31 พฤษภาคม 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 31/05/2024

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

หนึ่งในกฎหลักของจักรวาลของพระบิดา

ที่ทุกสรรพสิ่งและพวกคุณจักต้องถือปฏิบัติกันก็คือ

#กฎแห่งการสมดุลกันของทุกสรรพสิ่ง

 

คำว่า #สมดุลกัน ในที่นี้หมายถึง

1.ทุกสิ่งนั้นจะต้อง “เสมอภาค” กัน

2.ทุกสิ่งนั้นจะต้อง “เท่าเทียม” กัน

3.ทุกสิ่งนั้นจะต้อง “กลมกลืน” กัน

 

ทั้ง 3 ประการนี้

จะมีความสมดุลกันทั้งด้านปริมาณและขนาด

เพื่อการดำรงอยู่ร่วมกันกับสิ่งแวดล้อมอย่างลงตัว

แม้มีความต่างกันในบางด้านที่หลากหลายก็ตาม

โดยในธรรมชาตินั้นทุกสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง

ล้วนมีคุณสมบัติจำเพาะในการ “ปรับตัว” เข้าหากัน

เพื่อสร้างสมดุลกันทั้งสามประการดังกล่าวนี้เองได้

 

สำหรับพวกคุณนั้น

ต่างจากสรรพสิ่งอื่นที่ดำเนินชีวิตอยู่ในธรรมชาติ

เพราะสามารถที่จะปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้บ้าง

ซึ่งเป็นแค่เพียงเรื่องเล็กๆน้อยๆเท่านั้นเอง

เช่น นิสัยในการดำเนินชีวิตกับภูมิอากาศแวดล้อม

ถ้าอยู่ในเขตร้อนก็จะไม่ค่อยกระตือรือร้นเท่าใดนัก

ต่างจากคนที่อยู่ในภูมิภาคของเขตอากาศหนาวเย็น

จะเป็นคนกระตือรือร้นมากกว่าคือรีบเดินรีบทำเป็นต้น

 

ที่พระบิดาทรงกำหนดไว้ให้คร่าวๆ

ก็เพื่อความอยู่รอดปลอดภัยในเบื้องต้นเท่านั้น

เนื่องจากพวกคุณเป็นสัตว์สังคมสิ่งแวดล้อมก็คือคน

ซึ่งความแตกต่างระหว่างคนหลักๆคือนิสัยกับสันดาน

ที่มีความแตกต่างกันอย่างหลากหลายมากกว่า

ความแตกต่างกันของสิ่งแวดล้อมในธรรมชาติ

พระองค์จึงทรงออกแบบให้พวกคุณมีสมองสองซีก

ที่มีพลังอำนาจทางปัญญาคือความฉลาดของสมอง

ซึ่งแต่ละคนสามารถเข้าถึงอำนาจสูงสุดของมันได้

สำหรับใช้ “ปรับตัวเข้าหากัน” เพื่อสร้างสมดุลกัน

ตามที่ตนปรารถนาได้โดยไม่ต้องพึ่งพาธรรมชาติ

เหมือนพวกจิ้งจกตุ๊กแกแย้กิ้งก่ากบและเขียดเป็นต้น

 

เพียงแค่สมองสองซีก

พระบิดาก็ทรงติดตั้งความฉลาดทางปัญญา

รวมทั้งสิ้น 3 ระดับความฉลาดไว้ให้ใช้อยู่แล้ว

เพียงแต่พวกคุณสามารถจะเข้าถึงอำนาจของมัน

เพื่อใช้งานมันได้ดีแค่ไหนมากน้อยอย่างไรเท่านั้น

 

เริ่มจากภพชาติแรกที่ได้มาเกิดเป็น #คนสองมิติ

พระองค์ทรงกำหนดให้พวกคุณฉลาดเท่ากันทุกคน

เพื่อสามารถใช้สมองในการดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกัน

ตาม #กฎแห่งการสมดุลกันของทุกสรรพสิ่ง ได้เลย

เพียงแต่คุณต้องเรียนรู้ที่จะใช้มันและฝึกใช้กันให้ได้

ด้วยการสั่นสะเทือนมันเอาไว้ให้ต่อเนื่องตลอดเวลา

เพราะเซลล์สมองนับล้านเซลล์นั้นเป็นเซลล์ประสาท

เซลล์สมองส่วนใดที่ไม่ได้ใช้งานเซลล์สมองส่วนนั้น

จะเสื่อมสมรรถภาพลงไป 10% ในทุกๆ 9 ปีที่ไม่ใช้

โดยเริ่มตั้งแต่สะพานเชื่อมสมองสองซีกสร้างเสร็จ

นั่นคือคุณมีอายุขัยได้สามขวบปีขึ้นไปเรียบร้อยแล้ว

 

ความฉลาดทางจิตปัญญาของพวกคุณนั้น

พระผู้สร้างหรือองค์จิตจักรวาล

ได้ทรงออกแบบไว้ให้ใช้รวม 3 ระดับ คือ

 

1.#จิตสัญชาตญาณ

มีที่ตั้งอยู่ตรงก้านสมองบริเวณท้ายทอย

เป็นสมองส่วนที่ถูกสร้างขึ้นก่อนสมองส่วนอื่น

เพื่อให้จิตวิญญาณผู้ขันอาสาเข้ามาเกิด

ใช้เป็นสมองกลในการถักทอกายหยาบด้วยความรัก

ตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิในครรภ์ของมารดาให้เป็นทารก

ตามคุณสมบัติต่างๆที่จิตวิญญาณนั้นถือรหัสมา

 

นอกจากนั้น “จิตสัญชาตญาณ” ที่ว่านี้

จิตวิญญาณจะเป็นผู้ควบคุมและสั่งการโดยตรง

โดยจิตสามนึกไม่อาจข้องเกี่ยวหรือแทรกแซงได้

เพราะหน้าที่หลักในการใช้สัญชาตญาณก็คือ

#ภารกิจการเอาชีวิตรอด เพื่อการอยู่รอดปลอดภัย

เช่นเมื่อมือคุณจับของร้อนก็จะสะดุ้งชักมือหนีทันที

โดยที่คุณไม่ต้องเสียเวลาคิดวางแผนสั่งการมันเลย

 

กรณีที่ร่างกายคุณขาดน้ำ

จิตวิญญาณคุณจะสั่งการผ่านสัญชาตญาณว่า

คุณกำลังกระหายน้ำด้วยอาการ “คอแห้ง”

เพื่อกระตุ้นให้จิตหยาบสั่งคุณให้รีบดื่มน้ำเข้าไป

ก่อนที่ร่างกายจะขาดน้ำมากจนเสียชีวิตได้

 

กรณีที่ถึงเวลารับประทานอาหาร

จิตวิญญาณคุณจะสั่งการผ่านสัญชาติญาณว่า

คุณกำลังต้องการอาหารด้วยอาการ “หิว”

อันเกิดจากกระเพราะอาหารและลำไส้บีบรัดตัว

ถ้าหิวมากก็จะบีบรัดตัวมากจนท้องไส้ร้องจ๊อกๆเลย

ซึ่งคุณจะรู้ตัวจนรีบหาอะไรทานเข้าไปทันที

 

จิตสัญชาตญาณนี้

จิตวิญญาณของคุณจะเป็นผู้สั่งการและควบคุมมัน

ตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิไปจนกว่าจะดับสิ้นอายุขัยคือตาย

เพื่อให้คุณรู้ว่าจิตวิญญาณไม่ต้องการให้คุณตาย

โดยไม่ไว้ใจว่าจิตหยาบผู้เป็นตัวแทนของตนนั้น

จะเหลวไหลจนทำให้เครื่องยนต์แห่งกรรมดับขันธ์

ก่อนถึงกาลเวลาที่กำหนดไว้หรือเปล่า

เพราะถ้าจิตวิญญาณไม่มีกายหยาบหรือกายสังขาร

ปฏิบัติการในสองมิติที่จิตหยาบเป็นผู้รับผิดชอบนั้น

ภารกิจของจิตวิญญาณมันจะดำเนินการไม่ได้เลย

 

2.#สติปัญญา

เป็นความฉลาดทางปัญญาของสมองซีกซ้าย

สำหรับใช้เพื่อการคิดแบบจิตมนุษย์นั่นเอง

โดยพวกคุณใช้สติปัญญาของสมองซีกซ้ายนี้ได้ฟรี

ซึ่งพวกคุณสามารถใช้มันได้ตั้งแต่ก่อนสามขวบแล้ว

เพราะพระบิดาทรงออกแบบให้เป็นระบบอัตโนมัติ

เพียงแค่คุณสั่นสะเทือนเป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดขึ้นมา

สมองซีกซ้ายมันก็จะสั่นสะเทือนเพื่อการคิดได้แล้ว

ไม่ว่าจะคิดถูกหรือคิดผิดไม่ว่าจะคิดดีหรือคิดชั่ว

สมองซีกซ้ายจะสั่นสะเทือนตามจิตหยาบในทันที

 

เพราะพระบิดาทรงออกแบบเอาไว้เช่นนี้

พวกคุณจึงคุ้นชินกับการใช้สติปัญญาสมองซีกซ้าย

ที่เราใช้คำว่า “ใช้ฟรี” โดยไม่ต้องมากพิธีรีตองอะไร

 

แต่เนื่องจากการใช้ฟรีแบบอัตโนมัตินี้

มันจะทำให้พวกคุณทำผิดคิดชั่วได้ง่ายในชีวิตจริง

ถ้าจิตหยาบคุณถูกกิเลสครอบงำเอาไว้ในขณะนั้น

หรือกำลังถูกอารมณ์เป็นตัวขับเคลื่อนการนึกคิดอยู่

ซึ่งมันจะทำให้ตัวคุณเสียสมดุลกับคนรอบข้างได้

ไม่ว่าจะเสียสมดุลเพราะคนรอบข้างเป็นตัวต้นเหตุ

หรือว่าคุณเองเป็นต้นเหตุให้คนรอบข้างเสียสมดุล

เพราะสภาวะจิตในปัจจุบันขณะของพวกคุณนี่แหละ

จะเป็นผู้บังคับขับเคลื่อนพฤติกรรมของพวกคุณว่า

มันจะเป็นไปตามกฎแห่งการสมดุลกันได้ดีแค่ไหน

 

ดังนั้น

ไม่ว่าจะนึกคิดพูดทำสิ่งใดในชีวิตก็ตาม

แม้จิตจะเป็นนายส่วนกายจะเป็นบ่าวก็ตาม

คุณก็ต้องใช้ “ปัญญา” นำ “จิต” ของคุณเสมอ

อย่าปล่อยให้จิตหยาบบงการพฤติกรรมเด็ดขาด

เพราะก้อนสมองของคุณภายในกะโหลกศีรษะ

จะมีจิตหยาบตรงต่อมไพเนียลหรือตาที่สามนั้น

ติดตั้งอยู่ต่ำกว่าก้อนสมองให้เป็นที่สังเกตอยู่แล้ว

 

สิ่งใดก็ตามที่อยู่สูงกว่าหรือเหนือกว่าแสดงว่า

สิ่งนั้นต้องให้ความสำคัญกับมันมากกว่าเอาไว้ก่อน

คุณจึงต้องเน้นที่สติปัญญาของสมองก่อนนั่นเอง

 

การใช้สติปัญญาของสมองซีกซ้ายนั้น

นอกจากคุณจะใช้งานได้ในระบบอัตโนมัติแล้ว

ถ้าไม่ต้องการให้คิดผิดๆถูกๆเพราะกิเลสชี้นำแล้ว

มันจะเป็นประโยชน์กับคุณมากยิ่งขึ้นได้

ถ้าคุณสร้างกระบวนการในการคิดด้วยวิธีกดปุ่มเป็น

โดยการกดปุ่มเป็นกระบวนการคิดด้วย #จิตตปัญญา

คิดในขณะที่จิตว่างหรือจิตสะอาดปราศจากกิเลส

คิดอย่างมีหลักการและมีเหตุผลรองรับเสมอ

ที่สำคัญคือคิดทีละเรื่องคิดทีละขั้นตอนตามลำดับ

ภาษามนุษย์เรียกวิธีการคิดแบบนี้ว่า #คิดวิเคราะห์

 

การเรียนรู้โลกทุกด้านทุกแขนง

ต้องใช้สติปัญญาของสมองซีกซ้ายแบบที่ว่านี้

คุณจึงต้องระวังกิเลสที่ในจิตเอาไว้ให้มาก

เพราะมันคือมารตัวใหญ่ที่เป็นมารภายใน

ซึ่งน่าเกลียดน่ากลัวมากกว่าผีโสโครกเสียอีก

คนทั้งโลกที่ต้องการหมุนธรรมจักรในตัวเอง

พากันตกม้าตายมาแล้วนานนับพันๆปีที่ผ่านมา

ก็เพราะมีมารภายในคือ “กองกิเลส” เป็นอุปสรรค

พระศาสดาจึงสอนให้หาทาง “นิพพานกิเลส”

ขณะยังมีชีวิตอยู่ให้สิ้นซากไปจากจิตหยาบให้ได้

เมื่อตายแล้วจิตวิญญาณจึงจะเข้าถึงสภาวะนิพพาน

คือหลุดพ้นออกไปจากเอกภพนี้เพื่อคืนสู่เหย้า

คือแดนสุญตาบ้านเกิดที่จากมานานนับหมื่นปีได้

 

3.#ปัญญาญาณ

เป็นความฉลาดทางปัญญาของสมองซีกขวา

โดยความฉลาดของสมองซีกขวาที่ว่านี้

ถ้าไม่มีพรสวรรค์ในการใช้งานมันมาจากอดีตชาติ

และถ้าไม่ใช้มันในลักษณะที่เรียกว่า “ฟลุ้ค” แล้ว

คุณจะหยิบฉวยมันมาใช้ฟรีๆเหมือนสติปัญญาไม่ได้

ถ้าจะใช้มีเพียงวิธีเดียวคือต้อง #กดปุ่ม ใช้เท่านั้น

 

วิธีใช้ปัญญาญาณของสมองซีกขวานี้

เป็นกระบวนการคิดที่เรียกว่า #สังเคราะห์

โดยนำเอาความรู้ที่ได้มาจากกระบวนการวิเคราะห์

มาใช้เป็นวัตถุดิบในการสังเคราะห์อีกขั้นตอนหนึ่ง

เพื่อนำเอาผลึกความรู้ที่สังเคราะห์หรือเจียระไนได้

มาสร้างประโยชน์สุขในการดำเนินชีวิตของคุณ

ซึ่งเป็นอาหารของจิตวิญญาณคือแก่นแท้นั่นเอง

 

ถ้าพวกคุณใช้ปัญญาทั้งสามระดับนี้เป็น

ทั้งสามารถเข้าถึงพลังอำนาจสูงสุดของมันได้

คุณจะเป็นมนุษย์ที่สมดุลและสมบูรณ์กับเขาคนหนึ่ง

โดยไม่เสียทีที่ได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์

แปลว่า “ไม่เสียชาติเกิด” อย่างแน่นอน

 

อย่าลืมนะว่า

ขยันทำมาหากิน ขยันทำรวย

ด้วยการหาทรัพย์สินเงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียง

มันจะสู้แสวงหาความฉลาดทางปัญญาในตนเอง

ที่คุณมีของคุณอยู่แล้วไม่ต้องดิ้นรนไปแย่งของใคร

โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไกลไปหาให้เสียเวลา

ซึ่งมันง่ายกว่ากันตั้งเยอะ...รีบทำเสียทีเถอะ

 

เพราะถ้าจะนิพพานกิเลสได้ก็ต้องใช้ปัญญาเป็น

จะหลุดพ้นกลับบ้านได้ก็ต้องใช้ปัญญาเป็นเช่นกัน

ก้อนสมองทั้งสองซีกนี่แหละสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด

ของนอกกายทั้งหลายหาได้ด้วยปัญญาทั้งนั้น!

 

กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

31/05/2567




สวัสดีวันศุกร์ 31/05/2024


 

29 พฤษภาคม 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 29/05/2024

 พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

บ้านเกิดเมืองนอนของจิตวิญญาณ

ผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของท่านทั้งหลายนั้น

มีถิ่นกำเนิดจาก “พระนิเวศน์ของพระบิดา”

พระบิดาก็คือผู้ทรงให้กำเนิดจิตวิญญาณพวกท่าน

ซึ่งพระองค์ยังทรงเป็นพระผู้สร้างทุกสิ่งในเอกภพ

โดยเอกภพก็เป็นห้องทดลองของพระองค์นั่นเอง

 

ก่อนที่พวกท่านจะได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์

ตัวตนภาคแรกของพวกท่านคือ #จิตจักรวาลดวงเล็ก

ที่เป็นรูปธรรมทางพลังงานซึ่งมี 11 เหลี่ยมมุม

พระบิดาทรงเรียกจิตจักรวาลดวงเล็กว่า #พระบุตร*

ได้ขันอาสาพระองค์ว่าจะขอข้ามมิติมาเกิดเป็นมนุษย์

เพื่อทำหน้าที่ตาม #พันธะสัญญาหก* อยู่ในระบบโลก

โดยเฉพาะหนึ่งในพันธะสัญญา 6 ที่ต้องทำก่อนก็คือ

ใช้ขันธ์ห้า “หมุนธรรมจักร” ด้วย #ความรักเพื่อให้

ที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า “เมตตาธรรมค้ำจุนโลก”

 

เมื่อจิตจักรวาลดวงเล็กหรือที่เรียกว่า “พระบุตร”

ได้รับโอกาสให้ข้ามมิติเข้ามาเกิดภายในเอกภพแล้ว

ก็จะแบ่งภาคตนเองออกมาเป็นรูปธรรมทางพลังงาน

ซึ่งมี 6 เหลี่ยมมุมโดยเรียกรูปธรรมนี้ว่า #พระจิต*

พระจิตจึงเป็นตัวแทนพระบุตรผู้อาสามาเกิดบนโลก

เพื่อทำหน้าที่ใช้เมตตาธรรมคือรักเพื่อให้ค้ำจุนโลก

 

แต่เนื่องจากพระนิเวศน์ของพระเจ้า

ที่เป็นบ้านเกิดของจิตวิญญาณพวกท่านทั้งหลายนั้น

ทุกรูปธรรมมีคุณสมบัติเป็น #สุญตา ด้วยกันทั้งสิ้น

ทั้ง “พระบุตร” ที่เป็นองค์จิตจักรวาลดวงเล็กเอง

ซึ่งเป็นตัวตนภาคแรกที่สูงส่งของพวกท่านผู้ขันอาสา

กับ “พระจิต” ที่ถูกแบ่งภาคทางพลังงานออกมา

ทุกรูปธรรมต่างล้วนมีคุณสมบัติเป็นสุญตากันทั้งสิ้น

เพราะการดำรงตนเองอยู่ในพระนิเวศน์ของพระเจ้า

องค์จิตจักรวาลดวงเล็กไม่มีหน้าที่จะต้องอะไร

นอกจากเป็นผู้ที่ #อิ่มเอิบอยู่กับความสงบว่าง เท่านั้น

นี่จึงเป็นที่มาของความหมายในประโยคสำคัญที่ว่า

#แดนสุญตาเป็นดินแดนของผู้อิ่มเอิบอยู่กับความว่าง

 

ดังนั้น

เมื่อพระบุตรคือจิตวิญญาณท่านที่ถูกแบ่งภาคออกมา

เดินทางข้ามมิติเข้ามาภายในเอกภพอันไพศาลนี้แล้ว

จะต้องผ่านประตูมิติคือด่านนภาลัยเข้ามาในเอกภพนี้

ซึ่งพระเยซูเจ้าทรงเปรียบเป็นดั่ง “ประตูคอกแกะ”

ในกรณีที่ทรงใช้อธิบายถึงทางออกมาจากพระนิเวศน์

ของจิตวิญญาณบริสุทธิ์ที่เป็นดั่งฝูงแกะของพระเจ้า

โดยทุกรูปธรรมต้องเดินทางผ่านประตูนี้ออกมาทุกตัว

 

และพระเยซูเจ้ายังทรงเปรียบด่านนภาลัยประตูมิตินี้

ที่ฝูงแกะจะต้องกลับคืนสู่พระนิเวศน์เมื่อเสร็จภารกิจ

ที่ตนขันอาสาพระเจ้าเข้ามาทำหน้าที่อยู่ในระบบโลก

จนครบกำหนดแห่งกาลสิ้นยุคคือ 60,000 ปีโลกแล้ว

โดยทรงเปรียบประตูนี้ว่า #เป็นดั่งประตูเรือนหอ

ที่เจ้าสาวของพระองค์ก็คือจิตวิญญาณของพวกท่าน

จะต้องก้าวตามพระองค์ออกไปทางนี้เพื่อกลับบ้าน

เมื่อถึงวันที่เสด็จกลับมารับเจ้าสาวกลับเข้าหออีกครั้ง

 

ที่ทรงเปรียบจิตวิญญาณพวกท่านทั้งหลายว่า

เป็นดั่งเจ้าสาวผู้รอคอยเจ้าบ่าวแห่ขบวนขันหมากมารับ

เพื่อจูงมือเจ้าสาวเข้าสู่ประตูเรือนหอก็เพราะว่า

เจ้าสาวทุกคนจะใจจดใจจ่อรอคอยเจ้าบ่าวให้มารับ

ในวันกำหนดนัดหมายคือวันแต่งงานด้วยกันทุกคน

ที่รอคอยอย่างใจจดจ่อก็เพราะกลัวเจ้าบ่าวไม่มารับ

ตามที่ได้เคยให้คำมั่นสัญญาเอาไว้นั่นแหละ

 

ส่วนเจ้าสาวผู้รอคอยเจ้าบ่าวมารับด้วยความตื่นเต้นนั้น

จะมัวนั่งนอนนับวันนับคืนเฉยๆไม่ทำอะไรเลยไม่ได้นะ

จะต้องเตรียมตะเกียงที่มีน้ำมันพร้อมรู้วิธีจุดให้พร้อมใช้

เมื่อถึงวันเวลาที่พระองค์เสด็จกลับมารับเอาไว้ด้วย

มิใช่ผ่านมาแล้วกี่ปีดันรอจนหลับไหลไม่ทำอะไรสักสิ่ง

ตะเกียงก็ไม่ได้เตรียมให้พร้อมสมองก็ไม่มีน้ำมันอยู่เลย

แถมไม่รู้วิธีจุดตะเกียงคือ “คิดไม่เป็น” อีกต่างหาก

แล้วจะเอาแสงสว่างส่องทางกลับบ้านมาจากไหนกัน

การทำตัวแบบนี้ไม่เป็นเจ้าสาวที่รอคอยเจ้าบ่าวเลย

เพราะไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ให้พร้อมแต่อย่างใด

 

เมื่อวันเวลาใดที่พระองค์เสด็จกลับมา

พวกท่านที่เป็นเจ้าสาวจะรู้ได้อย่างไรว่า

ใครคือพระองค์นั้นใครคือผู้ที่พวกท่านรอคอยมานาน

 

สมมุติว่าท่านรู้แล้วว่าใครเป็นเจ้าบ่าวของท่าน

แต่ท่านยังต้องถามตนเองกันเอาไว้อีกด้วยว่า

 

1.ตะเกียงของท่านคือสมองนั้นมันพร้อมใช้หรือเปล่า

2.ความฉลาดทางปัญญาของสมองคือน้ำยาน่ะมีมั้ย

3.ท่านใช้จิตปัญญาเพื่อให้แสงสว่างแก่ตนเป็นหรือยัง

4.มัวแต่บ้าบุญเพราะหลงทางนิพพานกันอยู่หรือเปล่า

5.ทำบุญอย่างมีเงื่อนไขจนหมุนธรรมจักรไม่ได้หรือเปล่า

 

เมื่อพระจิตวิญญาณบริสุทธิ์ของท่าน

เดินทางถึงด่านนภาลัยประตูมิติผ่านเข้าออกเอกภพ

ต้องแวะ “วิหารสีขาว” เพื่อเตรียมตนให้พร้อมกันที่นั่น

การเตรียมพร้อมที่ว่านี้คือพร้อมต่อการเป็นคนสองมิติ

ด้วยการปฏิบัติดังต่อไปนี้ คือ

 

1.เติมเต็มคุณสมบัติพิเศษให้แก่จิตวิญญาณของตน

ที่เรียกว่า “จิตสามนึก” คือ นึกออก นึกเอา นึกเอง

เพื่อเอาไว้ใช้ทำหน้าที่ในตอนที่เกิดเป็นมนุษย์โลก

 

2.เติมเต็มคุณสมบัติพิเศษ คือ “ขันธ์ห้า”

ให้จิตทั้งสามนึกเมื่อมีการสั่นสะเทือนเกิดขึ้นเมื่อใด

ให้มันสั่นสะเทือนเป็นกระบวนการ 5 ขั้นตอนต่อเนื่อง

นั่นคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ

ซึ่งขันธ์ทั้งห้าขั้นตอนนี้เป็นกระบวนการสองมิติของจิต

มันจะเกิดขึ้นได้โดยอัตโนมัติในพวกท่านทุกคนไป

เมื่อจิตสามนึกถูกกระตุ้นด้วยสิ่งเร้าผ่านอายตนะทั้งหก

คือตาหูจมูกลิ้นกายสัมผัสและจิตที่เป็นอายตนะภายใน

 

เราจึงขอบอกพวกท่านว่า

ขันธ์ห้าที่ว่านี้ไม่ใช่ “อัตตา” ของจิตวิญญาณ

แต่เป็นคุณสมบัติพิเศษที่จิตวิญญาณของท่าน

รับมาใช้ทำหน้าที่เป็น “คนสองมิติ” ในระบบโลก

เพื่อสั่นสะเทือนจิตหยาบที่เป็นตัวแทนจิตวิญญาณ

ให้เกิดการกระทำต่อกันในมิติโลกทางกายภาพ

ด้วยการสั่นสะเทือน “จิตสามนึก” ที่ถือมาจากวิหาร

สั่นสะเทือนร่วมกับ “จิตใต้สามนึก” ของจิตวิญญาณ

เพื่อผลิตพลังจิตด้วย “วิญญาณขันธ์” ของขันธ์ห้า

เหวี่ยงออกมาให้โลกตามหน้าที่ในพันธะสัญญา 6

ซึ่งเราเคยกล่าวย้ำให้รู้โดยทั่วกันมาบ่อยครั้งแล้ว

เพื่อเตือนสติทางวิญญาณพวกท่านทั้งหลายเสมอว่า

พวกท่านมิได้เกิดมาเพื่อสั่งสมบุญกุศลเพื่อตนเอง

มิได้มาเกิดเพื่อจะไปสวรรค์คนเดียวแต่อย่างใด

 

3.เขียนบทละครร่วมกันเรียกว่า "ชะตาชีวิต"

กับจิตวิญญาณอีกสองสามรูปธรรม

เพื่อมาแสดงบทบาทเป็นสมาชิกครอบครัวเดียวกัน

มาเป็นเงื่อนไขเป็นบททดสอบให้แก่กันและกัน

เพื่อหมุนธรรมจักรร่วมกันให้สำเร็จให้จงได้

 

พวกท่านจะต้องรู้ว่า

ท่านจะไปสวรรค์นิรันดรหรือกลับแดนสุญตาไม่ได้

ถ้าจิตหยาบของท่านยกระดับสูงถึงมิติที่ 6D ไม่ได้

โดยต้องยกระดับให้ทันก่อนโลกมืดนาน 8 ราตรีด้วย

คำว่า “8 ราตรี” นี้หมายถึง 56 วัน 56 คืนของโลก

ทั่วโลกจะมืดพร้อมกันหมดโดยไม่มีแสงอาทิตย์เลย

ในช่วงเวลาที่มืดมิดนี้ประตูมิติต่างๆจะถูกเปิดทั้งหมด

เพื่อชำระขยะที่เคยรกโลกรกจักรวาลมานานให้สิ้นไป

โลกกับมนุษย์จะถูกชำระด้วยภัยพิบัติที่แรงเกินคาด

แบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์จักรวาล

วิสุทธิชนยุคสุดท้ายตัวจริงเท่านั้นที่จะได้รับการคัดไว้

 

การยกระดับของจิตหยาบจากปัจจุบันคือมิติที่ 4D

มันจะถูกยกระดับสู่มิติที่ 5D ไปถึง 6D ได้ก็ต่อเมื่อ

ตัวท่านจะต้อง #หมั่นหมุนธรรมจักร ด้วยรักเพื่อให้

กับทุกเงื่อนไขทั้งดีและร้ายในชีวิตประจำวันให้ได้

โดยต้องอดทนอดกลั้นให้อภัยใจดีมีเมตตากับทุกคน

อย่างไม่มีข้อแม้หรือไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น

จิตหยาบของท่านมันจะยกระดับเพิ่มมิติขึ้นได้เรื่อยๆ

ยิ่งถ้าท่านแสดงออกหรือกระทำต่อผู้อื่นทางด้านบวก

เพื่อชักชวนพวกเขาเหล่านั้นมาร่วมกันหมุนธรรมจักร

จิตหยาบของท่านเองและทุกคนจะยิ่งยกระดับเร็วขึ้น

 

ดังนั้น

คนที่กวนโอ๊ยท่านมากกว่าใครเขาเพื่อน

เขาก็จะยิ่งเป็นคนที่มีคุณค่าของเพื่อนมากกว่าใคร

ซึ่งสมควรจะอนุรักษ์เขาเอาไว้ด้วยการให้อภัยต่อเขา

เพราะท่านต้องใช้ความรักมอบให้เขาค่อนข้างมาก

หากจะให้อภัยแก่ตัวเขาคนที่ทำไม่ดีกับท่านนั้นได้

แรงสั่นสะเทือนด้านบวกมากๆจากการให้อภัยเขานั้น

มันคือการสั่นสะเทือนขันธ์ห้าทางด้านบวกในระดับสูง

วิญญาณขันธ์ของท่านก็จะทำการผลิตพลังงานบวก

เหวี่ยงออกมาสร้างพลังงานร่วมกับคนอื่นๆอีกสามคน

โดย 99% ของทั้งหมดจะเป็นของพวกท่านกันเอง

ที่เหลือ 1% เป็นของโลกที่จะใช้เหวี่ยงหมุนรอบตัวเอง

ในทุกวินาทีที่พวกท่านรักกันได้ให้อภัยต่อกันนั่นแหละ

 

พวกท่านจงจำไว้ว่า

จงอย่าไปเชื่อมอดมารผีโสโครก

ที่หลอกลวงพวกท่านผ่านลัทธิประหลาดต่างๆ

ที่มักนำเอาวิชากรรมฐานที่ดีงามของพระพุทธเจ้า

มาทำการบิดเบือนเบี่ยงเบนให้หลงทางหลงผิด

ซึ่งคนที่คิดน้อยหรือไม่ค่อยคิดจะถูกหลอกง่ายมาก

 

แต่รายที่คิดมากเกินไปก็มีปัญหาเหมือนกัน

ถ้าท่านผู้นั้นคิดมากแต่ดันคิดไม่เป็น

นั่นคือพวกที่ระแวงในตัวเรา

เพราะมีหูแต่เหมือนไม่มี

นั่นคือไม่รับฟังข่าวสารของจิตจักรวาล

หรือได้ยินได้ฟังเหมือนกันแต่ทำเป็นเฉยเมยไม่ใส่ใจ

 

เพราะมีจมูกแต่เหมือนไม่มี

จึงไม่ได้กลิ่นหอมของพระโอวาทจากพระเจ้า

ที่เราสู้อุตส่าห์รับสื่อจากพระองค์ลงมาแบ่งปันให้

แต่กลับได้กลิ่นของเน่าเหม็นที่มารนำมาหลอกล่อ

ผ่านเจ้าลัทธิอุตริอวิชชาทั้งหลาย

แล้วทำตัวเป็นอีแร้งหรือแมลงวันไปรุมทึ้งรุมตอม

ขณะของหอมๆของพระบิดานี้กลับเบือนหน้าหนี

โดยเหมารวมว่า #จิตจักรวาล เป็นลัทธิมารไปด้วย

น่าเสียดายและเศร้าใจนักหากท่านจะต้องถูกคัดทิ้ง

 

กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา

เอเมน สาธุ

#พระบุตรเอก

29/05/2567




สวัสดีวันพุธ 29/05/2024


 

28 พฤษภาคม 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 28/05/2024

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

สิ่งที่ทำให้พวกคุณเกิด “ความเสื่อม” มีหลายอย่าง

อย่างหนึ่งที่สำคัญที่สุดและแก้ยากก็คือ #ความกลัว

ถ้ามันเกิดขึ้นมาภายในจิตหยาบของคุณได้เมื่อไหร่

โอกาสที่จะเกิดขึ้นอีกในครั้งต่อๆไปนั้นจะยิ่งง่ายขึ้น

แถมจะระวังป้องกันมันมิให้เกิดอีกยากมากขึ้นเรื่อยๆ

เพราะมันจะกลายเป็น “ความเคยตัว” ไปในที่สุด

 

เมื่อมันเคยตัวไปแล้ว

พลังอำนาจอันเกิดจากการสั่นสะเทือนของจิตหยาบ

มันก็จะเกิดความตกต่ำลงไปเพราะว่าจิตหยาบป่วย

เนื่องจากจิตหยาบได้ถูกถ่วงรั้งเอาไว้ด้วย “ความกลัว”

ยิ่งพวกคุณ “ขี้กลัวจนเคยตัว” พลังจิตก็จะยิ่งตกต่ำ

นี่เป็นที่มาของประโยคที่ว่า #ความกลัวทำให้เสื่อม

 

ปกติแล้วจิตหยาบของมนุษย์ทุกคนนั้น

มีความสามารถที่จะสั่นสะเทือนได้ทีละเรื่องทีละอย่าง

มันจะไม่อาจสั่นสะเทือนพร้อมกันได้ทีละหลายๆเรื่อง

 

#ตัวอย่างเช่น

จิตหยาบจะสั่นสะเทือนเป็นความรู้สึกชอบกับไม่ชอบ

หรือสั่นสะเทือนเป็นพอใจกับไม่พอใจพร้อมกันไม่ได้

 

จิตหยาบจะสั่นสะเทือนเป็นอารมณ์โกรธกับไม่โกรธ

จิตหยาบจะสั่นสะเทือนเป็นความเมตตากับไม่เมตตา

จิตหยาบจะสั่นสะเทือนเป็นความอยากกับไม่อยาก

จิตหยาบจะสั่นสะเทือนเป็นความรักกับไม่รัก

 

โดยจะสั่นสะเทือนพร้อมกันในขณะเดียวกันนั้นไม่ได้

ถ้าจิตหยาบสั่นสะเทือนพร้อมกันทั้งสองด้านเมื่อไหร่

มันจะทำให้เกิดสภาวะแห่งความเสื่อมขึ้นมาอีกอย่าง

นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า #ความลังเล หรือความไม่แน่ใจ

คำว่า “ลังเล” แปลความว่า #จะเอาดีหรือไม่เอาดีหนอ

 

#ตัวอย่างเช่น

จิตหยาบจะสั่นสะเทือนเป็นการนึกออกนึกเอานึกเอง

ด้วยการสั่นสะเทือนพร้อมกันทั้ง “สามนึก” นั้นไม่ได้

 

จิตหยาบจะสั่นสะเทือนเป็น “นึกออก นึกเอา นึกเอง”

ด้วยการ “นึกลบ” ควบคู่ไปกับ “นึกบวก” พร้อมๆกัน

ในเรื่องเดียวกันและภายในเวลาเดียวนั้นก็ไม่ได้ด้วย

 

คุณต้องใช้จิตหยาบ “นึกออก” ในด้านลบหรือบวก

ด้านใดด้านหนึ่งแต่เพียงด้านเดียวเท่านั้น

โดยต้องนึกทีละเรื่องจะนึกหลายเรื่องพร้อมกันไม่ได้

 

คุณต้องใช้จิตหยาบ “นึกเอา” ในด้านลบหรือบวก

ด้านใดด้านหนึ่งแต่เพียงด้านเดียวเท่านั้น

โดยต้องนึกทีละเรื่องจะนึกหลายเรื่องพร้อมกันไม่ได้

 

คุณต้องใช้จิตหยาบ “นึกเอง” ในด้านลบหรือบวก

ด้านใดด้านหนึ่งแต่เพียงด้านเดียวเท่านั้น

โดยต้องนึกทีละเรื่องจะนึกหลายเรื่องพร้อมกันไม่ได้

 

ถ้าคุณไม่เข้าใจจิตหยาบของคุณเอง

โดยไม่รู้ว่าขีดความสามารถเป็นอย่างไร

ไม่รู้ว่าจิตหยาบของตนมันทำงานอย่างไรแล้ว

พลังอำนาจของจิตที่เรียกว่า #ฌาน นั้น

คุณจะเข้าถึงพลังอำนาจสูงสุดของมันไม่ได้

ซึ่งมันจะทำให้พลังอำนาจทางปัญญาของสมอง

พลอยตกต่ำลงตามไปด้วยเสมอ

ที่เรากล่าวโดยรวมว่า “ทำให้เสื่อม” นั่นแหละ

 

ดังนั้น

จิตหยาบที่ทำงานพร้อมกันมากกว่าหนึ่งเรื่อง

กับสภาวะจิตหยาบในขณะที่กำลังเกิดความกลัวอยู่

มันจะเป็นลักษณะของจิตหยาบในปัจจุบันขณะ

ที่กำลังสั่นสะเทือนอยู่ 2 อย่างในเวลาเดียวกัน

นั่นคือถ้าคุณกำลังจะนึกคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งอยู่

แล้วดันมี “ความกลัว” เข้ามาแทรกเสริมเพิ่มเติมด้วย

พลังอำนาจของจิตหรือพลังฌานมันจะตกต่ำลงทันที

ซึ่งมันจะยังผลให้พลังอำนาจทางปัญญาในการคิด

ที่เรียกว่า “พลังญาณ” พลอยตกต่ำลงตามไปด้วย

พลังปัญญาที่ตกต่ำลงเพราะสมองสั่นสะเทือนต่ำลง

ทำให้ความเข้มสนามแม่เหล็กของสมองต่ำลงด้วย

ค่าความเข้มสนามแม่เหล็กของสมองนี่แหละ

คือตัวชี้วัดความฉลาดทางปัญญาในขณะนั้นนั่นเอง

 

ด้วยเหตุนี้เอง

ความกลัวจึงเป็นที่มาของความเสื่อมทั้ง 2 อย่าง

คือ พลังจิตเสื่อมและพลังทางปัญญาก็เสื่อม

 

สิ่งที่พวกคุณจักต้องปฏิบัติก็คือ

กำจัดความกลัวออกไปจากจิตหยาบให้สิ้นไปให้ได้

ด้วยวิธีลดละเลิกความกลัวนั้นด้วยความไม่กลัว

โดยเปลี่ยนความกลัวให้เป็น #ความกล้า แทน

 

#กล้าได้กล้าเสีย

#กล้าเผชิญหน้า

#กล้าริเริ่มกล้าลงมือทำ

#กล้าเสี่ยง่

#กล้าคิด #กล้าตัดสินใจ

 

วิธีเปลี่ยนความกลัวให้เป็นความกล้ามี 3 วิธี

 

1.#ค่อยๆสั่งสมความสำเร็จไปทีละน้อยๆ

เพื่อสร้างพลังความเชื่อมั่นในตนเองให้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

จากผลสำเร็จที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าเมื่อคุณลงมือทำ

 

2.#ฉลาดเลือกทำแต่สิ่งง่ายๆก่อน

ไม่อวดดีอวดเก่งอวดฉลาดทำในสิ่งยากๆก่อน

ทั้งๆที่คุณยังไม่เคยมีประสบการณ์นั้นมาก่อนเลย

เพื่อการันตีความผิดพลาดล้มเหลวไม่ให้มันเกิดขึ้น

มิเช่นนั้นแล้วมันจะทำให้คุณเสียกำลังใจนั่นแหละ

 

3.#หัดทำอะไรให้สำเร็จด้วยตนเองตามลำพังบ้าง

จงอย่าชอบวานให้คนอื่นคิดแทนทำแทนอยู่ร่ำไป

เพราะมันจะทำให้ความมั่นใจในตนเองลดต่ำลง

เมื่อคุณขาดความมั่นใจมันก็จะเปลี่ยนเป็นความกลัว

ตัวอย่างเช่น

 

#กลัวการผิดพลาด

#กลัวความล้มเหลว

#กลัวจะแก้ไขไม่ได้

#กลัวว่าตนจะรับผิดชอบไม่ได้

#กลัวคนหัวเราะเยาะ

#กลัวถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม

#กลัวเสียฟอร์ม #กลัวเสียหน้า

#กลัวๆกล้าๆ

 

เห็นหรือยังว่าที่เรากล่าวมาทั้งหมดนั้น

ถ้าคุณใช้จิตหยาบของตนกันไม่เป็น

คุณก็จะเข้าถึงพลังอำนาจของจิตตปัญญาไม่ได้

รวมทั้งถ้าตัวคุณเป็น “คนขี้กลัว” ด้วยแล้ว

อำนาจทางจิตตปัญญาของคุณก็จะตกต่ำลง

จนยากจะประสบความสำเร็จในชีวิตและจิตวิญญาณ

 

กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

28/05/2567