31 พฤษภาคม 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล

31/05/2021



พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

พระผู้เป็นเจ้าหรือพระผู้สร้าง
ทรงออกแบบเครื่องยนต์แห่งกรรมเป็นรูปธรรมต้นไม้
โดยทรงมีพระประสงค์ให้เป็นต้นไม้ประจำโลก
จึงทรงออกแบบให้ต้นไม้ทุกต้นมีรากหยั่งลงดิน
แม้จะผลิดอกออกผลหรือแตกหน่อ
ต้นไม้ของพระองค์ที่จะงอกเงยขึ้นมาใหม่
ก็จะมีส่วนรากยึดรั้งไว้กับแผ่นดินโลกเสมอ
แม้แต่ "ต้นไม้บนต้นไม้" ที่ยึดเกาะอยู่บนต้นไม้อื่น
ก็ต้องได้รับสารอาหารผ่านรากของต้นที่ยึดเกาะ

ที่สำคัญคือต้นไม้ใหญ่ทุกต้น
รวมทั้ง "ต้นไม้บนต้นไม้" ต้องชูยอดใบและดอก
เข้าหาพระสุริยเทพตลอดเวลาด้วย
เพราะพระสุริยเทพเป็นตัวแทนของพระเจ้า
ที่จะคอยค้ำจุนการดำรงอยู่ของทุกสิ่งที่ทรงสร้าง
ด้วยการมอบพลังงานความรักเพื่อสร้างพลังชีวิต
ให้แก่เครื่องยนต์แห่งกรรมต้นไม้และไดโนเสาร์
ในรูปของคลื่นพลังงานความร้อนแรงกับแสงสว่าง

ทั้งนี้ยังจะช่วยให้ต้นไม้รู้ด้วยสัญชาตญาณว่า
พวกตนจะขาดพระบิดาหรือพระผู้สร้างไม่ได้
พวกเขาจึงต้องหันเครื่องยนต์แห่งกรรมเข้าหาแสง
พวกเขาจึงต้องเจริญเติบโตสูงขึ้นๆสู่ฟ้าเบื้องบน
ซึ่งเป็นทิศทางที่พระบิดาทรงประทับอยู่เสมอ
เพราะถ้าต้นไม้ไม่รับแสงอันเป็นความรักจากพระองค์
ต้นไม้ก็จะใช้สารอาหารที่ซึมซับผ่านรากมาจากดิน
ไปใช้ปรุงอาหารเพื่อสร้างพลังงานชีวิตในการดำรงอยู่
ด้วยกระบวนการ สังเคราะห์แสง ที่ใบซึ่งมีสีเขียวมิได้

เพราะเหตุนี้เอง
ต้นไม้ทุกต้นที่พระองค์ทรงกำหนดสร้างขึ้นมา
จึงพากันชูลำต้นกิ่งก้านใบดอกผลและหน่อใหม่
ทะยานขึ้นฝั่งฟ้าเข้าหาแสงพระสุริยะทั้งสิ้น
ต้นไม้ทุกต้นแม้พวกเขาพูดสรรเสริญพระเจ้าไม่ได้
แต่พฤติกรรมที่พวกเขาแสดงต่อพระสุริยเทพ
ก็มิได้ต่างจากการมีสำนึกถึงพระผู้สร้างนั่นเอง

จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจอะไรเลย
เมื่อต้นไม้ของพระองค์ที่ทรงสร้างขึ้นบนโลก
จะเติบโตไปในทิศทางสูงขึ้นในแนวดิ่งทั้งสิ้น
ยิ่งกาลเวลาโลกผ่านไปยาวนานมากเท่าใด
ต้นไม้จะอ้วนขึ้นและสูงขึ้นเป็นสัดส่วนกันมากเท่านั้น

แต่ในทางกลับกัน
เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรม "ไดโนเสาร์"
ซึ่งพระองค์ทรงออกแบบไว้ให้มีลำตัวขนานกับพื้น
เพื่อสะดวกต่อการใช้ชีวิตอยู่กับป่าไม้แวดล้อม
โดยมีเฉพาะส่วนหัวเท่านั้นที่สร้างสัมพันธ์กับฟ้า
ขณะที่ตัวจะอ้วนขึ้นและยาวขึ้นในแนวระนาบ
ยิ่งนานวันเข้าลำตัวก็จะยิ่งอ้วนยิ่งยาวมากขึ้น
ซึ่งเป็นการเติบโตที่สวนทางกันกับต้นไม้นั่นเอง

เนื่องจากไดโนเสาร์ทุกตัวตั้งแต่เมื่อแรกสร้าง
ทรงกำหนดให้กินยอดไม้ หน่อใหม่ของต้นไม้
รวมทั้งใบไม้ และผลไม้เป็นอาหาร
เมื่อต้นไม้เติบโตขึ้นในทางสูง
แต่ไดโนเสาร์เติบโตขึ้นในแนวนอน
จึงยังผลให้พวกเขาหาอาหารกินยากขึ้นทุกวัน
เพราะคอก็สั้นเท้าทั้งสี่ข้างก็สั้นปีนต้นไม้ไม่ได้
น้ำหนักตัวหรือก็มากมายหลายสิบตัน
ในที่สุดไดโนเสาร์ของพระองค์ก็พากันล้มตาย
เพราะพวกเขาเกิดวิกฤตจากการขาดอาหาร

พวกที่ยังรอดชีวิตอยู่ได้
ก็กลายเป็นไดโนเสาร์ที่ "ก้าวร้าว" ดุร้าย
เพราะความหิวโหยเป็นเหตุ
จนในที่สุดพวกเขาก็เริ่มเรียนรู้ที่จะเอาชีวิตรอด
ด้วยการไล่จับพวกเดียวกันเองกินเป็นอาหาร

จิตวิญญาณของไดโนเสาร์ตัวที่ดุร้ายมากๆ
เมื่อได้รับโอกาสให้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง
ก็จะพกพาเอานิสัยดุร้ายกลับมาเกิดใหม่ด้วย
พวกนี้จึงมาเกิดใหม่เป็นไดโนเสาร์กลายพันธุ์
โดยมีตัวตนรูปลักษณ์แปลกเปลี่ยนไปจากเดิม
เพราะจิตวิญญาณพวกเขามีพลังอำนาจมากพอ
ที่จะปรุงแต่งรูปลักษณ์เครื่องยนต์แห่งกรรม
ให้มีเขี้ยว งา กรงเล็บและนิสัยที่ดุร้ายแบบนักล่า
เพื่อจะช่วยให้ตนเองอยู่รอดปลอดภัยได้
ด้วยพลังอำนาจที่ดุร้ายก้าวร้าวกว่าตัวอื่นๆ

เมื่อพระองค์ทรงรับรู้ปัญหานี้แล้ว
จึงต้องทรงเรียนรู้ว่า "ปัญหาที่แท้จริง" คืออะไร
จะได้จัดการแก้ไขให้ถูกต้องเหมาะสมและดีงาม
ปัญหาที่ทรงค้นพบความจริงจากการทดลองนี้ก็คือ

1.ต้นไม้สูงใหญ่ ขึ้นเรื่อยๆ
จนไดโนเสาร์ทั้งหลายปีนป่ายเก็บกินยอดใบไม่ถึง
พวกที่ไม่มีอะไรจะกินจึงพากันล้มตาย
ไดโนเสาร์หลายตัวเริ่มหันมาฆ่ากันกินกันเอง

2.ไดโนเสาร์ ตัวที่ดุร้ายเมื่อตายแล้ว
จิตวิญญาณที่ได้รับโอกาสให้กลับมาเกิดใหม่
พากันผ่าเหล่าเผ่าพันธุ์เปลี่ยนเป็นมีนิสัยดุร้าย
หันมาไล่ล่าจับตัวที่อ่อนแอกว่ากินเป็นอาหาร
จะมีตัวตนรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปจากที่ทรงสร้าง
คือมีเขี้ยวยาว มีเล็บแหลมคมและมีงา
ซึ่งเป็นไปตามรูปแบบที่จิตวิญญาณสร้างเอง

3.ถ้าพระองค์ไม่ทรงจัดการแก้ปัญหานี้
ทุกอย่างจะยิ่งร้ายแรงขึ้น
แผนการของพระองค์ที่จะให้พวกไดโนเสาร์
ผลิตสร้างพลังงานความรักด้วยขันธ์ 5 ให้โลก
จะยิ่งล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่าไปในที่สุด

ดาวเคราะห์โลกก็จะเสียสมดุลหนักกว่าเดิม
การสร้างไดโนเสาร์ขึ้นมาก็ไม่มีประโยชน์อะไร

ดังนั้น
เพื่อที่จะคืนสมดุลให้แก่ดาวเคราะห์โลก
เพื่อให้แผนการทดลองของพระองค์บรรลุผล

ถ้าจะทรงจัดการกับปัญหานี้ในฐานะพระผู้สร้าง
พระองค์ต้องทรงดำริเพื่อตัดสินพระทัยแล้วว่า
พระองค์จะทรงแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไร
จึงจะผ่านพ้นปัญหาคาดไม่ถึงทั้งหมดนี้ไปได้

1.จะหยุดการกลายพันธุ์ของไดโนเสาร์
จากเดิมเป็นเด็กดีแล้วเปลี่ยนเป็นพันธุ์ใหม่ที่ดุร้าย
โดยที่พระองค์มิได้ทรงสร้างไว้ได้อย่างไร

2.จะช่วยให้ไดโนเสาร์ทั้งหลายของพระองค์
สามารถเก็บกินยอดไม้ใบไม้ได้ง่ายๆได้อย่างไร
จึงจะไม่อดหยากหิวโหยจนต้องหันมากินกันเอง

3.จะทรงทำอย่างไร
จึงจะช่วยให้ต้นไม้สูงใหญ่ของพระองค์
ยังมีประโยชน์ต่อโลกและไดโนเสาร์ต่อไปได้
โดยไม่ต้องทำลายหรือกำจัดสิ่งที่ทรงสร้างทิ้ง

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

แผนการนึกคิดหรือพระดำริของพระเจ้า
ต่อปัญหาวิกฤตโลกที่กำลังเกิดแก่ไดโนเสาร์
คงมีประมาณ 3 ประการที่เรากล่าวไว้นั้น
ผลึกแห่งการคิดของพระเจ้าจึงเป็นดั่งนี้

1.พระองค์ทรงพิจารณาแล้วได้ข้อสรุปว่า
ถ้าจะหยุดการกลายพันธุ์ของไดโนเสาร์
จากน่ารักเป็นสัตว์ดุร้ายได้

พระองค์มีทางเลือกอยู่ 3 ทาง คือ

#หนทางที่ 1.
ต้องลดความสูงของต้นไม้ที่มีอยู่บนโลกทั้งหมด
ให้ย่อต้นต่ำเตี้ยลงมาหาไดโนเสาร์
เพื่อให้พวกเขากัดกินยอดไม้ใบไม้ได้ง่ายๆดังเดิม
จะได้ไม่มีตัวไหนหิวโหยจนดุร้ายอีก

หนทางที่ 2.
ต้องกำหนดสร้างต้นไม้รุ่นใหม่
แทรกต้นไม้ที่สูงใหญ่เกินไปแล้วเพิ่มขึ้นมาอีก
ให้เพียงพอต่อไดโนเสาร์ของพระองค์
ในการเก็บกินเป็นอาหารได้
โดยไม่สนต้นไม้ที่สูงใหญ่เกินไปแล้ว

หนทางที่ 3.
ต้องเปลี่ยนแปลงรูปแบบเครื่องยนต์แห่งกรรม
เพื่อให้ไดโนเสาร์ของพระองค์
สามารถเก็บกินยอดไม้ใบไม้ของพระองค์ได้
แม้ว่ามันจะสูงใหญ่มากแค่ไหนก็ตาม

ในที่สุดวิธีการแก้ปัญหาของพระองค์
ทรงมีบทสรุปที่ตัดสินพระทัยแล้วดังต่อไปนี้

1.พระองค์ไม่ทรงเลือก "หนทางที่ 1."
ในอันที่จะใช้พลังอำนาจของพระองค์ที่มีอยู่
บันดาลให้ต้นไม้ใหญ่ทุกต้นที่ทรงสร้างไว้
มันย่อความสูงลงมาให้เหมาะกับไดโนเสาร์

ทรงไม่เลือกวิธีเปลี่ยนแปลงที่ต้นไม้
เพราะต้นไม้ของพระองค์มิได้ทำผิดอะไร
พวกเขาทำตามหน้าที่คือ "เจริญเติบโต" เรื่อยๆ

2.พระองค์ทรงเลือกใช้ "หนทางที่ 2."
เพราะทรงเห็นว่าการสร้างต้นไม้เตี้ยๆเพิ่มขึ้น
โดยแทรกเอาไว้ในป่าไม้ใหญ่ของพระองค์
ก็ยังพอมีทางเป็นไปได้อยู่บ้าง
เพราะไม่ทำให้โลกเสียสมดุลในการสร้างใหม่

นี่จึงเป็นที่มาของพืชพันธ์ุไม้จำนวนมากมาย
ที่ทรงสร้างเพิ่มขึ้นไว้บนโลกเสรีนี้ในภายหลัง
ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นป่าไม้เบญจพันธุ์นั่นเอง

3.พระองค์ทรงเลือกใช้หนทางที่สาม
ด้วยการเปลี่ยนแปลงเครื่องยนต์แห่งกรรม
ให้มันเหมาะสมมากขึ้นตามความจริงที่ปรากฏ

โดยทรงกำหนดให้
ไดโนเสาร์ตัวที่จะเกิดใหม่ที่ยังมีนิสัย
กินพืชเป็นอาหารตามแผนการของพระองค์อยู่

ให้มีส่วนคอที่ยาวขึ้น
เพื่อจะได้ยืดคอเก็บกินยอดไม้บนต้นสูงๆได้

ให้มีขนาดลำตัวที่เล็กลง
จะได้มีน้ำหนักตัวลดลง
เพื่อจะลดปริมาณในการกินยอดไม้ให้น้อยลง

ให้มีขนาดขาหน้าสั้นลงไม่เกะกะ
จะได้ยืดตัวขึ้นในทางสูงได้

นอกจากนั้น
พระองค์ยังทรงสร้างไดโนเสาร์
ให้มีเครื่องยนต์แห่งกรรมที่แตกต่างจากเดิม
คือ มีตัวตนที่เล็กลงและมีปีกสองข้าง
ที่สามารถจะบินไปในอากาศ
เพื่อกัดกินยอดไม้บนต้นสูงๆได้ด้วย

โดยทรงได้แรงบันดาลใจมาจาก
การเคลื่อนที่เดินทางของจิตวิญญาณ
ซึ่งเป็นรูปธรรมทางพลังงาน
ที่เดินทางไปในสนามพลังงานได้
ด้วยพลังอำนาจของเมอร์คขะบาห์

พระองค์จึงทรงติดปีกให้ไดโนเสาร์ตัวเล็กๆ
ที่เป็นเครื่องยนต์แห่งกรรมด้านกายหยาบ
มีปีกบินได้โดยเพิ่มขีดความสามารถการบิน
ให้แก่จิตวิญญาณของไดโนเสาร์
ด้วยพลังอำนาจของเมอร์คขะบาห์นั่นเอง

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เมื่อศึกษาพระเจ้าแล้ว
ท่านจะเรียนรู้ความจริงได้เองว่า
นิสัยการเรียนรู้ของพวกท่านที่เป็นธรรมชาติ
ที่กล่าวขานกันอยู่เสมอมาว่า

ไม่มีผู้ใดที่ไม่เคยพบเจอปัญหา
ไม่มีผู้ใดที่ไม่เคยทำผิดพลาด
เพราะสี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง

ปัญหาทุกปัญหามีไว้เพื่อแก้ไขมิได้มีไว้กลุ้ม
ปัญหาทุกปัญหาช่วยยกระดับการใช้ปัญญา
มิใช่เป็นที่มาของความทุกข์ระทม เป็นต้น

พวกท่านเป็นบุตรของพระเจ้า
ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้นหรอกท่าน

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
31/05/2021

สนทนาประสาจิตจัรวาล

31/05/2021



พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงของพระผู้สร้าง
ให้ท่านทั้งหลายได้รู้ต่อไปอีกว่า

เมื่อพระองค์ทรงกำหนดสร้าง
เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรม ไดโนเสาร์
ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดแรกที่เคลื่อนไหวย้ายที่ได้
ดำรงอยู่บนโลกเสรีร่วมกับ "ป่าไม้" ของพระองค์
จึงทรงติดตั้งกระบวนการพิเศษที่เรียกว่า "ขันธ์ 5"
ให้ "ไดโนเสาร์" ใช้เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนพฤติกรรม
ทั้งในมิติโลกทางกายภาพและในมิติทางพลังงาน
ซึ่งมันจะสั่นสะเทือน "คู่ขนานกัน" เสมอ

ขันธ์ห้า
ประกอบด้วยรูป สัญญา เวทนา สังขาร และพลังงาน
โดยขันธ์ทั้งห้าที่พระองค์ทรงกำหนดให้ไดโนเสาร์ใช้นี้
เป็นกระบวนการทำงานของ จิตวิญญาณ ในสองมิติ
ของผู้ขันอาสาพระบิดามาเกิดเป็นไดโนเสาร์นั่นเอง
ซึ่งมันจะเกิดขึ้นได้ทุกขณะในยามที่ไดโนเสาร์ตื่น

นั่นคือจิตวิญญาณของไดโนเสาร์ของพระองค์
จะแสดงพฤติกรรมอะไรอย่างไรในยามตื่น
จะผลิตพลังงานความรักให้โลกได้ไม่ได้ในขณะนั้น
ล้วนขึ้นอยู่กับกระบวนการ 5 ขั้นหรือ 5 ขันธ์นี้ทั้งสิ้น

ถ้าจะให้เข้าใจกันง่ายขึ้นก็พอจะกล่าวได้ว่า
ทันทีที่ไดโนเสาร์ตัวนั้นๆ
สัมผัสรู้ดูเห็นอะไรหรือสิ่งใดรายรอบตัวก็ตาม
จิตวิญญาณแก่นแท้ของไดโนเสาร์ตัวนั้น
ก็จะสั่นสะเทือนเป็น การรับรู้รูป ด้วยขันธ์แรกทันที
จากนั้นจิตวิญญาณของไดโนเสาร์
ก็จะสั่นสะเทือนเป็นกระบวนการขั้นที่สองสามสี่ห้า
ตามที่ทรงกำหนดไว้ให้มันต้องเป็นเช่นนั้นเสมอ
เพื่อทำการ ตอบสนอง สิ่งแวดล้อมที่เป็นสิ่งเร้านั้น

จิตวิญญาณของไดโนเสาร์ทุกตัว
แม้ถูกกำหนดให้ใช้กระบวนการของ "ขันธ์ 5"
แต่ต่างก็มีอิสระเสรีในการสั่นสะเทือนตนเอง
เพื่อที่จะ "ตอบสนอง" เงื่อนไขที่เป็นสิ่งเร้านั้น
ตามความ รู้สึก ที่ตนพึงพอใจไม่พึงพอใจได้เลย
โดยพระองค์จะมิทรงบังคับขับเข็ญ

เพราะกระบวนการของ "ขันธ์ 5"
ที่ทรงกำหนดติดตั้งเอาไว้ให้ไดโนเสาร์ใช้นี้
ทรงอนุญาตให้จิตวิญญาณของไดโนเสาร์
สามารถสั่นสะเทือนทางจิตในขั้น เวทนา
ได้เสรีตามที่ตนปรารถนาเป็นต้นว่า

จะชอบใจก็ได้ ไม่ชอบใจก็ได้
จะพอใจก็ได้ ไม่พอใจก็ได้
จะขลาดกลัวก็ได้ จะไม่กลัวก็ได้
จะวางเฉยไม่ใส่ใจก็ได้ จะใส่ใจมันก็ได้
ฯลฯ

นี่จึงเป็นวิธีคิดดำริของพระองค์
เพื่อมอบอำนาจในตนเองให้แก่สิ่งที่ทรงสร้าง
ขณะดำเนินชีวิตอยู่บนดาวเคราะห์โลกนี้
โดยสามารถพึ่งพาตนเองได้
ขณะต้องทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณ
ในการมอบพลังงานความรักให้โลกทั้งระบบ

ดังนั้น
ทั้งต้นไม้ในป่าไม้ของพระองค์และไดโนเสาร์
จึงต่างล้วนได้รับ พลังอำนาจ จากพระผู้เป็นเจ้า
ให้เป็นผู้มีพลังอำนาจในตนเองและมีสิทธิ์เสรี
ที่จะสั่นสะเทือนจิตวิญญาณผ่าน เวทนาขันธ์ ว่า
ตนจะทำหน้าที่เพื่อ พระเจ้า ซึ่งเป็นพระผู้สร้าง
หรือจะทำหน้าที่เพื่อตอบสนอง ตัวเอง เท่านั้น

ถ้าไดโนเสาร์จะใช้ขันธ์ 5 กระทำเพื่อพระเจ้า
เขาก็ต้องข้ามผ่านขั้นตอนเวทนาขันธ์ไปให้ได้
กล่าวคือเมื่อได้สัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งใดก็ตาม
เขาต้องเลือกที่จะไม่เสียความรู้สึกต่อสิ่งเร้านั้น
อันหมายถึง "การวางเฉย" หรือเป็นอุเบกขา
หรือว่าเขาอาจจะเลือกสั่นสะเทือนเป็น "ความรัก"
เช่น รักคู่ผัวตัวเมียของตัวเอง รักลูกของตัวเอง
รักฝูงไดโนเสาร์ของตัวเองและรักตัวเอง
รวมทั้งรักป่าไม้และทุกสรรพสิ่งของพระบิดา
ด้วยความรักอันเป็นคุณสมบัติของจิตวิญญาณ
ที่แบกขนกันมาจากแดนสุญตาก็ได้
เพราะเป็นหน้าที่ของจิตวิญญาณที่ขันอาสามาทำ

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

นี่จึงเป็นที่มาของคำว่า
ดาวเคราะห์โลกเป็นดาวแห่งทางเลือกเสรี
ตามที่เรากล่าวต่อท่านทั้งหลายมานานแล้ว

หลังจากเครื่องยนต์แห่งกรรม
รูปธรรมต้นไม้ใหญ่กับไดโนเสาร์ที่ทรงสร้างใหม่
ร่วมกันผลิตสร้างพลังงานความรักให้แก่แกนโลก
จึงยังผลให้ดาวเคราะห์โลกมีความสมดุลมากขึ้น
เพราะแกนโลกได้รับคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
จากจำนวนเครื่องยนต์แห่งกรรมที่ผลิตมากกว่าเดิม
พลังงานที่แกนโลกได้รับจึงมีปริมาณมากขึ้นนั่นเอง

แต่เมื่อผ่านมาตามกาลเวลาโลกได้ไม่นานนัก
พระผู้สร้างก็ทรงเรียนรู้ได้จากการทดลองอีกว่า
มีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นใหม่ในระบบโลก
ที่พระองค์จักต้องมีพระดำริเพื่อการแก้ไขอีกแล้ว

ปัญหาของพระผู้สร้างที่ว่านี้คืออะไร
จะทรงมีพระปรีชาญาณจัดการแก้ไขอย่างไร
ผู้ใดใคร่จะตามติดความคิดของพระผู้สร้าง
ถ้าว่างๆ...ก็จงยกมือสองข้างขึ้นมาสำแดง

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
31/05/2021

สนทนาประสาจิตจักรวาล

31/05/2021

                                                  


พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

พระผู้เป็นเจ้าหรือพระผู้สร้าง
ทรงออกแบบเครื่องยนต์แห่งกรรมเป็นรูปธรรมต้นไม้
โดยทรงมีพระประสงค์ให้เป็นต้นไม้ประจำโลก
จึงทรงออกแบบให้ต้นไม้ทุกต้นมีรากหยั่งลงดิน
แม้จะผลิดอกออกผลหรือแตกหน่อ
ต้นไม้ของพระองค์ที่จะงอกเงยขึ้นมาใหม่
ก็จะมีส่วนรากยึดรั้งไว้กับแผ่นดินโลกเสมอ
แม้แต่ "ต้นไม้บนต้นไม้" ที่ยึดเกาะอยู่บนต้นไม้อื่น
ก็ต้องได้รับสารอาหารผ่านรากของต้นที่ยึดเกาะ

ที่สำคัญคือต้นไม้ใหญ่ทุกต้น
รวมทั้ง "ต้นไม้บนต้นไม้" ต้องชูยอดใบและดอก
เข้าหาพระสุริยเทพตลอดเวลาด้วย
เพราะพระสุริยเทพเป็นตัวแทนของพระเจ้า
ที่จะคอยค้ำจุนการดำรงอยู่ของทุกสิ่งที่ทรงสร้าง
ด้วยการมอบพลังงานความรักเพื่อสร้างพลังชีวิต
ให้แก่เครื่องยนต์แห่งกรรมต้นไม้และไดโนเสาร์
ในรูปของคลื่นพลังงานความร้อนแรงกับแสงสว่าง

ทั้งนี้ยังจะช่วยให้ต้นไม้รู้ด้วยสัญชาตญาณว่า
พวกตนจะขาดพระบิดาหรือพระผู้สร้างไม่ได้
พวกเขาจึงต้องหันเครื่องยนต์แห่งกรรมเข้าหาแสง
พวกเขาจึงต้องเจริญเติบโตสูงขึ้นๆสู่ฟ้าเบื้องบน
ซึ่งเป็นทิศทางที่พระบิดาทรงประทับอยู่เสมอ
เพราะถ้าต้นไม้ไม่รับแสงอันเป็นความรักจากพระองค์
ต้นไม้ก็จะใช้สารอาหารที่ซึมซับผ่านรากมาจากดิน
ไปใช้ปรุงอาหารเพื่อสร้างพลังงานชีวิตในการดำรงอยู่
ด้วยกระบวนการ สังเคราะห์แสง ที่ใบซึ่งมีสีเขียวมิได้

เพราะเหตุนี้เอง
ต้นไม้ทุกต้นที่พระองค์ทรงกำหนดสร้างขึ้นมา
จึงพากันชูลำต้นกิ่งก้านใบดอกผลและหน่อใหม่
ทะยานขึ้นฝั่งฟ้าเข้าหาแสงพระสุริยะทั้งสิ้น
ต้นไม้ทุกต้นแม้พวกเขาพูดสรรเสริญพระเจ้าไม่ได้
แต่พฤติกรรมที่พวกเขาแสดงต่อพระสุริยเทพ
ก็มิได้ต่างจากการมีสำนึกถึงพระผู้สร้างนั่นเอง

จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจอะไรเลย
เมื่อต้นไม้ของพระองค์ที่ทรงสร้างขึ้นบนโลก
จะเติบโตไปในทิศทางสูงขึ้นในแนวดิ่งทั้งสิ้น
ยิ่งกาลเวลาโลกผ่านไปยาวนานมากเท่าใด
ต้นไม้จะอ้วนขึ้นและสูงขึ้นเป็นสัดส่วนกันมากเท่านั้น

แต่ในทางกลับกัน
เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรม "ไดโนเสาร์"
ซึ่งพระองค์ทรงออกแบบไว้ให้มีลำตัวขนานกับพื้น
เพื่อสะดวกต่อการใช้ชีวิตอยู่กับป่าไม้แวดล้อม
โดยมีเฉพาะส่วนหัวเท่านั้นที่สร้างสัมพันธ์กับฟ้า
ขณะที่ตัวจะอ้วนขึ้นและยาวขึ้นในแนวระนาบ
ยิ่งนานวันเข้าลำตัวก็จะยิ่งอ้วนยิ่งยาวมากขึ้น
ซึ่งเป็นการเติบโตที่สวนทางกันกับต้นไม้นั่นเอง

เนื่องจากไดโนเสาร์ทุกตัวตั้งแต่เมื่อแรกสร้าง
ทรงกำหนดให้กินยอดไม้ หน่อใหม่ของต้นไม้
รวมทั้งใบไม้ และผลไม้เป็นอาหาร
เมื่อต้นไม้เติบโตขึ้นในทางสูง
แต่ไดโนเสาร์เติบโตขึ้นในแนวนอน
จึงยังผลให้พวกเขาหาอาหารกินยากขึ้นทุกวัน
เพราะคอก็สั้นเท้าทั้งสี่ข้างก็สั้นปีนต้นไม้ไม่ได้
น้ำหนักตัวหรือก็มากมายหลายสิบตัน
ในที่สุดไดโนเสาร์ของพระองค์ก็พากันล้มตาย
เพราะพวกเขาเกิดวิกฤตจากการขาดอาหาร

พวกที่ยังรอดชีวิตอยู่ได้
ก็กลายเป็นไดโนเสาร์ที่ "ก้าวร้าว" ดุร้าย
เพราะความหิวโหยเป็นเหตุ
จนในที่สุดพวกเขาก็เริ่มเรียนรู้ที่จะเอาชีวิตรอด
ด้วยการไล่จับพวกเดียวกันเองกินเป็นอาหาร

จิตวิญญาณของไดโนเสาร์ตัวที่ดุร้ายมากๆ
เมื่อได้รับโอกาสให้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง
ก็จะพกพาเอานิสัยดุร้ายกลับมาเกิดใหม่ด้วย
พวกนี้จึงมาเกิดใหม่เป็นไดโนเสาร์กลายพันธุ์
โดยมีตัวตนรูปลักษณ์แปลกเปลี่ยนไปจากเดิม
เพราะจิตวิญญาณพวกเขามีพลังอำนาจมากพอ
ที่จะปรุงแต่งรูปลักษณ์เครื่องยนต์แห่งกรรม
ให้มีเขี้ยว งา กรงเล็บและนิสัยที่ดุร้ายแบบนักล่า
เพื่อจะช่วยให้ตนเองอยู่รอดปลอดภัยได้
ด้วยพลังอำนาจที่ดุร้ายก้าวร้าวกว่าตัวอื่นๆ

เมื่อพระองค์ทรงรับรู้ปัญหานี้แล้ว
จึงต้องทรงเรียนรู้ว่า "ปัญหาที่แท้จริง" คืออะไร
จะได้จัดการแก้ไขให้ถูกต้องเหมาะสมและดีงาม
ปัญหาที่ทรงค้นพบความจริงจากการทดลองนี้ก็คือ

1. ต้นไม้สูงใหญ่ ขึ้นเรื่อยๆ
จนไดโนเสาร์ทั้งหลายปีนป่ายเก็บกินยอดใบไม่ถึง
พวกที่ไม่มีอะไรจะกินจึงพากันล้มตาย
ไดโนเสาร์หลายตัวเริ่มหันมาฆ่ากันกินกันเอง

2. ไดโนเสาร์ ตัวที่ดุร้ายเมื่อตายแล้ว
จิตวิญญาณที่ได้รับโอกาสให้กลับมาเกิดใหม่
พากันผ่าเหล่าเผ่าพันธุ์เปลี่ยนเป็นมีนิสัยดุร้าย
หันมาไล่ล่าจับตัวที่อ่อนแอกว่ากินเป็นอาหาร
จะมีตัวตนรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปจากที่ทรงสร้าง
คือมีเขี้ยวยาว มีเล็บแหลมคมและมีงา
ซึ่งเป็นไปตามรูปแบบที่จิตวิญญาณสร้างเอง

3.ถ้าพระองค์ไม่ทรงจัดการแก้ปัญหานี้
ทุกอย่างจะยิ่งร้ายแรงขึ้น
แผนการของพระองค์ที่จะให้พวกไดโนเสาร์
ผลิตสร้างพลังงานความรักด้วยขันธ์ 5 ให้โลก
จะยิ่งล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่าไปในที่สุด

ดาวเคราะห์โลกก็จะเสียสมดุลหนักกว่าเดิม
การสร้างไดโนเสาร์ขึ้นมาก็ไม่มีประโยชน์อะไร

ดังนั้น
เพื่อที่จะคืนสมดุลให้แก่ดาวเคราะห์โลก
เพื่อให้แผนการทดลองของพระองค์บรรลุผล

ถ้าจะทรงจัดการกับปัญหานี้ในฐานะพระผู้สร้าง
พระองค์ต้องทรงดำริเพื่อตัดสินพระทัยแล้วว่า
พระองค์จะทรงแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไร
จึงจะผ่านพ้นปัญหาคาดไม่ถึงทั้งหมดนี้ไปได้

1.จะหยุดการกลายพันธุ์ของไดโนเสาร์
จากเดิมเป็นเด็กดีแล้วเปลี่ยนเป็นพันธุ์ใหม่ที่ดุร้าย
โดยที่พระองค์มิได้ทรงสร้างไว้ได้อย่างไร

2.จะช่วยให้ไดโนเสาร์ทั้งหลายของพระองค์
สามารถเก็บกินยอดไม้ใบไม้ได้ง่ายๆได้อย่างไร
จึงจะไม่อดหยากหิวโหยจนต้องหันมากินกันเอง

3.จะทรงทำอย่างไร
จึงจะช่วยให้ต้นไม้สูงใหญ่ของพระองค์
ยังมีประโยชน์ต่อโลกและไดโนเสาร์ต่อไปได้
โดยไม่ต้องทำลายหรือกำจัดสิ่งที่ทรงสร้างทิ้ง

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

แผนการนึกคิดหรือพระดำริของพระเจ้า
ต่อปัญหาวิกฤตโลกที่กำลังเกิดแก่ไดโนเสาร์
คงมีประมาณ 3 ประการที่เรากล่าวไว้นั้น
ผลึกแห่งการคิดของพระเจ้าจึงเป็นดั่งนี้

1.พระองค์ทรงพิจารณาแล้วได้ข้อสรุปว่า
ถ้าจะหยุดการกลายพันธุ์ของไดโนเสาร์
จากน่ารักเป็นสัตว์ดุร้ายได้

พระองค์มีทางเลือกอยู่ 3 ทาง คือ

#หนทางที่ 1.
ต้องลดความสูงของต้นไม้ที่มีอยู่บนโลกทั้งหมด
ให้ย่อต้นต่ำเตี้ยลงมาหาไดโนเสาร์
เพื่อให้พวกเขากัดกินยอดไม้ใบไม้ได้ง่ายๆดังเดิม
จะได้ไม่มีตัวไหนหิวโหยจนดุร้ายอีก

#หนทางที่ 2.
ต้องกำหนดสร้างต้นไม้รุ่นใหม่
แทรกต้นไม้ที่สูงใหญ่เกินไปแล้วเพิ่มขึ้นมาอีก
ให้เพียงพอต่อไดโนเสาร์ของพระองค์
ในการเก็บกินเป็นอาหารได้
โดยไม่สนต้นไม้ที่สูงใหญ่เกินไปแล้ว

หนทางที่ 3.
ต้องเปลี่ยนแปลงรูปแบบเครื่องยนต์แห่งกรรม
เพื่อให้ไดโนเสาร์ของพระองค์
สามารถเก็บกินยอดไม้ใบไม้ของพระองค์ได้
แม้ว่ามันจะสูงใหญ่มากแค่ไหนก็ตาม

ในที่สุดวิธีการแก้ปัญหาของพระองค์
ทรงมีบทสรุปที่ตัดสินพระทัยแล้วดังต่อไปนี้

1.พระองค์ไม่ทรงเลือก "หนทางที่ 1."
ในอันที่จะใช้พลังอำนาจของพระองค์ที่มีอยู่
บันดาลให้ต้นไม้ใหญ่ทุกต้นที่ทรงสร้างไว้
มันย่อความสูงลงมาให้เหมาะกับไดโนเสาร์

ทรงไม่เลือกวิธีเปลี่ยนแปลงที่ต้นไม้
เพราะต้นไม้ของพระองค์มิได้ทำผิดอะไร
พวกเขาทำตามหน้าที่คือ "เจริญเติบโต" เรื่อยๆ

2.พระองค์ทรงเลือกใช้ "หนทางที่ 2."
เพราะทรงเห็นว่าการสร้างต้นไม้เตี้ยๆเพิ่มขึ้น
โดยแทรกเอาไว้ในป่าไม้ใหญ่ของพระองค์
ก็ยังพอมีทางเป็นไปได้อยู่บ้าง
เพราะไม่ทำให้โลกเสียสมดุลในการสร้างใหม่

นี่จึงเป็นที่มาของพืชพันธ์ุไม้จำนวนมากมาย
ที่ทรงสร้างเพิ่มขึ้นไว้บนโลกเสรีนี้ในภายหลัง
ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นป่าไม้เบญจพันธุ์นั่นเอง

3.พระองค์ทรงเลือกใช้หนทางที่สาม
ด้วยการเปลี่ยนแปลงเครื่องยนต์แห่งกรรม
ให้มันเหมาะสมมากขึ้นตามความจริงที่ปรากฏ

โดยทรงกำหนดให้
ไดโนเสาร์ตัวที่จะเกิดใหม่ที่ยังมีนิสัย
กินพืชเป็นอาหารตามแผนการของพระองค์อยู่

ให้มีส่วนคอที่ยาวขึ้น
เพื่อจะได้ยืดคอเก็บกินยอดไม้บนต้นสูงๆได้

ให้มีขนาดลำตัวที่เล็กลง
จะได้มีน้ำหนักตัวลดลง
เพื่อจะลดปริมาณในการกินยอดไม้ให้น้อยลง

ให้มีขนาดขาหน้าสั้นลงไม่เกะกะ
จะได้ยืดตัวขึ้นในทางสูงได้

นอกจากนั้น
พระองค์ยังทรงสร้างไดโนเสาร์
ให้มีเครื่องยนต์แห่งกรรมที่แตกต่างจากเดิม
คือ มีตัวตนที่เล็กลงและมีปีกสองข้าง
ที่สามารถจะบินไปในอากาศ
เพื่อกัดกินยอดไม้บนต้นสูงๆได้ด้วย

โดยทรงได้แรงบันดาลใจมาจาก
การเคลื่อนที่เดินทางของจิตวิญญาณ
ซึ่งเป็นรูปธรรมทางพลังงาน
ที่เดินทางไปในสนามพลังงานได้
ด้วยพลังอำนาจของเมอร์คขะบาห์

พระองค์จึงทรงติดปีกให้ไดโนเสาร์ตัวเล็กๆ
ที่เป็นเครื่องยนต์แห่งกรรมด้านกายหยาบ
มีปีกบินได้โดยเพิ่มขีดความสามารถการบิน
ให้แก่จิตวิญญาณของไดโนเสาร์
ด้วยพลังอำนาจของเมอร์คขะบาห์นั่นเอง

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เมื่อศึกษาพระเจ้าแล้ว
ท่านจะเรียนรู้ความจริงได้เองว่า
นิสัยการเรียนรู้ของพวกท่านที่เป็นธรรมชาติ
ที่กล่าวขานกันอยู่เสมอมาว่า

ไม่มีผู้ใดที่ไม่เคยพบเจอปัญหา
ไม่มีผู้ใดที่ไม่เคยทำผิดพลาด
เพราะสี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง

ปัญหาทุกปัญหามีไว้เพื่อแก้ไขมิได้มีไว้กลุ้ม
ปัญหาทุกปัญหาช่วยยกระดับการใช้ปัญญา
มิใช่เป็นที่มาของความทุกข์ระทม เป็นต้น

พวกท่านเป็นบุตรของพระเจ้า
ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้นหรอกท่าน

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
31/05/2021





สนทนาประสาจิตจักรวาล

31/05/2021




พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงของพระผู้สร้าง
ให้ท่านทั้งหลายได้รู้ต่อไปอีกว่า

เมื่อพระองค์ทรงกำหนดสร้าง
เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรม ไดโนเสาร์
ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดแรกที่เคลื่อนไหวย้ายที่ได้
ดำรงอยู่บนโลกเสรีร่วมกับ "ป่าไม้" ของพระองค์
จึงทรงติดตั้งกระบวนการพิเศษที่เรียกว่า "ขันธ์ 5"
ให้ "ไดโนเสาร์" ใช้เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนพฤติกรรม
ทั้งในมิติโลกทางกายภาพและในมิติทางพลังงาน
ซึ่งมันจะสั่นสะเทือน "คู่ขนานกัน" เสมอ

ขันธ์ห้า
ประกอบด้วยรูป สัญญา เวทนา สังขาร และพลังงาน
โดยขันธ์ทั้งห้าที่พระองค์ทรงกำหนดให้ไดโนเสาร์ใช้นี้
เป็นกระบวนการทำงานของ จิตวิญญาณ ในสองมิติ
ของผู้ขันอาสาพระบิดามาเกิดเป็นไดโนเสาร์นั่นเอง
ซึ่งมันจะเกิดขึ้นได้ทุกขณะในยามที่ไดโนเสาร์ตื่น

นั่นคือจิตวิญญาณของไดโนเสาร์ของพระองค์
จะแสดงพฤติกรรมอะไรอย่างไรในยามตื่น
จะผลิตพลังงานความรักให้โลกได้ไม่ได้ในขณะนั้น
ล้วนขึ้นอยู่กับกระบวนการ 5 ขั้นหรือ 5 ขันธ์นี้ทั้งสิ้น

ถ้าจะให้เข้าใจกันง่ายขึ้นก็พอจะกล่าวได้ว่า
ทันทีที่ไดโนเสาร์ตัวนั้นๆ
สัมผัสรู้ดูเห็นอะไรหรือสิ่งใดรายรอบตัวก็ตาม
จิตวิญญาณแก่นแท้ของไดโนเสาร์ตัวนั้น
ก็จะสั่นสะเทือนเป็น การรับรู้รูป ด้วยขันธ์แรกทันที
จากนั้นจิตวิญญาณของไดโนเสาร์
ก็จะสั่นสะเทือนเป็นกระบวนการขั้นที่สองสามสี่ห้า
ตามที่ทรงกำหนดไว้ให้มันต้องเป็นเช่นนั้นเสมอ
เพื่อทำการ ตอบสนอง สิ่งแวดล้อมที่เป็นสิ่งเร้านั้น

จิตวิญญาณของไดโนเสาร์ทุกตัว
แม้ถูกกำหนดให้ใช้กระบวนการของ "ขันธ์ 5"
แต่ต่างก็มีอิสระเสรีในการสั่นสะเทือนตนเอง
เพื่อที่จะ "ตอบสนอง" เงื่อนไขที่เป็นสิ่งเร้านั้น
ตามความ รู้สึก ที่ตนพึงพอใจไม่พึงพอใจได้เลย
โดยพระองค์จะมิทรงบังคับขับเข็ญ

เพราะกระบวนการของ "ขันธ์ 5"
ที่ทรงกำหนดติดตั้งเอาไว้ให้ไดโนเสาร์ใช้นี้
ทรงอนุญาตให้จิตวิญญาณของไดโนเสาร์
สามารถสั่นสะเทือนทางจิตในขั้น เวทนา
ได้เสรีตามที่ตนปรารถนาเป็นต้นว่า

จะชอบใจก็ได้ ไม่ชอบใจก็ได้
จะพอใจก็ได้ ไม่พอใจก็ได้
จะขลาดกลัวก็ได้ จะไม่กลัวก็ได้
จะวางเฉยไม่ใส่ใจก็ได้ จะใส่ใจมันก็ได้
ฯลฯ

นี่จึงเป็นวิธีคิดดำริของพระองค์
เพื่อมอบอำนาจในตนเองให้แก่สิ่งที่ทรงสร้าง
ขณะดำเนินชีวิตอยู่บนดาวเคราะห์โลกนี้
โดยสามารถพึ่งพาตนเองได้
ขณะต้องทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณ
ในการมอบพลังงานความรักให้โลกทั้งระบบ

ดังนั้น
ทั้งต้นไม้ในป่าไม้ของพระองค์และไดโนเสาร์
จึงต่างล้วนได้รับ พลังอำนาจ จากพระผู้เป็นเจ้า
ให้เป็นผู้มีพลังอำนาจในตนเองและมีสิทธิ์เสรี
ที่จะสั่นสะเทือนจิตวิญญาณผ่าน เวทนาขันธ์ ว่า
ตนจะทำหน้าที่เพื่อ พระเจ้า ซึ่งเป็นพระผู้สร้าง
หรือจะทำหน้าที่เพื่อตอบสนอง ตัวเอง เท่านั้น

ถ้าไดโนเสาร์จะใช้ขันธ์ 5 กระทำเพื่อพระเจ้า
เขาก็ต้องข้ามผ่านขั้นตอนเวทนาขันธ์ไปให้ได้
กล่าวคือเมื่อได้สัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งใดก็ตาม
เขาต้องเลือกที่จะไม่เสียความรู้สึกต่อสิ่งเร้านั้น
อันหมายถึง "การวางเฉย" หรือเป็นอุเบกขา
หรือว่าเขาอาจจะเลือกสั่นสะเทือนเป็น "ความรัก"
เช่น รักคู่ผัวตัวเมียของตัวเอง รักลูกของตัวเอง
รักฝูงไดโนเสาร์ของตัวเองและรักตัวเอง
รวมทั้งรักป่าไม้และทุกสรรพสิ่งของพระบิดา
ด้วยความรักอันเป็นคุณสมบัติของจิตวิญญาณ
ที่แบกขนกันมาจากแดนสุญตาก็ได้
เพราะเป็นหน้าที่ของจิตวิญญาณที่ขันอาสามาทำ

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

นี่จึงเป็นที่มาของคำว่า
ดาวเคราะห์โลกเป็นดาวแห่งทางเลือกเสรี
ตามที่เรากล่าวต่อท่านทั้งหลายมานานแล้ว

หลังจากเครื่องยนต์แห่งกรรม
รูปธรรมต้นไม้ใหญ่กับไดโนเสาร์ที่ทรงสร้างใหม่
ร่วมกันผลิตสร้างพลังงานความรักให้แก่แกนโลก
จึงยังผลให้ดาวเคราะห์โลกมีความสมดุลมากขึ้น
เพราะแกนโลกได้รับคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
จากจำนวนเครื่องยนต์แห่งกรรมที่ผลิตมากกว่าเดิม
พลังงานที่แกนโลกได้รับจึงมีปริมาณมากขึ้นนั่นเอง

แต่เมื่อผ่านมาตามกาลเวลาโลกได้ไม่นานนัก
พระผู้สร้างก็ทรงเรียนรู้ได้จากการทดลองอีกว่า
มีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นใหม่ในระบบโลก
ที่พระองค์จักต้องมีพระดำริเพื่อการแก้ไขอีกแล้ว

ปัญหาของพระผู้สร้างที่ว่านี้คืออะไร
จะทรงมีพระปรีชาญาณจัดการแก้ไขอย่างไร
ผู้ใดใคร่จะตามติดความคิดของพระผู้สร้าง
ถ้าว่างๆ...ก็จงยกมือสองข้างขึ้นมาสำแดง

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

ได้โนเสาร์ใช้กระบวนการขันธ์ 5

ผลิตพลังงานความรักให้แกนโลก

ได้บ้างไม่ได้บ้าง เพราะใช้ความรู้สึก

ในกลุ่มเวทนาขันธ์ทำเพื่อตนเอง

มนุษย์ต้องใช้ขันธ์ 5 ผลิตความรัก

มอบให้โลกเช่นกัน แต่จะใช้ความรู้สึก

ทำเพื่อตนเองเหมือนไดโนเสาร์ไม่ได้

เพราะทุกคนมีกฎแห่งกรรม

 


เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
31/05/2021

29 พฤษภาคม 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล

29/05/2021


พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

เมื่อพระบิดาทรงกำหนดสร้างสัตว์ชนิดแรก
เป็นเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมไดโนเสาร์
ก็ทรงดำริให้จิตวิญญาณอาสาจากแดนสุญตา
ซึ่งอยู่นอกระบบเอกภพหรืออนันตจักรวาล
พากันเดินทางข้ามมิติเข้ามาในระบบโลก
เพื่อขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรมไดโนเสาร์
ตามแบบแผนที่ทรงได้ออกแบบไว้แล้วนั้น

เนื่องจากพระองค์ทรงมี "ต้นไม้ใหญ่"
ที่ทรงกำหนดสร้างไว้ตั้งแต่แรก
เป็นต้นไม้ป่าไม้ที่ต้องทำหน้าที่ค้ำจุนโลก
โดยต้องดำรงอยู่คู่โลกนี้ตลอดไป

ดังนั้น
เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมไดโนเสาร์
ก็จะต้องทำหน้าที่เป็นสัตว์ประจำโลกเช่นกัน
หมายความว่า "จิตวิญญาณ" ที่อาสาพระองค์มา
จักต้องทำหน้าที่ค้ำจุนโลกอยู่ตลอดไปนั่นเอง
โดยพวกเขาจักมีอายุยืนและเติบโตอยู่บนโลกนี้
ไม่ต่างจากต้นไม้ประจำโลกที่ทรงสร้างไว้แล้ว

เนื่องจากเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมไดโนเสาร์
ต้องเคลื่อนที่โยกย้ายตนเองไปตามป่าเขารกทึบ
ต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางสรรพสิ่งที่หลากหลาย
ไดโนเสาร์ของพระองค์จึงต้องสัมผัสรู้ดูเห็น
สิ่งต่างๆที่อยู่รายรอบตัวเองเพื่อการมีชีวิตรอด
ทั้งที่เป็นรูปรสกลิ่นเสียงและกายสัมผัสครบครัน

นี่จึงเป็นที่มาของการออกแบบกลไกอายตนะ
ให้เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมไดโนเสาร์ได้ใช้

ทรงสร้างสองตาเอาไว้ให้สัมผัสมายารูปลักษณ์
ซึ่งเป็นคลื่นความถี่ของแสงสะท้อนจากสิ่งที่เห็น
ทรงสร้างสองหูเอาไว้ให้สัมผัสกับคลื่นเสียง
ที่สั่นสะเทือนเป็นความถี่จากต้นกำเนิดเสียงนั้น
ทรงสร้างจมูกสองรู้เอาไว้ให้สัมผัสกับกลิ่น
ที่แผ่ผ่านออกมาจากต้นกำเนิดของกลิ่นนั้น
ทรงสร้างปุ่มรับรู้รสชาติเอาไว้ที่ลิ้น
เมื่อคาบเคี้ยวอาหารนั้นๆอยู่ในปาก
ทรงสร้างกลไกการรับรู้ร้อนหนาวทางร่างกาย
ขณะอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่แตกต่าง
กลไกอายตนะภายนอกทั้งหลายเหล่านี้
จะเป็นเครื่องช่วยให้ไดโนเสาร์ของพระองค์
มีชีวิตรอดอยู่บนโลกเสรีนี้ได้อย่างปลอดภัย

ปัญหาของพระองค์ขั้นต่อไปก็คือ
จะทรงติดตั้งกลไกทั้งห้าเอาไว้ตรงไหน
จึงจะใช้ประโยชน์ได้ดีที่สุด
จึงจะเหมาะสมที่สุด
จึงจะแลดูสวยงามลงตัวที่สุด

เนื่องจาก
การสัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งแวดล้อมภายนอก
ของเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมไดโนเสาร์นั้น
ผู้ที่จะต้องรับรู้ข้อมูลก็คือ "จิตวิญญาณ"
ซึ่งทำหน้าที่ขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรม
เช่น ถ้าเห็นว่าข้างหน้ามีต้นไม้ใหญ่ขวางอยู่
จิตวิญญาณก็จะสั่งกายให้เลื้อยเลี่ยงหลบไป
ถ้าร่างกายรู้ว่าขณะนั้นอากาศหนาวเย็นมากๆ
ก็จะสั่งให้สี่เท้าพาตนเองหลบหนาวเข้าถ้ำ เป็นต้น

แต่เนื่องจากจิตวิญญาณเป็นผู้รับรู้และสั่งกาย
พระองค์จึงต้องทรงกำหนดรูปแบบกระบวนการ
เพื่อการสัมผัสรู้ดูเห็นของอายตนะภายนอกทั้งห้า
ให้เชื่อมโยงไว้กับจิตวิญญาณโดยตรงทุกช่องทาง
โดยทรงกำหนดให้จิตวิญญาณของไดโนเสาร์
เป็นจุดศูนย์กลางของการสั่นสะเทือนเพื่อการรับรู้
สิ่งแวดล้อมภายนอกที่จิตวิญญาณเองมิอาจรู้เห็น

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เมื่อทรงกำหนดขั้นตอนได้อย่างชัดเจนแล้วว่า
ตาหูจมูกลิ้นกายสัมผัสของไดโนเสาร์ของพระองค์
ต้องสั่นสะเทือนเข้าไปให้จิตวิญญาณที่อยู่ข้างใน
ให้ได้รับรู้ข้อมูลว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว
จิตวิญญาณจะตอบสนองสิ่งที่ตนรับรู้มานั้นอย่างไร
จึงจะบังเกิดผลกรรมทั้งสองมิติได้ตามพระประสงค์

วิธีการคิดพิจารณาของพระองค์เป็นลำดับมาดั่งนี้
เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมไดโนเสาร์ที่ทรงสร้าง
จึงมีตัวตนรูปลักษณ์อย่างที่เห็นก็คือ

1.กลไกอายตนะทั้งห้าทรงติดตั้งเอาไว้ที่ส่วนหัว
เพราะทรงติดตั้งจิตวิญญาณเอาไว้ที่ส่วนหัว
จะสามารถทำงานร่วมกันในกระบวนการรับรู้ได้ดี

2.ทรงติดตั้งประสาทสมองเอาไว้ที่ส่วนหัว
เพื่อให้จิตวิญญาณทำหน้าที่สั่งกายผ่านสมอง
ในการแสดงออกหรือกระทำพฤติกรรมใดๆ
ที่จิตวิญญาณของไดโนเสาร์ตัวนั้นต้องการ
เพราะจิตวิญญาณจะสั่งกายสังขารโดยตรงไม่ได้
เช่น สั่งให้สี่เท้าก้าวหน้าถอยหลังเลี้ยวซ้ายขวา
เหลียวซ้ายแลขวา หันหน้าเผชิญ เดินเลี่ยงหนี
พฤติกรรมเหล่านี้จักต้องสั่งผ่านสมองทั้งนั้น

3.ทรงติดตั้งต่อมไร้ท่อต่างๆเอาไว้ด้วย
โดยกำหนดให้มันเป็นเครื่องมือของจิตวิญญาณ
ที่จะช่วยควบคุมการทำงานของอวัยวะภายใน
ให้เป็นไปตามแบบที่ทรงกำหนดไว้อย่างแม่นยำ
เช่น การทำงานของกระเพาะอาหาร ลำไส้
ตับ ไต ปอด หัวใจ และ อื่นๆ

นอกจากนั้น
ยังทรงกำหนดให้ต่อมไร้ท่อเหล่านี้
ร่วมกันทำหน้าที่ในมิติทางพลังงานที่แยบยล
เพื่อการผลิตพลังงานความรักให้โลก
ในนามของจิตวิญญาณอีกต่างหากด้วย

เพื่อให้แผนการของพระองค์
ในการกำหนดให้ไดโนเสาร์
เป็นเครื่องยนต์แห่งกรรมที่ทำงานได้สองมิติ
จึงทรงกำหนดให้จิตวิญญาณของไดโนเสาร์
ใช้กระบวนการ ขันธ์ห้า เป็นเครื่องมือ คือ

1.อายตนะสัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งใดก็จะเกิด รูป

2.จิตวิญญาณจะรู้ว่ารูปอะไรจะได้จาก สัญญา
จากการจำได้จากประสบการณ์ที่ผ่านมา
ถ้ายังไม่รู้ก็จะเรียนรู้ด้วยการลองผิดลองถูก
เมื่อได้เรียนรู้แล้วก็จะจำไว้ในสัญญาต่อไป

3.พอได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้วก็จะเกิด เวทนา
อันหมายถึงจะเกิดความรู้สึกชอบ ไม่ชอบ
จะเกิดความรู้สึกพอใจ ไม่พอใจ ขึ้นมา

4.เมื่อบังเกิดความรู้สึกขึ้นมาแล้วก็จะเกิด สังขาร
อันหมายถึงจิตวิญญาณจะนำความรู้สึกที่เกิดขึ้น
มาแปลเป็นความต้องการหรือไม่ต้องการ
แล้วให้สมองกำหนดพฤติกรรมทางกายใดๆ
เพื่อตอบสนองความต้องการนั้นๆต่อไป

5.ขณะที่จิตวิญญาณสั่นสะเทือน
เป็นความต้องการไม่ต้องการ พอใจไม่พอใจ
มีความสุขสงบ หรือมีความรักต่อสิ่งนั้นๆ
ต่อมไร้ท่อที่พระบิดาทรงติดตั้งเอาไว้ให้
ก็จะร่วมกันสั่นสะเทือนตามไปด้วย

ถ้าจิตวิญญาณสั่นสะเทือนด้านบวกเป็นความรัก
ก็จะผลิตพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวกออกมา
ถ้าจิตวิญญาณสั่นสะเทือนด้านลบเป็นความร้าย
ก็จะผลิตพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กด้านลบออกมา

พลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กที่ไดโนเสาร์ผลิตออกมา
ในทุกขณะจิตที่อายตนะทั้งหมดเปิดกว้างอยู่นี้
พระศาสดาที่เกิดจากโลกทรงเรียกว่า วิญญาณ
ซึ่งหมายถึงวิญญาณขันธ์ตัวที่ 5 นั่นเอง

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราพากเพียรที่จะนำเอาแรงบันดาลใจ
ที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างไดโนเสาร์
ซึ่งเป็นสัตว์ชนิดแรกขึ้นมาบนโลกเสรีนี้
ด้วยพระปัญญาปาฏิหาริย์ที่ไม่มีผู้ใดเทียบเท่า
มาเปิดเผยให้พวกท่านได้คิดตามพระองค์
ในบางมิติแห่งการคิดเท่าที่พอจะถ่ายทอดได้

เพื่อยืนยันว่า
พระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้างที่แท้จริง
ทั้งโลก ต้นไม้ ไดโนเสาร์ ที่เรากล่าวมา
มิได้เกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติ
มิได้ถูกสาดออกมาจากกระบวนการบิ๊กแบ็ง

เพื่อสร้างสติทางวิญญาณแก่พวกท่านว่า
จงอย่าปฏิเสธพระองค์
เพราะเชื่อวิทยาศาตร์ทางกายภาพอีกต่อไปเลย

แม้ว่าบทนี้เรายังจะมิได้กล่าวถึงแรงบันดาลใจ
ที่ทรงกำหนดสร้าง "มนุษย์" อย่างพวกท่านก็ตาม
แต่ท่านจักต้องรู้ว่า

การปฏิเสธพระบิดาผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณ
มันคือการทำตนเป็นบุตรกำพร้าพ่อแม่
การกล่าวก้าวล่วงจ้วงจาบพระบิดา
มันคือบุตรเนรคุณ
การจำพระบิดาผู้ให้กำเนิดไม่ได้
มันคือบุตรอกตัญญู

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
29/05/2021

26 พฤษภาคม 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล

26/05/2021



พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

เมื่อพระองค์ทรงทราบในเบื้องต้นแล้วว่า
ประดาเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมต้นไม้
ทั้งที่เป็นประเภทหยัดยืนปักรากอยู่บนแผ่นดิน
และที่เป็นประเภท "ต้นไม้บนต้นไม้" ทั้งหลาย
ไม่สามารถช่วยสร้างพลังงานความรัก
เป็นเชื้อเพลิงให้แก่แกนโลกของพระองค์ได้นั้น

พระองค์จึงตัดสินพระทัยแล้วว่า
จะต้องออกแบบเครื่องยนต์แห่งกรรม
ที่จะทำหน้าที่เป็น เป็นเพื่อนร่วมงานกับโลก
เป็นรูปธรรมใหม่ที่ต้องแตกต่างไปจากต้นไม้
โดยทรงมีประเด็นการสร้างใหม่ให้ขบคิดดังนี้

1.เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมใหม่ที่ทรงสร้าง
จักต้องดำรงอยู่ร่วมกันกับป่าไม้ของพระองค์ได้
โดยไม่เปลืองพื้นที่เหมือนต้นไม้ป่าไม้ทั้งหลาย

2.เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมใหม่ที่ทรงสร้าง
จักต้องดำรงอยู่ร่วมกันกับป่าไม้ของพระองค์ได้
โดยไม่เบียดเบียนทำร้ายต้นไม้ป่าไม้ของพระองค์
ทั้งยังพึ่งพาอาศัยกันและเป็นประโยชน์ต่อกันด้วย

3.เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมใหม่ที่ทรงสร้าง
จักต้องสามารถเคลื่อนที่ไปในป่าไม้ของพระองค์
หรือเดินทางท่องไปทั่วแผ่นดินโลกได้ด้วย

4.เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมใหม่ที่ทรงสร้าง
จักต้องร่วมกันผลิตพลังงานความรักมอบให้โลก
ได้มากกว่า 3 เท่าที่ป่าไม้ทั้งโลกของพระองค์
สามารถทำได้อยู่ในขณะนั้น

5.เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมใหม่ที่ทรงสร้าง
จักต้องมีอาหารเลี้ยงชีวิตเพื่อการดำรงอยู๋บนโลก
เพื่อทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับโลกได้
โดยมีอายุขัยยืนยาวหรือไม่มีการกำหนดอายุขัย
ซึ่งอาหารต้องหาเอาได้จากป่าบนแผ่นดินโลก

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

ทั้งหมด 5 ประการที่เรากล่าวมาแล้วนั้น
คือโจทย์หลักที่มันสุดจะอลังการงานสร้าง
ซึ่งท้าทายการเรียนรู้ของพระเจ้าโดยแท้

อย่างน้อยมนุษย์ทั้งหลายที่อ่านมาถึงบรรทัดนี้
ย่อมรู้ได้เองแล้วว่ากว่าพระองค์จะทรงคิด
เพื่อการสร้างสรรค์สิ่งที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้นั้น
ทรงต้อง ฉลาดนึก ก่อนจะฉลาดคิดตามที่นึก
ด้วยพลังแห่งแรงบันดาลใจแบบไหนอย่างไร
ที่สำคัญคือจะรู้ว่าทุกสิ่งในจักรวาลอันไพศาลนี้
มันเกิดเองมีเองเป็นเองตามธรรมชาติไม่ได้
ปรากฏการณ์บิ๊กแบงจะบังเอิญสร้างทุกสรรพสิ่ง
ที่ละเอียดอ่อนแยบยลตามแบบที่ทรงสร้างไม่ได้
คงมีแต่พระเจ้าหรือพระผู้สร้างที่ทรงพระปรีชา
เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่จะทรงบันดาลได้

ดังนั้น
แผนการสร้างรูปธรรมเครื่องยนต์แห่งกรรมใหม่
จึงทรงใช้เงื่อนไขข้อกำหนดทั้งห้าข้อเป็นโจทย์

1.จากเงื่อนไขข้อแรกทำให้พระองค์
ต้องกำหนดสร้างเครื่องยนต์แห่งกรรม
ที่ไม่มีรากยึดรั้งตนเองอยู่กับที่เหมือนต้นไม้แล้ว
แต่ต้องสามารถดำรงอยู่ร่วมกันกับป่าไม้ได้

2.จากเงื่อนไขข้อที่สองทำให้พระองค์
ต้องกำหนดให้เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมใหม่
ใช้อาหารที่ได้จากป่าไม้บนแผ่นดินโลกยังชีพ
เช่น ยอดไม้ ใบไม้ ผลไม้ หน่อไม้ รากไม้ เป็นต้น

ดังนั้น
เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมที่ว่านี้
จึงต้องมีช่องทางในการเอาอาหารหยาบๆ
เข้าสู่เครื่องยนต์แห่งกรรมช่องทางใหม่
เพราะจะใช้รากเหมือนต้นไม้ไม่ได้แล้ว
ระบบการนำอาหารที่ใส่เข้าไปเพื่อใช้ประโยชน์
ก็จะต้องออกแบบใหม่หมดเลยด้วย

ด้วยเหตุนี้เอง
จึงเป็นที่มาของปาก ลิ้น ระบบทางเดินอาหาร
กระเพาะอาหาร ตับ ไต ไส้พุง ถุงน้ำดีอีกจิปาถะ
จนเป็นที่มาของการสร้างน้ำย่อยสิ่งที่รับเข้าไป
รวมทั้งต้องมีระบบขับถ่ายกากใยที่ไม่ต้องการ
ผ่านออกไปทางทวารหนักด้วย
ซึ่งในเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมต้นไม้ไม่มี

นอกจากนั้น
ทรงกำหนดให้เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมใหม่
ยังสามารถหายใจเอาก๊าซออกซิเจนเข้าไป
และคายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา
ซึ่งต้นไม้ก็ใช้ในกระบวนการปรุงอาหารด้วย
จึงเป็นที่มาของการสร้างระบบทางเดินหายใจ
โดยเริ่มจากการมีจมูก หลอดลม ปอด
เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดดำ ฯลฯ เป็นต้น

จากเงื่อนไขของพระผู้สร้างในข้อสองนี้
จึงเป็นที่มาของเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมใหม่
ที่แตกต่างจากต้นไม้ของพระองค์อย่างสิ้นเชิง
โดยเฉพาะโครงสร้างทางชีววิทยาตับไตไส้พุง
และกระบวนการทางชีวภาพที่สลับซับซ้อน
แลดูแล้วค่อนข้างแยบยลปนมหัศจรรย์ยิ่งนัก
ซึ่งแม้จะทรงมีพระดำริในแบบแผนมาถึงจุดนี้
ในขณะนั้นพระองค์ก็ยังทรงสรุปมิได้ว่า
ตัวตนรูปธรรมที่จะทรงสร้างนั้นจะเป็นแบบไหน

3.มาถึงเงื่อนไขการสร้างประการที่สามที่ว่า
เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมใหม่ที่ทรงสร้าง
จักต้องสามารถเคลื่อนที่ไปในป่าไม้ของพระองค์
หรือเดินทางท่องไปทั่วแผ่นดินโลกได้ด้วย

ด้วยเหตุนี้เอง
ผลึกแห่งการคิดสร้างสรรค์ของพระองค์
จึงปรากฏผลว่าเครื่องยนต์แห่งกรรมที่ว่านี้
ต้องมีอวัยวะที่ใช้หยัดยืนและเคลื่อนที่ได้
ต้องมีกลไกที่ใช้ในการมองเห็นอาหารที่จะกิน
ต้องมีกลไกในการได้ยินเสียงธรรมชาติ
ต้องมีอวัยวะที่ใช้เคลื่อนย้ายตนเองที่แข็งแรง
ต้องมีเปลือกนอกที่ทนแดดทนฝนทนการขีดข่วน

จึงเป็นที่มาของเครื่องยนต์แห่งกรรมที่ทรงสร้าง
อันประกอบด้วยหู ตา จมูก ผิวหนังร่างกาย
เท้าที่ใช้ในการหยัดยืนและก้าวเดิน

ปัญหาต่อไปของพระองค์ก็คือ
จะให้เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมใหม่นี้
ทำทุกสิ่งตามที่ทรงออกแบบไว้ตั้งแต่ต้น
ด้วยอะไรและขับเคลื่อนอย่างไร
ซึ่งมันสลับซับซ้อนมากกว่าต้นไม้ของพระองค์
ที่ทรงกำหนดให้มีกลุ่มพลังงานหรือจิตหยาบ
แบ่งหน้าที่กันทำเพื่อการดำรงชีพ
และทำหน้าที่มอบความรักให้โลก
ด้วยกระบวนการทางชีวภาพและโครงสร้าง
ที่ค่อนข้างจะไม่มีอะไรพิศดารเท่าใดนัก

แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ
เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมที่จะสร้างใหม่นี้
ต้องอยู่ยั้งยืนยงได้โดยไม่มีวันตายเองด้วย

ทั้งหมดนี้จึงเป็นที่มาของ
การกำหนดให้มีเซลอวัยวะร่างกาย
รับเอาสารอาหารจากป่าไม้ของพระองค์
ใช้บำรุงหล่อเลี้ยงเครื่องยนต์แห่งกรรมได้
โดยทรงกำหนดให้สามารถเจริญเติบโตได้
ทรงกำหนดให้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้ด้วย
เพื่อให้เครื่องยนต์แห่งกรรมนี้ไม่มีวันตาย

ปัญหาขั้นต่อไปก็คือ
เครื่องยนต์กลไกและกระบวนการต่างๆ
ที่ได้ทรงออกแบบวางแผนไว้แล้วนี้
จะใช้สิ่งใดเป็นผู้ขับเคลื่อนดำเนินการ
จึงจะทำให้ประสบผลสำเร็จได้สมปรารถนา

นี่จึงเป็นที่มาของการทดลองที่ยิ่งใหญ่
ที่พระองค์จักได้เรียนรู้ว่าทรงทำอะไรได้อีกบ้าง
นั่นคือการคัดเลือกพระบุตรของพระองค์
ที่ขันอาสาให้เข้ามาทำหน้าที่อันยิ่งใหญ่นี้
ในพระนามของพระองค์

โดยพระบุตรคือ จิตจักรวาลดวงเล็ก
จักต้องแบ่งภาคทางพลังงานของตนออกมา
ในอัตรา 70% เป็นรูปธรรมที่เรียกว่าจิตวิญญาณ
แล้วให้เดินทางข้ามมิติเข้ามายังระบบโลก
เพื่อปฏิสนธิทางวิญญาณกับเครื่องยนต์แห่งกรรม
ที่จะทรงสร้างขึ้นไว้ในระบบโลกนี้ต่อไป
โดยจิตวิญญาณที่เข้ามาจะนำคุณสมบัติต่างๆ
พร้อมข้อมูลการขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรม
ติดตัวมาจากแดนจิตจักรวาลนอกระบบเอกภพด้วย

4.มาถึงเงื่อนไขการสร้างใหม่ในประการที่สี่
เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมใหม่ที่ทรงสร้าง
จักต้องร่วมกันผลิตพลังงานความรักมอบให้โลก
ได้มากกว่า 3 เท่าที่ป่าไม้ทั้งโลกของพระองค์
สามารถทำได้อยู่ในขณะนั้น

ผลึกแห่งพระดำริของพระองค์ในขั้นตอนนี้
จึงทรงเจียระไนออกมาเป็นผลึกได้ว่า
จักต้องสร้างขึ้นมาจำนวนหลายๆรูปธรรม
เพื่อช่วยกันสร้างพลังร่วมมอบให้โลกได้ตามเป้า
คือต้องไม่ต่ำกว่า 3 เท่าที่ป่าไม้มอบให้โลกอยู่

ดังนั้น
จึงกำหนดให้จิตวิญญาณร่วมกับกลไกอายตนะ
ของรูปธรรมเครื่องยนต์แห่งกรรมที่จะสร้างใหม่
ให้มีการสั่นสะเทือนร่วมกันในสองมิติ
โดยมีสมองเป็นเครื่องมือของจิตวิญญาณ
เมื่ออายตนะภายนอกเกิดการรับรู้สิ่งเร้าเข้า
หรือเมื่อจิตวิญญาณนึกเองอยู่ข้างในเมื่อใด
พระองค์ก็ทรงกำหนดให้เกิด ขันธ์ห้า ขึ้นเมื่อนั้น

ขันธ์ห้าที่ทรงกำหนดติดตั้งไว้ให้ใช้นี้
จะเกิดขึ้นเมื่อกลไกอายตนะทั้งหก
มีการสัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งแวดล้อมรายรอบตัว
หรือสิ่งที่จิตวิญญาณนึกเองข้างในก็ตาม
โดยการสั่นสะเทือนทางจิตที่เป็นขันธ์ห้านี้
คือกระบวนการผลิตพลังงาน ความรัก ของจิต
เป็นรูป สัญญา เวทนา สังขาร และวิญญาณ
ที่ดาวเคราะห์โลกต้องการเป็นอย่างมาก
วิญญาณในขั้นตอนที่ห้านี้ก็คือ พลังงานความรัก
ในแบบที่โลกต้องการตามที่ทรงออกแบบไว้นั่นเอง

5.มาถึงเงื่อนไขการสร้างใหม่ประการสุดท้าย
เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมใหม่ที่ทรงสร้าง
จักต้องมีอาหารเลี้ยงชีวิตเพื่อการดำรงอยู๋บนโลก
เพื่อทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับโลกได้
โดยมีอายุขัยยืนยาวหรือไม่มีการกำหนดอายุขัย
ซึ่งอาหารต้องหาเอาได้จากป่าบนแผ่นดินโลก

จึงเป็นที่มาของการกำหนดสร้าง
พืชพันธุ์ธัญญาหารขึ้นมาเสริมบนแผ่นดินโลก
เพื่อให้รูปธรรมที่ทรงสร้างใหม่ได้ใช้เป็นอาหาร
หลังจากทรงสร้างเครื่องยนต์แห่งกรรมใหม่
ซึ่งเป็นรูปแบบแรกหรือชนิดแรกได้สำเร็จแล้ว
เพราะภายหลังทรงสร้างขึ้นไว้หลากหลายมาก
อาหารของสิ่งที่ทรงสร้างจึงต้องมีหลากหลาย

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เมื่อพระองค์ทรงนำเอาแบบแผนที่ทรงดำริ
มาเรียบเรียงรวบรวมเข้าไว้ด้วยกัน
สิ่งที่จะทรงสร้างนั้นจึงเป็นยอดแห่งนวัตกรรม
เมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นต้นไม้ใหญ่ล้มนอน
จึงเกิดแรงบันดาลใจในรูปแบบที่จะสร้างใหม่ได้
มันคือสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่เรียกว่าไดโนเสาร์
ตามความจริงที่เรากล่าวไว้ก่อนหน้านี้นั่นเอง

ท่านทั้งหลายเรียนรู้วิธีคิดสร้างสรรค์
ตามแบบพระบิดาแห่งจิตวิญญาณของท่าน
เพื่อช่วยให้ตนเองฉลาดขึ้นมาได้บ้างหรือยัง

ท่านทั้งหลายยอมรับกันได้บ้างหรือยังว่า
พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงฤทธิ์เหนือสิ่งใด
พระผู้ทรงภูมิปัญญาปาฏิหาริย์เหนือทุกสิ่ง
คือพระผู้เป็นเจ้าหรือองค์จิตจักรวาล
ที่เป็นพระผู้สร้างที่แท้จริง
มิใช่ธรรมชาติคือผู้สร้างจากการเดาว่าบังเอิญ
มิใช่เทพเจ้าคือพระผู้สร้างเพราะเชื่อในมโนคติ

ทั้งหมดที่เราหงายกะลาให้พวกท่านรู้นี้
ท่านรักศรัทธาพระองค์มากกว่าเดิมกันหรือยัง
คุ้นเคยกับพระเจ้าของท่านบ้างหรือยัง
จำผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณของท่านได้หรือยัง

ถ้าท่านจะเข้าถึงความจริงที่เป็นอนุตรธรรมได้
ท่านต้องเลิกเชื่อตามคนนำทางตาบอดเสียที
แล้วหันมาคิดตามเราด้วยจิตปัญญาของตนเอง
พวกท่านมีสมองให้ใช้กันอยู่แล้ว
แม้จะยังคิดเองไม่เป็นก็ไม่เป็นไรหรอก
เพียงแค่คิดตามพระบิดาและคิดตามเรา
เพียงเท่านี้ท่านก็จะใช้สมองเป็นแล้ว
ใครจะกล่าวหาว่าท่านโง่และงมงายไม่ได้อีกแล้ว

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
26/05/2021

สนทนาประสาจิตจักรวาล

26/05/2021




พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

เมื่อพระบิดาแห่งจิตวิญญาณหรือพระเจ้า
ได้ทรงสร้างป่าไม้นานาพรรณไว้บนโลก
เพื่อให้เป็นเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมต้นไม้
ที่สามารถช่วยกันค้ำจุนสมดุลโลกทางกายภาพ
และช่วยกันผลิตสร้างพลังงานความรักบริสุทธิ์
ที่เป็นคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวกให้แกนโลก
เพื่อใช้จุดระเบิดอะตอมของก้อนธาตุออกซิเจน
ที่พระองค์ทรงติดตั้งเอาไว้ตั้งแต่แรกสร้างโลก
ให้เกิดการ "บิดตัว" เพื่อทำให้โลกเหวี่ยงหมุน
ตามที่พระองค์ทรงออกแบบไว้สำเร็จแล้ว

แต่พระองค์ก็ทรงพบความจริงว่า
พลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
ที่ได้จากเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมต้นไม้
ที่ทรงกำหนดสร้างไว้ทั้งหมดบนแผ่นดินโลกนั้น
ยังมีปริมาณน้อยกว่าที่ดาวเคราะห์โลกต้องใช้
โดยโลกยังเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองเชื่องช้าอยู่
เมื่อหมุนรอบตัวเองช้าโลกจึงขาดความสมดุล
อีกทั้งพลังอำนาจของดาวเคราะห์ก็ต่ำไปด้วย

ถ้าดาวเคราะห์โลกหมุนรอบตัวเองช้าไป
ก็จะเกิดอาการแกว่งส่ายขณะเหวี่ยงหมุน
สนามแม่เหล็กที่ถูกเหวี่ยงออกมาจากแกนโลก
ก็จะไม่สม่ำเสมอหรือไม่คงที่ตามไปด้วย
จนยังผลให้เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมต้นไม้
สร้างไฟฟ้าเหนี่ยวนำกับสนามแม่เหล็กโลก
วิปริตผิดไปจากค่ามาตรฐานที่ทรงกำหนดไว้อีก
กระบวนการทางชีวภาพในระดับเซลของต้นไม้
ก็จะเสียสมดุลจนต้นไม้ป่าไม้ของพระองค์
ถ้าพวกเขาไม่ตายก็ไม่โตนั่นแหละ

นอกจากนั้น
ถ้าระบบโครงข่ายสนามแม่เหล็กโลก
ที่ห่อหุ้มโลกไว้ไม่สมดุลและไม่แข็งแรง
ก็จะไม่มีพลังอำนาจเหนี่ยวรั้งนำพา
ดาวเคราะห์ทั้งแปดดวงในระบบสุริยะเดียวกัน
ให้โคจรไปรอบๆดวงอาทิตย์ดวงเดียวกัน
ในแบบวงโคจรของใครของมันให้ต่อเนื่องได้

ปัญหาที่จักต้องแก้ไขจึงมีอยู่ว่า
พระองค์จะต้องทำอย่างไร
เพื่อให้โลกมีพลังอำนาจมากกว่าที่เป็นอยู่
เพื่อให้โลกมีความสมดุลมากกว่าเดิม

คำตอบที่พระองค์ทรงเรียนรู้ได้ในขณะนั้นก็คือ
พระองค์จักต้องเพิ่มจำนวนเครื่องยนต์แห่งกรรม
ที่ใช้ผลิตสร้างพลังงานความรักให้โลกให้มากขึ้น
นั่นคือทรงต้องเพิ่มป่าไม้ต้นไม้บนแผ่นดินโลกอีก
จนกว่าจะเพียงพอกับที่โลกต้องการนั่นเอง

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เนื่องจากแผ่นดินโลกที่มีแค่เพียงหนึ่งส่วน
เพราะเป็นพื้นน้ำไปสามส่วนแล้วนั้น
พระบิดาได้ทรงสร้างต้นไม้ป่าไม้เอาไว้เขียวขจี
จนเต็มพื้นที่แผ่นดินโลกไปหมดแล้ว

นี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงทราบด้วยพระปัญญาว่า
จะทรงคิดแบบเดิมสร้างแบบเดิมๆอีกไม่ได้แล้ว
เครื่องยนต์แห่งกรรมที่จะทรงสร้างใหม่เพิ่มนั้น
ไม่มีพื้นที่บนแผ่นดินเหลือให้ "ยึดเกาะ" อีก
นี่จึงเป็นที่มาของการทรงสร้าง "ต้นไม้บนต้นไม้"

ตัวอย่างที่ทรงสร้างขึ้นใหม่ก็คือ
พืชจำพวกเถาวัลย์ กาฝาก กล้วยไม้ เป็นต้น
แต่ในที่สุดแล้วพระองค์ก็ทรงพบว่า
ต้นไม้บนต้นไม้ทั้งหลายเหล่านี้
ก็ยังไม่อาจเติมเต็มพลังงานความรักให้โลกได้

ด้วยพระปรีชาญาณอันล้ำเลิศของพระเจ้า
ที่ทั้งหลายจักต้องน้อมเกล้าถวายพระเกียรติให้
จากการที่พระองค์ทรงมีคำตอบให้ตนเองว่า
เครื่องยนต์แห่งกรรมที่จะทรงสร้างเพิ่มขึ้น
จะต้องไม่แย่งที่หยัดยืนกับต้นไม้ป่าไม้เท่านั้น
โดยสิ่งที่จะทรงสร้างใหม่นั้นจักต้องอยู่ร่วมกัน
กับป่าไม้น้อยใหญ่ของพระองค์ได้อย่างลงตัว

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

นี่จึงเป็นที่มาของเครื่องยนต์แห่งกรรม
ที่มีโครงสร้างทางชีววิทยาและรูปลักษณ์
แตกต่างจากต้นไม้ใหญ่น้อยของพระองค์แต่เดิม
ซึ่งพระบิดาทรงเรียกว่า สัตว์ประจำโลก

เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมสัตว์ประจำโลก
จึงต้องมีขาที่เดินไปเดินมาในป่าได้ไม่แย่งพื้นที่กัน
จึงต้องมี จิตวิญญาณ จากแดนสุญตานอกเอกภพ
ขันอาสาพระองค์เข้ามาเกิดเป็นสัตว์ประจำโลกกัน
เพื่อทำหน้าที่ขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรม
และมอบความรักบริสุทธิ์ให้โลกเช่นเดียวกับต้นไม้
ตามพระประสงค์ของพระองค์

โดยกลไกการผลิตสร้างพลังงานความรักในสัตว์นั้น
จะถูกขับเคลื่อนทั้งสองมิติด้วย "จิตวิญญาณ"
กับเครื่องยนต์แห่งกรรมที่มีความสลับซับซ้อน
มากกว่าโครงสร้างทางชีววิทยาของต้นไม้
และมีความแตกต่างจากต้นไม้อย่างสิ้นเชิงอีกด้วย
ซึ่งเราจะนำมากล่าวให้ท่านรู้ในโอกาสต่อไป

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมสัตว์ประจำโลก
ซึ่งเป็นสัตว์ชนิดแรกสุดของดาวเคราะห์โลก
ที่ทรงสร้างขึ้นมาใหม่คือ ไดโนเสาร์ นั่นเอง

แรงบันดาลใจในการสร้างไดโนเสาร์
ได้จากการที่พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็น
ต้นไม้ใหญ่ของพระองค์ล้มลงมากองอยู่กับพื้น
ต้นไม้ต้นนั้นเป็นต้นไม้ที่ตายแล้ว

ภาพที่เห็นคือ
1.ด้านโคนต้นจะอ้วนใหญ่กว่าด้านปลาย
2.ด้านโคนต้นจะมีรากแขนงใหญ่ๆค้ำยันไว้
3.ด้านโคนต้นจะมีรากแก้วยาวเรียวชี้ไปข้างหลัง
4.ด้านปลายยอดจะมีกิ่งใหญ่ๆค้ำยันพยุงไว้
ทำให้ส่วนลำต้นทางปลายยอดไม่ถึงพื้น
5.เปลือกของต้นไม้นั้นมีสีน้ำตาลคล้ำและไม่เรียบ

ลักษณะทั้งหมด 5 ประการดังกล่าว
จึงเป็นที่มาของสัตว์ที่เรียกว่าไดโนสาร์
ที่ทรงใช้ต้นไม้ล้มของพระองค์เป็นต้นแบบนั่นเอง

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

ที่เรากล่าวมาทั้งหมดนี้
เพื่อต้องการแสดงพระปรีชาญาณของพระเจ้า
ให้มนุษย์โลกได้รู้เห็นและศรัทธาพระองค์ว่า
ที่เรากล่าวว่าองค์จิตจักรวาลคือพระเจ้า
พระองค์ทรงเป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่งนั้น
พระองค์ทรงสร้างด้วยแรงบันดาลใจไม่มีต้นแบบ
พระองค์ทรงมีวิธีคิดและทรงมีมุมมองที่แยบยล
จนมนุษย์โลกเข้าไม่ถึงและไม่เข้าใจในพระผู้สร้าง
เพราะไม่ฉลาดใช้ปัญญาได้แต่ดูกับเดาเท่านั้น
จึงพากันปฏิเสธพระผู้สร้าง
พากันปฏิเสธว่าทุกสิ่งมิใช่พระองค์เป็นผู้สร้าง
โดยยกให้ธรรมชาติคือผู้สร้างทุกสรรพสิ่งแทน

ธรรมชาติที่มีแต่โมเม มีแต่สมมติฐาน
ธรรมชาติที่มีแต่ "บังเอิญ" แบบจับแพะชนแกะ
ทั้งๆที่ผู้อยู่เบื้องหลังธรรมชาติก็คือพระบิดา
แต่มนุษย์ส่วนใหญ่กลับตาบอดมองไม่เห็น...กัน

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
26/05/2021

สนทนาประสาจิตจักรวาล

26/05/2021




พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

เมื่อพระบิดาแห่งจิตวิญญาณหรือพระเจ้า
ได้ทรงสร้างป่าไม้นานาพรรณไว้บนโลก
เพื่อให้เป็นเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมต้นไม้
ที่สามารถช่วยกันค้ำจุนสมดุลโลกทางกายภาพ
และช่วยกันผลิตสร้างพลังงานความรักบริสุทธิ์
ที่เป็นคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวกให้แกนโลก
เพื่อใช้จุดระเบิดอะตอมของก้อนธาตุออกซิเจน
ที่พระองค์ทรงติดตั้งเอาไว้ตั้งแต่แรกสร้างโลก
ให้เกิดการ "บิดตัว" เพื่อทำให้โลกเหวี่ยงหมุน
ตามที่พระองค์ทรงออกแบบไว้สำเร็จแล้ว

แต่พระองค์ก็ทรงพบความจริงว่า
พลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
ที่ได้จากเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมต้นไม้
ที่ทรงกำหนดสร้างไว้ทั้งหมดบนแผ่นดินโลกนั้น
ยังมีปริมาณน้อยกว่าที่ดาวเคราะห์โลกต้องใช้
โดยโลกยังเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองเชื่องช้าอยู่
เมื่อหมุนรอบตัวเองช้าโลกจึงขาดความสมดุล
อีกทั้งพลังอำนาจของดาวเคราะห์ก็ต่ำไปด้วย

ถ้าดาวเคราะห์โลกหมุนรอบตัวเองช้าไป
ก็จะเกิดอาการแกว่งส่ายขณะเหวี่ยงหมุน
สนามแม่เหล็กที่ถูกเหวี่ยงออกมาจากแกนโลก
ก็จะไม่สม่ำเสมอหรือไม่คงที่ตามไปด้วย
จนยังผลให้เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมต้นไม้
สร้างไฟฟ้าเหนี่ยวนำกับสนามแม่เหล็กโลก
วิปริตผิดไปจากค่ามาตรฐานที่ทรงกำหนดไว้อีก
กระบวนการทางชีวภาพในระดับเซลของต้นไม้
ก็จะเสียสมดุลจนต้นไม้ป่าไม้ของพระองค์
ถ้าพวกเขาไม่ตายก็ไม่โตนั่นแหละ

นอกจากนั้น
ถ้าระบบโครงข่ายสนามแม่เหล็กโลก
ที่ห่อหุ้มโลกไว้ไม่สมดุลและไม่แข็งแรง
ก็จะไม่มีพลังอำนาจเหนี่ยวรั้งนำพา
ดาวเคราะห์ทั้งแปดดวงในระบบสุริยะเดียวกัน
ให้โคจรไปรอบๆดวงอาทิตย์ดวงเดียวกัน
ในแบบวงโคจรของใครของมันให้ต่อเนื่องได้

ปัญหาที่จักต้องแก้ไขจึงมีอยู่ว่า
พระองค์จะต้องทำอย่างไร
เพื่อให้โลกมีพลังอำนาจมากกว่าที่เป็นอยู่
เพื่อให้โลกมีความสมดุลมากกว่าเดิม

คำตอบที่พระองค์ทรงเรียนรู้ได้ในขณะนั้นก็คือ
พระองค์จักต้องเพิ่มจำนวนเครื่องยนต์แห่งกรรม
ที่ใช้ผลิตสร้างพลังงานความรักให้โลกให้มากขึ้น
นั่นคือทรงต้องเพิ่มป่าไม้ต้นไม้บนแผ่นดินโลกอีก
จนกว่าจะเพียงพอกับที่โลกต้องการนั่นเอง

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เนื่องจากแผ่นดินโลกที่มีแค่เพียงหนึ่งส่วน
เพราะเป็นพื้นน้ำไปสามส่วนแล้วนั้น
พระบิดาได้ทรงสร้างต้นไม้ป่าไม้เอาไว้เขียวขจี
จนเต็มพื้นที่แผ่นดินโลกไปหมดแล้ว

นี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงทราบด้วยพระปัญญาว่า
จะทรงคิดแบบเดิมสร้างแบบเดิมๆอีกไม่ได้แล้ว
เครื่องยนต์แห่งกรรมที่จะทรงสร้างใหม่เพิ่มนั้น
ไม่มีพื้นที่บนแผ่นดินเหลือให้ "ยึดเกาะ" อีก
นี่จึงเป็นที่มาของการทรงสร้าง "ต้นไม้บนต้นไม้"

ตัวอย่างที่ทรงสร้างขึ้นใหม่ก็คือ
พืชจำพวกเถาวัลย์ กาฝาก กล้วยไม้ เป็นต้น
แต่ในที่สุดแล้วพระองค์ก็ทรงพบว่า
ต้นไม้บนต้นไม้ทั้งหลายเหล่านี้
ก็ยังไม่อาจเติมเต็มพลังงานความรักให้โลกได้

ด้วยพระปรีชาญาณอันล้ำเลิศของพระเจ้า
ที่ทั้งหลายจักต้องน้อมเกล้าถวายพระเกียรติให้
จากการที่พระองค์ทรงมีคำตอบให้ตนเองว่า
เครื่องยนต์แห่งกรรมที่จะทรงสร้างเพิ่มขึ้น
จะต้องไม่แย่งที่หยัดยืนกับต้นไม้ป่าไม้เท่านั้น
โดยสิ่งที่จะทรงสร้างใหม่นั้นจักต้องอยู่ร่วมกัน
กับป่าไม้น้อยใหญ่ของพระองค์ได้อย่างลงตัว

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

นี่จึงเป็นที่มาของเครื่องยนต์แห่งกรรม
ที่มีโครงสร้างทางชีววิทยาและรูปลักษณ์
แตกต่างจากต้นไม้ใหญ่น้อยของพระองค์แต่เดิม
ซึ่งพระบิดาทรงเรียกว่า สัตว์ประจำโลก

เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมสัตว์ประจำโลก
จึงต้องมีขาที่เดินไปเดินมาในป่าได้ไม่แย่งพื้นที่กัน
จึงต้องมี จิตวิญญาณ จากแดนสุญตานอกเอกภพ
ขันอาสาพระองค์เข้ามาเกิดเป็นสัตว์ประจำโลกกัน
เพื่อทำหน้าที่ขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรม
และมอบความรักบริสุทธิ์ให้โลกเช่นเดียวกับต้นไม้
ตามพระประสงค์ของพระองค์

โดยกลไกการผลิตสร้างพลังงานความรักในสัตว์นั้น
จะถูกขับเคลื่อนทั้งสองมิติด้วย "จิตวิญญาณ"
กับเครื่องยนต์แห่งกรรมที่มีความสลับซับซ้อน
มากกว่าโครงสร้างทางชีววิทยาของต้นไม้
และมีความแตกต่างจากต้นไม้อย่างสิ้นเชิงอีกด้วย
ซึ่งเราจะนำมากล่าวให้ท่านรู้ในโอกาสต่อไป

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมสัตว์ประจำโลก
ซึ่งเป็นสัตว์ชนิดแรกสุดของดาวเคราะห์โลก
ที่ทรงสร้างขึ้นมาใหม่คือ ไดโนเสาร์ นั่นเอง

แรงบันดาลใจในการสร้างไดโนเสาร์
ได้จากการที่พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็น
ต้นไม้ใหญ่ของพระองค์ล้มลงมากองอยู่กับพื้น
ต้นไม้ต้นนั้นเป็นต้นไม้ที่ตายแล้ว

ภาพที่เห็นคือ
1.ด้านโคนต้นจะอ้วนใหญ่กว่าด้านปลาย
2.ด้านโคนต้นจะมีรากแขนงใหญ่ๆค้ำยันไว้
3.ด้านโคนต้นจะมีรากแก้วยาวเรียวชี้ไปข้างหลัง
4.ด้านปลายยอดจะมีกิ่งใหญ่ๆค้ำยันพยุงไว้
ทำให้ส่วนลำต้นทางปลายยอดไม่ถึงพื้น
5.เปลือกของต้นไม้นั้นมีสีน้ำตาลคล้ำและไม่เรียบ

ลักษณะทั้งหมด 5 ประการดังกล่าว
จึงเป็นที่มาของสัตว์ที่เรียกว่าไดโนสาร์
ที่ทรงใช้ต้นไม้ล้มของพระองค์เป็นต้นแบบนั่นเอง

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

ที่เรากล่าวมาทั้งหมดนี้
เพื่อต้องการแสดงพระปรีชาญาณของพระเจ้า
ให้มนุษย์โลกได้รู้เห็นและศรัทธาพระองค์ว่า
ที่เรากล่าวว่าองค์จิตจักรวาลคือพระเจ้า
พระองค์ทรงเป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่งนั้น
พระองค์ทรงสร้างด้วยแรงบันดาลใจไม่มีต้นแบบ
พระองค์ทรงมีวิธีคิดและทรงมีมุมมองที่แยบยล
จนมนุษย์โลกเข้าไม่ถึงและไม่เข้าใจในพระผู้สร้าง
เพราะไม่ฉลาดใช้ปัญญาได้แต่ดูกับเดาเท่านั้น
จึงพากันปฏิเสธพระผู้สร้าง
พากันปฏิเสธว่าทุกสิ่งมิใช่พระองค์เป็นผู้สร้าง
โดยยกให้ธรรมชาติคือผู้สร้างทุกสรรพสิ่งแทน

ธรรมชาติที่มีแต่โมเม มีแต่สมมติฐาน
ธรรมชาติที่มีแต่ "บังเอิญ" แบบจับแพะชนแกะ
ทั้งๆที่ผู้อยู่เบื้องหลังธรรมชาติก็คือพระบิดา
แต่มนุษย์ส่วนใหญ่กลับตาบอดมองไม่เห็น...กัน

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
26/05/2021

25 พฤษภาคม 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล

25/05/2021



สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

เมื่อแรกสร้างโลกนั้นองค์จิตจักรวาล
ได้ทรงออกแบบเครื่องยนต์แห่งกรรม
ที่จะใช้ทำหน้าที่ผลิตสร้างพลังงานด้านบวก
มอบให้แก่ดาวเคราะห์โลก
เพื่อใช้เป็น เชื้อเพลิง ในการจุดระเบิด
อะตอมของธาตุออกซิเจนบริสุทธิ์ 100%
ซึ่งมีลักษณะเหนียวหนืดคล้ายตังเม
ที่ทรงติดตั้งเอาไว้ภายในแกนโลก

เครื่องยนต์แห่งกรรมที่ว่านี้ก็คือ ต้นไม้ใหญ่
อันประกอบด้วยรากแก้ว รากแขนง รากฝอย
ลำต้น กิ่ง ก้าน ใบ ดอก ผล เป็นต้น
โดยทรงกำหนดให้มีกลุ่มพลังงานหลายๆกลุ่ม
ช่วยกันสั่นสะเทือนอยู่ภายในเซลของต้นไม้
เพื่อทำหน้าที่แต่ละอย่างแตกต่างกันไป
ในอันที่จะทำให้ต้นไม้ของพระองค์มีชีวิตยั่งยืน
ที่สามารถเติบโตได้ สืบทอดเผ่าพันธุ์ได้
ปรับตัวให้ตนเองดำรงชีวิตอยู่ในระบบโลกนี้ได้
ซ่อมแซมส่วนที่บาดเจ็บชำรุดสึกหรอได้
และผลิตสร้างพลังงานด้านบวกให้แกนโลกได้

แต่เนื่องจากต้นไม้ใหญ่แค่เพียงต้นเดียว
ยังไม่สามารถผลิตสร้างพลังงานด้านบวก
ให้โลกในระดับที่เพียงพอตามความต้องการได้
เนื่องจากพลังงานปริมาณน้อยๆนั้น
ไม่อาจจุดระเบิดอะตอมเพื่อบิดแกนแม่เหล็กโลก
ที่จะทำให้โลกเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองต่อเนื่องได้
พระองค์จึงต้องสร้างต้นไม้ใหญ่มากมายไว้บนโลก
แล้วใช้พลังงานร่วมจากต้นไม้ใหญ่ทุกต้นทั่วโลก
มอบให้โลกตามแผนการที่ทรงออกแบบไว้แทน
จนเป็นที่มาของคำว่า "ป่าไม้" นั่นเอง

โดยทรงกำหนดให้ต้นไม้ใหญ่ทุกต้น
เป็นเครื่องยนต์แห่งกรรมที่สามารถค้ำจุนสมดุลโลก
ทั้งในมิติทางกายภาพและมิติทางพลังงานได้

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
ต้นไม้ทุกต้นค้ำจุนโลกทางกายภาพได้
ด้วยการใช้รากของตนยึดรั้งแผ่นดินโลกไว้
ต้นไม้บนภูเขาจะใช้รากของตนชะลอน้ำหลาก
ที่หลั่งไหลลงมายังที่ราบเบื้องล่างให้ช้าลง

รากของต้นไม้ทั้งหลายบนขุนเขา
ก็จะช่วยกันดูดซับรับเอาน้ำฝนไว้
น้ำมีมากก็จะเกิดเป็นต้นน้ำลำธารและแม่น้ำ
ที่จะนำพาความชุ่มชื้นและอุดมสมบูรณ์
ไปสู่ทุ่งหญ้าป่าไม้บนพื้นราบทั่วแผ่นดินอีกด้วย

ป่าไม้ใหญ่บนขุนเขาสูงๆ
ยังสามารถช่วยให้ไอน้ำที่จับกลุ่มกันเป็นก้อนเมฆ
ตกลงมาเป็นน้ำฝนบนแผ่นดินโลกได้อีกเช่นกัน
ทั้งหมดที่เรากล่าวมานี้เป็นเพียงประโยชน์เบื้องต้น
ที่ป่าไม้ช่วยสร้างสมดุลโลกทางกายภาพ

แต่สำหรับภารกิจหลักที่สำคัญในมิติทางพลังงาน
อันเป็นแรงบันดาลใจของพระองค์
ที่ต้องสร้างป่าไม้ใหญ่ขึ้นไว้บนโลกเสรีนี้ก็คือ
ต้นไม้ทุกต้นของพระองค์จะต้องสร้างพลังงานบวก
มอบให้แก่แกนโลกผ่านทางปลายรากได้ด้วย
จึงทรงติดตั้งกลไกการผลิตพลังงานไฟฟ้าระดับเซล
โดยกำหนดให้มี "กลุ่มพลังงาน" ทำหน้าที่ขับเคลื่อน

ดังนั้น
ต้นไม้ใหญ่ทุกต้นจึงมี 2 มิติ
และมีกลุ่มพลังงานคอยทำหน้าที่ขับเคลื่อน
เครื่องยนต์แห่งกรรมทั้งระบบของต้นไม้นั้น
เพื่อผลิตสร้างพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
มอบให้แก่แกนโลกผ่านทางปลายราก
เฉพาะเวลากลางวันขณะต้นไม้สังเคราะห์แสง
ในกระบวนการผลิตอาหารเพื่อเลี้ยงตนเอง
โดยพระองค์ทรงติดตั้งให้เป็นระบบอัตโนมัติ

พระองค์ทรงออกแบบเอาไว้เช่นนี้
เพราะทรงได้จากแรงบันดาลใจที่ว่า
เมื่อต้นไม้ทั้งหลายดูดเอาสารอาหารและแร่ธาตุ
เพื่อการดำเนินชีวิตไปจากแผ่นดินโลก
ประดาต้นไม้ของพระองค์ก็สมควรแล้วที่จะต้อง
ตอบแทนด้วยการคืนความรักให้โลกเช่นกัน

ที่สำคัญที่สุดก็คือ
ต้นไม้ของพระองค์ทุกต้นบนโลกเสรีนี้
ไม่มีต้นไม้ต้นใดลืมตอบแทนพระคุณ
พระบิดาผู้ทรงสร้างพวกเขาไว้บนโลกนี้เลย
พวกเขาทำสามเหลี่ยมกับพระองค์ตลอดเวลา
ไม่ว่ายามตื่นหรือยามกลางคืนที่หลับไหล
โดยมีตนเองกับโลกร่วมกันเป็นฐานสามเหลี่ยม
ซึ่งมีพระบิดาทรงเป็นยอดของสามเหลี่ยมนั้น

มนุษย์สามารถสังเกตได้ด้วยตนเองว่า
ต้นไม้ใหญ่ทุกต้นจะใช้รากแก้วหยั่งลึกลงดิน
พุ่งตรงลงไปหาแกนแม่เหล็กโลกเบื้องล่าง
แล้วเหยียดลำต้นตั้งตรงเชิดชูยอดขึ้นสู่ท้องฟ้า
อันเป็นท้องฟ้าที่พระบิดาทรงสถิตอยู่นั่นแหละ

ท่านทั้งหลายจะพบเห็นได้ว่า
ต้นไม้น้อยใหญ่ที่ทรงสร้างไว้บนโลก
ไม่มีต้นใดเอาใจและตัวออกห่างพระองค์เลย
ทุกต้นเหยียดตรงเพื่อถวายพระเกียรติตลอดเวลา

ไม่มีต้นไม้ต้นใดปฏิเสธพระบิดาหรือพระผู้สร้าง
ด้วยการทำตัวผ่าเหล่าโดยไม่ทำในสิ่งต้องทำ
ไม่ยอมเป็นในสิ่งที่ทรงกำหนดให้เขาเป็น
เสมือนว่าจะต่อต้านพระอำนาจของพระองค์
จึงไม่มีต้นไม้ต้นใดทำตัวรกโลกหนักแผ่นดิน
โดยไม่ยอมทำภารกิจที่ทรงกำหนดให้ทำเลย

ทั้งๆที่พวกเขาไม่มีสมองให้คิดให้วางแผน
หรือให้มีสามนึกในบาปบุญคุณโทษผิดถูกดีชั่ว
คงมีแต่เพียงกลุ่มพลังงานที่เป็นดั่งจิตหยาบ
ที่มนุษย์ใช้ขับเคลื่อนตนเองในสองมิติ
แทนจิตวิญญาณผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของตน
ซึ่งต้นไม้ใช้เป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญ
เพื่อการขับเคลื่อนพฤติกรรมในสองมิติเท่านั้น

ท่านว่าต้นไม้ของพระบิดา
ทำตนเป็นดั่งลูกกำพร้าพ่อแม่มั้ย
ทำตัวเป็นลูกที่ไม่ดี
ไม่รับผิดชอบหน้าที่ของตนเองบ้างมั้ย

ต้นไม้ทั้งป่าทั่วแผ่นดินโลก
ยกทัพยกพวกตีกันทำสงครามกัน
เพื่อแย่งแผ่นดินโลกหรือแย่งอาหารกันกินมั้ย
ฯลฯ

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
25/05/2021