26 กุมภาพันธ์ 2560

รหัสนัยแห่งแสงสีม่วง








พี่ๆน้องที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
ได้เกิดปรากฏการณ์ฟ้าสีม่วงขึ้น
ที่เมือง Charles ประเทศสหรัฐอเมริกา
ซึ่งเราได้นำภาพมาแสดงไว้
ในห้องเรียน Visudhi Punya นี้
เพื่อให้บันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์แห่งโลกเสรี
ในคาบสุดท้ายของการเปลี่ยนยุ
ดังปรากฏแก่ตาของท่านทั้งหลายมาแล้ว

แต่ก็ยังมีผู้ใคร่รู้ว่า ฟ้าสีม่วง นี้
ศาสตร์แห่งจิตจักรวาลสื่อถึงอะไรกันบ้าง
องค์จิตจักรวาลจะทรงบอกอะไรแก่ท่าน

ด้วยพระเมตตาแห่งองค์จิตจักรวาล
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณของท่านทั้งหลาย
พระผู้เป็นเจ้าแห่งจักรวาลอันไพศาลนี้

จึงได้ทรงมีพระเมตตา
ให้เปิดมิติทางปัญญาต่อท่านทั้งหลาย
ที่รักพระบิดาศรัทธาในเรา
ด้วยแก่นแห่งสาระว่าดั่งนี้

1.เป็นแสงสีม่วงที่ใช้รำลึกถึง
การเสด็จลงมาประสูติในโลกเสรีของพระคริสต์

ซึ่งในปลายยุคพลังงานเก่านี้
พระองค์ทรงเลือกดอกบานบุรีสีม่วง
เป็นสัญลักษณ์

ดังนั้น
ปรากฏการณ์ “มายาแห่งฟ้าสีม่วง” นี้
จึงเป็นไปตามพระประสงค์ของพระบิดา
ที่จะทรงสื่อกับบุตรมนุษย์ทั้งหลาย
ให้รับทราบถึงการเสด็จกลับม
ยังโลกเสรีตามสัญญาแล้ว

2.เป็นแสงสีม่วงที่สื่อแสดงถึง
พระมหาอำนาจแห่งองค์จิตจักรวาล
ซึ่งทรงประทานผ่านมายังเรา

อันเป็นมหาอำนาจแห่งจักรพรรดิ์
(The King of the Universe)

ที่จะกล่าวพระโอวาทต่อบุตรมนุษย์
ในพระนามแห่งพระองค์
เพื่อชี้ทางกลับบ้าน
และให้ประกาศพระวรสาร
เกี่ยวกับปฏิบัติการชำระโลก
ด้วยภัยพิบัติแบบต่างๆก่อนวันสิ้นยุค

3.เป็นแสงสีม่วงที่หมายถึง ความรัก
พระอนุตรธรรมชั้นสูง และแรงบันดาลใจ
ซึ่งพระบิดาจะทรงประทาน
ผ่านเรามายังโลกเสรีนี้
เพื่อใช้ในการปิดยุคพลังงานเก่าโดยสัมบูรณ์

4.คลื่นแสงสีม่วง
เป็นพลังอำนาจลึกลับจากจักรวาล
ที่กำลังส่งผ่านเข้ามาภายในระบบโลก
เพื่อจะทำให้โลกและทุกสรรพสิ่
ถูกเปลี่ยนแปลงในทุกมิติ

ด้วยมหันตภัยพิบัติรุนแรงในระดับที่
ไม่เคยเกิดขึ้นบนโลกเสรีนี้มาก่อนเลย
นับแต่ทรงสร้างโลก

มันจะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุด
ที่พระบิดากับมนุษย์
จะต้องแลกกับการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่
ในระดับแผ่นดินหาย
สัตว์หายและคนหาย
ซึ่งกล่าวโดยรวมว่า "หายนะ" (หาย-นะ)

จนนำมาซึ่งความทุกขเวทนา
ความโศกเศร้าร้าวราน
ความผิดหวัง
ความเจ็บปวด
และความแตกตื่นตกใจกันถ้วนทั่

5.คลื่นแสงสีม่วงนี้เป็นสัญลักษณ์ของ
การสำนึกในความผิดบาป

ถ้าปรากฏขึ้นบนโลกเมื่อใด
เมื่อนั้นมนุษย์โลกจักต้องเร่งมีสำนึก
ในความผิดบาปของตน
ด้วยการละเว้นการก้าวล่วงผู้อื่น
หรือไม่ทำชั่วอย่างสิ้นเชิง

มิเช่นนั้นแล้ว
จิตวิญญาณของผู้ที่ถูกฆ่าตายในการรบ
จิตวิญญาณมนุษย์และสัตว์
ที่ถูกทำทารุณกรรมจนตายอย่างทุกข์ทรมาน
ซึ่งเต็มไปด้วยไฟพยาบาทคาดแค้น
ก็จะถูกเปิดมิติออกมา
ให้เป็นนักล่าชีวิตอย่างล้นหลาม
ในบทบาทของเจ้ากรรมนายเวร

ด้วยเหตุนี้เอง
เมื่อท่านถามมาเราจึงยินดีตอบให้

ที่เรายินดีเปิดเผย "ความลับสวรรค์" แด่ท่าน
เพราะเป็นงานสำคัญงานหนึ่ง
ในหน้าที่แห่งเราแต่เพียงผู้เดียวอยู่แล้ว
โปรดใช้ปัญญาญาณในการอ่านเถิ
เรากล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลาย
เท่าที่พอจะเปิดเผยได้ต่อท่านทั้งหลายแล้ว

กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
26-02-2017

22 กุมภาพันธ์ 2560

ชะตากรรมของท่าน มิใช่แผนการของพระเจ้า




Conversations with You.
เธอต้องการสนทนากับพระเจ้า
เพื่อเพียงจะบอกกับพระเจ้าว่า...

1.จุดมุ่งหมายของเธอ
คือ การวิวัฒน์ มิใช่การลงทัณฑ์

2.จุดมุ่งหมายของเธอ
คือ การเติบโต ไม่ใช่การตาย

3.จุดมุ่งหมายของเธอ
คือ การมีประสบการณ์ ไม่ใช่พลาดมัน

4.จุดมุ่งหมายของเธอ
คือ การเป็นบางสิ่ง ไม่ใช่หยุดเป็น
เราจะกล่าวต่อเธอในพระนามแห่งพระเจ้า
เพื่อสอนให้เธอฉลาดคิดรู้แท้จริงบ้างว่า...

ไม่ว่าจะเป็นจุดมุ่งหมาย 4 ข้อนี้
หรือจะมีอีกสักกี่ร้อยพันข้อก็ตาม
เธอจงรู้เอาไว้ว่า "พระเจ้า" มิได้เข้ามาเกี่ยวข้อง
ในแผนการดำเนินชีวิตของเธอแต่อย่างใด

จุดมุ่งหมายใดจะบรรลุผลสมดั่งใจหรือไม่
มันจึงมิใช่แผนการของพระเจ้า
แม้ปากเธอจะร่ำร้องขอพรจากพระเจ้า
พระองค์ก็มิอาจประทานให้ตามที่เธอต้องการได้

เพราะอะไรรู้มั้ยเธอ....
เพราะมันมิใช่ภารกิจหรือกงการของพระเจ้าไงล่ะ

เธอต้องรู้เอาไว้ด้วยว่า
พระบิดาทรงกำหนดสร้างให้โลกนี้
เป็นดาวแห่งทางเลือกเสรีมาตั้งแต่เมื่อแรกสร้าง
เธอต้องการสิ่งใดในชีวิตทั้งดีชั่ว
เธอก็สามารถใช้อำนาจในตนเองไขว่คว้ามันมาได้
เพียงแต่เธอต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของพระองค์
คือกฎแห่งการสมดุลกันของทุกสรรพสิ่งเท่านั้น

อำนาจในตนเองของเธอก็เป็นอำนาจแห่งพระเจ้า
เธอจึงมีพระเจ้าในตนเอง
ซึ่งเธอสามารถฉลาดใช้เพื่อให้ได้มา
ในจุดมุ่งหมายทั้ง 4 หรือมากกว่า
ในแบบที่เธอต้องการได้อย่างเสรีเสมอ

การที่เธอไม่บรรลุเป้าหมายแห่งการวิวัฒน์
เพราะเธอล้มเหลวในสิ่งที่เธอทำในสิ่งที่เธอหวัง
แล้วต้องรับผลกรรมเลวร้ายจากความล้มเหลว
จนเธอทึกทักเอาเองว่า "พระเจ้า" เป็นผู้ลงทัณฑ์นั้น

เธอต้องรู้สำนึกเอาไว้ด้วยว่า...
เธอก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้แตกต่าง
จากคนส่วนใหญ่บนโลกใบนี้ตรงที่
ไม่ยอมรับความล้มเหลวใดๆ
อันเกิดจากความไม่เอาไหนของตัวเอง
แล้วเที่ยวโยนความผิดบาปให้คนอื่นแทน
เช่นล้มเหลวในเรื่องงมงายก็ไปโทษผี
ล้มเหลวในเรื่องอยากได้ใคร่มีก็มาโทษ "พระเจ้า"

เธอไม่รู้หรอกหรือว่า...
ความฉลาด ความโง่ ความยโส โอหัง
ความประมาท ขาดสติ ความหลงตัวเอง
ความมีวิริยะ อุตสาหะ ความอดทน ความขยัน
ความมุ่งมั่น ความเชื่อมั่น ความรัก ฯลฯ

ทั้งหมดนี้ คือ ตัวแทนของพระเจ้า
ซึ่งเป็นคุณสมบัติทั้งด้านดีและเลวของเธอ
ที่พระเจ้าประทานเอาไว้ให้เธอ
เรียนรู้ที่จะเลือกใช้มันได้อยู่แล้ว
ถ้าเธอเข้าถึงพระเจ้าในตนเองเหล่านี้ไม่ได้
จนต้องพบกับความปราชัยย่อยยับอับเฉา
แล้วเธอจะมาร้องแรกแหกกะเฌอหาพระเจ้า
เสมือนตำหนิติเตียนพระเจ้าได้อย่างไรกัน

การที่เธอไม่บรรลุเป้าหมายของการเติบโต
แต่เธอทุกคนต้อง "เติบตาย" คือ โตเพื่อตายนั้น
เธอต้องเอาความโง่ออกจากตา
แล้วฉลาดคิดรู้ฉลาดพิจารณาบ้างว่า

ความจริงแล้ว......
พระเจ้าน่ะได้ทรงสร้างเครื่องยนต์แห่งกรรมให้เธอ
ที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่านวัตกรรมใดๆของพวกเธอเสียอีก
เพราะมันเจริญเติบโตได้เรื่อยๆ

พอโตเต็มที่แล้ว
ก็สามารถซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอเองได้ด้วย
พระองค์ทรงให้ชีวิตที่จีรังแก่เธอแล้วมิใช่หรือ
เพราะเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ของเธอ
มันไม่มีวันตาย...ไม่มีวันตาย.....

เพราะเธอเลี้ยงดูมันไม่เป็น
ปฏิบัติกับมันอย่างไม่ถูกต้อง
เอาแต่ใช้งานแต่ขาดการใส่ใจดูแล
จนมันต้องตาย...

มิใช่เพราะตัวเธอทำร้ายตัวเองดอกหรือ
เธอไม่รู้หรอกหรือว่า
ความโง่กับความหลงตัวเองของเธอ
มันทำให้เธอขาดสติไร้สำรวม
จนกล้าตำหนิ "พระเจ้า" ผู้ให้กำเนิดเธอนั้น
มันยากแก่การให้อภัย

การที่เธอไม่บรรลุเป้าหมาย
ของการหาประสบการณ์เพราะเธอพลาดมัน
นี่ก็เป็นความผิดพลาดล้มเหลวของเธอเอง
มิใช่ผิดพลาดตามพระบัญชาของพระเจ้า

ถ้าเธอเอาแต่นั่งกินนอนกินทั้งวี่วันดั่งคนพิการ
เธอย่อมพลาดประสบการณ์ชีวิตในโลกกว้าง
พระเจ้าจะบังคับให้เธอออกจากบ้าน
เพื่อไปหาประสบการณ์ในโลกกว้างได้หรือ

ถ้าเท้าสองข้างของเธอไม่ยอมก้าวย่าง
สองตาเธอไม่ยอมเบิ่งถ่างกว้างออกเพื่อแสวงหา
และสติปัญญาของเธอมิอาจใช้การได้
เพราะสมองทั้งสองซีกมันไม่ทำงาน

การที่เธอไม่บรรลุเป้าหมายในการเป็นบางสิ่ง
แต่กลับหยุดที่จะเป็นในบางสิ่งนั่นแทน
เธอหมายถึง เธออยากรวยเป็นเศรษฐี
แต่ไม่อาจมีความร่ำรวยตามต้องการได้

เธอหมายถึง เธออยากเป็นคนดี
แต่ไม่อาจเป็นคนดีกับใครเขาได้

เธอหมายถึง เธออยากรวยสนมรวยเมีย
แต่เธอไม่อาจทำตนตามตัณหานั้นได้
หรืออื่นๆ...เช่นนั้นหรือ

เราขอถามเธอว่าใครจะรวยได้ไม่ได้
มันเป็นสิทธิของใครคนนั้นมิใช่หรือ...

เพียงขยันทำมาหากิน หนักเอาเบาสู้
ฉลาดใช้ปัญญาในการประกอบสัมมาอาชีวะ
ฉลาดใช้เงิน และฉลาดอดออม
กฎเกณฑ์ง่ายๆเหล่านี้ก็ช่วยให้ไม่จนได้แล้ว
อยากเป็นคนดี แต่เป็นไม่ได้

ก็ลองใช้ปัญญาตรึกตรองสิว่า
ใครห้ามไม่ให้เธอเป็นคนดีล่ะ
พระเจ้า...อีกแล้วหรือ?

อยากรวยสนมรวยเมีย
แต่เธอเป็นอย่างที่ต้องการไม่ได้
เพราะไม่มีปัญญาเลี้ยงดู
เพราะที่จะเลือกเอามานั้นดันเป็นเมียเขาอื่น
เพราะลูกเมียเราเขายอมรับไม่ได้
เพราะสังคมไม่ยอมรับ
ก็ถามตนเองสิว่าเพราะอะไร
ไหงจึงโทษ "พระเจ้า"

เราจะกล่าวความจริงให้เธอรู้ว่า...
ความคิดของเธอที่กล่าวไว้ในหน้ากระดาษนั่น
มันอาจฟังดูดีมีสำบัดสำนวนชวนชื่นชม
แต่เราเห็นว่ามันเป็นแค่เพียงบทกวีนิพนธ์เท่านั้น
หาใช่ผลผลึกแห่งการคิดเชิงสัจธรรมไม่

ถ้าเป็นอย่างที่ต้องการไม่ได้
ถ้าทำอย่างที่ต้องการไม่ได้
ถ้ามีอย่างที่ต้องการไม่ได้

ก็จงอย่าโทษพระเจ้า
อย่าบ่นกับพระเจ้า
อย่าร้องขอต่อพระเจ้า

จงรีบพิจารณาตนเอง
เพื่อหาข้อบกพร่องผิดพลาดแล้วเริ่มใหม่

จงบ่นกับตนเอง
อย่าไปบ่นกับใครให้เขารำคาญ
เพราะมันไร้ประโยชน์

จงร้องขอต่อตนเอง
อยากสำเร็จเร็วก็เร่งลงมือทำอย่างไม่รั้งรอ
อยากก้าวหน้าอย่างราบรืนก็จงอย่าประมาท
และจะต้องทำด้วยความมุ่งมั่น เป็นต้น

ด้วยรักและปรารถนาดี
ในพระนามแห่งองค์จิตจักรวาล


เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
22-02-201


20 กุมภาพันธ์ 2560

ศาสตร์แห่งการอดทน



พี่น้องที่รักแห่งเราทั้งหลาย...

กว่าข้าวที่หุงจะสุกจนได้ที่ได้ทานนั้น
แม้ตัวท่านจะหิวโหยแค่ไหน
ท่านก็ต้อง "อดทน" ที่จะรอคอยกัน
ไม่ว่ามันจะนานสักเท่าใด

สาเหตุที่ท่านสามารถอดทน
รอข้าวที่หุงจนสุกได้ที่ จนกว่าจะได้ทานนั้น
ก็เป็นเพราะเหตุว่า...

1.มั่นใจว่าข้าวที่กำลังหุงนั้นสุกแน่
2.มั่นใจว่าต้องได้ทานข้าวที่กำลังหุงนั้นแน่
3.มั่นใจว่าท่านรอเวลาให้ข้าวสุกนั้นได้แน่
4.มั่นใจว่าใครๆเขาก็ต้องรอ
ให้ข้าวสุกก่อนทานกันทั้งนั้น
การรอคอยของท่านจึงไม่แปลกอะไร
5.มั่นใจว่าท่านเองต้องทนความหิว
เพื่อรอให้ข้าวสุกจนกว่าจะทานได้แน่ๆ
โดยท่านจะไม่เป็นลมเป็นแล้งไปเสียก่อน

ดังนั้น
การที่ท่านจะทำอะไรสักสิ่งในชีวิต
เพื่อยังประโยชน์สุขต่อตัวท่านเองและผู้อื่นนั้น
ท่านจำเป็นจะต้องหยิบเอา
"ความอดทน" ที่จะรอคอยผลสำเร็จ
ในสิ่งที่ท่านลงมือทำนั้นมาใช้ให้เป็น
โดยการอดทนรอที่ว่านี้
มิใช่เฝ้าแต่นั่งรอนอนรออยู่เฉยๆ

แต่ท่านต้องลงมือหุงข้าวด้วย
โดยท่านต้องซาวข้าวเป็น
ท่านต้องหุงข้าวเป็น
ท่านต้องติดไฟเผาฟืนเพื่อหุงข้าวเป็น
ท่านต้องดงข้าวเป็น และอื่นๆ

ซึ่งท่านจะต้องเฝ้าดูแลหม้อหุงข้าว
ในขณะที่อยู่บนเตาไฟนั้นอย่างใกล้ชิด
เพื่อดูแลมิให้ข้าวไหม้ มิให้ข้าวแฉะ เป็นต้น

ดูอย่างชาวนาที่ปลูกข้าว
เขาก็ต้องอดทนรอคอยวันเก็บเกี่ยวข้าว
ที่เขาเพาะปลูกเอาไว้อย่างได้ผลเช่นกัน

วันเวลาแต่ละวันที่ผ่านไปในชีวิตนี่แหละ
มันจะเป็นตัวชี้วัดว่าท่านมีความอดทนมั้ย
มีความอดทนมากน้อยเพียงใด

เช่น อดทนต่อการรอคอยเป็นมั้ย
อดทนต่อการกระทำไม่ถูกต้อง
ของผู้อื่นได้มั้ย
อดทนต่อความผิดพลาดล้มเหลวที่เกิดขึ้น
เพื่อการแก้ไขใหม่ทำใหม่
จนกว่าจะสำเร็จได้หรือไม่ เป็นต้น

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า...

ขอท่านจงหยิบเอาศาสตร์แห่งการ "อดทน"
จากกรณีอดทนรอที่จะทานข้าว
ซึ่งกำลังหุงอยู่นั้นให้มันสุกได้ที่เสียก่อน
ด้วยการนำความมั่นใจ 5 ประการนั้นไปใช้

จงระลึกไว้เถิดว่า
การรอคอยลูกแกะที่หลงทางกลับเข้าคอกน่ะ
เราก็ต้องใ้ช้ความอดทนด้วยเช่นกัน
เราอดทนรอได้เพราะมั่นใจในพระบิดา
เราอดทนรอได้เพราะศรัทธาในสิ่งที่เราทำ
เราอดทนรอได้เพราะเรามั่นใจว่า
ลูกแกะของเราต้องกลับมาหาเรา
ผู้เป็นเจ้าของแน่นอน

ที่สำคัญคือ
เรามิได้รั้งรออยู่เฉยๆโดยไม่ทำอะไรเลย

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา

20-2-2017