยจะทรงเสด็จมากล่าวพระโอวาทประกาศอนุตรธรรม
ในพระนามของพระบิดาแห่งจิตวิญญาณหรือพระเจ้า
ซึ่งพระบุตรเอกจะทำการสื่อสารสองทางกับพระเจ้า
ระบบจิตสู่จิตในแนวดิ่งที่เรียกว่า Vertical Telepathy
ด้วยความฉลาดสูงสุดขั้น #อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
 
เพราะความจริงของจิตวิญญาณเบื้องหลังมิติโลกนั้น
จิตหยาบจะใช้สติปัญญาและปัญญาญาณสมองสองซีก
ทำการนึกคิดเพื่อวิเคราะห์และสังเคราะห์เองไม่ได้
จึงมีเพียงพระเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้นที่ทรงรู้ความจริง
สามารถบอกกล่าวเล่าความให้ลูกแกะของพระองค์รู้ได้
 
คุณจึงสังเกตได้ไม่ยากว่าพระศาสดาที่มาจากพระเจ้า
เมื่อกล่าวพระโอวาทก็จะทรงอ้างถึง “พระเจ้า” เสมอ
เพราะพระบุตรเอกเป็นหนึ่งในกระบวนการสามเหลี่ยม
ที่เสด็จมาจุติอยู่ในระบบโลกเพื่อทรงเป็นหนึ่งในสามมุม
ในปฏิบัติการสามเหลี่ยมกับพระเจ้าและตัวตนภาคแรก
ซึ่งต่างสถิตประทับอยู่ในแดนสุญตานอกระบบเอกภพ
เพราะว่าพระบุตรเอกจะสื่อสารกับพระเจ้าได้ก็ต่อเมื่อ
ต้องสร้างปฏิบัติการทำสามเหลี่ยมแบบที่ว่านี้เท่านั้น
 
ปฏิบัติการทำสามเหลี่ยมกับพระเจ้าประกอบด้วย
มุมบนสุดของสามเหลี่ยมก็คือพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ส่วนมุมล่างขวาก็คือจิตจักรวาลดวงเล็กหรือ “พระบุตร”
ซึ่งเป็นตัวตนภาคแรกของพระบุตรเอกหรือ “พระจิต”
ที่ประจำอยู่มุมล่างซ้ายของสามเหลี่ยมรูปเดียวกันนี้
 
มุมบนสุดของสามเหลี่ยมจะเป็นที่สถิตของพระเจ้า
ซึ่งพิกัดตำแหน่งแท้จริงก็คือจุดศูนย์กลางของจักรวาล
ที่พวกคุณต้องถวายพระนามว่า #องค์จิตจักรวาล
โดยทุกสรรพสิ่งที่ทรงสร้างขึ้นไว้ในเอกภพอันไพศาลนี้
ล้วนเกิดจากจุดศูนย์กลางจักรวาลจุดเดียวกันทั้งสิ้น
 
มุมล่างขวาของสามเหลี่ยมจะเป็นที่สถิตของ #พระบุตร
พระบุตรก็คือ #จิตจักรวาลดวงเล็ก ที่มีสิบเอ็ดเหลี่ยมมุม
ซึ่งมีพิกัดตำแหน่งที่ตั้งอยู่บนพระอุระของ “พระเจ้า”
โดยทั้งพระเจ้าและพระบุตรคือจิตจักรวาลดวงเล็กนั้น
ล้วนสถิตอยู่นอกเอกภพซึ่งเป็นห้องทดลองของพระองค์
 
ส่วนมุมล่างซ้ายของปฏิบัติการสามเหลี่ยมนี้
จะเป็นพิกัดที่ตั้งของพระจิตคือจิตวิญญาณของพระบุตร
ที่เป็นรูปธรรม 6 เหลี่ยมมุมหรือ 6D ซึ่งอยู่ในเอกภพ
ผู้ขันอาสาพระเจ้าเข้ามากล่าวพระโอวาทต่อชาวโลก
ในพระนามของพระองค์เพื่อฉุดช่วยจิตวิญญาณพวกคุณ
ให้สามารถจำทางกลับบ้านและรู้วิธีหลุดพ้นออกไป
เพื่อกลับไปกราบพระบาทพระบิดาแห่งจิตวิญญาณได้
ด้วยความปลอดภัยภายในก่อนวันสิ้นยุคพลังงานเก่า
 
ถ้าพวกคุณที่เป็นชาวโลกรูปธรรมใดก็ตาม
ต้องการเข้าถึงพระเจ้าหรือพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ก็สามารถทำสามเหลี่ยมกับพระเจ้าผ่านพระบุตรเอกได้
ด้วยวิธีการเชื่อมจิตหยาบและจิตวิญญาณของคุณ
เข้ากับปฏิบัติการสามเหลี่ยมกับพระเจ้าผ่านพระบุตรเอก
โดยยอดสามเหลี่ยมจะเป็นพิกัดที่ตั้งของพระเจ้า
มุมล่างขวามือของคุณจะเป็นที่ตั้งของพระบุตรเอก
ส่วนมุมล่างซ้ายมือจะเป็นพิกัดตำแหน่งของคุณเอง
 
คุณสามารถทำสามเหลี่ยมดังกล่าวนี้
บนสภาวะจิตที่เป็นสมาธิโดยสร้างจินตนาการขึ้นมา
ด้วยการสำนึกรู้ว่ามีพระเจ้ามีพระบุตรเอกและมีตนเอง
โดยใช้ความเชื่อความรักและความศรัทธาเชื่อมกันไว้
ขณะปฏิบัติการทางเท็คนิกนี้ฝ่าเท้าต้องสัมผัสกับโลก
เครื่องยนต์แห่งกรรมของคุณจึงจะมีพลังงานเต็มเปี่ยม
ส่วนควายสามตัวที่ใช้เชื่อมสามเหลี่ยมในจินตนาการนี้
จะเป็นตัวช่วยเติมเต็มพลังงานที่ต้องใช้ให้เต็มล้นด้วย
 
พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
 
#พระบุตรเอก ก็คือบุตรโทนพระองค์เดียวของพระเจ้า
ที่เป็นจิตวิญญาณแก่นแท้เหมือนในมนุษย์ทุกคน
แต่ทรงขันอาสามากล่าวพระโอวาทในนามของพระองค์
เพื่อเติมเต็มสัจธรรมความจริงชั้นสูงสุดคืออนุตรธรรม
ที่พระศาสดาซึ่งเกิดจากโลกเข้าถึงความจริงนี้ไม่ได้
เพราะข้อจำกัดของสมองสองซีกที่ติดตั้งไว้ในมนุษย์
 
ดังนั้น
จิตวิญญาณหรือพระจิตซึ่งเป็นตัวตนแก่นแท้
ในความเป็นมนุษย์ของพวกคุณทุกๆรูปธรรม
จึงล้วนเป็นพี่ๆน้องๆทางจิตวิญญาณด้วยกันทั้งสิ้น
เพราะพวกคุณมีพระบิดาผู้ให้กำเนิดพระองค์เดียวกัน
ต่างขันอาสาพระองค์ถือพันธะสัญญา 6 ข้ามมิติมา
เพื่อทำหน้าที่ใช้เมตตาธรรมค้ำจุนโลกร่วมกันทั้งสิ้น
 
คำว่า “เมตตาธรรม” หมายถึง #ความรักในธรรมชาติ
คือพลังงานในรูปของคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็ก
ชนิดเดียวกันกับคลื่นความถี่ของสนามแม่เหล็กโลก
ซึ่งเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ของพวกคุณนั้น
พระเจ้าทรงกำหนดสร้างและติดตั้งเอาไว้ให้ใช้อยู่แล้ว
เพียงแค่ทุกคนต้องเรียนรู้ที่จะใช้มันให้ได้ใช้มันให้เป็น
 
#การเรียนรู้ที่จะใช้มันให้ได้ก็คือการเรียนรู้ธรรมะ
#การเรียนรู้ที่จะใช้มันให้เป็นก็คือการปฏิบัติธรรม
#การปฏิบัติธรรมก็คือการทำตามข้อที่ต้องปฏิบัติ
#การปฏิบัติธรรมก็คือการละเว้นข้อห้ามที่มิให้ปฏิบัติ
 
คุณรู้หรือไม่ว่า
การเป็นผู้ปฏิบัติธรรมแบบคนชอบธรรมของมนุษย์นั้น
มิใช่เรื่องยากอย่างที่พวกคุณเผชิญกันตลอดมาหรอก
แต่เพราะพวกคุณถูกลวงบ้างสัจธรรมถูกบิดเบือนบ้าง
จากสิ่งที่เรียบง่ายจึงกลายเป็นเรื่องยากเหตุจากอุตริ
ที่ศัตรูมนุษย์ผู้ไม่ประสงค์ดีซึ่งแฝงตัวอยู่ในระบบโลก
วางแผนดำเนินการทั้งลับและเปิดเผยมานับพันปีแล้ว
 
เพื่อต้องการให้จิตวิญญาณพวกคุณตายไร้ความอมตะ
จะได้ผลัดกันเวียนว่ายตายเกิดเพื่อให้มีหลายๆภพชาติ
จนไม่อาจจะคืนกลับบ้านด้วยการหลุดพ้นออกไปได้
 
เพื่อให้พวกคุณละทิ้งตนเองออกไปจากโลกเสรีชั่วคราว
เพื่อลดเครื่องยนต์แห่งกรรมที่คอยค้ำจุนโลกให้น้อยลง
ทำให้อำนาจแม่เหล็กโลกลดความเข้มลงไปจากปกติ
ทำให้โลกเสรีนี้เหมาะกับการแอบแฝงตัวอยู่ของตนได้
โดยหลอกให้มนุษย์สร้างสวรรค์มายาตามแบบของตน
โดยมีกิเลสเป็นเครื่องสร้างความเชื่อกับความอยากขึ้น
จนจิตวิญญาณมนุษย์ที่ตกหลุมพรางพวกเขาไป
เมื่อตายแล้วอยากไปสวรรค์กันมากกว่าหลุดพ้นกลับบ้าน
อยากไปสวรรค์มายามากกว่าการกลับมาเกิดเป็นมนุษย์
จึงเข้าแถวหลุดลอยขึ้นไปค้างอยู่บนนั้นกันมากมาย
ส่วนใหญ่จะเป็นคนชอบธรรมแต่จิตยังเสพติดกิเลสอยู่
 
จิตวิญญาณที่หลงทางนิพพานขึ้นไปอยู่บนนั้น
คือลูกแกะของพระเจ้าพวกที่ถูกลักขโมยเอาตัวไป
 
เพราะฝูงแกะพวกนี้จำเจ้าของผู้เลี้ยงดูไม่ได้บ้าง
เพราะตามหัวขโมยไปแบบเชื่องๆไม่ดูตาม้าตาเรือบ้าง
ถูกหลอกให้เสพติดกิเลสจนปิดบังปัญญาของตนไว้บ้าง
ถูกหลอกให้เชื่อว่าสวรรค์มายาดีกว่าโลกมนุษย์บ้าง
ถูกหลอกให้เชื่อว่าไปสวรรค์ได้หมายถึงนิพพานแล้วบ้าง
ถูกหลอกให้นั่งหลับตาเพื่อดับขันธ์ห้าผลาญเวลาไปบ้าง
ถูกหลอกว่าขันธ์ห้าเป็นอัตตาต้องดับมันให้สิ้นบ้าง
 
หลอกว่าดับขันธ์ห้าได้จิตวิญญาณก็จะไม่มีเหตุให้เกิดอีก
เพราะหลอกว่าขันธ์ห้าเป็นอัตตาเป็นสาเหตุแห่งการเกิด
เพราะถูกหลอกให้เชื่อมากกว่าการสอนให้ฉลาดคิด
เพราะหลอกให้หลงในอิทธิฤทธิ์อภิญญาแสวงหาอุตริ
จนทำให้พลังอำนาจทางจิตวิญญาณคือจิตใต้สำนึกเสื่อม
 
สิ่งเลวร้ายที่เรากล่าวมาทั้งหมดนี้
มันคือการหลอกลวงให้ฝูงแกะพวกนี้หลงทาง
โดยพยายาม “ปีนรั้วกลับเข้าคอก” เพื่อจะไปหาเจ้าของ
ทั้งๆที่ประตูคอกแกะบานใหญ่ที่เคยผ่านออกมา
ยังเปิดอ้ารอฝูงแกะให้เดินผ่านกลับเข้าไปอยู่
 
ลูกแกะตัวที่โง่ง่ายก็จะซังกะตายปีนรั้วกลับเข้าคอก
ขณะที่คนเลี้ยงแกะดูแลฝูงแกะของพระเจ้าผู้กลับมา
ป้องปากส่งเสียงร้องตะโกนบอกให้รู้ว่าประตูคอกอยู่นี่
ฟ้ากำลังจะมืดค่ำและศัตรูตัวร้ายคือขโมยตัวแสบกำลังมา
ภัยอันตรายรออยู่ข้างหน้าถ้ามัวแต่อ้อยอิ่งกันอยู่
ภัยที่ว่านี้มีทั้งภัยพิบัติจากปฏิบัติการชำระโลก
และภัยอันตรายจากศัตรูตัวร้ายและพวกขโมยตัวแสบ
ที่เป็นพวกมอดตัวเป็นๆและเป็นวิญญาณของผีโสโครก
จะออกมาอาละวาดกวาดเอาชีวิตและพรากจิตวิญญาณ
ลูกแกะของพระเจ้าที่ไม่เอาไหนให้ด่าวดิ้นสิ้นไป
 
ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากองค์จิตจักรวาล
เพื่อวิสุทธิชนยุคสุดท้ายผู้เป็นลูกแกะของพระเจ้า
 
เอเมน สาธุ
ปัญญาวิสุทธิ์
29/08/2566

28 สิงหาคม 2566

คำสอน 28/08/2023

 


จิตวิญญาณเอเลี่ยน
เดิมมี 6 เหลี่ยมมุมคือ 6D
เกิดมานานจนเสื่อมเหลือแค่ 5D
มนุษย์มีจิตหยาบเริ่มจากศูนย์
ยกระดับในท้องแม่ถึง 4D แล้วคลอด
คลอดแล้วต้องยกระดับไปให้ถึง 6D
เพื่อหลุดพ้นกลับบ้าน

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 28/08/2023

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อวิสุทธิชนยุคสุดท้าย)
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
เพราะมนุษย์โลกทั้งหลายไม่รู้ว่า
จิตวิญญาณแก่นแท้ของตนมาเกิดที่โลกนี้ทำไม?
เมื่อได้มาเกิดแล้วตนเองมีหน้าที่ต้องทำอะไรบ้าง?
จึงทำให้ดำเนินชีวิตกันอย่างไม่ถูกต้องตรงจริง
สาเหตุที่ไม่มีใครรู้คำตอบในสองคำถามที่ว่านี้
ก็เป็นเพราะว่าความจริงทั้งสองประเด็นนี้นั้น
มันเป็นสัจธรรมความจริงระดับ #อนุตรธรรม นั่นเอง
 
ความจริงระดับ “อนุตรธรรม” หมายถึง
#ความจริงที่เหนือความจริงในมิติโลกทางกายภาพ
 
ความจริงในมิติโลกทางกายภาพที่ว่านี้นั้น
เป็นความจริงที่คุณใช้กลไกอายตนะภายนอกทั้งห้า
สัมผัสรู้ดูเห็นเพื่อ “เรียนรู้” ความจริงเหล่านั้น
ด้วยความฉลาดทางปัญญาของสมองซีกซ้ายได้ง่าย
ซึ่งความฉลาดของสมองซีกซ้ายก็คือ “สติปัญญา”
 
แต่ความจริงระดับ “อนุตรธรรม” ที่ว่านี้
เป็นความจริงที่สมองสองซีกทั้งซ้ายและขวา
คือสติปัญญาและปัญญาญาณจะเข้าถึงมันไม่ได้เลย
ที่สำคัญก็คือแค่นึกที่จะตั้งคำถามทั้งสองประการนี้
เพื่อให้สมองคิดหาคำตอบมาให้ได้ก็แสนยากแล้ว
 
มีมนุษย์เพียงรูปธรรมเดียวเท่านั้นที่ทำได้
พระองค์นั้นก็คือสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ซึ่งทรงเป็นองค์พระศาสดาแห่งศาสนาพุทธนั่นเอง
โดยทรงพากเพียรนึกคิดหาคำตอบอยู่หลายภพชาติ
ในที่สุดก็สามารถตรัสรู้เพราะเข้าถึงคำตอบได้ว่า
จิตวิญญาณของพระองค์มาเกิดอยู่ในระบบโลกเสรีนี้
เพื่อหมุนธรรมจักรในตนเองและหมุนร่วมกับคนอื่นๆ
โดยใช้ #ความรักเพื่อให้ จากจิตหยาบนี่แหละ
สั่นสะเทือน “จิตสามนึก” ให้เกิดเป็น “ขันธ์ห้า”
ทันทีที่จิตหยาบรับรู้สิ่งเร้าจากอายตนะภายนอก
 
ขันธ์ 5” หมายถึงการสั่นสะเทือนทางจิตสามนึก
เป็นกระบวนการรับรู้เพื่อเรียนรู้รวมทั้งสิ้น 5 ขั้นตอน
นั่นคือรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์
และขั้นตอนที่ห้าเป็นขั้นสุดท้ายก็คือวิญญาณขันธ์
คำว่า “ขันธ์” หมายถึงกลุ่มหรือจำพวกหรือหมวดหมู่
ซึ่งกระบวนการขันธ์ห้าถ้าสั่นสะเทือนด้วยรักเพื่อให้
คือกระบวนการ “หมุนธรรมจักร” ในตนเองห้าขั้นตอน
แต่กระบวนการขันธ์ห้านี้ถ้าคุณสั่นสะเทือนด้วยกิเลส
อันหมายถึงรักเพื่อเอารวมทั้งอารมณ์ขยะแบบต่างๆ
มันก็จะเป็นการ “หมุนกรรมจักร” ในตนเองเช่นกัน
 
พระพุทธองค์ทรงเข้าถึงคำตอบที่ว่านี้ได้
ด้วยอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ซึ่งเป็นอำนาจทางปัญญาสูงสุดที่มนุษย์ทั่วไปไม่มี
จึงทรงรับรู้ได้ว่าจิตวิญญาณของพระองค์และมนุษย์
มีหน้าที่ใช้จิตหยาบให้เป็นผู้ทำงานแทนเมื่อมาเกิด
เพื่อรับบทบาทการ “คนสองมิติ” ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
โดยวิธีการคนสองมิตินั้นทำได้ด้วยวิธีหมุนธรรมจักร
เป็นพลังจาก “รักเพื่อให้” ดังได้กล่าวไว้ในตอนต้นนั้น
มหัศจรรย์ของขันธ์ห้าที่สั่นสะเทือนด้วยรักเพื่อให้
จะทำให้เกิด #พลังงานด้านบวก แบบที่โลกต้องการ
 
พลังงานบวกในแบบที่ “โลก” ต้องการก็คือ
คลื่นความถี่ทางพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
ซึ่งชาวโลกเรียกกันสั้นๆว่า #พลังจิตด้านบวก
โดยจิตวิญญาณทุกรูปธรรมที่อาสาพระเจ้ามาเกิด
ก็เพื่อช่วยกันชวนกันร่วมกันหมุนธรรมจักรให้เต็มกำลัง
เพื่อผลิตสร้างพลังงานที่สะอาดและบริสุทธิ์ออกมา
ด้วยการใช้อายตนะกับขันธ์ห้าของจิตหยาบที่ตนมีอยู่
เป็นพฤติกรรมด้านบวกให้เกิดขึ้นในสองมิติให้ได้
นั่นคือมโนกรรมกับกายกรรมและวจีกรรมที่เป็นคำพูด
ตามคำกล่าวที่ว่า #จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว นั่นเอง
 
พลังงานจากขันธ์ห้าในรูปคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็ก "ด้านบวก"
จะเป็นผลกรรมในมิติทางพลังงานแบบที่โลกต้องการ
ก็ต่อเมื่อคุณใช้ความรักเพื่อให้ด้วยจิตใจบริสุทธิ์เท่านั้น
เช่น เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา เป็นต้น
ผ่านการสั่นสะเทือนด้วยความอดทน อดกลั้นและอภัย
โดยไม่มีให้เพื่อตนเองเพื่อกูหรือเจาะจงว่าจะให้ใคร
ซึ่งเป็นการผลิตพลังงานใหม่ขึ้นมาแบบมีเจ้าของนั่นเอง
 
ถ้าพลังงานที่ผลิตขึ้นมาแล้วมีเจ้าของ
พลังงานนั้นจะไม่บริสุทธิ์และไม่สะอาดอย่างแท้จริง
มันจะเป็นได้แค่ #พลังงานกรรม ของใครของคนนั้น
ผลิตสร้างออกมาแล้วมันจะล่องลอยอยู่ในอวกาศ
เพื่อรอให้เจ้าของตามที่ระบุไว้ตายแล้วกลับมาเกิดใหม่
มาแสดงความรับผิดชอบเพื่อชำระ “ขยะพลังงาน” นั้นทิ้ง
ตามคำกล่าวที่ว่า #กรรมใครคนนั้นกำ ใครทิ้งคนนั้นเก็บ
เพราะในมิติทางพลังงานด้านของจิตวิญญาณนั้น
ถ้วนทุกสิ่งล้วนเป็นสัจจะความจริงทั้งหมดทั้งสิ้น
 
การแสดงความรับผิดชอบก็คือ
การเกิดใหม่เพื่อกลับมาชดใช้กรรมนั้นด้วยบทเรียนเดิม
กับการเกิดใหม่เพื่อชดใช้กรรมดีตามที่ตนร้องขอเอาไว้
เพราะมีแต่การชดใช้เท่านั้นที่จะทำให้ขยะพลังงาน
ที่พวกคุณสร้างไว้ในอดีตชาติแตกสลายหายไปหมดได้
เพราะพลังงานกรรมมันเป็นพลังงานที่มีมวลหยาบๆ
ซึ่งโลกอันหมายถึงทุกสรรพสิ่งที่ดำรงอยู่ในระบบโลก
ไม่อาจจะจับฉวยหรือหยิบเอาไปใช้โดยพละการได้
 
ถ้าพวกคุณต้องการผลิตพลังงานด้วยขันธ์ห้า
ให้เป็นพลังงานสะอาดตามแบบที่โลกต้องการ
มิใช่พลังงานกรรมแบบที่คุณต้องการหรือว่าอุทิศให้ใคร
เมื่อคุณทำบุญสุนทานก็อย่าอธิษฐานขอสิ่งแลกเปลี่ยน
จงอย่าตั้งจิตอุทิศส่วนบุญกุศลนั้นเป็นส่วยเพื่อช่วยใคร
เพราะผลลัพธ์ทางพลังงานที่เกิดขึ้นนั้นจะไม่สะอาด
คำว่า “ไม่สะอาด” หมายถึงพลังงานนั้นจะมีเจ้าของ
เมื่อมีเจ้าของแสดงว่ามันเป็นสมบัติส่วนตัวมิใช่สาธารณะ
 
คำว่ามิใช่ของสาธารณะคือไม่เป็นธรรมชาติ
เพราะของธรรมชาติหมายถึงสิ่งที่เป็นสากลไม่มีเจ้าของ
ตัวอย่างเช่นก๊าซออกซิเจนที่สิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลก
ช่วยกันผลิตพลังงานด้านบวกป้อนให้โลกนำไปใช้
จากกระบวนการหมุนธรรมจักรร่วมกันในยามตื่น
เพื่อช่วยให้อะตอมของธาตุออกซิเจนภายในแกนโลก
ระเบิดเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่แบบ Nuclear Fission
ทำให้แกนโลกบิดตัวแล้วคายก๊าซออกซิเจนออกมา
โดยก๊าซออกซิเจนที่แทรกซึมขึ้นมายังพื้นผิวโลกนั้น
ได้จากทุกสรรพสิ่งที่มีชีวิตร่วมด้วยช่วยกันผลิตขึ้นมา
เพราะไม่มีผู้ใดรู้ว่าความรักสร้างปรากฏการณ์นี้ได้
จึงไม่มีใครแสดงความเป็นเจ้าของหรือจองไว้ให้ใคร
ก๊าซออกซิเจนที่ทุกคนต้องหายใจที่มีในอวกาศโลก
จึงเป็นสมบัติสาธารณะเป็นสิ่งธรรมชาติตลอดมา
 
โชคยังดีที่จนกระทั่งปัจจุบันนี้
ไม่เคยมีใครรู้ความจริงที่เรากล่าวนี้มาก่อน
มิเช่นนั้นแล้วมนุษย์จะกระทำอุตริแบ่งเขตพื้นที่
เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของก๊าซออกซิเจน
แบบของกูของมึงจนต้องแย่งอากาศหายใจกันแน่ๆ
จนถึงขั้นทำสงครามแย่งก๊าซออกซิเจนกันก็ไม่รู้ได้
 
เพราะศัตรูมนุษย์ได้บิดเบือนผ่านคนนำทางตาบอด
โดยสอนให้พวกคุณเสพติดกิเลสจนเคยตัวไปแล้ว
แม้กระทั่งการทำบุญสุนทานก็ยังชวนให้ทำด้วยกิเลส
พลังงานที่จิตหยาบสร้างขึ้นจึงเป็นพลังงานไม่สะอาด
พลังงานไม่สะอาดจึงเป็น “ขยะพลังงาน” ที่รกโลก
ซึ่งโลกเองและทุกสรรพสิ่งที่มีอยู่จริงในระบบโลกนั้น
ไม่อาจนำไปใช้ประโยชน์อะไรได้นอกจากเจ้าของมัน
ที่จะต้องตายในชาตินี้แล้วมาชำระให้สิ้นในชาติหน้า
 
ทั้งผลกรรมทางพลังงานที่เกิดจากกรรมจักร
ซึ่งพวกคุณก่อกันขึ้นมาในทุกวินาทีของทุกวี่วัน
มันก็เป็นพลังงานกรรมที่สกปรกและเป็นขยะรกโลก
เพราะโลกและทุกสรรพสิ่งเอาไปใช้ประโยชน์ไม่ได้
นอกจากเจ้าของต้องกลับมาชดใช้กรรมนั้นในชาติหน้า
 
นี่จึงเป็นที่มาของการปฏิบัติธรรมแต่เป็น “ปฏิบัติทำ”
เพราะถูกศัตรูผู้ไม่หวังดี “บิดเบือน” สัจธรรมความจริง
ด้วยการหลอกคุณให้หมั่นทำบุญสุนทานก่อกรรมดี
แล้วใส่รหัสจิตเข้าไปให้ผลกรรมที่เกิดนั้นมีเจ้าของไว้
เมื่อเป็นพลังงานที่โลกเอาไปใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้
พวกศัตรูของโลกที่เดินทางมาจากดาวอื่นหรือถิ่นอื่น
ก็จะรอดปลอดภัยจากอำนาจแม่เหล็กโลกที่เข้มข้นได้
เพราะถ้ามนุษย์ใช้กิเลสทำบุญหรือมีชีวิตติดกิเลส
พลังงานที่จะใช้ระเบิดในแกนโลกก็จะลดน้อยลงไป
ยังผลให้ค่าความเข้มสนามแม่เหล็กโลกลดลงไปด้วย
 
พระเจ้าทรงกำหนดให้ความเข้มสนามแม่เหล็กโลก
ทำหน้าที่เป็นเสมือนรั้วป้องกันโลกและทุกสิ่งในระบบ
ให้อยู่รอดปลอดภัยจากผู้รุกรานที่มาจากต่างแดนดาว
โดยที่แดนดาวแต่ละดวงจะมีค่าความเข้มไม่เท่ากัน
สิ่งมีชีวิตในระบบดาวแต่ละดวงมีกายภาพไม่เหมือนกัน
 
ดังนั้น
สิ่งมีชีวิตผู้บุกรุกโลกที่มาจากถิ่นอื่นดวงอื่น
จึงพยายามทำทุกสิ่งผ่านชาวโลกเองให้ช่วยเหลือ
เพื่อให้พวกตนอยู่รอดปลอดภัยในระบบโลกให้ได้
สิ่งแรกที่พวกเขาลงมือทำอยู่และทำมานานแล้ว
นั่นคือหลอกให้พวกคุณเสพติดกิเลสดังกล่าว
ทำให้พวกคุณล้มเหลวในหน้าที่ตามพันธะสัญญา6
โดยเฉพาะบทบาทของ เพื่อนร่วมงานกับโลก”
 
ล้มเหลวแรกก็คือเสพติดกิเลส
จนหมุนธรรมจักรในตนเองไม่สำเร็จ
ล้มเหลวที่สองก็คือเป็นเงื่อนไขด้านบวกให้กันไม่ได้
พฤติกรรมที่แสดงออกต่อกันจึงเป็นแต่ด้านลบ
จนเป็นเงื่อนไขลบที่นำไปสู่การหมุนกรรมจักรแทน
 
ล้มเหลวที่สามก็คือ
โลกเหวี่ยงหมุนช้าลงไปเรื่อยๆจนเสียสมดุล
เพราะชาวโลกมีแต่กิเลสจนจิตสามนึกมนุษย์ตกต่ำ
มนุษย์โลกมีอายุขัยสั้นลงเพราะต้องทิ้งโลกไป
เพื่อนำพาจิตวิญญาณที่เสียสมดุลไปรักษากันในนรก
เมื่อรักษาหายแล้วค่อยกลับมาเกิดใหม่มีภพชาติใหม่
มนุษย์จึงเป็นเพื่อนร่วมงานกับโลกไม่ได้เพราะเหตุนี้
 
ทุกวันนี้
คุณมองดูท้องฟ้าเหนือบรรยากาศโลกกันก็ได้ว่า
ท้องฟ้าจะเต็มไปด้วยเมฆหมอกสีดำสกปรกที่น่ากลัว
ซึ่งเป็นมายาของพลังงานกรรมที่เป็นขยะดังว่านี้ทั้งสิ้น
ปฏิบัติการชำระขยะโลกทั้งผู้สร้างขยะด้วยจึงต้องเกิด
เพื่อจะเปลี่ยนโลกให้มีฟ้าสีทองผ่องอำไพให้จงได้
 
ด้วยเหตุนี้เอง
คนนำทางตาบอดที่มีศัตรูของมนุษย์อยู่เบื้องหลัง
จึงทั้งหลอกลวงชวนเชื่อทั้งบิดเบือนคำสอนพระศาสดา
จนพาพวกคุณที่โง่ง่ายหลงทางนิพพานกันตลอดมา
ในทำนองที่ว่าชวนให้ “นิพพานแบบตาลยอดด้วน”
ด้วยการหลอกให้ไปลอยค้างกันอยู่บนสวรรค์มายา
หลอกว่าบนนั้นเป็นดินแดนของผู้ตายแล้วไม่เกิดอีก
การตายแล้วไม่กลับมาเกิดอีกก็หลอกว่านิพพานแล้ว
ทั้งๆที่เป็นแค่การหลุดลอยไปห้อยอยู่เหมือนค้างคาว
 
โดยให้นิยามคำว่า “นิพพาน” แบบผิดๆตลอดมา
นิพพานในความหมายที่ผิดของศัตรูที่หลอกพวกคุณ
จึงเป็นเพียงแค่ตายแล้วหายตัวไปจากโลกนี้เฉยๆ
หายไปโดยไม่มีใครรู้เห็นว่าคนนั้นย้อนกลับมาเกิดอีก
นี่จึงหายไปแบบ “ตาลยอดด้วน” โคนมีแต่ปลายหาย
อย่างนี้เรียกว่า #ตายแล้วนิพพาน แบบมอดมารไงล่ะ
 
ความจริงเรื่องนิพพานที่ถูกบิดเบือนไปก็คือ
พวกคุณต้องนิพพานกิเลสในจิตหยาบให้สิ้นก่อนตาย
คำว่านิพพานกิเลสก็คือ “ดับการเกิดดับ” ของกิเลส
เมื่อดับกิเลสได้จิตหยาบก็จะต้องไม่เกิดกิเลสขึ้นมาอีก
ซึ่งนิพพานก่อนตายนี้เป็นหน้าที่ของจิตหยาบโดยแท้
 
หากจิตหยาบว่างไปจากกิเลสเพราะนิพพานกิเลสได้
คุณก็จะไม่ต้องตายไม่ต้องมีชาติหน้าจะมีชีวิตอมตะได้
เพราะไม่ต้องละกายสังขารและละทิ้งหน้าที่ประจำโลก
เพื่อเปิดโอกาสให้จิตวิญญาณที่เสียสมดุลได้ไปตกนรก
ในการรักษาจิตวิญญาณด้วยกระบวนการไซโคโชว์
โดยให้ทีมงานท่านยมบาลผู้เชี่ยวชาญช่วยเยียวยาให้
 
เรื่องนิพพานประการที่สองที่ถูกบิดเบือนก็คือ
การนิพพานหลังตายไปจากโลกนี้แล้ว
จิตวิญญาณพวกคุณจะต้องหลุดพ้นกลับบ้าน
โดยหลุดพ้นออกไปจากโลกและเอกภพอันไพศาลนี้
เพื่อกลับคืนสู่บ้านเกิดของจิตวิญญาณที่คุณจากมา
ซึ่งเรียกว่า #แดนสุญตา หรือแดนนิพพานนั่นแหละ
ซึ่งคำว่านิพพานหลังตายแปลว่า “กลับบ้านเกิด” ได้
พวกศัตรูเอานิพพานสองแบบคือก่อนตายกับหลังตาย
มาปรุงเป็นเกาเหลาจนหลอกได้แม้คนนำทางตาบอด
ให้หลงทางนิพพานและเข้าใจผิดกันมาตลอด
 
พวกคุณจะต้องรู้ว่า
เมื่อคุณตายไปจำนวนเพื่อนร่วมงานกับโลกก็ลดลง
ความเข้มสนามแม่เหล็กโลกก็จะมีโอกาสลดลงไปด้วย
เพราะเครื่องยนต์แห่งกรรมประจำโลกคือพวกคุณนั้น
ต้องทิ้งหน้าที่ไปจากโลกเพื่อรักษาฟื้นฟูตนเองกัน
 
นอกจากนั้น
ศัตรูยังหลอกให้มนุษย์อยากหลุดไปขึ้นสวรรค์มายา
ด้วยการทำให้เชื่อว่าอยู่บนนั้นดีกว่าโลกมนุษย์
เพราะโลกมนุษย์นั้นมีแต่ความทุกข์ทรมาน
การเกิดแก่เจ็บตายที่ตนหลอกกระทำต่อมนุษย์ไว้
ก็หยิบยกเอามาเน้นให้เห็นว่าเป็นทุกข์ทั้งสิ้น
ซึ่งเป็นการหลอกมนุษย์ให้ละวางหน้าที่สำคัญ
ที่จิตวิญญาณขันอาสาพระเจ้าเข้ามาทำในระบบโลก
ให้อยากเป็นเทพเทวดาที่หลอกว่าสุขสบายกว่าแทน
 
มิหนำซ้ำยัง “บิดเบือน” การนั่งกรรมฐานสมาธิ
ที่พระพุทธองค์ทรงปฏิบัติเมื่อตอนก่อนบรรลุธรรม
เพื่อการเจริญสมาธิให้จิตหยาบมีพลังคือเป็นสมถะ
ด้วยการกดข่มมันไว้ให้เกิดความสงบชั่วคราวก่อน
แล้วเจริญปัญญาเพื่อฝึกสมองร่วมกับจิตในการคิด
เรียกว่าปฏิบัติสมถะกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน
แต่มารหลอกคนนำทางตาบอดพวกนักพรตนักบวชว่า
การนั่งหลับตาเพ่งจิตข่มจิตไปเรื่อยๆแบบกรรมฐาน
สามารถทำให้นิพพานคือไปสวรรค์มายาที่อยากไปได้
 
เราจะกล่าวความจริงในพระนามของพระเจ้าว่า
กรรมฐานตามแบบมารที่คนนำทางตาบอดฝึกให้ทำ
มันผิดวัตถุประสงค์และรูปแบบที่พระพุทธองค์ปฏิบัติ
พวกมารนำเอามาแค่เปลือกนอกเท่าที่ตาเห็นเท่านั้น
เพราะพวกมารที่เป็นจิตวิญญาณโสโครกทั้งหลาย
ก่อนจะตายไปเป็นจิตวิญญาณของพวกคนยักษ์
ซึ่งเป็นลูกผสมระหว่างคนกับแองเจ้ลผู้บุกรุกโลก
ที่ทำให้จิตวิญญาณของมนุษย์กลับมาเกิดใหม่ไม่ได้
เพราะพวกจิตวิญญาณผู้บุกรุกแย่งชิงการเกิดแทน
จึงถูกชำระทิ้งให้จมน้ำตายในยุคของท่านโนอาห์
เมื่อตายแล้วจึงเป็นจิตวิญญาณที่ล่องลอยไปมา
เพราะมาเกิดใหม่ไม่ได้จะกลับบ้านแดนสุญตาก็ไม่ได้
เนื่องจากไม่ได้ถือพันธะสัญญาหกเหมือนมนุษย์โลก
เป็นได้แค่ล่องลอยเป็นขยะอยู่ในระบบโลกเท่านั้น
 
เหตุที่พวกมารคือจิตวิญญาณโสโครกหลอกมนุษย์
ก็เพื่อความอยู่รอดปลอดภัยของตนเองแท้ๆ
หลอกให้มนุษย์ตายไปขึ้นสวรรค์มายาหรือว่าลงนรก
เพื่อจะลดจำนวนเครื่องยนต์แห่งกรรมในระบบโลก
จะได้ทำให้ค่าความเข้มสนามแม่เหล็กโลกลดลงแล้ว
ยังหลอกให้นั่งกรรมฐานที่ได้แค่สมาธิแต่ปัญญาไม่ได้
 
#สมาธิที่ได้คือการนั่งเพ่งจิตข่มจิตเป็นเวลานานๆ
ด้วยการพยายามไล่จับลิงที่ซุกซนให้อยู่หมัด
ซึ่งเป็นสันดานของจิตหยาบที่มันไม่เคยหยุดอยู่นิ่ง
#ปัญญาไม่เกิดเพราะนึกด้วยจิตคิดด้วยสมองไม่เป็น
เพราะขณะนั่งปฏิบัติไม่ได้ฝึกการคิดด้วยจิตปัญญาเลย
แล้วจะเอาปัญญาหรือความฉลาดมาจากไหนได้
 
การปฏิบัติกรรมฐานอย่างเคร่งครัดของพวกคุณ
ปลายทางจึงไปจบอยู่ที่สวรรค์มายาซึ่งไม่มีอยู่จริง
จิตวิญญาณจะสมมติตนเองว่าเป็นเทพเป็นเทวดา
จะสมมติว่ามีทิพยวิมานมีเมืองแก้วที่หรูหราอยู่อาศัย
ตามกิเลสตัณหาที่ถูกหลอกให้คล้อยตามเชื่อตาม
จนถูกบันทึกลงไปในสัญญาขันธ์โดยจิตใต้สำนึก
แล้วไปนั่งกรรมฐานตามจริตของตนอยู่บนนั้นอีก
นั่งกรรมฐานแล้วก็จะแผ่เมตตาบารมีออกมาดังเดิม
เหมือนตอนที่อยู่บนโลกฝึกไว้อย่างไรก็จะทำแบบนั้น
 
จิตวิญญาณพวกคุณที่หลุดลอยไปอยู่บนสวรรค์มายา
จึงลอยขึ้นไปนั่งสมาธิหมู่กันอยู่บนนั้นเป็นชั้นๆไป
โดยลดหลั่นไปตามน้ำหนักตัวของจิตวิญญาณ
รูปธรรมใดที่มีผลกรรมติดตัวอยู่มากกว่า
รูปธรรมนั้นจะมีน้ำหนักตัวมากกว่าก็จะลอยต่ำกว่า
รูปธรรมใดที่มีผลกรรมน้อยกว่า
รูปธรรมนั้นจะมีน้ำหนักน้อยกว่าก็จะลอยได้สูงกว่า
ซึ่งเป็นที่มาของสวรรค์มายาอย่างมากมายหลายชั้น
 
จิตวิญญาณของคนที่เชื่อว่าสวรรค์มีจริงและอยากไป
จะเป็นจำพวกที่หลงทางนิพพานไปทางนั้นทั้งสิ้น
เพราะความเชื่อและความอยากของจิตสามนึก
มันจะกระตุ้นให้จิตใต้นึกของจิตวิญญาณตนเอง
ทำการเนรมิตสิ่งนั้นขึ้นมาให้จากที่ไม่มีอยู่จริง
ให้เกิดเป็นมายาขึ้นมาเหมือนมันมีอยู่จริงสนองให้
เสมือนว่าเป็นการเนรมิตเพื่อหลอกตัวเองโดยแท้
 
เมื่อไปนั่งสมาธิแบบรวมหมู่กันบนสวรรค์มายาแล้ว
พวกมารที่เป็นจิตวิญญาณผีโสโครกก็จะคอยดักดูด
พลังงานด้านบวกที่เป็นพลังงานสะอาดที่เกิดขึ้น
จากกรรมฐานสมาธิที่เทพเทวดาร่วมกันแผ่ออกมา
ตามสมการพลังงานของพระบิดาคือ ∑βₓ ที่คุณรู้อยู่
โดยรูปธรรมทางพลังงานนามสมมุติว่าเทพเทวดา
แต่ละรูปธรรมจะทำหน้าที่เป็น “คนงานแสง” ให้มาร
แทนที่โลกจะได้รับพลังงานสะอาดจากพวกคุณไป
กลับจะเป็นพวกจิตวิญญาณผีโสโครกรับเอาไปหมด
 
เมื่อไม่กี่ปีมานี้จิตวิญญาณที่ได้ขึ้นสวรรค์มายา
ที่หลงทางไปเป็นคนงานแสงกันอยู่บนนั้นน้อยลง
เพราะคนส่วนใหญ่บนโลกเสพติดกิเลสกันหนักมาก
ทำให้มีคนชอบปฏิบัติธรรมแท้จริงด้วยกิเลสลดลงไป
คนส่วนใหญ่มีจิตสามนึกตกต่ำจึงลงนรกกันมากกว่า
พวกมารจึงต้องการคนงานแสงหรือกรรมกรแสงเพิ่ม
แผนการสร้างคนงานแสงรุ่นใหม่จึงต้องเริ่มขึ้นอีกครั้ง
 
ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากองค์จิตจักรวาล
เพื่อวิสุทธิชนยุคสุดท้ายผู้เป็นลูกแกะของพระเจ้า
 
เอเมน สาธุ
ปัญญาวิสุทธิ์
28/08/2566