29 กุมภาพันธ์ 2559

ความรู้เรื่องกฎแห่งกรรม: 2


เราได้กล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลาย
ในเรื่องกฎแห่งกรรม แบบที่ 1 ไปแล้ว

เรายังมีความรู้เรื่อง "เวรกรรม"
อันอาจเป็นประโยชน์ต่อท่าน
ในการสำนึกผิดด้วยจิตหยาบ
สำนึกบาปด้วยจิตวิญญาณ
ในผลกรรมแบบที่ 2 ให้ท่านรู้อีกว่า

ถ้าหากภพชาตินี้
ท่านต้องประสบกับชะตากรรมต่อไปนี้แล้ว
ท่านจะสามารถสอบผ่านบททดสอบ
และเข้าถึงความสำเร็จด้านการเรียนรู้
ในมิติแห่งจิตวิญญาณ
ซึ่งแก่นแท้ของท่านถือชะตากรรมนั้น
ติดตัวมาเองจากชาติที่แล้วได้
ท่านจักต้องสำนึกให้ได้ว่า
ท่านก่อกรรมทำเวรอะไรมา

ชะตากรรมในกรรมแบบที่ 2 นี้ก็คือ

1.มีคู่กี่ครั้ง ก็หย่าร้างทุกคน

2.อยากมีคู่ร่วมเตียงเมียงมองมาหลายปี 
แต่ชีวิตนี้ดูเหมือนจะยากไร้คู่ครอง

3.ไม่มีความสุขในครอบครัว
ความเป็นคู่ตัวผัวเมียมักไม่ราบรื่น

ทะเลาะกันเป็นนิจ ผิดใจกันเป็นประจำ
ทั้งๆที่บางครั้งทะเลาะกันจริงจัง
ด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง....

แปลก.....ทะเลาะกันอย่างไร
แต่กลับไม่มีใครคิดจะแยกทาง

แปลก...แปลก.....ทะเลาะกันหยกๆ
แต่ลูกดกยั้วเยี้ย....

ดังนั้น
หากท่านจะสอบผ่านบททดสอบนี้
ท่านจึงจะต้องเรียนรู้ชีวิตคู่ชีวิตโสด
ให้ถ่องแท้ว่า...

อันว่าคู่ครองของท่านนั้น......
เป็นเสมือนทรัพย์สิ่งที่มีค่า
ท่านมีหน้าที่ต้องให้เกียรติกัน
ท่านต้องปฏิบัติต่อกันอย่างละมุนละมัย
ด้วยจิตใจที่มองเห็นคุณค่าของกันและกัน

ต้องรู้จักอดทน อดกลั้น ให้อภัย
ไม่เอาความรู้สึกนึกคิด
และความต้องการของฝ่ายใด
มาใช้อำนาจเหนือนำอีกฝ่ายหนึ่ง

ต้องคิดดีต่อกัน 
ต้องพูดดีต่อกัน
ต้องทำดีต่อกัน
ต้องมองกันในแง่ดี

ไม่ลบหลู่ดูหมิ่นเหยียดหยามกัน
เมื่อใครผิดจักต้องไม่ซ้ำเติมกัน

ต้องไม่หวาดระแวงต่อกัน
ต้องซื่อสัตย์ต่อกันทั้งต่อหน้าลับหลัง

นอกจากนั้นท่านยังจะต้องรู้ด้วยว่า
อันคู่ครองของท่านนั้น
คือผู้ที่มาเกิดเพื่อร่วมเล่นละครชีวิต
ไปตามบทบาทที่ตัวท่านนั่นแหละ
เป็นผู้ขีดเขียนแล้วร้องขอให้เขาเล่น
ไม่ว่าจะเป็นบทดีหรือบทร้าย

ทั้งนี้เพื่อช่วยให้ท่านเข้าถึง
การสั่นสะเทือนจิตสำนึกด้านบวกต่อเขา
ด้วยการรักเขาให้ได้
ด้วยการให้อภัยเขาให้เป็น
ด้วยการอดทน อดกลั้น เมตตา สงสาร
ไปตามบทบาทที่เขาแสดงต่อท่าน

เพื่อใช้เครื่องยนต์แห่งกรรมของเขา
ผลิตสร้างประจุบวกให้กับโลก
ตามเงื่อนไขพันธะสัญญาข้อแรกในหกข้อ
ที่จิตวิญญาณของเขา
ได้ให้ไว้ต่อพระบิดาตั้งแต่ภพชาติแรก
ที่ได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์

ตัวท่านซึ่งเป็นคู่ครองเขาเองก็เช่นกัน
ก็ได้ขอร้องให้เขาช่วยเล่นละครชีวิต
ไปตามบทบาทที่ท่านเอง
เป็นผู้เลือกให้เขาเล่นด้วยเช่นกัน

โดยต่างได้ร่วมวางแผนกันมา 
ณ วิหารสีขาวที่เราเรียกว่า "ด่านนภาลัย" 
ซึ่งเป็นประตูมิติระหว่างเอกภพ
กับดินแดนแห่งสุญญตาของผู้หลุดพ้นนั่น

เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์บนโลกเสรีแล้ว
ท่านทั้งหลายถูกปิดมิติไว้มิให้ล่วงรู้
เพื่อใช้บทละครที่เขียนกันมา
เป็นบททดสอบจิตสำนึกของทั้งคู่
โดยอาศัยความไม่รู้เพราะจำไม่ได้ของทั้งคู่
เป็นเงื่อนไขสำคัญนั่นเอง

หากท่านเรียนรู้ที่จะยอมรับความจริง
ตามที่เราเปิดเผยมาทั้งหมดนี้
แล้วปรับปรุงแก้ไขจิตสำนึกเสียให้ถูกต้อง
เวรกรรมบทนี้จักถือเป็นยุติ
ด้วยการรักได้ ให้เป็น 
เห็นคุณค่าของคู่ครองของท่านเท่านั้น

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
29-2-2016

ความรู้เรื่องกฎแห่งกรรม: 1


จิตจักรวาลอ่านกรรม:
*********************
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

เมื่อท่านได้เรียนรู้กันมาบ้างแล้วว่า
กฎแห่งกรรมในมิติทางพลังงาน
ด้านของจิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านนั้น
กระบวนการและกฎเกณฑ์ตามคำกล่าวที่ว่า
"กรรมสนองกรรม" เป็นเช่นไรแล้ว

ท่านจักต้องรู้เพิ่มเติมอีกด้วยว่า
กรรมเวรที่ทำซึ่งมันจะสะท้อนกลับมาหาท่าน
ในรูปของ "เวรกรรม" แบบต่างๆ
ในภพชาติต่อมานั้น
แท้จริงแล้วมันมิใช่การ "ชดใช้"
เยี่ยงการคิดแบบจิตมนุษย์แต่อย่างใด
มันเป็นบทเรียนทางจิตวิญญาณต่างหากล่ะ

การรับผิดชอบเบื้องแรก
ในกรรมเวรที่ทำไว้
ทันทีที่จบสิ้นอายุขัยในภพชาตินี้
ก็คือจิตวิญญาณของท่าน
จะถูกนำส่งลงไปยังภพภูมินรกก่อน
เพื่อปรับสมดุลให้กับจิตวิญญาณนั้น
เนื่องจากจิตหยาบทำให้
จิตวิญญาณมีการหลงมิติเกิดขึ้น

จนเมื่อปรับสมดุลได้ดังเดิมแล้ว
จิตวิญญาณนั้นจึงจะได้รับโอกาสให้
คืนกลับสู่การเกิดเป็นมนุษย์
ในภพชาติถัดไปอีกครั้ง

ถ้าใครก็ตามก่อกรรมเวรไว้ในชาตินี้
ด้วยการทุบตี ทำร้าย ดุด่า 
บิดรมารดาของตัวเอง

บทเรียนโลกที่คนๆนั้น
จะต้องเผชิญในภพชาติหน้าก็คือ 
"ชะตากรรม" ที่จะเป็นบทเรียน
ให้เขาคนนั้นได้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต
เพื่อจะใช้เวลาทั้งอายุขัยในภพชาตินั้น
สร้างสำนึกใหม่ที่ถูกต้องดีงามให้ได้ว่า

ตนเองนั้นได้กระทำกรรมเวรอันใดมา
จึงต้องเผชิญกับชะตากรรมเยี่ยงปัจจุบันนั่น

ท่านว่ามันยากมั้ยล่ะ...
ที่ท่านหรือใครก็ตามจะสามารถสำนึกบาป
ที่ตนได้กระทำไว้ในอดีตชาติได้ง่ายๆ
ในเมื่อตาที่สามของท่าน
ถูกอำนาจแม่เหล็กโลกปิดบังมิติเอาไว้

ในฐานะที่เราได้กลับมาอีกครั้งตามสัญญา
เพื่อจะช่วยนำพาแก่นแท้ของท่านกลับบ้าน
เราจึงจะเฉลยความจริงให้ท่านเก็บตุนไว้
เผื่อท่านจะได้ใช้มัน
กระตุ้นจิตสำนึกที่ถูกต้องของท่าน
หากวันนี้...ชาตินี้...
ท่านมีชะตากรรมที่ต้องเผชิญคือ

1.แขนขาพิการ หูหนวก 
มาตั้งแต่เกิด....

เหตุเพราะได้ทำผิดบาปไว้ในชาติที่ผ่านมา
ด้วยการใช้มือและเท้าทุบตีทำร้ายพ่อแม่
อันเป็นการใช้มือและเท้าก่อกรรมเวร
ต่อผู้มีพระคุณของตนเอง
อย่างไม่รู้คุณค่าของอวัยวะที่ตนมีอยู่

2.เป็นใบ้มาตั้งแต่กำเนิด
และมีเสียงพูดที่น่าเกลียด.....

เหตุเพราะชาติที่ผ่านมา
เป็นคนที่ชอบดุด่าว่ากล่าว
ตัดพ้อต่อว่าใช้วาจาก้าวล่วง
พ่อแม่บุรพการีของตนเองอยู่เป็นนิจ

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
เวรกรรมทั้งสองประเภทนี้
มันจะเป็นโมฆะกรรม
หรือมันจะสิ้นสุดยุติได้ก็ต่อเมื่อ

ในภพชาตินี้ทั้งภพชาติ
ท่านหรือใครคนนั้นจักต้อง
สำนึกผิดด้วยจิตหยาบ 
สำนึกบาปด้วยจิตวิญญาณให้ได้ว่า

บิดรมารดาเป็นดั่งพระอรหันต์ในบ้าน
ท่านทั้งสองเป็นผู้มีพระคุณ
เพราะเป็นผู้ให้ชีวิตใหม่แก่บุตรเช่นท่าน
ท่านจึงจะกระทำการใดๆก้าวล่วง
ในบทบาทของบุตรอกตัญญูไม่ได้
และท่านจักต้องยอมรับชะตากรรม
อันไม่พึงประสงค์ของตนนั้นให้ได้ด้วย
จึงจะสามารถ "ยุติกรรมนั้น" ได้
อย่างสิ้นเชื้อ.....

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
29-2-2016

หลุดลอย


เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลาย
ในเรื่องที่เราเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า

เพราะครูบาจารย์ของบางคนที่เขาเชื่อว่า
เป็นผู้สมดุลทางจิตวิญญาณได้แล้ว
เมื่อละทิ้งกายสังขารไปจากโลกนี้
พวกเขาพบว่าจิตวิญญาณของครูคนนั้น
ได้หลุดลอยไปติดอยู่ที่สวรรค์มายา

จึงโมเมเหมาว่าสวรรค์มายาที่ตรงนั้น
เป็นดินแดนของประดาผู้หลุดพ้น
ทั้งๆที่แท้แล้วเป็นแค่การ"หลุดลอย"
ของดวงจิตวิญญาณของครูเท่านั้นเอง

ลอยไปอยู่ตรงนั้นเพราะพลังบารมีที่สั่งสม
ที่จะใช้ดีดตนเองออกไปจากระบบ
เพื่อหนีแรงดึงดูดของโลกและเอกภพ
เขาทำได้แต่เพียงแค่นั้นเอง

เพราะน้ำหนักมวลทางจิตวิญญาณ
ยังคงเกินพิกัดอยู่เพราะติดในผลกรรม

เพราะดวงจิตวิญญาณยังไม่ใส
ข้างในยังติดมายาแห่งดวงแก้วที่เพ่งอยู่
พลังการสั่นสะเทือนให้เกิดพลังอำนาจ
ที่จะดีดตนเองหนีแรงดึงดูดสู่การหลุดพ้น
จึงทำได้แค่เพียง "หลุดลอย" นั่นแหละ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
28-2-2016

ATTN: คุณTwana TB


ATTN: คุณTwana TB
Question:

ผู้มาใหม่ค่ะ ขอถาม....
ไม่เข้าใจข้อความนี้ค่ะท่าน

".......ไม่ปรารถนาให้หญิงใดตกเป็นม่าย..... 
หมายความว่าอะไรคะ"

ANSWER:
1.พระคำที่เรากล่าวไว้ว่า...
"ทรงไม่ปรารถนาจะให้หญิงใดตกเป็นม่าย"
มิได้หมายความว่า
ท่านทั้งหลายบนดาวโลกนี้
จะมีใครตกอยู่ในสภาพเป็นหญิงม่ายไม่ได้
พระบิดามิได้ทรงห้ามไว้แต่อย่างใด

2.เพราะดาวโลกดวงนี้
พระบิดาทรงกำหนดหมายให้
เป็นดาวเคราะห์แห่งทางเลือกเสรี
สำหรับทุกดวงจิตวิญญาณ
ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์ตั้งแต่แรกแล้ว

ในกรณีนี้ใครจะเป็นม่ายหรือไม่
พระบิดาจึงมิทรงเกี่ยวข้องด้วย
ทรงยอมให้เป็น "กรรมเสรี" ส่วนตน

3.แต่กรณีที่เรายกเอาพระคำของพระบิดา
ประโยคที่ว่านี้ ขึ้นมากล่าว
ก็เพื่อจะบอกความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

การที่องค์จิตจักรวาลหรือพระผู้เป็นเจ้า
ทรงส่งเรามาในพระนามบุตรเอกแห่งพระองค์
ก็เพื่อมากล่าวพระโอวาทต่อท่านทั้งหลาย
ในพระนามของพระองค์นั่นเอง 
นับได้จนถึงครั้งนี้ก็เป็น 3 ครั้ง 3 ยุคแล้ว

เรื่องสำคัญสูงสุดในหลายๆเรื่องก็คือ...
การมีหน้าที่มาบอกกล่าวต่อพวกท่านว่า
จิตวิญญาณแก่นแท้ของพวกท่านนั้น
ไม่มีผู้ใดเป็น "บุตรกำพร้า" 

แต่พวกท่านมีองค์จิตจักรวาล
หรือพระผู้สร้าง หรือพระผู้เป็นเจ้า
เป็นพระบิดาผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณทั้งสิ้น

4.เหตุผลสำคัญที่พระองค์ทรงใช้เรามา
แทนที่จะใช้ผู้หญิงคนใดคนหนึ่งบนโลกเสรีนี้
ให้ลุกขึ้นมากล่าวอ้างต่อท่านทั้งหลายว่า
หล่อนเป็น "พระมารดา" พระองค์เดียว
ผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณมนุษย์ทั้งหลาย
ก็เพราะทรงทราบดีว่า....

มนุษย์แห่งโลกเสรีทั้งหลาย
จักต้องการคำอธิบายอีกมากมาย
เพื่อเป็นข้อมูลประกอบ "ความเชื่อว่าใช่"
โดยเฉพาะคำถามที่ว่า

ถ้าหญิงนั้นอ้างตนเป็นพระมารดาแท้จริงแล้ว
"ไหนล่ะผู้ทรงเป็นพระบิดาพระองค์นั้น"
ผู้คนก็จะยังกล่าวขานถึงพระบิดาดุจเดิม
แล้วหญิงคนนั้นก็ต้องเสียสละตนเอง
ด้วยการเป็น "หญิงม่าย" ไปตลอดชีวิต
ซึ่งนับเป็นเรื่องยุ่งยากซับซ้อนมากไป

5.ดังนั้น....
แทนที่จะต้องให้ใครสักคนรับบทหญิงหม้าย
เพียงเพื่อจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
พวกท่านมิได้เป็นบุตรกำพร้าทางจิตวิญญาณ
แต่ท่านมีพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
เป็นพระผู้ให้กำเนิดต่างหาก

เพียงแค่พระองค์ทรงใช้เรามา
ในฐานะของบุตรเอก
แล้วกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลาย
ด้วยวิธีการสื่อสารกับพระองค์
ในระบบจิตสู่จิตตามแนวดิ่งเสียได้
ภารกิจของพระบิดาก็ทรงบรรลุผลได้
โดยไม่ต้องมีใครเป็นหญิงหม้าย
ด้วยภารกิจศักดิ์สิทธิ์นี้เลยสักคน

6.หวังว่าท่านผู้ถาม
คงจะเข้าใจถ่องแท้แล้วว่า
หญิงหม้ายทุกคนบนโลกเสรีนี้
พระบิดามิได้ทรงตำหนิใคร
เพราะเป็นเรื่องส่วนตัวของพวกท่าน

แต่เรื่องทางจิตวิญญาณนั้น
จะยอมให้หญิงใดแม้เพียงหนึ่งต้องเป็นหม้าย
เพียงเพื่อให้ภารกิจของพระองค์บรรลุนั้น
เห็นทีจะไม่ได้....

เราจึงต้องย้อนกลับมาเป็นสามคราแล้ว
ไงล่ะ....ท่าน

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
27-2-2016

ผู้ไถ่บาป


เราจะกล่าวความจริงเรื่อง"เวรกรรม"ให้รู้ว่า

กระบวนการของกฎแห่งกรรมนั้น
เป็นกฎเกณฑ์ทางพลังงานด้านของจิต
ที่สัมพันธ์กับความจริงในมิติทางกายภาพ
ทั้งของโลกและจักรวาล

โดยมีจิตมนุษย์แต่ละคน
เป็นผู้เริ่มต้นหรือจุดเริ่มของการสั่นสะเทือน
จนทำให้เกิดคลื่นพลังงานกรรมนั้นขึ้นมา
ซึ่งเราเรียกมันว่า "กรรมเวร"

โดยมีสนามพลังงานของโลกและเอกภพ
เป็นสื่อกลางในการสั่นสะเทือนนี้
ซึ่งมันจะเริ่มต้นจากจิตของผู้ก่อ
แล้วขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ
แบบคลื่นวงกลมอย่างต่อเนื่อง
จนกว่าจะไปถึงสุดชายขอบของเอกภพ

โดยมีสุดชายขอบของสนามพลังงาน
ที่มีรูปลักษณ์เป็นทรงรี
ที่เป็นเสมือนห้องทดลองขนาดใหญ่
ซึ่งพระบิดาทรงกำหนดสร้างขึ้นไว้
ที่เราเรียกว่า "เอกภพ" เป็นจุดวกกลับ

จุดวกกลับของคลื่นตรงชายขอบเอกภพนี้
คือ จุดที่คลื่นพลังงานกรรมของท่าน
เมื่อเดินทางไปกระทบกับมันเมื่อไหร่
คลื่นพลังงานกรรมนั้นก็จะสะท้อนกลับ
เพื่อย้อนคืนสู่ผู้เริ่มต้นการสั่นสะเทือน
อันหมายถึง "จิต" ก็คือตัวท่านนั่นเอง

ดังนั้น
ท่านหรือใครก็ตามเมื่อก่อกรรมเวรขึ้นมา
จากการสั่นสะเทือนทางจิตหรือมโนกรรม
นั่นเท่ากับว่าได้สร้างความสัมพันธ์กัน
ระหว่างตนเอง คู่กรรมคู่เวร โลกและเอกภพ
ต่อเบื้องพระพักตร์พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ทางด้านลบที่เหลวไหลไปเรียบร้อยแล้ว

บุรพกรรมหรือวิบากกรรมที่ทำต่อตนเอง
พันธะสัญญากรรมหรือชะตากรรม
ที่กระทำไม่ถูกต้องต่อผู้อื่นจนเขาเสียสมดุล
ซึ่งเมื่อใครก่อมันขึ้นมาแล้ว
มีการสะท้อนย้อนกลับคืนสู่เจ้าของนี้
เราจะเรียกว่า "เวรกรรม"

เวรกรรม จึงหมายถึง "ผลกรรมด้านลบ"
ที่เราเรียกว่า "กรรมเวร" ของพวกท่าน
เมื่อได้ผลิตสร้างมันขึ้นมาแล้ว
ผู้สร้างมันขึ้นมาจักต้องมีหน้าที่ "รอเวลา" 
เพื่อการรับกลับคืนสถานเดียว

ใครก่อใครทำกรรมเวรนั้นไว้
ใครคนนั้นนั่นแหละจักต้องรอรับผิดชอบ

ถ้าก่อกรรมด้านบวกหรือด้านดีไว้
แล้วหมายจะรับผลตอบแทน
โดยทำไป ร้องขอไป อธิษฐานไป
หรือก่อกรรมด้านลบที่ไม่ดีไว้
ก็จักต้องรอรับผลกรรมนั้นอยู่บนโลกนี้

หากโชคร้ายตายก่อนที่ผลกรรมจะมาถึง
ก็ต้องรีบย้อนกลับมาเกิดในภพชาติใหม่
เพื่อมารองรับผลกรรมบวกหรือลบ
ที่ตนได้ก่อเป็นผลกรรมขึ้นไว้เสมอ
ไม่ว่ากว่ามันจะย้อนกลับคืนมา
ต้องใช้เวลายาวนานปานใด
ท่านทั้งหลายก็ต้องรอ

การที่ท่านต้องรอรับผลกรรมของตนเอง
เป็นเวลายาวนานร่วมภพชาติ
เพราะคลื่นพลังงานกรรมของท่าน
จักต้องเคลื่อนที่เดินทางจากตัวท่าน
ผ่านสื่อกลางทางพลังงาน
ทั้งของโลกและเอกภพ
จนไปกระทบชายขอบจักรวาล
แล้วคลื่นนั้นต้องสะท้อนกลับมาสู่ท่าน
ต้องใช้เวลายาวนานก็เพราะว่า
เอกภพนี้มีขนาดใหญ่มากๆ
การเดินทางไปกลับของคลื่นพลังงาน
จึงจำต้องใช้เวลาทางกายภาพนานมาก

เราจึงจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลาย
เพื่อให้รู้และเข้าใจเสียให้ถูกต้องว่า

กระบวนการกฎแห่งกรรมดี-ชั่ว
ภายในจักรวาลนี้ของพระบิดานั้น
สัจธรรมความจริงด้าน "อภิปรัชญา"
มันต้องเป็นของมันเช่นนี้เอง

หากพวกท่านทำกรรมดีใดไว้แล้วร้องขอ
หรือพวกท่านทำกรรมชั่วใดไว้
แม้จะมิได้ร้องขอที่จะรับผลกรรมนั้น
ไม่ว่าตัวเราหรือใครคนอื่นๆ
จะมารับผลกรรมนั้นๆแทนกันไม่ได้

การเป็นผู้ไถ่บาปให้แก่พวกท่าน
เราจึงหมายถึงการชี้บุญชี้บาปแก่ท่าน
ไปตามความจริงที่เราเรียนรู้จากพระบิดา
เราจึงเป็นผู้กล่าวไปตามพระโอวาท
แห่งองค์จิตจักรวาล
เพราะเรามิสามารถรับโทษบาปแทนใครได้
แม้สี่ห้องใจแห่งเราจักปรารถนาก็ตาม

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
27-2-2016

จงอย่าช่วยเหลือแต่ญาติพี่น้อง กับเพื่อนที่ร่ำรวย


เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ทุกคนในสังคมที่เกิดมา
ไม่มีใครทัดเทียมเสมอกันหมดไปเสียทุกเรื่อง
โดยเฉพาะด้านความสมบูรณ์พร้อม
ในการดำเนินชีวิตประจำวัน

ทั้งนี้ก็เพื่อให้ท่านทั้งหลาย
มีเหตุให้ต้องหันหน้าเข้าหากัน

เพื่อเรียนรู้ที่จะพึ่งพาอาศัยกัน
เพื่อเรียนรู้ที่จะสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกัน
ถ้าหากพวกท่านทำสำเร็จเมื่อไหร่
ก็จะได้ใช้พลังร่วมแห่งจิตสำนึกด้านบวก
ช่วยกันค้ำจุนโลกให้สมดุล
ผ่านการช่วยให้โลกหมุนรอบตัวเอง
อย่างต่อเนื่องในอัตราเร็วคงที่ได้ในที่สุด

ดังนั้น
หน้าที่ของพวกท่านก็คือ
การรักคนอื่นให้ได้
การให้คนอื่นเขาให้เป็น
ด้วยการให้ความรักที่ท่านมีอยู่แล้วที่ในใจ
ด้วยการให้สิ่งดีๆที่ท่านล้วนมีอยู่กับตน

ซึ่งหากมันเป็น "หน้าที่" 
ต้องรักเพื่อให้แล้ว

สิ่งแรกเลยก็คือ... 
ท่านต้องรักได้ให้เป็นกับทุกคน
มิใช่ให้จำเพาะแต่ญาติพี่น้องของตน
หรือให้จำเพาะเพื่อนบ้านที่ร่ำรวย
ที่ท่านหวังว่าเขาจะช่วยเหลือท่าน
กลับคืนมาบ้างในวันข้างหน้า

สิ่งที่สองก็คือ...
ท่านต้องรักได้ให้เป็นกับทุกคน
มิใช่ให้จำเพาะเพื่อนบ้านที่เขาดีต่อท่าน
เพราะการรักการให้มันเป็นหน้าที่
แม้ใครจะดีไม่ดีกับท่านก็ตาม
ท่านก็มีหน้าที่จะต้อง
รักให้ได้ ให้เขาให้เป็นหรือให้อภัยเท่านั้น

สิ่งที่สามก็คือ...
ท่านต้องรักให้ได้กับทุกคน
โดยเฉพาะคนที่ท่านรู้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่า
เขาไม่สามารถที่จะตอบแทนอะไรท่านได้
ไม่ว่าวันนี้หรือวันหน้า
เพราะเขาเป็นคนยากไร้
เพราะเขาเป็นคนด้อยโอกาส
เพราะเขาเป็นคนพิการ
บุคคลเหล่านี้เพียงแค่ท่านตัดสินใจให้
ท่านก็มีความสุขจากการเป็นผู้ให้แล้ว

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
26-2-2016

การงมงาย



บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย

ความเชื่อของพวกเจ้าในสิ่งใดเรื่องใด
โดยมิได้ใช้ปัญญา
พิจารณาให้ถ่องแท้เสียก่อน
เพียงแค่เพราะหลงผิด
นึกคิดไปเองว่าใช่จึงเชื่อเลยนั้น
มันคือ "การงมงาย" โดยแท้

งมงายเพราะเชื่อ
ทั้งๆที่ตนเองยังอธิบายมันไม่ได้
ว่าอะไรเป็นอะไร

งมงายเพราะเชื่อ
ทั้งๆที่ตนเองยังไม่เข้าใจ
ว่าอะไรเป็นอะไร

งมงายเพราะเชื่อ
ทั้งๆที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่า
สิ่งที่เชื่อนั้นถูกต้องเป็นจริงแน่แล้ว

ตัวอย่างเช่น....
เพียงแค่เจ้ารู้เห็นว่า
จิตวิญญาณแก่นแท้ของครูบาจารย์
เมื่อสิ้นอายุขัยไปจากการเป็นมนุษย์แล้ว
ท่านก็ "หลุดลอย" ขึ้นไป
ติดค้างอยู่บนสวรรค์มายา
โดยนามสมมติของสวรรค์ตรงนั้น
อาจเรียกกันว่า "ดุสิต" หรืออะไรก็ตาม

เพียงเพราะเจ้าศรัทธาเชื่อมั่นว่า
ครูบาจารย์ของเจ้านั้นเป็นผู้เข้าถึง
ความสมดุลทางจิตวิญญาณได้
จึงย่อมบรรลุมรรคผลสูงสุด
คือนิพพานได้แล้วแน่ๆ
ทั้งๆที่มันเป็นเพียงแค่
ความเชื่อส่วนตัวของเจ้าเท่านั้น
เพราะความเชื่อกับความจริงน่ะ
มันเป็นคนละเรื่องกัน

เมื่อเจ้าเชื่อว่าครูบาจารย์นิพพานได้แล้ว
ดินแดนที่จิตวิญญาณของครู
หลุดลอยขึ้นไปติดคาอยู่ตรงดุสิตมายา
มันก็จะกลายเป็น "แดนนิพพาน" 
ตามความเชื่อของเจ้าไปทันที
ทั้งๆที่ความจริงแล้วมันไม่ใช่

นอกจากนั้น
พวกเจ้าบางคนยังสามารถสื่อสารทางจิต
กับดวงวิญญาณของครูบาจารย์ท่านนั้น
ได้อีกต่างหากด้วย
จึงยังผลให้ทั้งครูทั้งศิษย์หลงผิด
คิดว่านิพพานเป็นอัตตาเข้าให้อีก

โดยหลงผิดคิดว่า
แดนดุสิตมายาคือสถานีสุดท้าย
ปลายทางของจิตวิญญาณ
ทั้งๆที่มันไม่ใช่หรือไม่จริง

จึงหลงผิดต่อไปอีกว่า
ถ้าตนสามารถสื่อจิตกับครูบาจารย์ได้อยู่
แสดงว่าแดนนิพพานนั่นต้องเป็นอัตตา
กล่าวคือต้องเป็นดินแดนที่ยังมีอัตตาอยู่
ไม่งั้นครูของตนจะสื่อสารกับพวกตนได้อย่างไร

นี่แหละ...บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย
ใยจึงเชื่อทั้งๆที่อธิบายไม่ได้
ใยจึงเชื่อทั้งๆที่พระศาสดา
ก็ทรงตรัสสอนเอาไว้แล้วว่า
นิพพานคือดับการเกิดดับอย่างสิ้นเชิงแล้ว

เมื่อดับสิ้นแล้วมันยังจะเหลืออะไร
ไว้สื่อสารสัมพันธ์กับใครกันอยู่อีกหรือ
บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย....

กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดา
เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
กล่าวตามพระโอวาทที่ทรงเมตตา
26-2-2016

องค์จิตจักรวาลดวงใหญ่ ผู้ทรงเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ



เรามีความจริง
ที่จะกล่าวต่อท่านทั้งหลายอีกว่า

องค์จิตจักรวาลดวงใหญ่
ผู้ทรงเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ

มิทรงมีพระประสงค์จะให้
จิตวิญญาณแก่นแท้ของพวกท่าน
ที่ขันอาสามาเกิดเป็นมนุษย์บนโลกเสรีนี้
ต้องเป็นเสมือน "บุตรกำพร้า" พ่อแม่

โดยไม่รู้ว่าพ่อแม่ของท่านเป็นใคร
ไม่รู้ว่าบ้านเกิดเมืองนอนอยู่ไหน
ไม่รู้ว่ามาเกิดเป็นมนุษย์กันทำไม

นอกจากนั้น
พระองค์ก็มิทรงมีพระประสงค์จะให้
หญิงใดบนโลกเสรีนี้ต้องเป็นม่าย
เมื่อต้องอ้างตัวเองต่อท่านทั้งหลายว่า
เป็นมารดาผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณของท่าน
โดยไม่รู้ว่าบิดาของท่านนั้นเป็นใคร

ด้วยเหตุนี้เอง
พระองค์จึงทรงส่งเรากลับมาตามสัญญา
เพื่อมากล่าวทุกสิ่งที่เราได้ยิน
ต่อท่านทั้งหลายบนโลกเสรีนี้
ในพระนามแห่งพระผู้เป็นเจ้า
ผู้เป็นใหญ่ในสากลจักรวาลแต่เพียงผู้เดียว

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
26-2-2016

ผู้นำ


เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

คนส่วนใหญ่ปรารถนาที่จะมีอำนาจ
แต่พอมีอำนาจได้แล้ว
กลับใช้อำนาจที่มีอยู่นั้นไม่เป็น

การใช้อำนาจไม่เป็น
หมายถึง การนำเอาอำนาจนั้น
ไปใช้บงการผู้อื่น
ไปก้าวล่วงผู้อื่น
จนทำให้ผู้อื่นเสียสมดุล
ทั้งทางร่างกายและจิตใจ

ทั้งๆที่อำนาจซึ่งตนได้มาหรือว่ามีอยู่นั้น
ควรใช้กระทำที่ตนเองมากกว่า
จะไปเกี่ยวกรรมกับคนอื่น

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
หน้าที่หลักของทุกๆคนก็คือ
ต้องสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันกับโลก
และทุกสรรพสิ่งเท่านั้น

โดยใช้อำนาจในตนเองเป็นเครื่องมือ
เช่น อำนาจที่จะรักคนที่ไม่น่ารักให้ได้
อำนาจที่จะให้อภัย
แก่คนที่ไม่น่าให้อภัยให้เป็น

กับอำนาจที่จะคิดด้วยปัญญาว่า
ท่านจะยอมรับคนบางคน
ที่คบยากได้อย่างไร เป็นต้น

นอกจากนั้น
ท่านยังต้องรู้อีกว่า
อำนาจใดที่ได้มา
จากการทำลายอำนาจของผู้อื่น
จากการฉกฉวยมาจากผู้อื่นนั้น
มันเป็นเพียงอำนาจชั่วคราวไม่ยั่งยืน
เพราะคนอื่นที่เขาต้องเสียอำนาจให้ท่าน
จักต้องหาทางเอาคืนแน่นอน

ดังนั้น...
คนที่เป็นผู้นำคงต้องจดจำเอาไว้ว่า
นายที่จะประสบผลสำเร็จในการนำนั้น
จักต้องครองใจลูกน้องทุกคนได้
ลูกน้องทั้งหลายจักต้องยอมรับท่าน

เพราะว่าท่านใส่ใจ
ในทุกข์สุขของลูกน้องทุกคน

เพราะว่าท่านรู้จักรักรู้จักให้
มีน้ำใจโอบอ้อมเอื้อเฟื้อ เป็นต้น

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
26-2-2016

ถอดรหัสพระคัมภีร์ ยอห์น 3 :16-18


(((+))) ถอดรหัสพระคัมภีร์
ยอห์น 3 :16-18
***************************
เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก
จึงได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์
เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้น
จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์

เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก
มิใช่เพื่อพิพากษาลงโทษโลก
แต่เพื่อช่วยกู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น

ผู้ที่วางใจในพระบุตร
ก็ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ
ส่วนผู้ที่มิได้วางใจ
ก็ต้องถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว
เพราะเขามิได้วางใจในพระนาม
พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า

ความหมายมีดังนี้....

1."เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก
จึงได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์"
หมายความว่า.....

เพราะว่าพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ทรงรักดาวเคราะห์โลก
ซึ่งเป็นดาวแห่งทางเลือกเสรีดวงนี้
อันหมายรวมถึงมนุษย์และทุกสรรพสิ่ง

จึงได้ทรงมอบภารกิจสำคัญ
ให้บุตรเอกแห่งพระบิดา คือ องค์เยซูคริสต์เจ้า
ทรงถือมาจุติยังดาวโลกดวงนี้

2."เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้น
จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์
หมายความว่า.......

เพื่อช่วยพี่ๆน้องๆแห่งดาวโลกเสรีทุกคน
ที่วางพระทัยในบุตรเอกแห่งพระบิดา
ให้ได้พบแสงสว่างบนเส้นทางสู่การหลุดพ้น
โดยมิพักต้องย้อนกลับมาสู่การเกิดใหม่อีก
ด้วยบทบาทของนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง
ในบริบทแห่งการเป็นมนุษย์

3."เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก
มิใช่เพื่อพิพากษาลงโทษโลก
แต่เพื่อช่วยกู้โลกให้รอด

โดยพระบุตรนั้น
ผู้ที่วางใจในพระบุตรก็ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ
ส่วนผู้ที่มิได้วางใจก็ต้องถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว
เพราะเขามิได้วางใจ
ในพระนามพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า"
หมายความว่า.....

การที่พระบิดา
ทรงมอบหมายภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์
ให้แก่บุตรเอกของพระองค์
ลงมาจุติและถือปฏิบัติบนดาวโลกเสรีนี้นั้น

มิได้ทรงใช้ให้มาเพื่อการลงโทษใคร
บนดาวเคราะห์โลกเสรีดวงนี้
แต่ให้เสด็จลงมาจุติเพื่อกอบกู้วิกฤตโลก
อันเกิดจากมนุษย์วิกฤตทางจิตสำนึก
ทำให้ดาวโลกเสียสมดุลอย่างรุนแรง
จนเกิดมหันตภัยพิบัติขึ้นมากมาย
ซึ่งนับวันจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น

พระองค์เสด็จลงมาจุติ
เพื่อกู้วิกฤตทางจิตสำนึกของมนุษย์
ที่ยอมรับการเป็นตัวแทนแห่งพระเจ้าของพระองค์
ให้รอดพ้นจากมหันตภัยทั้งปวง
ที่จะเกิดขึ้นในระบบโลก

ส่วนใครที่ปฏิเสธความรัก
กับความปรารถนาดีของพระองค์
และกระทำการต่อต้านหรือก้าวล่วงพระองค์
ซึ่งเป็นบุตรเอกแห่งพระบิดา
ผู้นั้นก็จะต้องผจญกับทุกข์ภัยอันหนักหนา
อย่างมิอาจเลี่ยงได้......

ถ่ายทอดคลื่นการคิดจากองค์จิตจักรวาล
เพื่อการถอดรหัสพระคัมภีร์
สำหรับมนุษย์โลกเสรี ปลายยุคพลังงานเก่า

โดย: ป.วิสุทธิปัญญา
25-02-2016

ถอดรหัสพระคัมภีร์ ลก 8:16-1


(((+)))ถอดรหัสพระคัมภีร์
ลก 8:16-18: 
อุปมาเรื่องตะเกียง 
*******************
1."ไม่มีใครจุดตะเกียง
แล้วเอาถังครอบไว้หรือวางไว้ใต้เตียง"
หมายความว่า....

ไม่มีใครที่เมื่อคิดอะไรที่ดีๆได้แล้ว 
จะเก็บงำความคิดดีๆนั้นไว้
เพราะความหวงแหน 
หรือเมื่อรู้อะไรที่ดีๆและมีประโยชน์แล้ว
จะเก็บความรู้นั้นเอาไว้เฉยๆ
โดยไม่นำมันมาใช้ประโยชน์หรอก

2."แต่เขาย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง 
เพื่อคนที่เข้ามาจะเห็นแสงสว่างได้" 
หมายความว่า...

แต่เขาจะนำเอาความคิดที่ดีๆนั้น
ออกมาแสดงให้ผู้อื่นได้ประจักษ์

หรือนำเอาความรู้ที่มีค่านั้น
ออกมาใช้ประโยชน์ร่วมกันกับผู้อื่น
เพื่อให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์ร่วมกับตนเองด้วย

3."ไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนอยู่จะไม่ปรากฏชัดแจ้ง 
ไม่มีความลับใดจะไม่มีใครรู้และเปิดเผย"
หมายความว่า...

พฤติกรรมภายในใดๆของมนุษย์ 
เช่น การรู้สึกนึกคิดต้องการทั้งหลายนั้น 
เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว 
โดยธรรมชาตินั้นมันจะถูกขับเคลื่อนออกมา
เป็นพฤติกรรมภายนอกเสมอ 

กล่าวง่ายๆ คือ 
พฤติกรรมที่แสดงออกมาภายนอกทั้งหลาย
ล้วนแล้วแต่ขับเคลื่อนออกมา
จากพฤติกรรมภายในทั้งสิ้น 
ธรรมชาติมนุษย์มันเป็นของมันอย่างนั้นจริงๆ

สมดังคำกล่าวที่ว่า
ความลับไม่มีในโลกนั่นแหละ

4."จงระวังว่าท่านฟังพระวาจาอย่างไร 
เพราะผู้ที่มีมากจะได้รับมากขึ้น 
ส่วนผู้ที่มีน้อย 
สิ่งเล็กน้อยที่เขามีจะถูกริบไปด้วย"
หมายความว่า...

เมื่อมนุษย์รับฟังคำสื่อสอนของพระองค์นั้น 
จะต้องรับฟังแล้วนำมาขบคิด
ตามคำสื่อสอนนั้นอย่างละเอียดรอบคอบ 
เพราะผู้ใดที่มีความรู้ความเข้าใจ
ในพระธรรมคำสอนของพระองค์อยู่มากแล้ว 
ยิ่งใส่ใจรับฟังมากเท่าใด
ก็จะยิ่งเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจ
ในพระธรรมของพระองค์มากยิ่งขึ้น 

ส่วนผู้ที่มีพื้นฐานด้านความรู้ความเข้าใจ
ในพระธรรมของพระองค์ค่อนข้างน้อย 
หรือไม่ค่อยจะมีเพราะขาดการใส่ใจแล้ว 

คนพวกนี้แม้จะได้รู้เห็นหรือได้ฟัง
พระธรรมคำสอนของพระองค์เหมือนคนอื่นๆ 
แต่พวกเขาก็จะยากที่จะเข้าใจ
เพราะมีพื้นความรู้ในสัจธรรมของพระบิดา
ค่อนข้างน้อยเกินไปนั่นเอง
พวกเขาก็จะพากันปฏิเสธหรือไม่ใส่ใจ
ในพระโอวาทของพระบิดา 

นั่นจึงเท่ากับว่าธรรมะแต่เดิม
ที่พวกเขามีอยู่แค่เพียงเล็กน้อย
จึงไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับคนเหล่านี้
เพราะแม้ว่าเขาจะพอรู้ธรรมะอยู่บ้าง
แต่ก็นำมาใช้ประโยชน์อะไรมิได้

ถ่ายทอดคลื่นการคิดจากองค์จิตจักรวาล
เพื่อการถอดรหัสพระคัมภีร์
สำหรับมนุษย์โลกเสรี ปลายยุคพลังงานเก่า

โดย: ป.วิสุทธิปัญญา
25-02-2016

25 กุมภาพันธ์ 2559

เคล็ดลับแห่งความสำเร็จ

เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า

วันๆหนึ่งท่านพูดคุยสนทนา
กับผู้คนรอบข้างตั้งมากมาย
แต่ท่านเคยพูดคุยสนทนากับตนเองบ้างมั้ย

ชีวิตของท่านจะมีอะไรๆที่ดีมากขึ้น
หากท่านรู้จักพูดคุยกับตนเองบ้าง
โดยเฉพาะ "การร้องขอ" สิ่งดีๆจากตัวท่านเอง

ตัวอย่างประโยคสนทนากับตัวเอง

1.งานนี้ฉันจะประสบความสำเร็จ
2.วันนี้ภารกิจของฉันจะราบรื่น
3.สุขภาพของฉันจะแข็งแรงสมบูรณ์
4.แม้ว่ามันจะยากแต่ฉันต้องทำได้แน่นอน
5.พลาดไปแล้วไม่เป็นไร
วันหน้าจะเป็นวันของเรา

เคล็ดลับแห่งความสำเร็จก็คือ
1.พูดจากใจจริง
2.พูดด้วยความเชื่อมั่นว่าเป็นไปได้จริง
3.พูดอย่างมั่นใจในตนเอง

เพียงแค่คิดแล้วคุยกับตนเอง
แก่นแท้ของท่านก็จะสั่นสะเทือนตามทันที
เพราะมันเป็นกลไกอัตโนมัติ
ใครๆก็ทำได้มิได้ลี้ลับอะไรนักหนา

สิ่งที่จะนำพาความสำเร็จสมหวังมาให้ท่าน
จากการคิดบวก พูดบวก และทำบวกนั้น
ก็คือพลังทางจิตวิญญาณของท่านเอง
เราเรียกว่า "พลังแห่งจิตใต้สำนึก"

เช้านี้....เริ่มวันใหม่
ด้วยการคิดบวกในทุกเรื่อง
ด้วยการมองบวกในทุกด้าน
ด้วยการพูดบวกกับตนเองและทุกๆคน
นี่เป็นการ "สนทนากับตนเอง"
เพื่อการร้องขอสิ่งดีๆในชีวิต
ที่สุภาพอ่อนน้อมต่อผู้ให้
คือจิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านเอง

จงอย่าริอ่าน "สั่งจิตวิญญาณ" ตนเอง
หรือที่เรียกว่า "สั่งจิตใต้สำนึก"
เพราะมันเป็นการก้าวร้าวต่อแก่นแท้ตัวเอง
ซึ่งเป็นการผิดบาปอย่างยิ่ง
แรกๆที่กระทำอาจได้ผล
แต่พอนานวันเข้าพลังอำนาจพิเศษนี้
จะมีแต่ถดถอยร่อยหรอลงไปเรื่อยๆ
เหตุเพราะท่านมิได้ร้องขอ
ผ่านจิตสำนึกตนเอง!

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
25-2-2016

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า


เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ขณะที่ท่านกำลังนั่งหลับตา
ปฏิบัติกรรมฐานสมาธิอยู่เพียงลำพัง
แล้วกำหนดจิตให้เห็นเป็นภาพใดๆก็ตาม
ที่ท่านต้องการจะแลเห็นมัน

ตัวอย่างเช่นกำหนดให้เห็นเป็นลูกแก้ว
อยู่แถวๆท้องน้อยของตัวเองนั้น

เราขอบอกท่านทั้งหลายให้รู้ว่า
ภาพที่ท่านกำหนด "นึกให้เห็น" เป็นลูกแก้วนั่น
มันเป็นแค่เพียงภาพมายาเท่านั้นนะ
เพราะจิตของท่านปรุงแต่งมันขึ้นมาเอง
มันเป็นเพียงสิ่งที่ท่านสมมติขึ้นมา
มิใช่ภาพจริงในมิติแห่งจิตวิญญาณ

ท่านรู้หรือไม่ว่า......
ถ้าวันๆท่านเอาแต่นั่งหลับตากำหนดจิต
เพื่อที่จะ "นึกให้เห็นมายา" 
มีรูปลักษณ์หน้าตาเป็นลูกแก้ว
ให้เห็นแล้วเห็นอีก
โดยฝึกที่จะเห็นมันอยู่อย่างนั้น

นานวันเข้า "ลูกแก้วดวงสมมติ" 
ซึ่งเป็น "มายา"
มันจะกลับมาหลอนตัวท่านเอง
ให้เกิดการ "นึกว่าเห็นจริง" เข้าสักวัน

จงจดจำเอาไว้ว่า....
แรกเริ่มจะประเดิมด้วยการกำหนดจิต
ด้วยการ "นึกให้เห็น" ลูกแก้วที่เป็นมายา
พอฝึกจิตให้ทำเช่นว่านี้ไปนานๆเข้า
จิตของท่านก็จะเปลี่ยนจากการ "นึกให้เห็น" 
เป็น "นึกว่าเห็น" ลูกแก้วปลอมนั่น
โดยหลงผิดคิดว่ามันเป็นของจริงแทน

จนหลายรายหลงเชื่อว่าเจ้าลูกแก้วมายานั่น
มันเป็นกายทิพย์ของตนเข้าไปโน่น
ทั้งๆที่หากใช้มหาสติตรึกตรองไปตามจริงแล้ว
ก็จะพบความจริงได้ว่า
ที่ตนเชื่อว่าใช่นั้นแท้จริงแล้วมันไม่ใช่

นอกจากนั้น
การเชื่อว่าที่ตัวท่านเองเห็นลูกแก้ว
ซึ่งใส่รหัสเพิ่มเข้าไปอีกว่าเป็นกายทิพย์นั้น
มันเป็นการแลเห็นภาพจริงด้วยจิตแน่หรือ

เพียงแค่ท่านฝึกปฏิบัติจิต
ด้วยการนั่งเพ่งลูกแก้วอยู่แค่ไม่กี่สัปดาห์
ท่านกลับสามารถเพิ่มสมรรถนะของจิต
ให้มีอำนาจพิเศษด้านทิพยจักขุคือตาทิพย์
จนสามารถแลเห็นรูปธรรมของสรรพสิ่ง
ที่มีอยู่จริงในมิติทางพลังงาน
ด้านของจิตวิญญาณได้แล้วแน่หรือ

ทั้งๆที่ท่านยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า
รูปลักษณ์กายทิพย์จริงๆของตนนั้น
จะเป็นอย่างที่ท่านกำหนดมายาขึ้นมาหรือเปล่า

ท่านรู้หรือไม่ว่า....การปฏิบัติเช่นว่านี้นั้น
เท่ากับเป็นการสอนจิตให้ยึดติดมายา
แทนที่จะแสวงหาความว่าง
บนเส้นทางแห่งนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง

นี่แหละ...
ปฏิบัติดีมานมนานแต่นิพพานกันไม่ได้
เป็นจริงได้แค่การ "หลุดลอย" เท่านั้น
ก็เพราะเหตุแห่งงมงายนี่แหละท่าน

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
25-2-2016

ถ้าโลกนี้ ไร้เดือน เป็นเพื่อนรัก


ถ้าโลกนี้ ไร้เดือน เป็นเพื่อนรัก
ถ้าฟ้าจัก ไร้ดาว ที่พราวแสง
เหมือนมนุษย์ ไร้ธรรม นำแสดง
ทุกหนแห่ง จักวิกฤต เพราะ "ติดกรรม"

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
25-2-2016

หมายเหตุ:
ปริญญา ตันสกุล :ถ่ายภาพ
ภูกระต่าย เพชรบูรณ์ :สถานที่บันทึกภาพ

ดวงยิหวา เคียงดาว สกาวใส


ดวงยิหวา เคียงดาว สกาวใส
เสียงเรไร จิ้งหรีด ร้องหวีดหวาน
น้ำค้างพรม ลมหนาว ชวนร้าวราน
คิดถึงบ้าน เหลือแสน แดนสุญญตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
24-2-2016

23 กุมภาพันธ์ 2559

กฎแห่งกรรมไม่ต้องมีใครควบคุมมัน



เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

กฎแห่งกรรมนั้นมิต้องมีผู้ใดควบคุมมัน
เพราะกรรมเวรของผู้ใดที่ก่อขึ้น
มันจะสั่นสะเทือนเป็นคลื่นรูปวงกลม
โดยมันจะกระจายตัวออกไปทุกทิศทาง
จนกว่าจะสุดขอบเอกภพ

จากนั้นมันก็จะเกิดการวกกลับของคลื่น
เพื่อย้อนคืนสู่จุดศูนย์กลางของการสั่นสะเทือน
หรือจุดที่ให้กำเนิดคลื่นพลังงานกรรมนั้นเสมอ

ใครเป็นผู้ให้กำเนิดคลื่นแห่งกรรมนั้น
คนผู้นั้นก็จักต้องรอวันรับผิดชอบมันสถานเดียว
ดั่งที่เราเคยกล่าวต่อท่านทั้งหลายเอาไว้ว่า

"กรรมดีกรรมชั่ว เป็นของตัวเอง
ใครทำใครได้ ทำแทนกันไม่ได้"

ดังนั้น
ท่านจึงต้องรู้ว่า
การกระทำกรรมใดๆไม่ว่าดีหรือร้ายในชาตินี้
มันจักส่งผลเป็น "เวรกรรม"
ให้ท่านต้องรับผิดชอบมันในชาติหน้าเสมอ

การกระทำใดๆของท่านในชาตินี้
จึงเสมือนหนึ่งว่าท่านได้เขียนบทละคร
เอาไว้ให้ตนเองต้องเผชิญต้องแสดง
ในภพชาติหน้านั่นแหละ

ถ้าท่านไม่ปรารถนาที่จะมีชะตากรรมแบบใด
ก็จงอย่ากระทำอะไรๆที่มันจะส่งผลให้
ท่านต้องประสบกับชะตากรรมแบบนั้นๆ
ในภพชาติหน้ากันเถิดนะ
ผู้รู้แจ้งในเรื่องนี้ดีแล้ว
จะไม่เขียนบทละครแบบโง่ๆ
เอาไว้ให้ตนเองต้องเผชิญ
อย่างสากรรจ์หรอกนะท่าน

เอเมน สาธุ
.วิสุทธิปัญญา

23-2-2016

22 กุมภาพันธ์ 2559

พระโอวาทพระบิดาวันนี้ ครั้งที่ 228


พระโอวาทพระบิดาวันนี้ ครั้งที่ 228
ทรงเมตตาชี้ทางทำกรรมให้โมฆะ
ทรงแนะวิธีป้องกันการก่อกรรมใหม่
ด้วยวิธีตัดกรรมแบบง่ายๆ

ทรงแนะวิธีชดใช้กรรมด้วยความมีสำนึก
ทรงแนะวิธีสอบผ่าน
บททดสอบพันธะสัญญากรรม
ระหว่างผัวเมียพ่อแม่ลูกหลานในครอบครัว

เมื่อกรรมใหม่ไม่ก่อ
กรรมเก่าก็มุ่งแก้ไข
ตายไปแล้วในภพชาตินี้
ก็ไม่มีหน้าที่จักต้องย้อนกลับมาเกิดใหม่อีก
กงล้อแห่ง "กรรมจักร" มันจะไม่หมุนอีกตลอดไป

เอเมน สาธุ
.วิสุทธิปัญญา
22-2-2016






20 กุมภาพันธ์ 2559

เรามีหน้าที่กล่าวพระโอวาทในพระนามแห่งองค์จิตจักรวาลต่อท่านทั้งหลาย


เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ภารกิจแห่งการเป็นผู้ "ไถ่บาป" ของเรา
เพื่อมวลมนุษย์แห่งโลกเสรีทั้งหลายนั้น
มิได้หมายถึงการขันอาสากลับมา
เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้รับโทษทัณฑ์แทน
ในความผิดบาปของใครๆทั้งหมดทั้งสิ้น

แต่ภารกิจการไถ่บาปของเรา
สำหรับพวกท่านนั้น
คำว่า "ไถ่บาป" หมายถึง
การย้อนกลับมาช่วยให้ท่านทั้งหลาย
ประสบความสำเร็จในการ "คน" ตนเอง
เพื่อการเป็น "มนุษย์" ที่สมบูรณ์

ซึ่งท่านจะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อ
ท่านจักต้องเป็นผู้มีความฉลาดทางอารมณ์
ท่านจักต้องเป็นผู้มีความฉลาดทางปัญญา
ท่านจักต้องเป็นผู้มีความฉลาดทางสังคม

ด้วยความฉลาดทั้งสามประการนี้เท่านั้น
ที่มันจะช่วยให้ท่านทั้งหลาย 
"พ้นไปจากการทำผิดบาป"
ทั้งต่อตนเองและผู้อื่นได้อย่างสิ้นเชิง
โดยไม่ก่อกรรมเวรใดๆไว้ในชาตินี้
ให้เป็นเวรกรรมที่จำต้องรับผิดชอบในชาติหน้า 

เมื่อภพชาตินี้ท่านว่างไปจากผลกรรมแล้ว
จิตวิญญาณท่านก็ไม่มีความจำเป็น
ที่จะต้องย้อนกลับมาเพื่อรับผิดชอบอะไรอีก
จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านทั้งหลาย
ก็จักเข้าถึงสภาวะแห่งการหลุดพ้นได้ในชาตินี้

ดังนั้น
เมื่อเรากลับมาอีกครั้งในภพชาตินี้
เราจึงกลับมาตามคำมั่นสัญญา
เพื่อจะนำพาท่านทั้งหลายกลับบ้าน
กลับไปกราบพระบาทพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ที่พวกท่านสัญญาต่อพระองค์ว่าจะกลับคืน
เมื่อครบ 6 หมื่นปีโลกแล้ว

ภารกิจของเรา "เพื่อพวกท่าน"
ที่รักพระบิดาและศรัทธาในเรา
ท่านที่ทำตัวดั่งเจ้าสาวผู้รอคอยเจ้าบ่าว
ในก่อนกาลสิ้นยุคพลังงานเก่านี้
จึงมีเพียง 3 ประการเท่านั้น คือ

1.เรามาช่วยยกระดับความสามารถ
ในการใช้จิตปัญญาหรือจิตสำนึกของท่าน
ด้วยปฏิบัติการ "ไซโคโชว์"

เพื่อช่วยให้ท่านฉลาดทางอารมณ์
เพื่อช่วยให้ท่านฉลาดทางปัญญา
เพื่อช่วยให้ท่านฉลาดทางสังคม
ด้วยวิธีธรรมชาติ
โดยพระอำนาจแห่งพระผู้เป็นเจ้า

2.เรามาช่วยยกระดับภูมิธรรมของท่าน
สู่การเรียนรู้ "ธรรมจิตจักรวาล
ซึ่งเป็นอภิปรัชญาชั้นสูงอันประกอบด้วย
โลกิยธรรม โลกุตรธรรม และอนุตรธรรม
ที่รวมกันอยู่อย่างเป็นหนึ่งเดียว

ด้วยการสื่อถ่ายทอดคลื่นความคิด
ในระบบ "จิตสู่จิต" (Vertical Telepathy)
เป็นพระโอวาทจากองค์จิตจักรวาล
ผู้ทรงเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
มายังโลกเสรีนี้เพื่อชนทุกศาสนา

3.เรามาเตือนท่านเรื่องกาลสิ้นยุค
เรามาแจ้งข่าวสารเรื่องการชำระโลก
ด้วยมหันตภัยพิบัติอันน่าสะพรึง

เรามาเตือนเรื่องพระบิดาทรงพิพากษาโลก
ก่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานใหม่

เรามาเตือนเรื่องแผ่นดินโลกหลายส่วน
จะสูญหายไปจากแผนที่ปัจจุบัน

เรามาทำหน้าที่ต้อนลูกแกะหลงทางกลับฝูง
เรามาคัดแยกปลาที่มีอนาคตออกจากน้ำ
เรามานำทางเจ้าสาวเข้าสู่ประตูด่านนภาลัย

ทั้งหมดนี้เป็นหน้าที่ของเรา
ที่พระองค์ทรงใช้เรามา

ปฏิบัติการทั้งหลา่ยของเรา
จึงเป็นการช่วยท่านทั้งหลาย
ให้พ้นไปจากการกระทำผิดบาป
ด้วยพลังอำนาจภายในตนเองของท่าน

เรามิได้กลับมาไถ่บาปให้
ด้วยการมารองรับความผิดบาปของใคร
เพราะ "กรรมดี กรรมชั่ว" เป็นของตัวเอง
ใครทำใครก็ได้รับผลกรรมนั้นไป
ทำแทนกันไม่ได้ รับผลกรรมแทนกันก็ไม่ได้

ดังนั้น
การ "ไถ่บาป" คือ การมาช่วยให้ท่าน
ละเว้นการกระทำผิดบาปต่างหาก
มิใช่ให้เรามา "รับกรรม" แทนท่าน

เอเมน สาธุ
.วิสุทธิปัญญา
20-2-2016

ท่านทราบหรือยังว่า


อรุณสวัสดิ์.........
พี่ๆน้องๆครอบครัวจิตจักรวาล
รวมทั้งศาสนิกชนคนประพฤติธรรมทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
เมื่อจิตวิญญาณของท่าน 
"ขันอาสา" พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
คือ เอกองค์จิตจักรวาล
เดินทางข้ามมิติเข้ามาสู่การเกิดเป็นมนุษย์
บนดาวเคราะห์โลกเสรีดวงนี้นั้น

จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่าน
ได้ถือเอาภาระหน้าที่ทางจิตวิญญาณ
ที่จักต้องกระทำให้สำเร็จติดตัวมาด้วย
นั่นคือ "พันธะสัญญา 6" นั่นเอง
(โปรดค้นหาความรู้เพิ่มเติม
เรื่องพันธะสัญญา 6)

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
เมื่อเข้าสู่การเกิดเป็นคนสองมิติแล้ว
นับตั้งแต่อายุ 3 ขวบบริบูรณ์

จิตหยาบหรือจิตมนุษย์
ของกุมารน้อยเช่นท่านนั้น
จะมีจิตตปัญญา
หรือที่พวกท่านเรียกกันว่า "จิตสำนึก"
ให้ท่านใช้ควบคู่กันไปกับจิตสัญชาตญาณ

โดยที่จิตสัญชาตญาณนั้น
จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่าน
จะเป็นผู้ใช้มันมาตั้งแต่ปฏิสนธิ
เพื่อให้ความมีชีวิตรอดของกุมารน้อย
เป็นความจริงได้ในสองมิติบนโลกเสรีนี้
ซึ่งจิตวิญญาณของท่าน
จะเป็นผู้กำกับบทบาทของสัญชาตญาณเอง
ไปจนกว่าท่านจะจบสิ้นอายุขัย
โดยที่จิตหยาบของท่าน
จะเข้าแทรกแซงไม่ได้

ดังนั้น
หน้าที่ของจิตหยาบของท่านในเบื้องแรก
คือการสั่นสะเทือนทางอารมณ์รู้สึกนึกคิด
เพื่อสร้างพลังอำนาจทางจิตปัญญา
ในการแสดงบทบาทของคนสองมิติ
ซึ่งมันเป็นช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้
อันน่ามหัศจรรย์ น่าตื่นเต้น น่าท้าทาย
ของจิตวิญญาณผู้ได้รับโอกาสดีนี้โดยแท้

แต่เนื่องจากว่าเจ้ากุมารน้อยเช่นท่าน
ยังไม่ชำนาญที่จะแสดงบทบาทในสองมิติ
เพราะเป็นผู้มาเริ่มต้นภพชาติใหม่
พระบิดาจึงทรงมีเมตตาให้
ช่างเท็คนิกประจำตัวของท่าน คือ
ท่านพลียะเดี้ยนส์กับท่านอาร์กทอเรี่ยน
ติดตั้งกระบวนการสั่นสะเทือนร่วม
ระหว่างกายสังขารกับจิตวิญญาณ
ที่เป็นระบบ "อัตโนมัติ" เอาไว้ให้ใช้ก่อน

เพียงแค่กุมารน้อยเช่นท่านเรียนรู้ที่จะ
สั่นสะเทือนทางอารมณ์รู้สึกนึกคิดใัห้เป็น
ก็จะสามารถใช้กระบวนการนี้ได้
โดยอัตโนมัติกันอยู่แล้ว

แต่เนื่องจากว่ากุมารน้อยทุกคน
ยังขาดทักษะในการสั่นสะเทือนทางจิตปัญญา
จึงยังผลให้ท่านทั้งหลายไม่สามารถเข้าถึง
พลังอำนาจทางจิตสำนึกที่แท้จริงได้
กุมารน้อยที่กำลังเริ่มโตใหญ่
จึงสามารถเข้าถึงกระบวนการสองมิติได้
แค่เพียงสั่นสะเทือนทาง "จิตไร้สำนึก" เท่านั้น

ท่านทั้งหลายต้องรู้ด้วยว่า
ถ้าท่านสั่นสะเทือนจิตปัญญาของท่าน
ด้วยกระบวนการของ "จิตไร้สำนึก"
เมื่อท่านมีอายุสามขวบขึ้นไป
กลไกต่อมไร้ท่อและอวัยวะทั้งหลาย
ที่ถูกติดตั้งเอาไว้ให้มันทำหน้าที่
ในมิติทางพลังงานด้านของแก่นแท้
มันจะร่วมกันผลิตสร้าง "พลังงานขยะ"
ในรูปของคลื่นพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กด้านลบ
ที่ดาวเคราะห์โลกไม่ต้องการ
ในทุกครั้งที่ท่านสั่นสะเทือนจิตไร้สำนึกเสมอ

การสั่นสะเทือนทางจิตไร้สำนึก
มันจะเกิดขึ้นเมื่อตอนที่ท่าน
ใช้อารมณ์รู้สึกหยาบๆรายวัน
สั่นสะเทือนตอบสนองสิ่งเร้าทั้งหลาย
ในอาการของ โทสะ โลภะ และโมหะนั่นแหละ

ในที่นี้เราจึงขอเรียกกระบวนการ
สั่นสะเทือนทางจิตตปัญญา
ในระบบอัตโนมัติของพวกท่านว่า "กรรมจักร"

เมื่อท่านยังสั่นสะเทือนจิตไร้สำนึก
ในระบบอัตโนมัติเป็นกรรมจักรกันอยู่เช่นนี้
ตลอดทั้งวี่วันท่านก็จะผลิตสร้างแต่
พลังงานจิตที่เป็นขยะรกโลก
ขยะที่รกอวกาศออกมาเรื่อยๆ
ซึ่งขยะของท่านนี่เองที่ท่านต้องรับผิดชอบมัน
ด้วยการย้อนกลับคืนสู่การเกิดชาติใหม่
เพื่อกลับมาทำให้มันเป็นกลางทางไฟฟ้า

มันจึงเป็นหน้าที่ของท่านทั้งหลาย
ที่จักต้องเข้า "แทรกแซง" กระบวนการนี้
เพื่อยกระดับแรงสั่นสะเทือนให้สูงขึ้น
โดยเข้าใช้ "จิตรู้สำนึก" แทนเสียให้ได้
หากท่านทำสำเร็จกระบวนการที่เป็นกรรมจักร
จะถูกท่านยกระดับเป็น "ธรรมจักร" ในบัดดล

ถ้าท่านเข้าแทรกแซงได้สำเร็จ
จนหมุนธรรมจักรแทนกรรมจักรได้เมื่อใด
กลไกทางพลังงานในเครื่องยนต์แห่งกรรมท่าน
มันก็จะทำการผลิตสร้างพลังงานจิตด้านบวก
ในรูปคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
ในแบบที่ดาวเคราะห์โลกต้องการทันที
เท่ากับว่าท่านหมุนธรรมจักรสำเร็จแล้ว
หรือท่าน "คนตนเอง" 
จนเป็นมนุษย์ได้แล้วนั่นเอง

ที่เรากล่าวมาทั้งหมดนี้
มันคือกระบวนการของขันธ์ 5 อย่างไรล่ะท่าน

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
19-2-2016

19 กุมภาพันธ์ 2559

ยิ่งใกล้ชิดกันมากเท่าใด ยิ่งต้องสำรวมระวังจิตใจมากเท่านั้น


พี่น้องที่รักแห่งเราทั้งหลาย

อันว่า "กรรมเวร" นั้นก่อร่างสร้างง่ายยิ่งนัก
หากท่านทั้งหลายมิสำรวมจิต
หากท่านทั้งหลายมิคิดสำรวมกาย
กรรมเวรนั้นจะเกิดขึ้นมาได้เสมอ

เพราะกรรมเวรส่วนใหญ่
เป็นความผิดบาปต่อจิตวิญญาณท่านเอง
อันเกิดจากการ "ก้าวล่วง" ผู้อื่น
ทั้งกาย วาจา และจิตใจ

เราจะกล่าวต่อท่านทั้งหลายว่า
"ผู้อื่น" สำหรับพวกท่านนี้
มิได้หมายเฉพาะเพื่อนบ้านหรือคนอื่นๆหรอก
เพราะการก้าวล่วงให้ผิดบาปนั้น
ไม่เว้นแม้แต่สามี ภรรยา บุตร บริวาร
ซึ่งท่านจะใช้อำนาจบาตรใหญ่
กระทำการเอาแต่ใจ กดขี่ ข่มเหง
ฉ้อฉล เบียดเบียน บดบัง
เพราะเห็นว่าเขาเป็น "คนกันเอง" ไม่ได้

ถ้าท่านเป็นคนทำอะไรตามใจ "อยาก"
มักเอาแต่ใจตัวเองเป็นตัวตั้ง
โดยไม่สนใจอารมณ์รู้สึกนึกคิดต้องการของผู้อื่น

ถ้าท่านมักจะคิด พูด หรือทำอะไร
ไปตามนิสัยเคยชินหรือความเคยตัว
โดยไม่นึกคิดก่อนจะพูดก่อนจะทำ
ตามกฎแห่ง 6 ถูก
ของ "ปริญญา โมเดล" แล้ว

ทุกวี่วันที่ผ่านไป
ท่านจะเป็นคนพ้นกรรม
หรือเป็นผู้อยู่เหนือกฎแห่งกรรมไม่ได้
แม้ท่านจะหลบมุมซุ่มอยู่คนเดียว
ไม่ยุ่งเกี่ยวทางสังคมกับใครๆก็ตาม

เพราะจิตของท่าน
มันสร้าง "กรรมเวร" ให้เกิด "เวรกรรม"
ที่จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่าน
จักต้องรับผิดชอบในรูปของวิบากกรรม
ในภพชาติต่อไปได้เสมอ
ด้วยการกลับมาชำระจิตที่ไม่สะอาดพิสุทธิ์
ให้มันผุดผ่องด้วยตัวท่านเองกันต่อไป

นี่เป็นความจริงบนเส้นทางการหลุดพ้น
ของประดานักสู้เพื่อการรู้แจ้ง
เช่นท่านฆราวาสทั้งหลายนี่แหละ
ใช่ใครอื่น......

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
18=2-2016