24 ธันวาคม 2558

ใช้แรงกาย หยาดเหงื่อ เพื่อชีวิต...


ใช้แรงกาย หยาดเหงื่อ เพื่อชีวิต
ตามลิขิต ขีดเขียน บทเรียนไว้
ความมานะ บากบั่น ความมั่นใจ
รางวัลใหญ่ จักได้รับ ไม่อับจน

แม้ร้อนแดด แผดกล้า ผินหน้าสู้
หนักเหนื่อยอยู่ ดูเห็น ว่าเป็นผล
แขนที่ล้า ขาที่เกร็ง เร่งผจญ
เถอะ...อย่าสน หญิงหรือชาย ไม่อายใคร

เอเมน สาธุ
.วิสุทธิปัญญา
24-12-2015

: ขอบคุณนางแบบ
ช่างเท็คนิกกลุ่มกองทัพงูเห่า
สาวนักสู้ผู้สร้างจิตจักรวาลสถานธรรม 

ภูกระต่าย

อรุณสวัสดิ์


สวัสดี.....
วันพฤหัสบดีที่ยิ่งใหญ่
เสด็จมาจุติจากแดนไกล
พาลูกแกะกลับไปนฤพาน

ตื่นเถิดเธอมนุษย์จ๋าเรามาแล้ว
จงเร่งมาต่อแถวกันเถิดท่าน
ก้าวตามเราดีกว่าอย่าตามมาร
จักถึงด่านนภาลัยไม่หลุดลง

กราบพระบาทพระบิดา
เอเมน สาธุ
.วิสุทธิปัญญา

24-12-2015

23 ธันวาคม 2558

พืชกินสัตว์

   
  








ATTN: 
Ahchawharahyh Nirahti​i 

Question:
กราบเรียนถามท่านอาจารย์

1.กรณี"พืชกินสัตว์"
เขากินเพราะเผลอติดในรสละไม่ลง
หรือเขามีกรรมอะไรถึงต้องเป็นพืช
ที่ต้องดักจับกินชีวิตผู้อื่น?

2.ในกาลข้างหน้าพืชเหล่านี้
จะต้องถูกชำระด้วยดังเช่นพี่ๆน้องๆ
ที่ยังคงเสพกินกันเองด้วยใช่หรือไม่?

3.ฤๅองค์พระบิดาท่านทรงต้องการสื่อสอนอะไร
จากสิ่งนี้แก่ลูกๆให้ได้เรียนรู้กันครับ

Answer:
1.พืชที่กินแมลงเหล่านี้
มีสมญานามว่า "สวยเพชฌฆาต" !!!!!

2.ที่พวกเขาดักจับแมลงกินเป็นอาหาร
เป็นเพราะถูกกำหนดมาให้มีพฤติการณ์อย่างนั้น

พวกเขาไม่มีปุ่มหรือกลไกใดๆ
ที่จะสั่นสะเทือนร่วมกับจิตเหมือนมนุษย์
ที่จะปรุงแต่งรสชาติอาหารว่าอร่อยไม่อร่อย

มนุษย์จงอย่าเอาตนเองเป็นบรรทัดฐาน
ในการพิจารณาพืชและสัตว์อื่นๆ
ที่พวกเขามิได้ใช้ "จิตสามนึก" เช่นมนุษย์
จึงนำมาเปรียบกันไม่ได้
ทั้งพืชทั้งสัตว์ล้วนใช้สัญชาตญาณ
ที่พระบิดาทรงกำหนดเอาไว้ให้พวกเขา
เป็นในแบบที่เขาต้องเป็นทั้งสิ้น

3.สาเหตุที่ทรงกำหนดให้พวกเขา
เป็นพืชกินแมลง (สัตว์) ก็เพื่อจะให้พวกเขา
ช่วยสร้างสติทางวิญญาณแก่มวลมนุษย์
เพื่อการสื่อสอนมนุษย์ทั้งหลาย
ในพระนามแห่งพระองค์ว่า

3.1 จงอย่ามองทุกสรรพสิ่งของพระบิดา
อันหมายถึงทุกสิ่งทุกเรื่องราวที่เผชิญ
ที่องค์จิตจักรวาลทรงกำหนดสร้างขึ้นไว้
เพียงแค่เปลือกนอกที่เป็นตัวตนรูปลักษณ์เท่านั้น

3.2 เพราะรูปลักษณ์ที่อายตนะมนุษย์
สามารถสัมผัสรู้ดูเห็นได้แค่ภายนอกนั้น
ล้วนเป็น "มายา" หรือเงาของแก่นแท้
ที่อำพราง "ตัวตนแท้จริง" เอาไว้ข้างในทั้งสิ้น

3.3 การมองสรรพสิ่งอย่างรายรอบตัวท่าน
จึงจะต้องมองให้ซึ้งถึงแก่นแท้ที่อยู่ข้างใน
ท่านจึงจะเข้าถึงสัจธรรม
อันเป็นความจริงของสรรพสิ่งนั้นได้

3.4 วิธีที่จะมองหาความจริงมิใช่มายาของสิ่งนั้น
จะต้องทำด้วยการปฏิบัติดังนี้

(1).ไม่ใช้จิตปรุงแต่ง ทันทีที่ได้เห็น ได้ฟัง
ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส หรือ ได้จับสัมผัสสรรพสิ่งนั้นๆ

ให้เกิดเป็นความสวย ไม่สวย
ให้เกิดเป็นความน่าฟัง ไม่น่าฟัง
ให้เกิดเป็นความหอม ไม่หอม
ให้เกิดเป็นความอร่อย ไม่อร่อย
ให้เกิดเป็นความชอบใจ ไม่ชอบใจ

จนนำไปสู่ความอยาก ไม่อยาก
โดยเปลี่ยนจากกิเลสไปเป็นตัณหา
ที่จิตไปยึดติดกับมายาของสรรพสิ่งนั้น

(2) ต้องให้เวลาตนเอง
ในการพิจารณาค้นหาความจริงของสิ่งนั้น
ให้มากพอควรแก่เวลาที่มีอยู่
เพื่อมองหาแก่นแท้หรือความจริง

(3) ต้องใช้ตา หู จมูก ลิ้น และกายสัมผัส
กลไกอายตนะเหล่านี้เป็นเครื่องมือ
ที่จะช่วยให้ท่านเรียนรู้ที่จะพบเจอความจริง
เพื่อจะเข้าถึงตัวตนแก่นแท้ของสรรพสิ่งได้

4.ท่านต้องรู้ว่าท่านต้องสามารถ
ข้ามผ่านมายาภายนอกของทุกสรรพสิ่งไปได้เท่านั้น
ท่านจึงจะเข้าถึง "แก่นแท้" ของมันได้

5.เคล็ดลับสำคัญที่จะบอกท่านก็คือ
ท่านจะมิอาจมองด้วยตาเนื้อ
แล้วแลเห็นแก่นแท้จริงของทุกสรรพสิ่งได้เลย

เพราะพระบิดาทรงกำหนดสร้าง
อายตนะภายนอกทั้งห้าซึ่งรวมทั้งตาด้วย
เอาไว้ให้มนุษย์แห่งโลกเสรีทุกคน
ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อค้นหา "ความรู้" เท่านั้น
มิใช่เอามาใช้เพื่อค้นหา "ความจริง" หรือสัจธรรม

6.ท่านจักต้องรู้ว่า
"ความรู้" เรียนรู้ได้ เข้าถึงได้ด้วย "อายตนะ"

ส่วน "ความจริง" นั้น
เรียนรู้ได้ เข้าถึงได้ด้วย "จิตตปัญญา"
หรือ จิตกับสมองสองซีก ที่ทุกคนล้วนมีอยู่นั่นแหละ

โดยที่มนุษย์สามารถเข้าถึงการใช้จิตตปัญญาได้
ด้วยการ "ฝึกคิด" ฝึกใช้ปัญญาของสมอง
ดังที่เรากำหนดให้มีการฝึกอบรม "ไซโคโชว์"
เพื่อช่วยพวกท่านที่ใฝ่นิพพาน
ให้เข้าถึงภาวะการรู้แจ้งในตนเองและสรรพสิ่งทั้งปวง
อันเป็นบันไดสู่สภาวะสุญญตาของจิตอยู่เนืองๆ

กับการหมั่นสื่อพระโอวาทด้วยวัตถุประสงค์พิเศษ
คือ ให้ความรู้และฝึกการคิดขณะรับพระโอวาท
ตลอดเวลาอันยาวนานต่อเนื่อง 4-5 ชั่วโมง
เป็นประจำทุกเดือนมิได้ขาดเว้นนั่นเอง

7.สุดท้ายสิ่งที่ท่านต้องรู้ก็คือ
ท่านจะสามารถเข้าถึงแก่นแท้หรือความจริงได้
โดยไม่ไปหลงยึดติดคิดว่ามายาเป็นแก่นแท้
ก็ด้วยการที่ท่านจะต้องฝึกฝนตนเอง
ให้มองหาสิ่งที่เรียกว่า 
"คุณสมบัติแท้จริง" ของสิ่งนั้นให้พบ
โดยอย่าไปใส่ใจในมายารูปลักษณ์ของสิ่งนั้น

เช่น อย่ามองแค่สาระรูป หรือกิริยาท่าทางของเขา
แต่ให้ค้นหาสิ่งที่อยู่ในใจของเขาแทน

ด้วยการใช้ปัญญาหาวิธีที่จะล่วงรู้ให้ได้ว่า
ขณะนั้นเขาคนนั้นกำลังมี "ความจริง" อันใดอยู่ในใจ
ที่เขาปิดบังอำพรางเอาไว้
ด้วยมายาแห่งอากัปกริยาภายนอก
บ้างหรือไม่อย่างไร

ปากกับใจเขาตรงกันจริงมั้ย
หล่อนสวยเพชฌฆาตหรือเปล่า
เขาปากร้ายใจดีหรือเปล่า
หรือปากปราศรัยแต่ใจเชือดคอ เป็นต้น

8.จะรู้เท่าทันคน ท่านต้องสนที่แก่นแท้
ซึ่งเป็นนิสัยทางจิตของเขา
มิใช่ใส่ใจที่บุคลิกภาพภายนอกอย่างเดียว
เพราะมัน "หลอก" มัน "ล่อ" มัน "ลวง" กันได้
เข้าใจมั้ย?

เอเมน สาธุ
.วิสุทธิปัญญา
23-12-2015











ทำไม......... โลกรั่ว น่ากลัวกว่าโลกร้อน


ทำไม.........
โลกรั่ว น่ากลัวกว่าโลกร้อน

22 ธันวาคม 2558

บททดสอบบทสุดท้าย


บททดสอบบทสุดท้าย
สำหรับเหล่ามวลมนุษย์แห่งโลกเสรี
คือ บทเรียนแห่งความกลัวตาย!!

แต่กว่าจะสำนึกกันได้...
ก็อาจจะสายเกิน

เอเมน....สาธุ.....

.วิสุทธิปัญญา
22-12-2015

Good Morning, Tuesday.


Good Morning, 
Tuesday.

สวัสดี วันอังคาร วันแห่งรัก
ชมพูจัก เป็นสี ที่แสนหวาน
ขอทุกคน เริงร่า กว่าวันวาน
สนุกสนาน งานดี มีโชคเอย

กราบพระบาทพระบิดา
เอเมน สาธุ
.วิสุทธิปัญญา
22-12-2015

21 ธันวาคม 2558

จิตใจ


เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
องค์จิตจักรวาลพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ของเราและของพวกท่านทั้งหลาย
ทรงใช้ให้เรามาทำหน้าที่ปิดยุคพลังงานเก่า

ด้วยการกล่าวพระโอวาทในพระนามแห่งพระองค์
ในระบบจิตสู่จิต ต่อท่านทั้งหลาย
พร้อมแจ้งข่าวสารการชำระโลกและความรู้ใหม่ๆ
เพื่อให้ท่านได้เตรียมตนเองและจิตวิญญาณ
เพื่อการผจญภัยที่ท่านจะไม่เคยพบเจอมาก่อน
อย่างมีกฤตสติ

กับชี้ทางหลุดพ้นบนมรรควิถีจิตจักรวาล
เพื่อนำพาแก่นแท้ของพวกท่านกลับบ้าน
ยังแดนสุญญตา
ซึ่งพระองค์ทรงเฝ้ารอคอยพวกท่าน
รักษาคำมั่นในพันธะสัญญา 6
มานานนับหลายหมื่นปีแล้ว

ความจริงอีกสิ่งหนึ่งซึ่งเราขอกล่าวต่อท่าน
นั่นคือ ในการเป็นคนสองมิติ
ที่ท่านเรียกตนเองกันว่า "มนุษย์" นั้น
หากท่านปรารถนาจะนิพพานแท้จริง
ท่านจะต้องยอมรับให้ได้ว่า
ตัวท่านนั้นยังมีจิตวิญญาณแก่นแท้อยู่ข้างใน

ท่านจะไปไหนมาไหน 
ท่านจะทำอะไรกับใคร
ท่านจะทำอย่างไร
ตัวตนแก่นแท้ของท่านที่อยู่ข้างใน
ล้วนรับรู้และรับผิดชอบการกระทำนั้นๆทั้งหมด
เสมือนหนึ่งกระทำด้วยตนเอง
ไม่ว่าจะเป็นการกระทำดีหรือชั่ว
ด้วยกายกรรม วจีกรรม หรือมโนกรรมก็ตาม

เพราะจิตหยาบหรือจิตมนุษย์ของท่าน
เป็นตัวแทนได้รับมอบอำนาจจากจิตวิญญาณ
ผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของท่าน
ให้มีหน้าที่สั่นสะเทือนเครื่องยนต์แห่งกรรม
เพื่อแสดงบทบาทการเป็นคนสองมิติแทนตนเอง

โดยมีเงื่อนไขว่า
ตั้งแต่ท่านมีอายุขัยครบสามขวบปีบริบูรณ์เป็นต้นมา
ท่านจักต้องเรียนรู้ที่จะ
ยกระดับแรงสั่นสะเทือนของจิตหยาบ
ให้สูงขึ้นทางด้านบวก
จนสั่นสะเทือนเป็นหนึ่งเดียวกันกับแก่นแท้
คือจิตวิญญาณของตนเองให้จงได้

วิธีที่จะยกระดับแรงสั่นสะเทือนของจิตหยาบได้
ก็ด้วยการสอบให้ผ่านบททดสอบจิตสำนึก
ที่จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่าน
ได้วางแผนขีดเขียนบทละครนั้นๆเอาไว้ให้ท่านเล่น

โดยประชุมวางแผนกันกับเพื่อนร่วมบททดสอบ
วิหารสีขาวตรงด่านนภาลัย
ตั้งแต่ภพชาติแรกที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์แล้วล่ะ
ซึ่งหนึ่งในเพื่อนร่วมบททดสอบร่วมวางแผนกันมา
ก็มีจิตวิญญาณของท่านนี่แหละเป็นหนึ่งในนั้น

ดังนั้น
หน้าที่ของท่านก็คือ
รับผิดชอบต่อการสั่นสะเทือนตนเอง
ให้เป็นหนึ่งเดียวกันกับแก่นแท้ของท่านให้ได้

ด้วยการรักคนที่ไม่น่ารักให้ได้
ให้อภัยแก่คนที่ไม่น่าให้อภัยให้เป็น
ในทุกบททดสอบที่คนรอบข้างหยิบยื่นมาให้
แล้วท่านก็จะเป็นมนุษย์ที่สมดุล
ที่มีสิทธิ์ใช้นามเรียกขานจิตตนเองว่า"จิตใจ"
ซึ่งคำว่า "ใจ" ก็คือ แก่นหรือแกนกลาง
อันหมายถึงจิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านนั่นเอง

ในชีวิตประจำวัน
ท่านทั้งหลายจึงต้องเรียนรู้ให้ได้ว่า
ท่านจะระวังรักษา "จิตใจ" ของท่าน
ให้เป็นหนึ่งเดียวกันไว้ได้อย่างไร

คำตอบคือ "อย่าทำจิตตก ใจแตก
ใช่หรือไม่ล่ะ?

จิตกับใจจะแตกแยกออกจากกันก็ต่อเมื่อ
จิตสั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่ต่ำๆ
ในย่านของโลภะ โทสะ โมหะ
กับอารมณ์หยาบๆรายวันทั้งหลายนี่แหละนะ

เหตุเพราะจิตสั่นสะเทือนในย่านความถี่ต่ำนี่เอง
จึงขาดจากการเป็นหนึ่งเดียวกันกับ "ใจ"
เพราะค่าความถี่ไม่เสมอภาคกัน ไม่เท่ากัน

ท่านจึงต้องระวังจิตดูแลใจให้จริงจัง
อย่ายอมใหจิตตกใจแตกง่ายนัก
วิธีที่เหมาะสมที่สุดก็คือ
การสร้างเครื่องมือค้ำจุนจิตของท่านไว้
เราเรียกเครื่องมือสำคัญชิ้นนี้ว่า "มหาสติ"
ซึ่งเป็นคำสั้นๆไม่มีอะไรต่อท้ายอีก

มหาสติจะช่วยให้จิตของท่าน
ไม่เกิดอาการเสียสมดุลไป
ในทุกครั้งคราที่อายตนะภายนอกทั้งห้า
สัมผัสรู้ดูเห็นสรรพสิ่งใดๆในทุกขณะจิต

มหาสติของพระบิดา
ที่ทรงเมตตาประทานมาให้ท่านทั้งหลายนี้
มิได้มีมาตั้งแต่เกิด
มิได้เป็นกลไกอัตโนมัติ
แต่เป็นกลไกที่ท่านจักต้องสร้างมันขึ้นมาเอง

โดยต้องรู้ว่า 
"มหาสติ คืออะไร"
"มหาสติ" คืออย่างไร
"มหาสติ" มีประโยชน์ต่อการค้ำจุนจิตใจอย่างไร
ฯลฯ

ท่านจะต้องสำรวมจิตเอาไว้เสมอ
และท่านก็จักต้องรู้เอาไว้ด้วยว่า
จงอย่าทำจิตตกเดี๋ยวใจจะแตก

เอเมน สาธุ
.วิสุทธิปัญญา

21-12-2015

18 ธันวาคม 2558

แมวเหมียว



เกิดเป็นคน หล่นแล้ว เป็นแมวเหมียว
เพราะจิตเปลี่ยว เสียวซ่าน ร่านสู่สม
ชอบยั่วยวน ชวนชาย ให้หมายชม
ใช้สวยข่ม ทำมารยา ให้ท่าชาย

อีกบางคน ลักขโมย อยู่เป็นนิจ
ก่อกรรมผิด บาปล้น จนคนหน่าย
จึงเป็นแมว ขี้ขโมย โดยที่กาย
"ย่องเบา" ง่าย จมูกไว ไปตามกรรม

เอเมน
.วิสุทธิปัญญา
15-12-2015








17 ธันวาคม 2558

อรุณสวัสดิ์พฤหัสบดี


อรุณสวัสดิ์พฤหัสบดี...นะพี่น้อง
ครอบครัวจิตจักรวาลและชาวโลกทั้งหลาย







15 ธันวาคม 2558

สวัสดี "ศรีอังคาร"


สวัสดี "ศรีอังคาร" สราญรื่น
จงสดชื่น ตื่นตา เมื่อฟ้าใส
ที่ฝันค้าง อย่างทะนง จงสมใจ
ที่ฝันใหม่ ให้สัมฤทธิ์ ดั่งคิดเอย

เอเมน
.วิสุทธิปัญญา

15-12-2015

คุณสมบัติของผู้เป็น ยุวจิตจักรวาลทายาท


เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
สำหรับ "ครอบครัวจิตจักรวาล" นั้น
ผู้เป็นสมาชิกองค์สำคัญในครอบครัว
จะประกอบด้วย องค์ 3 ดังนี้ คือ

1.องค์พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ทรงเป็นองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่
พระผู้ทรงเป็นจุดเริ่มต้น(ผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณ)
และทรงเป็นพระผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง
ทั้งยังทรงเป็นพระผู้สิ้นสุดยุติ
(การคืนกลับบ้านหรือนิพพาน)
ของจิตวิญญาณอีกด้วย

2 องค์จิตจักรวาลดวงเล็ก คือ "พระบุตร"
ซึ่งเป็นตัวตนภาคแรกที่สูงส่ง
ของจิตวิญญาณมนุษย์แต่ละคน
ที่ถูกแบ่งภาคออกมา
เพื่อลงมาเกิดเป็นมนุษย์ยังโลกเสรีนี้

โดยที่ขณะนี้พวกเขาทั้งหลายนั้น
ยังดำรงตนเองอยู่กับพระบิดา
ในแดนสุญญตาหรือแดนนิพพาน
นอกระบบเอกภพซึ่งอยู่ห่างไกลมาก

ซึ่งห่างไกลมากเสียจนไม่สามารถ
ติดต่อสื่อสารกับจิตวิญญาณของตน
ที่ขันอาสาลงมาเกิดเป็นมนุษย์
บนดาวโลกเสรีนี้ด้วยตนเองโดยตรงได้
นอกเสียจากการทำสามเหลี่ยมกับพระบิดา
ผ่านพระบุตรเอกแห่งองค์พระบิดา
ในกาลที่พระบุตรเอกนั้น
เสด็จลงมาทำหน้าที่พิเศษ
ในวโรกาสพิเศษบนโลกเสรีนี้
ดังเช่นปลายยุคพลังงานเก่านี้เท่านั้น

ตัวตนภาคแรกที่สูงส่งของจิตวิญญาณมนุษย์
หรือจิตจักรวาลดวงเล็กเหล่านี้
ต่างล้วนรอคอยการคืนกลับบ้านของจิตวิญญาณแห่งตน
เพื่อกลับสู่การเป็นหนึ่งเดียวกันดังเดิม
ในสภาวะนิพพานนับนานเนิ่นมาแล้ว

3.องค์จิตวิญญาณ หรือ "พระจิต"
ผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ในความเป็นมนุษย์แต่ละคน
ที่จิตหยาบหรือจิตมนุษย์
สามารถยกระดับแรงสั่นสะเทือนด้านบวกให้สูงขึ้น
จนเป็นหนึ่งเดียวกันกับดวงจิตวิญญาณของตน
จนเป็นผลสำเร็จได้แล้ว

สำหรับพี่ๆน้องๆชาว "ยุวจิตจักรวาลทายาท" นั้น
เราจะหมายถึงมนุษย์แห่งโลกเสรี
ผู้ที่ถึงพร้อมด้วยคุณสมบัติสำคัญดังต่อไปนี้

2.1 เป็นผู้ถือครองมหาสติ
2.2 เป็นผู้มีปณิธานแห่งนิพพานชัดเจนแท้จริง
2.3 เป็นผู้ยอมรับในการมีพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
2.4 เป็นผู้ยอมรับในพันธะสัญญา 6
2.5 เป็นผู้ทำ 3 เหลี่ยมกับพระบิดาอยู่เสมอ
2.6 เป็นผู้ศรัทธาการเป็นมนุษย์ของตนเอง
2.7 เป็นผู้เฝ้าฟังพระโอวาทอยู่เป็นประจำ
และนำพาตนเองเข้าสู่ปฏิบัติการชำระจิต
ให้มีจิตใสใจสวยด้วยกระบวนการ "ไซโคโชว์"
อยู่เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง

เอเมน
.วิสุทธิปัญญา
15-12-2015


13 ธันวาคม 2558

คุยกับคน


นิพนธ์ไว้ตั้งแต่ 16 ..2544
ตราบกระทั่งวันนี้สาระสำคัญก็ยังทันสมัย

เอเมน
.วิสุทธิปัญญา
13-12-2015


11 ธันวาคม 2558

แรงความโน้มถ่วงของโลก


ตามที่เรากล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายไว้แล้วว่า
หากปรารถนาจะนิพพานทางจิตวิญญาณแล้ว
อีกหนึ่งในคุณสมบัติที่ท่านต้องจัดการต่อตนเอง
นั่นคือ ต้องลดน้ำหนักมวลของแก่นแท้ของท่าน
ให้เหลือเท่าเดิมเท่ากับครั้งแรก
ที่ได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์

ซึ่งน้ำหนักมวลของรูปธรรมทางพลังงาน
ที่มีนามว่าจิตวิญญาณนั้น
แม้จะเป็นกล่องพลังงานก็จริงอยู่
แต่ก็มีน้ำหนักเท่ากับ 30 มิลลิกรัมพอดี

สาเหตุที่ผู้ปรารถนาจะนิพพานคือกลับบ้าน
จักต้องลดน้ำหนักมวลของตัวเอง
ให้เหลือ 30 มก.เท่าเดิมก็เพราะว่า
หากมีน้ำหนักตัวมากกว่านี้
รูปธรรมจิตวิญญาณนั้นจะถูกดึงดูดเหนี่ยวรั้งไว้

ด้วยอำนาจแรงโน้มถ่วงของโลก
ด้วยอำนาจแรงโน้มถ่วงของกาแล็กซี่ทางช้างเผือก
ด้วยอำนาจแรงโน้มถ่วงของเอกภพ

จะถูกดึงดูดเหนี่ยวรั้งไว้
จนมิอาจดีดตนเองให้หลุดพ้นออกไปจากระบบได้
ก็จำต้องย้อนคืนกลับสู่การเกิดใหม่
เพื่อทำการลดน้ำหนักตัวในส่วนที่เกินนั้นให้หมด

โดยวิธีลดน้ำหนักตัวของจิตวิญญาณก็คือ
การกลับมาเกิดใหม่เพื่อทำให้ผลกรรมในอดีต
ที่ติดตัวอยู่ทั้งหมดนั้นเป็นโมฆะ
หรือทำให้เป็นกลางทางไฟฟ้าแม่เหล็กเสียให้สิ้น

การมาเกิดใหม่ซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายภพชาติ
เพื่อการชำระบาปด้วยการขจัดน้ำหนักมวลส่วนเกินนี้
มันคือการมีสังสารวัฏฏ์เวียนว่ายตายเกิดนี่แหละ
ส่วนวิธีทำกรรมให้เป็นโมฆะเพื่อลดน้ำหนักตัว
ก็คือการมาเกิดใหม่เพื่อตัดสินใจใหม่ให้ถูกต้อง
ในสถานการณ์เดิมๆเหมือนชาติที่แล้วอีกครั้ง

ถ้าในชีวิตประจำวันของท่าน
มีการก่อกรรมใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
น้ำหนักมวลของจิตวิญญาณของท่าน
ก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆด้วยเช่นกัน
คนที่ฉลาดและมีมหาสติ
จึงไม่ก่อกรรมใหม่และแก้ไขกรรมเก่า
โดยมีชีวิตอยู่อย่างไม่ประมาทและไม่ขาดสติง่ายๆ

ท่านจักต้องรู้ว่า
คนอ้วนน้ำหนักตัวมาก
จะมีความอืดอาดอุ้ยอ้าย
ไปไหนมาไหนจะไม่ปรู๊ดปร๊าดปราดเปรียว
หนำซ้ำยังจะเหนื่อยง่ายกว่าคนปกติด้วย

จิตวิญญาณที่มีน้ำหนักตัวมากๆ
เพราะมีผลกรรมติดตัวอยู่มากก็เช่นกัน
เมื่อตายแล้วจิตวิญญาณก็จะอืดอาดขาดพลัง
จนไม่สามารถดีดตัวเองออกไป
จากแรงดึงดูดของโลกหรือเอกภพได้

ยิ่งน้ำหนักมวลมากก็ยิ่งถูกเหนี่ยวรั้งมาก
ยิ่งต้องออกแรงดีดตัวเองหนีแรงดึงดูดมากเช่นกัน

ขอให้ท่านโชคดีและกระทำสำเร็จด้วยเถิด
เราจักเป็นกำลังใจให้

เอเมน สาธุ
.วิสุทธิปัญญา
11-12-2015


ท่านศาสนิกชนคนใฝ่ธรรมทั้งหลาย


ท่านศาสนิกชนคนใฝ่ธรรมทั้งหลาย
โดยเฉพาะท่านผู้ที่เพิ่งเข้ามาเป็นแขก
ในครอบครัวจิตจักรวาล
ผ่านหน้าเฟสบุ้คของเรา ".วิสุทธิปัญญา"
เพื่อศึกษาเรียนรู้สัจธรรมตามวิถีจิตจักรวาลนั้น
เราใคร่แถลงต่อท่านทั้งหลายว่า

1.ทั้งคำกล่าวและข่าวสารของเราทั้งหมดในห้องเรียนนี้
จะประกอบด้วย 3 ส่วน คือ

ส่วนแรกจะเป็นพระโอวาทแห่งองค์จิตจักรวาล
ส่วนที่สองจะเป็นข่าวสารการชำระโลก
ส่วนที่สามจะเป็นข่าวภัยพิบัติกรณีสำคัญทั่วโลก

2.เฉพาะคำกล่าวพระโอวาทและข่าวสารการชำระโลก
จะเป็นการสื่อถ่ายทอดลงมา
จากพระบิดาแห่งจิตวิญญาณของท่านทั้งหลาย
โดยทรงพระนามว่า "องค์จิตจักรวาลดวงใหญ่"
หรือที่หลายคนถวายพระนามว่า "พระผู้สร้าง"
จากจุดศูนย์กลางของมหาจักรวาลระบบใหญ่

โดยเราสื่อสารกับพระองค์ท่าน
เพื่อกล่าวพระโอวาทและแจ้งข่าวสารสำคัญดังกล่าว
ในพระนามแห่งพระองค์ต่อท่านทั้งหลาย
ซึ่งเป็นมนุษย์แห่งโลกเสรีนี้
ตามแผนการที่ได้ถูกกำหนดเอาไว้ล่วงหน้า
นานนับหมื่นปีมาแล้ว
ในวาระสำคัญ คือ การสิ้นยุคพลังงานเก่า
เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานใหม่

กระบวนการสื่อสารกับพระผู้สูงส่งนี้
เป็นการสื่อสารในระบบจิตสู่จิตในแนวดิ่ง
ที่เรียกว่า All Times Vertical Telepathy

3.สำหรับข่าวสารการชำระโลกนั้น
เป็นปฏิบัติการทางเท็คนิกของช่างเท็คนิก
จากนอกระบบโลกทั้งต่างจักรวาลและต่างกาแล็กซี
โดยเราได้รับอนุญาตให้เปิดเผยแผนการ
และความรู้ในเชิงเท็คนิกของภัยพิบัติ
ที่อยู่ในแผนปฏิบัติการของช่างเท็คนิก
ทั้งที่เกิดขึ้นแล้วและกำลังจะเกิดทั่วโลก
ให้ชาวโลกเสรีทั้งหลายได้เรียนรู้
โดยเตรียมตนเองและจิตวิญญาณ
เพื่อการผจญภัยเอาไว้ล่วงหน้า

4.ดังนั้น ทุกถ้อยความที่เรากล่าวในทุกๆสื่อ
มิได้เป็นความรู้ความเห็นส่วนตัวของเราแต่อย่างใด
การเข้ามาตอบกลับท้ายคำถามของใคร
หรือการตอบคำถามของผู้ใด
ก็มิใช่เป็นความใส่ใจในใครๆเป็นพิเศษดอก
แต่เป็นการทำหน้าที่ของเราเพื่อส่วนรวม
ตามพระบัญชาแห่งพระผู้สูงส่งต่างหาก

หากผู้ใดไม่เห็นด้วย
ก็จงอย่าก้าวล่วงเราให้ผิดบาปแก่ตน
หากท่านใดอ่านแล้วคิดแล้วพิจารณาแล้ว
พบว่าความใดที่เรากล่าวในพระนามของพระบิดา
อวดอุตริพาท่านเพี้ยนเปลี่ยนสัจธรรมนำอุตริ
ก็ขอให้ท่านผ่านเลยไปเสีย
ให้เรารับเอาชะตากรรมนั้นไว้เอง
โดยที่ท่านมิต้องมาเกี่ยวกรรมใดๆกับเราจะเหมาะกว่า

ที่นี่...ห้องนี้เป็นห้องส่วนตัว
ของครอบครัวจิตจักรวาลเท่านั้น
ซึ่งผู้ต้องการสร้างสังคมอุดมปัญญา
ผู้ปรารถนาการหลุดพ้นในชาตินี้
ตามวิถีจิตจักรวาล
บนเส้นทางชาวบ้านที่มิใช่วิถีของนักบวช
ก็สามารถเข้ามาเป็นครอบครัวกับเราได้เสมอ

กราบพระบาทพระบิดา
ทรงโปรดเมตตาประทานพระพรแด่ท่านที่ใฝ่ดี
และทรงเมตตาให้อภัยแก่ลูกแกะที่หลงทางด้วยเถิด

เอเมน สาธุ
.วิสุทธิปัญญา
11-12-2015

05 ธันวาคม 2558

การทำบุญสร้างกุศล แล้วร้องขอสิ่งตอบแทน


การทำบุญสร้างกุศล
แล้วร้องขอสิ่งตอบแทน

อำนาจแห่งการสร้างกุศลผลบุญนั้น
จะช่วยเพิ่มพลังบารมีให้แก่นแท้ของท่านไม่ได้
แต่มันจะไปเพิ่มน้ำหนักมวล
ให้แก่จิตวิญญาณของท่านแทน
ทำให้มีน้ำหนักมวลมากขึ้น
เหมือนคนที่อ้วนขึ้นเรื่อยๆ

บุญกุศลที่ท่านก่อกรรมทำดีนั้น
จะก่อให้เกิดการสั่นสะเทือนทางจิตด้านบวกเสมอ
สัจธรรมของการทำความดีงามก็คือ
เมื่อทำดีก็จะบังเกิดสิ่งดีๆดังนี้ คือ

ความมีปีติสุขที่เกิดขึ้นก่อนกระทำ
ความมีปีติยินดีที่เกิดขึ้นในขณะกระทำ
ความอิ่มเอิบเบิกบานใจที่เกิดขึ้นเมื่อได้ทำแล้ว

การสั่นสะเทือนด้านบวกนี้
หากท่านหมั่นเพียรทำความดีเรื่อยไปในชีวิต
มันจะสามารถยกระดับแรงสั่นสะเทือน
ให้สูงขึ้นเรื่อยๆจนเป็นบวกสูงสุดได้ในที่สุด

ความสามารถในการสั่นสะเทือนทางจิต
ที่เป็นด้านบวกที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
จากการสร้างบุญกุศลนี่แหละ
คือ การสร้างบารมีแบบสั่งสมล่ะนะ
ซึ่งจิตวิญญาณของท่านต้องการพลังอำนาจ
จากการสั่นสะเทือนด้านบวกสูงสุดนี่แหละ
เป็น "เสบียง" หรือพลังงาน
ที่จะใช้ดีดตนเองออกไปจากระบบโลกและเอกภพ
หนีแรงดึงดูดของสรรพสิ่ง
กลับไปกราบพระบาทพระบิดาให้ได้ในชาตินี้
ในสภาวะแห่งการ "หลุดพ้น" คือ นิพพาน

แต่ถ้าท่านทำบุญเบื้องล่าง
เพื่อคิดหวังจะไปสร้างเบื้องบน
ตายไปแล้วจิตวิญญาณของท่าน
ก็จะแค่ "หลุดลอย" ไปค้างอยู่ตรงสวรรค์มายาเท่านั้น

แต่ถ้าท่านสร้างกุศลผลบุญทีไร
แล้วเอ่ยปากฝากจิตคิดร้องขอสิ่งดีๆตอบแทน
ทำความดีงามทีไรก็คิดหวังจะได้สิ่งตอบแทนเสมอ
ผลกรรมหรือผลลัพธ์ของการทำบุญ
มันจะเกิดเป็นรูปธรรมขึ้น
ในรูปของบุรพกรรมแม่เหล็ก
แล้วสะสมอยู่ในดวงจิตวิญญาณของท่านเอง
ตรงส่วนที่เรียกว่า "เมอร์คขะบาห์"

ถ้าสะสมมวลของผลกรรมด้านบวกเอาไว้มาก
เพื่อรอไว้ตอบสนองความต้องการของท่าน
ในภพชาติหน้าแล้ว
มันจะยังผลให้จิตวิญญาณของท่าน
มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าน้ำหนักจริง
ที่ท่านเข้ามาเกิดในภพชาติแรก
ขณะที่บารมี คือ 
พลังงานที่จะใช้ดีดตนเองออกไปจากระบบ
ก็ถดถอยน้อยลงหรือมีไม่มากพอ

เพราะเป็นเช่นนี้แหละ
บวชนานจึงนิพพานไม่ได้
เกิดมานานจึงนิพพานกันไม่ได้

สาเหตุที่มีมวลของบุรพกรรมแม่เหล็กเพิ่มขึ้น
แล้วทำให้จิตวิญญาณของท่านเสมือนไร้พลัง
ก็เพราะ 2 ประการ คือ

1.น้ำหนักเกินมาก
จึงถูกจักรวาลดึงดูดเอาไว้
จนหลุดพ้นแรงดึงดูดเหนี่ยวรั้งออกไปไม่สำเร็จ

2.แรงสั่นสะเทือนของจิตวิญญาณต่ำลง
เพราะเมอร์คขะบาห์
ไม่สามารถสั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่สูงได้
เนื่องจากที่ว่างภายในส่วนของเมอร์คขะบาห์
ถูกแทนที่ด้วยมวลหยาบๆอันเกิดจาก
การทำดีแล้วหวังสิ่งตอบแทน
การร้องขอสิ่งดีๆในทุกครั้งที่ทำดี เป็นต้น

เมื่อมวลหยาบๆที่สร้างใหม่
เพิ่มจำนวนมากขึ้น
ที่ว่างในส่วนของเมอร์คขะบาห์
ซึ่งเป็นชั้นนอกสุดของดวงจิตวิญญาณของท่าน
จะมีพื้นที่ว่างให้สั่นสะเทือนน้อยลง
เมื่อสั่นสะเทือนได้น้อยลง
ความถี่ของการสั่นสะเทือนด้านบวกก็ต่ำลงไปด้วย
นี่คือที่มาของพลังทางจิตวิญญาณทำไมต่ำลง

นอกจากนั้นมวลหยาบๆนี่แหละ
ที่ท่านจักต้องย้อนกลับมาเกิดใหม่ในชาติหน้า
เพื่อรับผิดชอบมันด้วยการเสวยตามที่ร้องขอไว้
ใครทำบุญมาก แล้วร้องขอเอาไว้มาก
คงต้องการภพชาติมากกว่าคนอื่นเขาหน่อยละนะ

เอเมน สาธุ
.วิสุทธิปัญญา
5-12-2015




หากอดีตเป็นสิ่งไม่มีจริงแล้ว คำว่า"ประสบการณ์"ย่อมไม่มี


ที่ผ่านมามีใครบางคน
เคยสอนแนวธรรมะต่อเพื่อนมนุษย์เอาไว้ว่า
(ความในเครื่องหมาย "......")

"อดีตไม่มีจริง
เพราะอดีตคือภาพจำ
ที่เรานำมาคิดซ้ำในเวลาปัจจุบัน"

เราจึงขอกล่าวความจริง
เกี่ยวกับมิติแห่งเวลาต่อท่านทั้งหลายว่า

1.สิ่งที่เป็นอดีตล้วนมีจริงแน่นอน
ไม่ว่ามันจะดีหรือร้าย
ไม่ว่าท่านจะชอบมันหรือไม่
แต่มันก็เป็นเหตุการณ์หรือเรื่องราว
ที่มันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ

หากอดีตเป็นสิ่งไม่มีจริงแล้ว
คำว่า "ประสบการณ์" ย่อมไม่มี

เพราะเรื่องราวในอดีต
เป็นประสบการณ์ที่มีประโยชน์ต่อปัจจุบัน
และเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นผ่านมาแล้วจริงๆ
ท่านจึงต้องอาศัย "ภาพจำ" ที่จิตบันทึกไว้
นำมาคิดพิจารณาเพื่อค้นหาสาระประโยชน์
ในการนำมาใช้กับชีวิตปัจจุบัน

เนื่องจากประสบการณ์ชีวิตในอดีตของท่าน
บางเรื่องมันอาจหมายถึงความผิดพลาด
บางเรื่องมันอาจหมายถึงความล้มเหลว
บางเรื่องมันอาจหมายถึงการสูญเสีย

ดังนั้น
ประสบการณ์อดีตของท่านมันจึงมีอยู่ 2 ส่วนเสมอ
นั่นคือ "สาระ" ที่เป็นองค์ความรู้
หรือบทเรียนที่ได้รับจากประสบการณ์นั้น

กับ "ขยะ" ที่เป็นสิ่งไร้สาระ
ก็คือ "อารมณ์ด้านลบ" ที่มักเกิดขึ้น
จากประสบการณ์เดียวกันด้วย
ซึ่งหาประโยชน์อะไรมิได้

2.ด้วยเหตุนี้เอง
หากท่านฉลาดที่จะเป็นมนุษย์
ท่านคงต้องใช้ "ปริญญาโมเดล"
ว่าด้วยทฤษฎีแม่ไก่นั่นคือ
จงขยันคุ้ยเขี่ยแยกแยะขยะออกไปให้พ้นทาง
เพื่อจิกหาเมล็ดข้าวที่เป็นอาหารของตน
แม้สักเพียงหนึ่งเมล็ดจากขยะกองโตนั่นเอง

3.จงอย่ารังเกียจประสบการณ์ที่ดีๆในอดีต
เพียงเพราะแยกเอาอารมณ์ไม่ดีของท่าน
ซึ่งเปรียบเสมือนขยะที่ไร้สาระ
ออกมาจากสาระเรื่องราวดีๆที่มีประโยชน์ไม่เป็น

จนต้องหลอก (บอก) ตนเอง
เพื่อการปลอบใจตนเองว่า
"อดีตไม่มีจริง" กันอยู่อีกต่อไปเลยนะ

การหลอกตนเองนั้น
นอกจากจะเป็นการกระทำผิดต่อตนเองแล้ว
ยังเป็นบาปต่อจิตวิญญาณของท่านเองอีกด้วย

ถ้าหลงเชื่อผิดๆตามที่สอนกันผิดๆมาเช่นนี้
ประสบการณ์ต่างๆที่ดีๆในอดีต
และมีคุณค่ามากมายในปัจจุบัน
ผู้คนก็คงจะเขวี้ยงทิ้งกันไปหมดอย่างไม่ใส่ใจ
เพราะไปเข้าใจผิดว่า "อดีตไม่มีจริง"
มันเป็นแค่ภาพจำที่ท่านนำมาคิดซ้ำกันเท่านั้นเอง

ทั้งๆที่จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านก็มีอดีต
เพราะเป็นผู้ขันอาสาพระบิดามาเกิดเป็นมนุษย์
เป็นผู้เคยรับพันธะสัญญา 6 จากพระบิดา
เอามาปฏิบัติในบทบาทคนสองมิติคือมนุษย์

นี่คงเป็นเพราะถูกสอนให้ละทิ้งอดีตกันกระมัง
แต่ละคนจึงจำพระบิดาแห่งจิตวิญญาณของตนไม่ได้
แต่ละคนจึงจดจำหน้าที่ในพันธะสัญญา 6 ไม่ได้
แต่ละคนจึงจำตนเองไม่ได้ว่าเป็นใคร
แต่ละคนจึงจำไม่ได้ว่าต้องทำสิ่งใดบ้าง

แน่นอน...
อีกทั้งยังจำไม่ได้เสียด้วยว่า
ใครกันที่ท่านเฝ้ารอ...

เอเมน สาธุ
.วิสุทธิปัญญา

5-12-2015

เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวามหาราช


เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวามหาราช
เราจึงขอเชิญชวนให้ท่าน
มาร่วมกันน้อมระลึกถึงพ่อแห่งจิตวิญญาณของท่าน
ในทุกๆวันตลอดชีวิตนี้ มิใช่มีแค่วันเดียวเถิดนะ

ในพระนามแห่งองค์จิตจักรวาล

พระผู้ทรงเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ผู้ทรงเป็นพระผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง
พระผู้ทรงเป็นจุดศูนย์กลางแห่งสากลจักรวาลอันไพศาล
พระผู้ทรงอนุญาตให้ท่านทั้งหลายมาเกิดเป็นมนุษย์
พระผู้ทรงใช้ให้เรามานำพาพวกท่านกลับบ้าน
พระผู้ทรงอนุญาตให้เรามาแจ้งข่าวสารการชำระโลก
เพื่อปฏิบัติการเปลี่ยนโลกสู่ยุคพลังงานใหม่
โดยใช้รหัส 11:13:6-6-6

ขอสันติสุขและความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ
เพื่อการบรรลุมรรคผลนิพพาน
บนเส้นทางนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง
ในวิถีแห่งจิตจักรวาล
จงมีแก่ลูกๆในครอบครัวจิตจักรวาลทุกคน 
ผู้ไม่เดินหลงทางอีกแล้ว.....เทอญ

กราบพระบาทพระบิดา
เอเมน....สาธุ 

.วิสุทธิปัญญา

5-12-2015

ท่านศาสนิกชนคนประพฤติธรรมที่รักทั้งหลาย...


ท่านศาสนิกชนคนประพฤติธรรมที่รักทั้งหลาย
อย่าเพิ่งเชื่อคำกล่าวของใครก็ตามที่ว่า

"การเวียนว่ายตายเกิดมีจริง
ท่านจึงสมควรจัดการชีวิตปัจจุบัน
ที่ครอบคลุมทุกมิติ
โดยไม่เน้นหนักในชาติใดชาติหนึ่ง

ชาตินี้ก็ต้องกินต้องใช้
แต่ชาติหน้าก็ต้องเผื่อเหลือเผื่อขาด
กิจกรรมบางอย่างอาจส่งผลดีสูงสุดในชาตินี้
แต่ชาติหน้าอาจทำให้ท่านไม่เหลืออะไรเลย
แม้แต่อัตภาพความเป็นมนุษย์

ทุกๆวันจึงควรถามตนเองว่า
วันนี้ได้เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว
ในชาติหน้าบ้างหรือยัง"

เพราะเราจะขอเชิญชวนท่าน
ช่วยกันหยิบปัญญา
มาคุ้ยเขี่ยค้นหาสัจธรรมที่เป็นสาระร่วมกัน
จากคำกล่าวกองโตข้างต้นนั้น

1.การเวียนว่ายตายเกิดนั้นมีจริง
เฉพาะดวงจิตธรรมญาณที่มาเกิดเป็นมนุษย์
แล้วเป็นมนุษย์ไม่เป็นเท่านั้น
มิได้มีจริงสำหรับทุกคนหรอก

ถ้าหากท่านเป็นคนพ้นกรรม
ดำเนินชีวิตได้โดยว่างไปจากบุรพกรรม
ดำรงชีวิตอยู่โดยว่างไปจากพันธะกรรม
เพียงเท่านี้ท่านก็ไม่มีหน้าที่
ต้องเวียนตายเวียนเกิดแล้ว

2.การจัดการชีวิตประจำวันของท่าน
ไม่จำเป็นจะต้องกำหนดเป้าประสงค์ของการกระทำ
ให้ครอบคลุมในทุกมุมทุกด้าน
เหมือนกับเรื่องทางโลกทางสังคมหรอก

ในทางจิตวิญญาณนั้นขอแค่เพียง 4 ข้อ
คือ รักได้ ให้เป็น ไม่ก้าวล่วงใคร
และใช้จิตสำนึกในการดำเนินชีวิต
ซึ่งท่านจะสามารถปฏิบัติได้
ก็ต้องใช้ "มหาสติ
อันเป็นธรรมชาติสมาธิเป็นเครื่องมือ

ถ้าหากท่านปฏิบัติตนเช่นนี้ได้แล้ว
ท่านก็ไม่จำเป็นจะต้องวุ่นวายเลยว่า
จะเน้นหนักในชาติไหน
ที่ทำไปมันครอบคลุมทุกมิติหรือยัง

3.เพราะการปฏิบัติธรรมของท่าน
ในแนวทางที่เราแนะเน้นนี้
เป็นวิถีแห่งธรรมชาติแท้จริง
โดยเน้นที่การกระทำในปัจจุบันเป็นสำคัญ
มิได้มุ่งเน้นที่ "ผลลัพธ์" ของการกระทำ

เพราะ "ผลลัพธ์" ของการกระทำ
มันถูกกำหนดด้วย "วิธีการที่กระทำ
ถ้าวิธีทำถูกต้องเหมาะสมดีงามแล้ว
ผลลัพธ์หรือผลกรรมนั้นย่อมดีเสมอ

เมื่อท่านหมั่นกระทำมุ่งกระทำแต่สิ่งดีๆ
ท่านย่อมได้รับผลแห่งกรรมดีที่ทำไปแน่นอน
ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน
ซึ่งมันจะผันแปรไปเป็นอื่นมิได้เลย

4.การใช้ชีวิตประจำวัน
โดยการเตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว
ที่หมายถึงการสั่งสมบุญกุศลเอาไว้
เพื่อยังประโยชน์ในชาติหน้า
ด้วยการหมั่นทำบุญเยอะๆนั้น

มันเป็นการใส่รหัสเอาไว้ในจิตตนเองว่า
ท่านมิได้ปรารถนาการหลุดพ้นเลย
ท่านยังปรารถนาจะมีชาติหน้าต่อไปอีกต่างหาก
ถ้าหากท่านปรารถนาจะนิพพานแท้จริง
ท่านจะใส่รหัสดังว่านี้ไม่ได้เด็ดขาด

อีกทั้งท่านควรเรียนรู้ไว้ด้วยว่า
ท่านจะยุติการมีสังสารวัฏ
หยุดการเวียนว่ายตายเกิดได้อย่างไรด้วย

เอเมน สาธุ
.วิสุทธิปัญญา
5-12-2015

04 ธันวาคม 2558

เมื่อทำดีย่อมได้ดี แล้วจะอยากได้ดีอีกทำไม


เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
การปฏิบัติธรรมด้วยการหมั่นทำความดีในชาตินี้
เพื่อสะสมเสบียงเอาไว้เลี้ยงตัวในชาติหน้านั้น
เป็นทั้งแนวคิดและการกระทำที่ผิดพลาดอย่างยิ่ง

ท่านทั้งหลายจะต้องรู้ว่า
พระบิดาทรงกำหนดให้ทุกสรรพสิ่ง
มีการสั่นสะเทือนในตนเอง
เพื่อการเปลี่ยนแปลงสู่การสร้างใหม่
เพื่อการเปลี่ยนแปลงสู่การเสื่อมสลาย
เพื่อการเปลี่ยนแปลงสู่การดำรงอยู่ต่อไปได้

ท่านทั้งหลายจะต้องรู้ว่า
การสั่นสะเทือนเพื่อการสร้างใหม่
การสั่นสะเทือนเพื่อการเสื่อมสลาย
การสั่นสะเทือนเพื่อการดำรงอยู่
ทั้งสามรูปแบบของการสั่นสะเทือนดังว่านี้
ไม่ว่าจะสั่นสะเทือนเพื่อการใดก็ตาม
มันล้วนเป็น "สัจจะ" คือ ความจริงทั้งสิ้น

ดังนั้น...
การที่ท่านสั่นสะเทือนจิตตนเอง
ด้วยการหมั่นทำบุญสร้างกุศลรายวัน
เพื่อหมายเตรียมเสบียงเอาไว้เลี้ยงตัว
ในภพชาติหน้านั้น
มันจึงกลายเป็นสัจจะ
ที่ท่านจักต้องเป็นผู้รับผิดชอบ
ตามที่ร้องขอไว้นั้นแน่นอน

อย่าลืมว่า
ถ้าหากท่านมีปณิธานแห่งนิพพานแท้จริง
ภารกิจสำคัญชั่วชีวิตนี้
ขณะท่านยังมีลมหายใจอยู่
คือการมุ่งทำสามเหลี่ยมกับพระบิดา
ผ่านมาทางเราอย่างสม่ำเสมอเท่านั้น

มันจะน่าเสียดายมั้ยล่ะท่าน
หากในภพชาติปัจจุบันนี้
แทนที่ท่านจะถึงนิพพานได้
แต่ต้องกลับมาเกิดใหม่กันอีก

ทั้งๆที่บุญบารมีทางจิตวิญญาณ
อันเกิดจากการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบของท่าน
มันมีพลังอำนาจมากพอ
ที่จะนำพาแก่นแท้ให้หลุดพ้น
ออกไปจากระบบได้ด้วยซ้ำไป

เพียงเพราะกำหนดเป้าหมายผิดพลาด
ด้วยการทำดีแล้วหวังสิ่งตอบแทน
ทั้งๆที่ทำดีย่อมได้ดีอยู่แล้ว

เอเมน สาธุ
.วิสุทธิปัญญา

4-12-2015

03 ธันวาคม 2558

ขอมหาสติจงมีแก่ท่าน


เราจะขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ท่านจักต้องระวังความคิด 
คำพูด และการกระทำของท่าน
ในชีวิตประจำวันเอาไว้ให้จงหนัก

เพราะการกระทำทั้งสามพฤติกรรมที่ว่านี้
มันสามารถส่งผลสะท้อนกลับมาหาท่าน
ในกาลข้างหน้าหรือว่าในอนาคตชาติ
ในฐานะที่ท่านเป็นผู้ก่อผู้กระทำ
ที่จะต้องรับผลของการกระทำของตนเองนั้น

โดยที่ท่านจะต้องรู้ว่า
ทั้งความคิด คำพูด และการกระทำของท่าน
มันล้วนสำคัญเท่ากันหมด
ไม่มีสิ่งใดสำคัญกว่ากัน
เหมือนอย่างที่บางคนสอนสืบต่อกันมาแบบผิดๆ

ที่มันสำคัญเท่ากันก็เพราะเหตุว่า
ถ้าท่านใช้มันทั้งสามอย่างไม่ถูกต้อง
มันล้วนจะสะท้อนกลับมาสู่ตัวท่านในกาลข้างหน้า
จนยังผลให้ท่านหลุดพ้นออกไปจากสังสารวัฏ
หรือหลุดไปจากการเวียนว่ายตายเกิดไม่ได้

ถ้าท่านสั่นสะเทือนจิตของท่าน
จนเกิดเป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านลบต่อผู้อื่น
อาจเพราะถูกยั่วยุด้วยพฤติกรรมไม่ดีใดๆก็ตาม
หากท่านสามารถเก็บงำอาการทางจิตของท่าน
ที่มีต่อคนผู้นั้นไปในทางต่ำเอาไว้ข้างในได้
คงมีเพียงการสั่นสะเทือนด้านลบอยู่ข้างใน
โดยตนเองรู้อยู่คนเดียวคนอื่นไม่รู้เช่นนี้แล้ว

ผลลัพธ์หรือผลกรรมที่เกิดขึ้นในลักษณะนี้
เราเรียกว่า "บุรพกรรม" หรือ วิบากกรรมนั่นเอง

บุรพกรรมหรือวิบากกรรม
จึงหมายถึงผลกรรมที่เกิดจาก
การกระทำผิดบาปต่อผู้อื่นที่เขาไม่รู้
จึงนับว่าเป็นการกระทำผิดบาป
ต่อแก่นแท้ของตนเองด้านเดียว

ผลกรรมลักษณะนี้จะส่งผลให้ท่าน
ต้องย้อนคืนกลับมาสู่การเกิดใหม่ในชาติหน้า
เพื่อให้มาเจอสถานการณ์แบบเดิมนี้ซ้ำอีก
เพื่อเปิดโอกาสให้ท่านได้เรียนรู้ใหม่
เรียนรู้ที่จะสั่นสะเทือนจิตใจของท่าน
ให้เป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านบวกให้จงได้
แม้ว่าเขาจะทำตัวไม่น่ารักไม่น่าให้อภัยก็ตาม

ในขณะเดียวกัน
ถ้าท่านถ้าท่านสั่นสะเทือนจิตของท่าน
จนเกิดเป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านลบต่อผู้อื่น
อาจเพราะถูกยั่วยุด้วยพฤติกรรมไม่ดีใดๆก็ตาม
โดยที่ท่านไม่สามารถเก็บงำอาการทางจิต
ที่มีต่อคนผู้นั้นไปในทางต่ำเอาไว้ข้างในได้
ท่านจึงแสดงออกหรือกระทำที่ไม่ดีตอบสนอง
ด้วยคำพูดจาไม่ไพเราะไม่เหมาะสม
หรือเป็นการกระทำใดๆที่ไม่ดีไม่ถูกต้องต่อผู้นั้น
จนยังผลให้เขาคนนั้น
เสียสมดุลตามท่านไปด้วย

ผลลัพธ์หรือผลกรรมที่เกิดขึ้นในลักษณะนี้
เราเรียกว่า "พันธะกรรม" หรือ ชะตากรรมนั่นเอง

ผลกรรมลักษณะนี้จะส่งผลให้ท่าน
ต้องย้อนคืนกลับมาสู่การเกิดใหม่ในชาติหน้า
เพื่อให้มาเจอสถานการณ์แบบเดิมนี้ซ้ำอีก
เพื่อเปิดโอกาสให้ท่านได้เรียนรู้ใหม่
เรียนรู้ที่จะตัดสินใจให้ถูกต้องว่า
จะพูดหรือทำตอบสนองต่อตัวเขาอย่างไร
ที่จะไม่เป็นเงื่อนไขด้านลบเหมือนในอดีตอีก

ไม่ว่าจะเป็นบุรพกรรมหรือพันธะกรรม
หากท่านสอบตกบททดสอบเหล่านี้
เมื่อได้รับโอกาสให้มาเกิดใหม่แล้ว
การเวียนว่ายตายเกิดของท่าน
ก็จะยังคงมีอยู่ต่อไปไม่รู้สิ้นสุด

ดังนั้น....
ขอท่านจงระมัดระวังอารมณ์รู้สึกนึกคิด
ระวังคำพูดและการกระทำของท่าน
ที่มีต่อเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆเอาไว้ให้มาก
ไม่ว่าเพื่อนมนุษย์คนนั้น
จะเกี่ยวข้องกับท่านมีสัมพันธ์แบบใดก็ตาม

จงสำรวมระวัง
จงอย่าประมาท
จงอย่าพลาดขาดสติง่ายๆ
การไม่ก่อกรรมใหม่และการแก้ไขกรรมเก่า
จึงจะเป็นไปได้อย่างราบรื่น

เอเมน สาธุ
.วิสุทธิปัญญา

3-12-2015

มีดยิ่งลับ ยิ่งคม


นักเรียนที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เนื่องจากมีความคิดคำนึงของบางท่าน
ที่แสดงออกมาถึงเราซึ่งน่าสนใจมาก
เชื่อว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่

เราจึงนำมาโพสท์ไว้ในห้องเรียนใหญ่นี้
ทั้งความคิดเห็นของผู้ส่งมา
ซึ่งเราขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่กล่าวนาม
ของเจ้าของความคิดคำนึงนี้
และส่วนที่เป็นคำกล่าวของเรา
เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้เรียนรู้

ขอขอบคุณเจ้าของความคิดคำนึงท่านนี้
มา ที่นี้
****************************************

กราบพระบิดาและท่านอาจารย์ค่ะ

หนูเคยได้รู้ว่าหลายเรื่องที่สอนๆกันอยู่แล้ว
และยังเอามาปฏิบัติตามจนเป็นวัฒนธรรมไทยๆ
โดยกล่าวอ้างว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า
จากพระไตรปิฎกนั้นไม่ถูกต้อง...
อาจเป็นการบิดเบือน
เพื่อให้ได้ดังใจ(ตามกิเลสของคน)ผู้ตีความ/ผู้แปล
แปลพระไตรปิฎกผิดโดยไม่ตั้งใจ
เพราะปัญหาทางภาษา...
เช่นเรื่องทานเนื้อสัตว์ได้/เรื่องพระต้องโกนคิ้ว...

เมื่อท่านอาจารย์เตือนเรื่องความเชื่อ
ที่ถูกสอนๆกันมาก็มีผิดบิดเบือนไป...
ทำให้ต้องมาคิดว่าจะต้องเทขยะความเชื่อ
ที่มิได้มีการพิจารณาก่อนเชื่อออกมาทิ้งก่อน...
แล้วค่อยๆใช้มหาสติคิดก่อนจะปฏิบัติอะไรอะไรออกไป...

แต่ไม่เคยคิดว่าการเลือกคบคนนั้น
มีผลต่อการปฏิบัติขนาดนี้...

หนูกลับคิดว่าการเลือกคบคน
ในขณะที่จิตปัญญาของเรายังเด็กๆ...
มิมีสติมากพอจะสามารถเอาตัวรอดจากการไฝ่ตำ่ได้...

มิได้หมายความว่าจะไม่คบคนต่างๆเลย...
แต่อาจเป็นการอยู่ห่างๆไม่จำเป็นต้องคบสนิด
เมื่อจิตสำนึกและสติปัญญาไม่แข็งแรงพอ...

เมื่อใดที่เรามีสติปัญญาและจิตสำนึกแข็งแรงพอประมาณ
ค่อยเข้าคบทุกคนเพื่อสู้กับบทเรียนต่างที่เข้ามา
และได้เรียนรู้บทเรียนนั้นๆ
โดยไม่ก้าวล่วงหรือไม่ก่อบาปต่อกัน...

ขอกราบขออภัยที่แสดงความเห็นเหล่านี้...
เพราะหนูเองยังคิดว่าตนยังมีจิตสำนึกและสติปัญญา
ไม่แข็งแรงพอจะคบคนทุกรูปแบบ...
บางแบบนั้นกิเลสร้ายแรงเหลือขอจริงๆค่ะ...
คบแล้วเหนื่อยมากค่ะ

กราบ

ANSWER:

ถ้าท่านมีมีดทำครัวอยู่เล่มหนึ่ง
ความต้องการสูงสุดของท่าน
จากมีดเล่มนี้ คือ ความคม

ถ้าหากท่านต้องใช้มีดเล่มนี้ทำครัว
ประกอบอาหารในทุกมื้อต่อๆไป
แต่ท่านพบว่ามีดในมือท่านมันทื่ออยู่

1.ท่านจะรีบลับมันเดี๋ยวนี้
เพื่อทำให้มีดคมพร้อมใช้งาน
ในการทำครัวเลย

2.หรือ เห็นว่ามีดเล่มนี้
ยังไม่พร้อมที่จะลับ
สู้ค่อยๆเลือกผักเลือกหญ้า
ที่มันไม่แข็งมาก ไม่เหนียวมาก
หรือไม่หนามาก
ชนิดที่ไม่ต้องใช้มีดคมๆหั่น
มาทำกับข้าวแทนไปก่อน

3.การไม่ยอมลับมีดให้คม
ทั้งๆที่มีหินให้ลับ

หินก็คือคนไม่ดี
หินที่หยาบมากก็คือคนที่ชั่วมาก
มีดทื่อๆก็คือจิตปัญญาของท่าน

ถ้าเอามีดลับกับหินหยาบมากๆ
มีดของท่านก็จะคมเร็ว 
ใช้แรงลับไม่มาก ประหยัดเวลาด้วย

ถ้าลับมีดกับหินหยาบน้อย
ท่านต้องใช้เวลาลับนานมาก
ต้องเปลืองแรงเยอะ
เผลอๆมันจะคมไม่ทันใช้ทำครัว
ในมื้ออาหารถัดไป

ซึ่งหมายถึงจิตปัญญาของท่าน
มันจะฉลาดคมไม่ทันใช้
ในการเผชิญบททดสอบสำคัญ
ที่มันกำลังจะมาเยือนท่าน
ในวันใดวันหนึ่งข้างหน้านั่นเอง

4.ท่านไม่สมควรกลัวหินลับมีด
มีดทำครัวจักต้องคมพร้อมใช้
ให้ทันเวลาเสมอ

มีดจะคมไว 
ต้องลับด้วยหินหยาบๆฉันใด
ท่านจะแกร่งและฉลาดได้
ก็ย่อมต้องเรียนรู้จากการคบคนชั่ว
เช่นเดียวกัน

คบคนยิ่งชั่วมาก 
จะยิ่งช่วยให้ท่านฉลาดมากขึ้น
และมีมหาสติแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น

เอเมน สาธุ
.วิสุทธิปัญญา

3-12-2015

02 ธันวาคม 2558

พระพุทธองค์ทรงให้เลือก "เดินคนเดียว" จริงหรือ?


จงอย่าจาบจ้วงพระศาสดา
ด้วยการบิดเบือนพระคำของพระองค์ให้ผู้คนหลงผิด
เพราะคิดแต่จะหาผลประโยชน์ทางศาสนพาณิชย์
เพราะคิดแต่จะล่าสาวก
จนทำให้ศาสนาตกต่ำ
จนนำความเสื่อมทางจิตสำนึกมาสู่หมู่ชนในสังคม
จนยากที่จะแก้ไขเยียวยาแล้วในทุกวันนี้

สไลด์ที่เรานำมาเป็นบทเรียน
สำหรับท่านทั้งหลายในวันนี้
เป็นที่ปรากฏเผยแพร่ในหมู่ศาสนิกทั้งหลาย
ติดต่อกันมานานหลายสัปดาห์แล้ว
มีใจความที่เป็น "ขยะ" ดังต่อไปนี้...

***
ถ้าหาคนที่มีศีลเสมอกันหรือสูงกว่า
เดินไปด้วยกันไม่ได้...

พระพุทธองค์ทรงให้เลือก 
"เดินไปคนเดียว"
เพราะเลือกคบคนอย่างไร
เราก็จะเป็นอย่างนั้น

ถ้าคบคนพาล คนโกง
หลงโลก หลงกามคุณ
ถ้าสติเราไม่พอ
อีกไม่นานเราก็จะซึมซับสิ่งเหล่านั้น
โดยไม่รู้ตัว

คนฉลาดใช้ชีวิต
จึงเลือกคบกัลยาณมิตร
ถ้าไม่มีคนมีศีลมีธรรมรอบตัวเลย
จงเลือก "เดินคนเดียว"
และมี "สติ" เป็นเพื่อน
*******
เราจะขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ที่เขาอ้างว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ดังกล่าวนั้น
ไม่เป็นความจริงพันเปอร์เซ็นต์

ที่เป็นความเท็จเป็นความไม่จริง
เพราะว่าพระพุทธองค์นั้น
ทรงมีพระสัมมาสัมโพธิญาณ
ที่เหนือกว่ามนุษย์สามัญคนใดๆจะเข้าถึงได้
จนสามารถตรัสรู้ข้อธรรมะ
ระดับอนุตรธรรมบทสำคัญ
เรื่อง "ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร" ได้เช่นนี้แล้ว
จะทรงมีพระธรรมคำสอนผิดๆในเรื่องง่ายๆ
ที่เป็นธรรมะแค่ระดับโลกียะข้างต้นนั้นได้อย่างไร
ย่อมเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน

1.ที่บิดเบือนว่า....
"ถ้าหาคนที่มีศีลเสมอกันหรือสูงกว่า
เดินไปด้วยกันไม่ได้...
พระพุทธองค์ทรงให้เลือก 
"เดินไปคนเดียว"

นักเรียนจงอย่าเชื่อคำกล่าวนี้
เพราะมันมิใช่สัจธรรมที่ถูกต้องถ่องแท้เลย

ถ้าท่านทั้งหลายเป็นมนุษย์
ท่านต้องเป็นสัตว์สังคม
หน้าที่หลักของพวกท่านคือ
ต้องเรียนรู้ที่จะเป็นหนึ่งเดียวกันกับคนอื่นๆ
ที่เขาอาจมีนิสัยสันดานแตกต่างกันกับท่านให้จงได้

ท่านจึงไม่มีอำนาจหน้าที่ใดๆ
ที่จะผลักไสคนที่ต่ำกว่าท่าน
ให้ออกไปจากสังคมของท่าน
หรือแยกตัวท่านเอง
ออกมาจากผู้คนที่ต่ำกว่าท่าน

เพราะถ้าทำตามหรือเชื่อตามคำกล่าวนั้น
มันคือการสอนมนุษย์ให้แบ่งแยกชนชั้นกัน
มันคือการสอนให้ท่านหลงตัวเอง 
สอนให้ท่านยกตัวเองเหนือผู้อื่นโดยแท้

สมมติว่าในสังคมของท่านนี้
ถ้ามีแต่คนที่มีศีลมีดีเสมอกันกับท่าน
แล้วท่านจะฝึกการยกระดับจิตปัญญา
เพื่อชำระจิตให้ใสสร้างใจให้สวย
ร่ำรวยความฉลาดทางอารมณ์และปัญญา
เพื่อแสดงความรักความเมตตากับใครล่ะ

ถ้าท่านจะเลือกคบแต่คนที่มีดีมีศีลเหนือท่าน
ท่านก็จะเป็นได้แค่เพียงผู้รับเอาแต่สิ่งดีๆจากผู้อื่น
ท่านก็จะเป็นได้แค่เพียงผู้ยื่นบทเรียนและบททดสอบ
ให้แก่คนที่เขามีดีเหนือกว่าท่านอยู่แล้วนั้น
ได้ฝึกการพัฒนาจิตปัญญาของเขา
ที่สูงอยู่แล้วให้สูงยิ่งขึ้นไปอีกเท่านั้นเอง

นี่คงจะเป็นสิ่งดีๆที่จะเหลือไว้ให้ท่าน
จากการเลือกคบแต่คนที่มีศีลเหนือกว่าแค่นั้นเอง

2.ตรงที่แอบอ้างคำสอนพระศาสดาอีกว่า
..........
"เพราะเลือกคบคนอย่างไร
เราก็จะเป็นอย่างนั้น

ถ้าคบคนพาล คนโกง
หลงโลก หลงกามคุณ
ถ้าสติเราไม่พอ
อีกไม่นานเราก็จะซึมซับสิ่งเหล่านั้น
โดยไม่รู้ตัว"

นักเรียนจงอย่าเชื่อคำกล่าวนี้
เพราะมันมิใช่สัจธรรมที่ถูกต้องถ่องแท้เช่นกัน

การที่ท่านคบคนพาลคนโกงหรือคนไม่ดี
มันน่าจะเป็นประโยชน์ต่อท่านที่รู้ตัวว่า
มีสติไม่เพียงพอมากกว่าจะเป็นโทษ
ที่เรากล่าวเช่นนี้ก็เพราะว่า

(1).ท่านรู้ตัวแล้วว่าท่านมีสติไม่พอ
ท่านจึงควรจะต้องเร่งฝึกฝนการมีสติให้มากขึ้น

(2).การคบคนไม่ดีดังกล่าวนั้น
มันจะช่วยให้ท่านมีสติ 
สำรวม ระวังตนอยู่ตลอดเวลา
เพื่อมิให้ท่านซึมซับรับเอาสิ่งไม่ดีนั้นไปตามพวกเขา
ทั้งนี้เนื่องจากท่านน่ะรู้ตัวอยู่ตั้งแต่ต้นแล้วว่า
พวกเขาเป็นคนไม่ดีไงล่ะ

นี่จึงเท่ากับว่าการคบคนไม่ดีนั้น
มันจะช่วยให้ท่านมีสติมากขึ้นโดยแท้
เพราะท่านได้ฝึกจิตฝึกสติอยู่ตลอดเวลา

ดังนั้น
การคบคนชั่วแล้วชั่วตาม
การคบคนดีแล้วดีตาม

นั่นเท่ากับว่าตัวท่านเองต่างหาก
ที่จะต้องระวังตนเองไว้ให้มากเป็นพิเศษ
มิใช่ไประแวงระวังคนรอบข้างที่เขาไม่ดี

การที่เขาเป็นคนแบบไหนที่ไม่ดี
แล้วท่านไปซึมซับรับเอาสิ่งไม่ดีของเขามานั้น
คนที่น่ากลัวที่สุด
น่าจะเป็นตัวท่านนี่เองแหละ
มิใช่คนอื่นหรอก

3.นอกจากนั้นคำสอนที่ไม่ถูกต้อง....
ที่ว่า.........

"คนฉลาดใช้ชีวิต
จึงเลือกคบกัลยาณมิตร
ถ้าไม่มีคนมีศีลมีธรรมรอบตัวเลย
จงเลือก "เดินคนเดียว"
และมี "สติ" เป็นเพื่อน"
........

เป็นคำสอนที่ท่านจะปฏิบัติตามไม่ได้เลย
เพราะถ้าท่านเป็นมนุษย์เป็น
ท่านจักต้องใช้ชีวิตร่วมกันกับใครก็ได้
ทำงานร่วมกันกับใครก็ได้
อยู่ร่วมสังคมเดียวกันกับใครก็ได้
มิใช่เลือกคบแต่คนดีๆ
แล้วปฏิเสธคนที่ไม่ดีไม่เลือกคบหา

เราใคร่บอกให้ท่านรู้ว่า
ทั้งตัวท่านเองและคนรอบข้าง
ไม่มีใครดีเลิศไปเสียทุกสิ่งอย่างหรอก
เพราะแต่ละคนจะมีทั้งดี เด่น และด้อยทั้งนั้น
หน้าที่ของแต่ละคนก็คือ
ทำตนให้เป็นหนึ่งเดียวกันกับทุกๆคนให้จงได้

(1).เรียนรู้ที่จะยอมรับความแตกต่าง
ของกันและกันทั้งด้านดีและด้านที่ไม่ดี

(2).เรียนรู้ที่จะรักกันให้ได้
แม้เขาคนนั้นจะทำตัวไม่น่ารัก

(3).เรียนรู้ที่จะให้อภัยเขาให้ได้
แม้เขาคนนั้นทำตัวไม่น่าจะให้อภัย

(4).เรียนรู้ที่จะเป็นคนดีให้มากขึ้น
จากการได้คบกับคนที่เขาไม่ดี
โดยอาศัยคนที่ไม่ดีนั่นแหละเป็นครู
สอนให้ท่านเองรู้ว่าต้องไม่เอาเยี่ยงอย่าง

ดังนั้น
การเลือกคบแต่กัลยาณมิตรถ้ามีให้เลือก
หรือถ้าไม่มีให้เลือกก็อ้างพระพุทธองค์ว่า
ทรงสอนให้ "เดินคนเดียว" นั้น
นอกจากจะเป็นคำสอนที่โง่ๆ
และเป็นการสอนให้คนไม่ฉลาดแล้ว
ยังเป็นการบังอาจป้ายสีต่อพระพุทธองค์อีกด้วย

นักเรียนที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจึงจะกล่าวต่อท่านทั้งหลายว่า
ต่อไปนี้จงศึกษาธรรมะด้วยปัญญา
แทนการใช้ศรัทธาและอารมณ์รู้สึกเถิด

จงอย่าเชื่อทันทีที่มีใครกล่าวอ้างว่า
พระศาสดาทรงตรัสสอนว่าอย่างนั้นอย่างนี้
จงอย่าเชื่อทันทีที่พบว่าผู้กล่าวนั้น
ทั้งวาจาและบุคลิกของเขาน่าศรัทธาเลื่อมใส
เพราะท่านอาจหลงทางไปนิพพานได้ทันที
เหมือนตัวอย่างคำสอนที่แอบอ้างพระศาสดา
ที่เราหยิบฉวยมาให้สติแก่ท่านนี่แหละ

หมายเหตุ:
คำกล่าวออกจะยืดยาวสักหน่อย
ค่อยๆอ่านก็แล้วกันนะ....

เอเมน สาธุ
.วิสุทธิปัญญา
2-12-2015

___________________________________
จงทำความหลงผิดให้กระจ่าง
อย่าแอบอ้างว่าพระพุทธเจ้าสอนสั่ง
ทั้งๆที่มโนกันไปเอง....
***********************************
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
คำกล่าวของพระพุทธเจ้าที่ว่า

"ถ้าหาคนที่มีศีลเสมอกันหรือสูงกว่า
เดินไปด้วยกันไม่ได้...
พระพุทธองค์ทรงให้เลือก 
"เดินไปคนเดียว"
เพราะเลือกคบคนอย่างไร
เราก็จะเป็นอย่างนั้น"

เป็นการยกเอามาอ้างแบบบิดเบือน
เพราะพระพุทธองค์มิได้ทรงกล่าวสอน
เช่นว่านั้นเลย....
สาธุคุณทั้งหลายเอ๋ย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

1.คำกล่าวที่ถูกต้อง
ที่พระพุทธเจ้าทรงกล่าวไว้จริงๆนั้น
มีความว่าดั่งนี้ต่างหากล่ะ

"ถ้าเธอหาคนที่มีศีลเสมอกันหรือสูงกว่า
เดินไปด้วยกันไม่ได้......ชั่วชีวิตนี้
เธอคงต้องเดินไปคนเดียวแล้วล่ะนะ"

2.เราใคร่ถามท่านทั้งหลายว่า
ความในเครื่องหมายคำพูดในข้อ 1.นั้น
มีตรงไหนที่ทรงตรัสสั่งสอนว่า
ให้เลือกที่จะเดินไปคนเดียว!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
????????????????

3.ท่านไม่รู้หรือว่า
คนที่ต้องเดินคนเดียวบนโลกนี้
ทั้งๆที่มีคนรอบข้างตั้งมากมายนั้น
มีสาเหตุจาก 2 ประการเท่านั้นเอง คือ

*ประการแรก
เพราะไม่มีใครต้องการจะเดินด้วย
หมายถึง ไม่มีใครคบ

*ประการที่สอง
เพราะไม่ต้องการจะเดินกับใครเลย
หมายถึง มองคนอื่นไม่มีคุณค่าแก่การคบหา

4.ท่านรู้หรือไม่ว่า.....ปกติแล้ว
การมองหาคนที่มีศีลเสมอกันไม่เจอนั้น
หมายถึงท่านมองเห็นแต่คนที่
มีศีลต่ำกว่าและสูงกว่าท่านเท่านั้นเอง
ใช่มั้ย?

5.แต่มนุษย์คนนี้นั้น......
นอกจากจะมองหาคนที่มีดีเสมอกับตนไม่เจอแล้ว
ยังมองหาคนที่มีศีลสูงกว่าตน
หรือมองหาคนที่เขาเป็นคนดีกว่าตนไม่พบอีกด้วย
แสดงว่า....นายคนนี้หลงตัวเองชัดๆ!!!

ที่เรากล่าวว่านายคนนี้หลงตัวเอง
เพราะเขาคิดว่าตนเองดีที่สุด
มีศีลสูงสุดเกินกว่ามนุษย์ทั้งโลกเลย
เขาจึงมองไม่เห็นคนที่มีศีลเสมอกันกับตน
เขาจึงมองไม่เห็นคนที่มีศีลสูงกว่าตน
กรรมเวรแท้ๆ....หนอ

6.ด้วยเหตุนี้เอง
พระพุทธองค์จึงทรงตรัสกับนายคนนี้
ซึ่งเราขออนุญาติพระพุทธองค์กล่าวแทน
เป็นภาษาชาวบ้านว่า.....

"ถ้าเธอหาคนดีเท่าเธอและดีกว่าเธอ
คบหาสมาคมด้วยไม่ได้
งั้นเธอก็เดินไปคนเดียวก็แล้วกัน
เพราะเธอมองคนอื่นๆว่าเขามีศีลธรรม
ต่ำกว่าเธอทั้งนั้นเลย"

7.ศาสนิกทั้งหลายจักต้องระวัง
การเสพธรรมะของท่านเอาไว้ด้วย

พระคำและพระธรรมจากโอษฐ์พระศาสดา
ที่ตกทอดผ่านความจำของผู้คน
ติดต่อกันมานานนับพันๆปีแล้วนั้น
ยังมีอีกมากมายหลายบทหลายตอน
ซึ่งตกอยู่ในลักษณะที่เรายกมากล่าวนี้

นี่จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่เราต้องกลับมา
กลับมาชำระพระโอวาทพระบิดา
ซึ่งถูกบิดเบือนไปจากที่เราเคยกล่าวไว้
นานสองพันกว่าปีมาแล้ว...

เอเมน สาธุ
.วิสุทธิปัญญา
4-12-2015