02 พฤศจิกายน 2560

เหตุที่พระพุทธองค์มิได้ทรงกล่าวถึงเรื่องพระเจ้า


#ตอบคำถาม
คุณ Bhaktichamnan Chamnanbhakti​i
#Question:
กราบเรียนถามอาจารย์
เหตุที่พระพุทธองค์มิได้ทรงกล่าวถึงเรื่องพระเจ้านั้น
มีนัยสำคัญประการใดหรือไม่ครับ
ขอบพระคุณครับ

#Answer:
การที่พระพุทธองค์มิได้กล่าวถึงพระผู้เป็นเจ้า
เพราะพระพุทธองค์ทรงเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ
ที่มนุษย์โลกยอมรับนับถือและศรัทธา
เพราะเห็นว่าพระพุทธองค์ทรงเป็น #สัพพัญญู
ที่เหนือกว่า เลิศกว่า
มนุษย์คนใดในโลกหล้าในยุคนั้น

การที่พระพุทธองค์มิได้ทรงกล่าวถึงพระผู้เป็นเจ้า
เพราะพระพุทธองค์มิได้เป็นตัวแทนของพระผู้เป็นเจ้า
ที่ดวงพระวิญญาณเสด็จลงมาจุติยังโลกเสรีนี้ตั้งแต่แรก
เพื่อทำหน้าที่กล่าวพระโอวาทแทนพระผู้เป็นเจ้า
ต่อมวลมนุษย์โลกเสรีโดยใช้วิธีการ
สื่อสารกับพระผู้เป็นเจ้าผ่านช่องทางพิเศษ
ในระบบจิตสู่จิต (Vertical Telepathy)
ดังเช่น องค์เยซูคริสต์เจ้า
เมื่อกล่าวธรรมะโอวาท
ประกาศพระวจนะเมื่อใดก็ตาม
จะทรงขานไขให้โลกรู้ว่า
ที่พระองค์ทรงกล่าวออกมานั้น
ล้วนกล่าวตามพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น

แต่เราจะกล่าวความจริงให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า
แม้พระพุทธองค์มิได้ทรงกล่าวถึงเรื่องพระผู้เป็นเจ้า
แต่ก็ทรงสร้างปริศนาธรรมให้ผู้มีภูมิปัญญา
ได้ใช้ฉุกคิดกันอยู่แล้วด้วยมายาแห่งพระพุทธรูป
ซึ่งเป็นสัญญลักษณ์สื่อแทนพระพุทธองค์
ตรงที่บนพระเศียรจะมียอดแหลมดั่งเจดีย์ปรากฏอยู่

นี่เป็นมายาที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวถึงพระผู้เป็นเจ้า
ด้วยรหัสนัยที่ท่านต้องใช้ปัญญาแปลความเอาเอง

นั่นคือ
ยอดแหลมดั่งเจดีย์บนพระเศียรนั้นทรงหมายถึง
คลื่นการคิดด้วยจิตวิญญาณของพระองค์ขณะตรัสรู้
ซึ่งเปรียบได้ดั่งเสาอากาศหรือเสารับส่งสัญญาณ
ที่ได้ทรงติดต่อเชื่อมโยงกันกับ "อีกบางสิ่ง"
ที่ดำรงอยู่เหนือโลกขึ้นไปอีก
จึงช่วยให้พระองค์สามารถเข้าถึง
การตรัสรู้สัจธรรมเรื่อง #ธรรมจักร
อันเป็นสัจธรรมระดับ "อนุตรธรรม" อันยิ่งใหญ่ได้
เพราะ "บางสิ่ง" ที่ทรงสัมผัสได้
เป็นผู้ถ่ายทอดลงมาให้พระองค์รู้นั่นเอง

ซึ่ง "บางสิ่ง" ที่พระองค์ทรงสัมผัสได้
แล้วได้รับการถ่ายทอดอนุตรธรรมลงมา
โดยผ่านช่องทางพิเศษแห่งจักระที่เจ็ดนี้นั้น
พวกเราชาว "นักสู้เพื่อการรู้แจ้ง" ซึ่งเป็นฆราวาส
ได้กล่าวถวายพระเกียรติแก่ "บางสิ่ง" นี้ว่า #พระเจ้า

แม้ว่าพระพุทธองค์จะมิทรงกล่าวถึงพระเจ้าด้วยวาจา
แต่เมื่อท่านได้เห็นหลักฐานเชิงประจักษ์
บนพระเศียรของพระพุทธรูปอันเป็นตัวแทนแล้ว
ผู้มีภูมิปัญญาแท้จริง
ก็ย่อมอ่านสัจธรรมนี้ได้ไม่ยากเลย

ท่านเคยได้ยินคำว่า "เหนือฟ้า ยังมีฟ้า" บ้างไหม
นี่ไง...พระพุทธองค์ทรงหมายความไว้เช่นนั้นจริงๆ

ถ้าบนฟ้าไม่มีดาวเทียม
บนหลังคาบ้านและอาคารสูงๆ
จะติดตั้งจานดาวเทียมเอาไว้ทำไมกัน

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
2-11-2017

01 พฤศจิกายน 2560

สนทนาประสาจิตจักรวาล 20


#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

คุณสมบัติเดิมแท้ของจิตวิญญาณของทุกท่านนั้น
มีเพียงความสุขอันเกิดจากความสงบหรือความว่างเท่านั้น
โดยความว่างนั้นเป็นคลื่นการสั่นสะเทือนสูงสุดทางด้านบวก
จนนิ่งสงบเหมือนไม่มีการสั่นสะเทือนใดๆ

ถ้าจิตหยาบตลอดทั้งภพชาตินี้เหลวไหล
ยอมให้กิเลสตัณหาราคะครอบงำ
จนเข้าถึงความรักและปัญญาญาณไม่ได้
จะยังผลให้จิตวิญญาณต้องรับเอาคุณสมบัติใหม่
ที่เป็นกิเลสตัณหาราคะนั้นติดตัวไปด้วย
เมื่อจบสิ้นอายุขัยแล้วทิ้งกายสังขารออกไป

กล่าวคือ 
จิตวิญญาณผู้โชคร้ายและน่าสงสารของท่านนั้น
จะเกิดอาการป่วยทางจิตวิญญาณ
เพราะไม่สามารถสั่นสะเทือนด้านบวก
ตามคุณสมบัติเดิมแท้ของตนเองได้อีก
เพราะสั่นสะเทือนไปตามสันดานของจิตหยาบแทนแล้ว

ปรากฏการณ์แบบนี้แหละ
ที่เราเรียกว่า #จิตวิญญาณเสียสมดุล 
ซึ่งเดิมต้องลงไปแก้ไขบำบัดกันที่ในนรก 
ไม่อยากไปก็ต้องไป

เพราะจะใช้บททดสอบแบบเดิมๆ
ที่คนรอบข้างคอยยื่นเป็นเงื่อนไขให้
ในขณะเป็นมนุษย์ดังเช่นที่ผ่านมาไม่ได้แล้ว
เพราะแรงกระตุ้นให้เกิดการสำนึก
จากบททดสอบปกตินั้น
ไม่มีอำนาจมากพอที่จะกระตุ้นให้
จิตวิญญาณสั่นสะเทือนสู่สมดุลดุจเดิมได้

ถ้าจะบำบัดได้ก็ต้องกระตุ้นแรงๆ 
ให้ยาแรงๆและให้ตรงกับโรคกับอาการที่ป่วย
ซึ่งในนรกท่านยมพบาลเรียกว่า
เป็นปฏิบัติการ #กระชากจิตสามนึก นั่นเอง

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
แต่ขณะนี้พระบิดาได้ทรงประทาน
วิธีการ"ไซโคโชว์" ผ่านเรามา
เพื่อให้เรานำมาช่วยบำบัดจิตวิญญาณ
ของท่านทั้งหลายที่รู้ตัวรู้ตนรู้สติว่า #หลงมิติ
และไม่ต้องเข้าคิวรอไปรักษากันในนรกอีก

ถ้าจิตวิญญาณสมดุล
คุณสมบัติแห่งนิพพานพร้อม
การจบสิ้นภพชาตินี้ของท่าน
จักถึงสวรรค์นิรันดรทันที
โดยไม่ต้องมีนรกสวรรค์สำหรับท่านอีก

โอกาสพิเศษ 
ปฏิบัติการพิเศษนี้
มีเพียงที่เดียว 
ที่จิตจักรวาลสถานธรรม ภูกระต่าย เท่านั้น!

เอเมน สาธุ
.วิสุทธิปัญญา
1-11-2017

สนทนาประสาจิตจักรวาล 19


#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ถ้าใครไม่อยากไปนรกก็ได้
แต่ให้ละเว้นการทำผิดบาปอย่างสิ้นเชิงเสีย

ถ้ายังทำบุญแบบบ้าบุญ
ขณะจิตก็ยังหมกมุ่นอยู่ในบาปกรรม
ได้แต่มุ่งทำบุญอย่างบ้าระห่ำ
จิตวิญญาณก็จะ "หลุดลอย" ไปยังศาลา
แต่หาหลุดพ้นได้ไม่

แม้โรงพยาบาลนรกก็ "หลุดลง" ไป
เพื่อบำบัดรักษาไม่ได้
จำต้องหลุดลอยขึ้นไปยังสวรรค์มายา
เพื่อเฝ้า "ฟูมฟักรักษาตัวเอง" อยู่บนนั้น
แต่เพราะตนมิใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษา
จะต้องนั่งหลับตารักษาตัวเองอยู่ตรงนั้น
จนกว่าจะหายต้องใช้เวลานานสักเท่าใดก็ไม่รู้
อาจชั่วกัปชั่วกัลป์...นั่นแหละนะ

ถ้าทำผิดบาปจนจิตวิญญาณป่วย
ก็ยอมลงนรกเพื่อไปบำบัดอาการป่วย
ให้สมดุลแล้วลุ้นมาเกิดใหม่
เพื่อใช้โอกาสที่ปรารถนา
นำพาจิตวิญญาณ
ให้หลุดพ้นกันในภพชาติใหม่ได้ทันที
โดยไม่ต้องหลุดลอยค้างยังแดนสวรรค์มายา

โรงพยาบาลไม่มีใครอยากไปหรอก
แต่ถ้าป่วยขึ้นมาจะไปหาหมอกันมั้ย?

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
1-11-2017

29 ตุลาคม 2560

VDO. ดับทุกข์ได้ใช่ว่าจะหลุดพ้น


ดับทุกข์ได้ใช่ว่าจะหลุดพ้น 248/1


ดับทุกข์ได้ใช่ว่าจะหลุดพ้น 248/2


ดับทุกข์ได้ใช่ว่าจะหลุดพ้น 248/3


ดับทุกข์ได้ใช่ว่าจะหลุดพ้น 248/4


ดับทุกข์ได้ใช่ว่าจะหลุดพ้น 248/5


ดับทุกข์ได้ใช่ว่าจะหลุดพ้น 248/6


ดับทุกข์ได้ใช่ว่าจะหลุดพ้น 248/7


ดับทุกข์ได้ใช่ว่าจะหลุดพ้น 248/8


บันทึกการสื่อพระโอวาทในระบบจิตสู่จิตจากองค์จิตจักรวาล

โดย อนุตรธรรมาจารย์ปริญญา ตันสกุล







14 ตุลาคม 2560

คำสอน 14/10/2017

 

คนที่ควบคุม
อารมณ์ตนเองไม่ได้
ไม่ต่างจากเมืองที่ถูกทำลาย
เพราะไม่มีกำแพงป้องกัน

ระวังมารจะคอยทดสอบท่าน
ในยามที่ท่านเผลอสติ
เพื่อหลอกล่อให้ท่านทำบาป

ท่านจงเฝ้าระวัง
ด้วยการครองมหาสติเถิด

08 ตุลาคม 2560

สนทนาประสาจิตจักรวาล 18


#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เรายังมีประเด็นที่ชาวพุทธหลายคน
เชื่อกันอยู่ผิดๆเป็นข้อที่ 4 ว่า

"มีเฉพาะศาสนาพุทธเท่านั้น
ที่สอนวิธีการปฏิับัติธรรม
ที่ช่วยให้ไปนิพพานได้"

เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ผู้ที่เชื่อและกล่าวถ้อยความไว้เช่นนี้นั้น
เป็นเพราะรู้ไม่จริง คิดเหมาเอาเอง
หรืออาจมีอคติศาสนาอื่นแอบแฝงด้วย

เป็นไปไม่ได้หรอกท่าน
ถ้าการหลุดพ้นของจิตวิญญาณ
ที่พวกท่านเรียกว่า "นิพพาน" นั้น
เป็นเรื่องสำคัญและเป็นเรื่องจริง
สำหรับมนุษย์โลกเสรีนี้แล้ว

พระศาสดาพระองค์อื่นๆ
ที่เสด็จลงมาจุติในแต่ละยุคสมัย
เพื่อชี้ทางสว่างไสวให้แก่มวลมนุษย์นั้น
มีหรือที่ทุกพระองค์จะมิทรงทราบหรือไม่รู้
และเมื่อรู้แล้วว่าสำคัญยิ่งแต่ไม่บอกไม่สอน
มันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน

โดยเฉพาะพระศาสดาพระองค์อื่นๆ
ซึ่งเป็นผู้กล่าวพระโอวาท
ในพระนามพระบิดาต่อท่านทั้งหลาย
ด้วยการ "สื่อคลื่นความคิด" ในระบบจิตสู่จิต
โดยตรงกับองค์พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
มิได้คิดเองสอนเองกล่าวเอง
ตามสัจธรรมที่ตนเองค้นพบ

ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่พระบิดาจะมิทรงสอน
บุตรมนุษย์ของพระองค์ให้ได้รู้
เพราะพระองค์ทรงมีพระประสงค์
จะให้ลูกๆทุกคนกลับบ้าน
กลับคืนสู่แดนสุญตาที่จากมานานกันเสียที
เพราะทรงรอคอยลูกๆมานานมากแล้ว

เราจะกล่าวต่อคนที่กล่าวว่า
มีเพียงศาสนาเดียว
ที่สอนวิธีปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงนิพพานว่า

ท่านจงอย่ากล่าวเท็จและอย่าก้าวล่วง
พระศาสดาพระองค์อื่นๆอยู่อีกเลย
เพราะมันเป็นการผิดบาปสถานหนัก

ท่านเองเชื่อในพระพุทธศาสนาก็ชอบแล้ว
จงก้มหน้าปฏิบัติตามพระพุทธองค์เถิด
เพื่อนำพาจิตวิญญาณนิพพานให้ได้ในชาตินี้
หากมั่นใจว่าท่านพบวิธีหลุดพ้นได้แล้ว
อย่าเสียเวลาไปกับการกระแนะกระแหน
คนที่เขารักศรัทธาศาสนาอื่นๆอีกเลย

เราเคยย้ำเสมอว่า
ทุกศาสนาล้วนเป็นสากล
ทุกพระศาสดาล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน
ทุกสัจธรรมล้วนมาจากต้นธารเดียวกัน
วันนี้...เราก็จะขอยืนยันอยู่เช่นเดิม

พี่น้องที่รักแห่งเราทั้งหลาย
พระบิดาได้ทรงสื่อผ่านเรามา
ตั้งแต่สมัยกาลอดีตแล้วว่า
จิตวิญญาณของมนุษย์แต่ละคน
ซึ่งขันอาสามาเกิดเป็นมนุษย์โลกเสรีนั้น
ใครก็ตามที่จะได้รับโอกาสมาสู่การเกิด
ผู้นั้นจะต้องให้สัจจะสัญญาต่อพระบิดาว่า
จะปฏิบัติตามพันธะสัญญา 6 ประการ
มิเช่นนั้นจะมิได้รับอนุญาตให้มาเกิด

โดยหนึ่งใน 6 ประการที่ว่านี้ก็คือ
ให้สัญญาว่าจะย้อนคืนกลับสู่แดนสุญตา
ภายในเวลาไม่เกิน 6 หมื่นปีโลก
ก่อนที่พระองค์จะทรงปิดยุคพลังงานเก่า
ด้วยปฏิบัติการชำระโลกครั้งใหญ่
ซึ่งดาวเคราะห์โลกดวงนี้จะมืดมิดไร้แสง
ยาวนานถึง 56 วัน หรือ 8 ราตรีเลยทีเดียว

การให้สัญญาว่าจะต้องกลับแดนสุญตา
คือการ "นิพพาน" ทางจิตวิญญาณนั่นเอง

นอกจากนั้นท่านผู้ที่กล่าวก้าวล่วงไว้
ก็ยังไม่รู้อีกด้วยว่าวิธีนิพพานที่แท้จริง
ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้คืออย่างไร

ไปเข้าใจว่าต้องหมั่นทำบุญสุนทานเยอะๆ
นั่งกรรมฐานสมาธิบ่อยๆหน่อย
หมั่นฟังเทศน์ฟังธรรมเป็นประจำ
ถือศีลห้าศีลแปดและกินเจอย่างเคร่งครัด
ด้วยวิธีการหลักๆทั้งสี่ประการที่กล่าวนี้
เป็นวิถีทางเดียวที่จะถึงนิพพานได้เท่านั้น

เมื่อแลเห็นว่าศาสนิกชนในศาสนาอื่น
เขาไม่มีสอนแบบนี้ไม่มีปฏิบัติบำเพ็ญเช่นนี้
จึงไปกล่าวหาพวกเขาว่า
เป็นศาสนาที่มิได้สอนปฏิบัติธรรม
เพื่อช่วยให้เข้าถึงนิพพานได้เอาดื้อๆ

เราเองก็เคยกล่าวไว้
เพื่อให้สติทางวิญญาณแก่ท่านทั้งหลายว่า
"พระหรือนักบวชกับชาวบ้าน
วิธีนิพพานนั้นแตกต่างกัน"

พระพุทธองค์ทรงเป็นพระภิกษุสงฆ์
ก็ทรงมีมรรควิถีแห่งนิพพานแบบนักบวช
เพื่อฝึกฝนสอนสั่งสาวกของพระองค์

ส่วนองค์เยซูคริสต์เจ้าทรงเป็นฆราวาส
ก็ทรงชี้ทางการหลุดพ้นแบบฆราวาส
ต่อพี่ๆน้องๆชาวโลกเสรี
ตามที่ทรงรับสื่อมาจากพระผู้เป็นเจ้า

ดังนั้น
วิธีปฏิบัติธรรมสู่การหลุดพ้นหรือนิพพาน
ในบริบทของนักบวชกับชาวบ้าน
มันจึงต้องแตกต่างกันอย่างชัดเจน

พระพุทธองค์ทรงเน้นปฏิบัติการทางเท็คนิก
ขณะที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเน้นแนะ
ผ่านบุตรเอกของพระองค์ต่อท่านทั้งหลาย
ให้เคร่งครัดปฏิบัติธรรมไปตามธรรมชาติ
โดยไม่ต้องปลีกวิเวกไม่ต้องถือสันโดด
ไม่ต้องทรมานเครื่องยนต์แห่งกรรมเลย

ทรงเน้นให้ถือบวชที่จิตใจเป็นสำคัญ
ซึ่งมีดวงแก้วสองดวงให้ถือครองไว้
คือ มีมหาสติและมีปณิธานแห่งนิพพาน
เพื่อผ่านทุกบททดสอบที่คนรอบข้างยื่นให้
ปลายทางสุดท้ายก็จะถึงสวรรค์นิรันดร
อันหมายถึงแดนนิพพานนั่นเอง

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
8-10-2017

สนทนาประสาจิตจักรวาล 17



#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
จนถึงวันนี้แล้ว

จงอย่าปฏิบัติตนอย่างสับสน
บนเส้นทางแห่งการรู้แจ้งอยู่อีกเลย

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
5-10-2017

สนทนาประสาจิตจักรวาล 16


#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่น้องที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

หากตราบใดที่มนุษย์โลกทุกคน
ขาดการสำเหนียกรู้ (รู้ได้ด้วยการรับฟัง)
ในองค์ความรู้ด้านอภิปรัชญา
ที่องค์จิตจักรวาลทรงเมตตาประทานมา
ให้ท่านทั้งหลายเร่งละวางกิเลสปฏิเสธตัณหา
เลิกมีราคะจริตติดใจในรูปรสกลิ่นเสียงโดยพลัน

บนท้องฟ้าเหนือท้องถิ่นของท่าน
มันก็จะเต็มไปด้วยประจุลบอิสระมากมาย
ที่จิตของพวกท่านเหวี่ยงมันออกมาสั่งสมไว้
บนโครงข่ายโยงใยของสนามแม่เหล็กโลก
ที่ทุกวันนี้มันต่ำลงเรื่อยๆเพราะยกระดับไม่ขึ้น

เนื่องจากมนุษย์โลกรักกันไม่ได้ ให้กันไม่เป็น
เด่นแต่สร้างพลังแห่งกิเลสตัณหาที่เป็นลบ
ซึ่งดาวเคราะห์โลกไม่ต้องการลบ
เพราะนำมาใช้งานไม่ได้นั่นเอง

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
อิเล็คตรอนอิสระที่มีค่าทางไฟฟ้าสถิตย์เป็นลบ
ซึ่งสั่งสมอยู่ในชั้นบรรยากาศโลกนั้น
มันถูกเหวี่ยงออกมาจากจิตตกต่ำของมนุษย์
โดยมันจะไปเกาะติดอยู่กับสนามแม่เหล็กโลก
ที่มีลักษณะคล้ายตาข่ายห่อหุ้มโลกอยู่

เพราะในบรรยากาศโลก
มีมวลฝอยของไอน้ำฟุ้งกระจายอยู่ทั่วไป
มนุษย์โลกวัดค่าเป็น "ความชื้นสัมพัทธ์"
ประจุลบอิสระทั้งหลายนี่แหละ
จะทำการดึงดูดเหนี่ยวรั้งมวลฝอยไอน้ำ
ให้มาก่อตัวรวมกันเป็นมวลเมฆสีดำสกปรก

ถ้ามีประจุลบจากจิตมนุษย์เหวี่ยงออกมามาก
บรรยากาศเหนือท้องถิ่นนั้นจะมืดดำ
เพราะจะมีเมฆดำหนาทึบและลอยต่ำ
สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาและน่ากลัวก็คือ
มันจะเกิดพายุแม่เหล็กเป็นมายาฟ้าแลบ
ฟ้าครวญคราง และที่เสียงดัง คือ ฟ้าผ่า
ต่อมาก็จะเกิดพายุฝนตกกระหน่ำ
จนเกิดภาวะน้ำท่วมฉับพลันและอื่นๆ เป็นต้น

ช่างเท็คนิกเขาต้องทำให้
สนามพลังงานด้านลบในมวลหมู่เมฆ
อันเกิดจากไฟฟ้าสถิตย์เป็นกลางเร็วที่สุด
เพื่อมิให้สนามพลังงานจำเพาะถิ่นนี้
ไปทำลายพลังอำนาจแม่เหล็กโลกด้านบวก
ให้เกิดการเสียสมดุลที่รุนแรงจนเป็นผลให้
กลไกในเครื่องยนต์แห่งกรรมของมนุษย์
ต้องเสียสมดุลตามไปด้วย

เช่น จะเกิดอาการเครียดทางจิตประสาท
หงุดหงิดง่าย อาหารไม่ย่อย คลื่นไส้
หัวใจเต้นผิดปกติ ปวดวิงเวียนศีรษะ เป็นต้น

กลไกอัตโนมัติของอวัยวะร่างกาย
จะทำงานบกพร่อง เพราะต่อมไร้ท่อมีปัญหา
และ จะเกิดอาการสมองทึบ เป็นต้น
ซึ่งผลกระทบต่อจิตตประสาทเช่นที่ว่านี้
มันมิได้เป็นผลดีใดๆต่อสุขภาวะของท่าน
ทั้งในระยะสั้นระยะยาวเลย

พี่ๆน้องที่รักทั้งหลาย
ฝนตก ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า
คือ ความพยายามของช่างเท็คนิก
ที่จะเหนี่ยวรั้งประจุลบพลังลบลงมาสู่ดิน
เพื่อนำไปเก็บไว้ในแกนโลก
เพื่อความปลอดภัยของพวกท่านเอง

แต่ถ้าพวกท่านดื้อรั้นขยันผลิตสร้างกันออกมา
อย่างไม่ยับยั้งชั่งใจกันอยู่ต่อไปอีกละก็
มันจะยิ่งมีจำนวนมากมายเกินสามารถ
ที่ช่างเท็คนิกและโลกเองจะรับได้ไหว
ก็เลี่ยงมิได้ที่จะให้ฟ้าต้องผ่าลงมา
ยังผู้คนและสัตว์เลี้ยงของท่าน
เพื่อเป็นการสร้างเหตุอาเพศให้เกิดสำนึก

กับการที่ต้องยอมให้เกิดอุทกภัยฉับพลัน
คือ น้ำท่วมขังเฉพาะถิ่นที่ น้ำป่าไหลหลาก
เพื่อเปลี่ยนวิถีชีวิตพวกท่านไปเป็นดั่งปลา
ในขณะที่ยังหายใจอยู่ด้วยปอด
เหมือน "เขาเงาเรา" ในทั่วโลกที่ผ่านมา
และอีกมิช้านานท่านอาจถึงคิว
ต้องเป็น "เราเงาเขา" กันบ้างแล้ว

ก็ล้วนแล้วแต่เป็นการสร้างสำนึกให้ท่าน
มิต่างกันกับกระบวนการ "ไซโคโชว์"
ในห้องฝึกปฏิบัติธรรมที่ภูกระต่ายเลย

จงระลึกเสมอว่า
การปฏิบัติธรรมนั้นอย่าดีแต่พูด
ผู้รู้ธรรมะมากมิได้หมายว่าหลุดพ้นแล้ว
เป็นบัณฑิตแล้วมีความรู้ท่วมตัว
แต่มิอาจสำเร็จในการดำเนินชีวิตก็มีมาก

การปฏิบัติธรรมต้องเริ่มที่จิต
แล้วสัมฤทธิผลที่กายเท่านั้น

จิตต้องใสใจต้องสวย
เพราะเป็นผู้ว่างจากกิเลส ตัณหา ราคะ 
ว่างจากอุปาทานการหลงผิดทั้งปวง
รู้จักรัก รู้จักให้ รู้จักอภัย เข้าใจผู้อื่น
มันจะทำให้บรรยากาศบนท้องฟ้าเหนือถิ่นท่าน
มีเมฆขาวพราวพรายคล้ายปุยสำลีที่ลอยสูง
แทนที่เมฆจะมืดคล้ำดำปี๋สีสกปรก
แล้วตกมาเป็นฝนจนท่วมมิดหลังคา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
4-10-2017


07 ตุลาคม 2560

สนทนาประสาจิตจักรวาล 15


#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เรายังมีประเด็นที่ชาวพุทธหลายคน
เชื่อกันอยู่เป็นข้อที่ 3 ว่า

ถ้าใครยังใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่กับผู้คนในสังคม
แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะปฏิบัติธรรม
จนเข้าถึงนิพพานได้

ต้องหาโอกาสไปปลีกวิเวก
ถือศีล ปฏิบัติธรรม
โดยใช้วิธีปฏิบัติแบบนักบวชเท่านั้น
จึงจะมีโอกาสนิพพานได้

เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ความเชื่อในข้อนี้ก็เป็นสิ่งไม่ถูกต้องเช่นกัน
การใช้ชีวิตอยู่ในสังคมต่างหากล่ะ
ที่มันจะช่วยให้ท่านทั้งหลาย
นิพพานได้ง่ายกว่าที่คิด
โดยเรามีเหตุผลให้ท่านคิดตามดังนี้

ตัวอย่างเช่น ท่านต้องรู้ว่า
#จิตที่นิพพานได้ หนึ่งในคุณสมบัติก็คือ
ท่านต้องว่างไปจากอารมณ์หยาบๆรายวัน
เช่น โกรธ โลภ หลง ได้อย่างสิ้นเชิง

ถ้าท่านจะว่างไปจากสิ่งเหล่านี้ได้
จักต้องมีบททดสอบหรือแบบฝึกหัดให้ทำ
ถ้าเป็นนักเรียนก็ต้องมีครูออกข้อสอบให้
เพราะนักเรียนออกข้อสอบเองทำเองไม่ได้

ดังนั้น
คนรอบข้างตัวท่านในสังคมนี่แหละ
พวกเขามีนิสัยใจคอและสันดานต่างๆกัน
พวกเขามีความต้องการในการดำเนินชีวิต
และมีความสามารถในการคิดที่แตกต่างกัน
พวกเขานี่แหละจึงมีความเหมาะสม
ต่อการยื่นข้อสอบชั้นเยี่ยมให้ท่าน
ด้วยการสร้างเรื่องสร้างปัญหาให้ท่าน
ทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ได้ทุกเมื่อเชื่อวัน

โดยพวกเขาจะสร้างเงื่อนไขยั่วยุแบบต่างๆ
เพื่อให้ท่านเกิดความโกรธอยู่เนื่องๆ
จนกว่าท่านเรียนรู้ที่จะไม่โกรธได้
ด้วยความฉลาดทางจิตตปัญญาของท่าน
จากการมีมหาสติและปณิธานแห่งนิพพาน

โดยพวกเขาจะสร้างเงื่อนไขยั่วยุแบบต่างๆ
เพื่อให้ท่านเกิดความโลภอยู่เนืองๆ
จนกว่าท่านเรียนรู้ที่จะไม่โลภได้
ด้วยความฉลาดทางจิตตปัญญาของท่าน
จากการมีมหาสติและปณิธานแห่งนิพพาน

โดยพวกเขาจะสร้างเงื่อนไขยั่วยุแบบต่างๆ
เพื่อให้ท่านเกิดความลุ่มหลงอยู่เนืองๆ
จนกว่าท่านเรียนรู้ที่จะไม่ลุ่มหลงมายาได้
ด้วยความฉลาดทางจิตตปัญญาของท่าน
จากการมีมหาสติและปณิธานแห่งนิพพาน

โดยพวกเขาจะสร้างเงื่อนไขยั่วยุแบบต่างๆ
เพื่อให้ท่านเกิดความงมงายอยู่เนืองๆ
จนกว่าท่านเรียนรู้ที่จะไม่งมงายได้
ด้วยความฉลาดทางจิตตปัญญาของท่าน
จากการมีมหาสติและปณิธานแห่งนิพพาน

ดังนั้น
เงื่อนไขบททดสอบจากคนรอบข้าง
ที่มีเรื่องราวเหตุการณ์สถานการณ์แปลกๆ
ที่พวกเขาผลัดเปลี่ยนกันยื่นมาให้ท่านนั้น
มันดีกว่าการนั่งหลับตาเพื่อตามดูจิตตนเอง
ซึ่งมันเลื่อนไหลของมันไปเรื่อยๆ

การจะสร้างเงื่อนไขให้ตนเองโกรธโลภหลง
แล้วเรียนรู้ที่จะวางมันลงด้วยตนเองนั้น
ท่านว่ามันง่ายนักหรือ
เมื่อจิตท่านมันรู้อยู่ว่าที่โกรธโลภหลงอยู่นั้น
ท่านสมมติมันขึ้นมาเอง...ไม่ใช่เรื่องจริง

ด้วยเหตุนี้เอง
การฝึกฝนขณะที่ตนเองอยู่ในสังคม
โดยมีตนเองเป็นครูคนแรกและคนสุดท้าย
แล้วปล่อยให้เพื่อนมนุษย์รอบข้างเป็นครู
เป็นผู้ช่วยสร้างบททดสอบจิตสำนึกให้
มันจึงง่ายกว่ากันเยอะเลย
แถมยังมีประสิทธิผลยิ่งกว่ากันอีกด้วย

เพราะพวกเขารอบๆตัวท่าน
จะช่วยกันยื่นเงื่อนไขบททดสอบมาให้
อย่างจริงจังและขยันขันแข็งซ้ำแล้วซ้ำอีก
เพื่อช่วยให้ท่านที่สอบตกสติแตกอยู่
ได้ปรับปรุงตนเองสู่การแก้ไขใหม่เรื่อยๆ
ช่วยให้ท่านยกระดับจิตตปัญญาให้สูงขึ้น
จนว่างจากความโกรธโลภหลงได้ในที่สุด

ถามจริงๆเถอะว่า
นั่งหลับตาปฏิบัติกรรมฐานสมาธินานๆที
โดยนั่งกันทีละนานไม่กี่ชั่วโมง
มันช่วยให้ท่านละวางโกรธโลภหลงได้หรือ

จิตสงบขณะนั่งหลับตาบำเพ็ญอยู่นั้น
มันเป็นแค่เพียงความสงบสั้นๆชั่วคราว
ซึ่งมิอาจขจัดขยะจิตพวกโกรธโลภหลงได้
แต่มันเพียงถูกกดทับเอาไว้ข้างใน
ให้อยู่ในความสงบชั่วคราวดังกล่าวแล้ว

เมื่อท่านออกจากป่ากลับบ้านคืนสังคม
พอเจอคนรอบข้างสร้างเงื่อนไขยั่วยุให้
ก็ยังปรี๊ดแตกจิตตกอยู่ดังเดิม
จึงต้องออกจากสังคมไปอยู่ป่านานวันขึ้นอีก
ทั้งๆที่การทิ้งครอบครัวทิ้งภารกิจทางโลก
มันกระทบจิตใจคนใกล้ตัวอย่างอักโข
ซึ่งผลการปฏิบัติก็วัดได้เลยว่า
มันยังไม่มีความคืบหน้าอยู่อย่างเดิม

เราจึงแนะให้ท่านทั้งหลาย
ใช้ดวงแก้วสองดวงในชีวิตประจำวัน
ท่ามกลางบุคคลแวดล้อมในสังคม
โดยไม่ต้องปลีกวิเวกเข้าดงพงป่า
ไม่ต้องมาทรมานเครื่องยนต์แห่งกรรม
โดยไม่ต้องละทิ้งครอบครัว

หนึ่งคือมหาสติซึ่งเป็นธรรมชาติสมาธิ
สองคือปณิธานแห่งนิพพาน
ท่านเพียงปฏิบัติที่จิตกันให้เคร่งครัดไว้
ขณะที่ใครต่อใครมายื่นบททดสอบให้
นานวันเข้าจิตของท่านจะเกิดทักษะ
ที่จะจัดการจิตฝ่ายต่ำของตนแบบเอาอยู่
ซึ่งมันมหัศจรรย์มากจริงๆ

การกระทำที่จิตตนเองเมื่อถูกยั่วยุนี่แหละ
ที่มันจะช่วยยกระดับสภาวะจิตของท่าน
ให้เข้าถึงนิพพานได้อย่างเป็นรูปธรรม

การที่พวกท่านอยู่ในสังคมแล้วคิดว่า
สังคมที่วุ่นวายมากคนมากความ
ทำให้นิพพานยากกว่าไปเข้าป่ากับพระนั้น
มันเป็นเพราะเหตุว่า

เข้าวัดเข้าป่าไม่มีใครคอยตามหาเรื่อง
แต่อยู่บ้านอยู่ในสังคมกับคนหมู่มาก
จิตท่านมันหาความสงบสุขไม่ได้
เพราะว่ามีใครต่อใครคอยยั่วยุท่าน
ทำให้ท่านชอบปลีกวิเวกมากกว่า

เราจึงขอชี้ให้ท่านเห็นว่า
สาเหตุแห่งความวุ่นวาย
ซึ่งทำให้ทุกข์ใจของท่านไม่จางหายนั้น
เพราะท่านจะจัดการทุกคนที่ยื่นข้อสอบให้
ด้วยจิตใจที่เสียสมดุลกล่าวคือ

ถ้าใครทำให้โกรธ
ท่านจะจัดการคนที่ทำให้โกรธ
แทนที่จะจัดการความโกรธในใจตนเอง

ถ้าใครหรือสิ่งใดทำให้โลภ
ท่านก็จะมุ่งจัดการที่คนที่ของที่ทำให้โลภ
แทนที่จะจัดการความโลภที่ในใจตนเอง

ถ้าใครหรือสิ่งใดทำให้ลุ่มหลง
ท่านก็จะมุ่งจัดการที่คนที่ของที่ทำให้ลุ่มหลง
แทนที่จะจัดการความลุ่มหลงที่ในใจตนเอง

สรุปง่ายได้ความว่า
ขณะอยู่ในสังคมท่านไม่นิยมทำที่จิตใจ
แต่พอไปเข้าป่าจึงค่อยเพียรพยายาม
นั่งตามดูนิสัยทางจิตของตนเอง
ซึ่งมันดูผิดที่ผิดเวลาไปหมด
การปฏิบัติบำเพ็ญจึงไม่บังเกิดผล
ที่ได้ผลคือ "ติดสุขสงบ" จากสมาธิ
กับการติดหลับในสมาธิกลับมาบ้านเท่านั้น

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
7-10-2017

Answer: ‎Anothai Bunjong​


#Answer: ‎Anothai Bunjong​

Q1.สิ่งที่ดำรงอยู่เดิม 
ก่อนที่จะมีสรรพสิ่งนั้นคือ 
1.สนามพลังงานสากล 
2.พระบิดา หรือ พระผู้สร้าง 
ที่เกิดขึ้นมาจากสนามพลังงานสากลนั้น 
ถูกต้องใช่ไหมค่ะ?

#Answer: ถูกต้องแล้ว

Q2.จะสามารถใช้ภาษาเรียก
รูปธรรมแรกที่อุบัติขึ้นมา
จากการกำหนดพระจิตของพระบิดา 
ซึ่งก็คือรูปธรรมที่มี 12 เหลี่ยมมุม
อีกรูปธรรมหนึ่งว่าสรรพสิ่งแรก
ถูกต้องไหมค่ะ?

#Answer: ถูกต้องแล้ว

Q3.หลังจากการเกิดรูปธรรม
ที่สร้างในข้อ 2 ขึ้นมา 
รูปธรรม 11 เหลี่ยมมุม 
ตลอดจนเอกภพอันไพศาลนี้ 
รวมทั้งสิ่งมากมาย 
ล้วนคือสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาทั้งหมด 
จากผู้สร้าง

ดั้งนั้น 
ความจริงอันสูงส่งอาจมองได้ว่า 
มีด้านของพระผู้สร้างด้านนี้หนึ่ง 
และ อีกฟากหนึ่งคือด้านของสิ่งที่ถูกสร้าง 
อาจจะกล่าวว่าอย่างนี้ได้ไหมค่ะ?

#Answer: 
ระหว่างพระผู้สร้างกับสรรพสิ่งที่
พระองค์ทรงกำหนดสร้างขึ้นมาทั้งหมดนั้น
ล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน
ท่านจะแยกมองเป็นคนละด้าน
ด้วยการคิดแบบจิตมนุษย์ไม่ได้

เช่น เรื่องของพ่อแม่ลูกกันนั้น
มันเป็นเรื่องของครอบครัวเดียวกัน
จะกล่าวจำแนกว่านี่เป็นเรื่องของแม่ 
นั่นเรื่องของพ่อโน่นเรื่องของลูกๆ
โดยมองว่าเป็นเรื่องส่วนตัวไม่ได้
เพราะมันเป็นเรื่องของครอบครัวต่างหาก

Q4.ถ้าสมมุติว่า
อาจกล่าวอย่างข้อ 3 ได้ ไม่ผิด 
ดังนั้น ความรู้ หรือ ภูมิปัญญา 
ในฝั่งของสิ่งที่ถูกสร้าง 
จึงอาจใช่ หรือ อาจไม่ใช่ 
จึงอาจถูก หรือ อาจจะผิด 
จึงอาจจะเที่ยงแท้ หรือ อาจจะไม่เที่ยงแท้ 
เพราะว่าอยู่ภายใต้คุณลักษณะของสิ่งที่ถูกสร้าง 
เพราะอย่างนี้ 
จึงมีผู้กล่าวธรรมะมากมาย
ที่อาจจะใช่ หรือ ไม่ใช่ 
อาจจะถูก หรือ ไม่ถูก

ถ้าองค์ความรู้นั้น หรือ ธรรมะที่กล่าวนั้น 
มาจากฟากฝั่งของผู้สร้าง 
สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นความรู้เหนือความรู้ 
เป็นภูมิปัญญาทึ่เป็นคนละเรื่องกัน
กับข้อ 3 อย่างชัดแจ้ง 

ดังนั้น 
ถ้าสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นถูกต้อง 
ก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่มนุษย์ตัวน้อยๆ 
จะแยกแยะได้ว่าทั้งสองสิ่งนั้น 
แตกต่างกันอย่างไร 

จะไม่ใช่เรื่องยากเลย 
ที่จะข้ามพ้นความใช่ หรือ ไม่ใช่ 
ความเชื่อ หรือ ไม่เชื่อ 
หรือแม้กระทั่งเมื่อมนุษย์ต้องการ
คำตัดสินให้กับตนเอง 

....ท่าน อาจารย์ค่ะ ความเข้าใจ ทั้งหมดนี้ 
มุมมองที่มองแบบนี้พอจะสอดคล้อง 
กับความเป็นจริงบ้างไหมค่ะ?

#Answer:
เราได้ตอบไว้ในคำถามที่ 3 แล้วว่า
มนุษย์จะแยกตนเอง
รวมทั้งสรรพสิ่งทั้งปวงที่ถูกสร้าง
ออกจากพระผู้สร้างหรือพระบิดาไม่ได้

ดังนั้น
การจะใช้มุมมองจากด้านผู้ถูกสร้าง
เพ่งพินิจทุกสิ่งในด้านของตนเอง
และเพ่งพินิจมายังฝั่งของพระผู้สร้างนั้น
ท่านจะไม่มีวันเข้าถึงความจริงทุกจริงได้หรอก
ถ้ามนุษย์นั้นยังมิอาจเข้าถึง
พลังอำนาจสูงสุดทางปัญญาของสมองได้
ยังไม่อาจเข้าถึงการใช้ความฉลาดสูงสุดได้

เราเคยกล่าวต่อท่านทั้งหลายแล้วไงว่า
ถ้าท่านจะเข้าถึงการรู้แจ้ง
บนเส้นทางนิพพาน
ตามมรรควิถีจิตจักรวาลได้
ท่านจักต้องมีทักษะด้านการใช้ปัญญา
จากสมองสองซีกให้เป็นก่อน

โดยใช้สติปัญญาของสมองซีกซ้ายได้
ใช้ปัญญาญาณของสมองซีกขวาเป็น
ท่านจึงจะมองเห็นสัจธรรมแบบองค์รวม
ในแบบที่เราบุตรเอกแห่งพระบิดา
ได้อ่านโลกอ่านจักรวาลทุกซอกหลืบ
ให้พวกท่านฟังตลอดมากว่าสามสิบปีอยู่นี่ไง

ท่านทั้งหลายต้องรู้ว่า
ความรู้ในจักรวาลสากลล้วนเป็นหนึ่งเดียว
พระบิดาทรงเรียกว่า #อภิปรัชญา
ภาษาสากลเรียกว่า Pure-meta physics

นอกจากนั้น
ไม่มีใครในจักรวาลนี้
จะบังอาจแบ่งแยก
องค์ความรู้แบบองค์รวมของพระบิดาได้

มีแต่มนุษย์โลกที่งมงายและหลงตนเท่านั้น
ที่แบ่งแยกวิชชาแห่งจักรวาลออกจากกัน
เป็นเคมี ชีวะ ฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ พลังจิต ฯลฯ

มีแต่มนุษย์โลกที่งมงายเท่านั้น
ที่มองชะตากรรมของตนเองและผู้อื่น
ไปตามที่พบเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน
โดยละทิ้งอดีตซึ่งเป็นตัวกำหนดปัจจุบัน
โดยใส่ใจแต่ปัจจุบันจนละทิ้งอนาคต

ดังนั้นมนุษย์โลกเสรีจึงต้องมีพระศาสดา
เพราะจิตตปัญญาของมนุษย์ป่วย
ป่วยจนไม่รู้ว่าองค์ความรู้ที่เป็นความจริง
พระศาสดาจึงต้องเข้ามาชี้ทางสว่างให้

แต่....สำหรับเราที่กลับมาอีกนี้
มาเพื่อจะบอกท่านหลายอย่าง
แต่หนึ่งในหลายๆอย่างนั้น
คือ เราต้องการจะบอกท่านทั้งหลายว่า

1.มีความรู้ที่ท่านอยากรู้อยู่จะบอกท่าน
2.มีความรู้ที่ท่านเคยรู้แต่รู้ไม่หมดจะบอกท่าน
3.มีความรู้ที่ท่านไม่รู้ว่าทำไมต้องรู้จะบอกท่าน
4.มีความรู้ที่ท่านยังไม่รู้ว่าท่านไม่รู้จะบอกท่าน

ในความรู้ที่เป็นจริงทั้งสี่ประการที่ว่านี้
ล้วนเร้นรวมอยู่ใน "องค์ธรรม 3"
ซึ่งท่านทั้งหลายเข้าถึงเองได้ยากมาก
คือ โลกียธรรม โลกุตรธรรม และอนุตรธรรม
ยังจะต้องพึ่งพาพระศาสดาช่วยชี้แนะให้
ตราบใดที่ท่านยังรู้แจ้งด้วยตนเองกันไม่ได้

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
7-10-2017

06 ตุลาคม 2560

สนทนาประสาจิตจักรวาล 14


#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
มีพี่น้องของพวกเราท่านหนึ่ง
คือ ท่าน Chaiyan Wiangkaew
ได้กล่าวรำพันเอาไว้ดังๆในห้องเรียนนี้ว่า
ยังมีชาวพุทธหลายคนเชื่อกันอยู่ 5 ข้อว่า

1. เป็นฆราวาสนิพพานยาก 
2. เป็นผู้หญิงนิพพานยาก
3. ถ้าเรายังใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่กับผู้คนในสังคม 
แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะปฏิบัติธรรม
จนเข้าถึงนิพพานได้ 

ต้องหาโอกาสไปปลีกวิเวก
ถือศีล ปฏิบัติธรรม
โดยใช้วิธีแบบนักบวชเท่านั้น
จึงจะมีโอกาสนิพพานได้

4. มีเฉพาะศาสนาพุทธเท่านั้น
ที่สอนวิธีการปฏิับัติธรรม
ที่ช่วยให้ไปนิพพานได้

5. เฉพาะนักบวชเท่านั้น
จึงจะสอนวิธีการปฏิับัติธรรม
ที่บรรลุถึงขั้นนิพพานได้

โดยเราได้กล่าวถึงความเชื่อที่งมงาย
ในประการที่ 1 ที่ว่า
"เป็นฆราวาสนิพพานยาก" 
ให้ได้รู้กันไปแล้วว่าแท้จริงนั้น
มันยากตรงที่ไม่ยอมแสวงหา
มันยากตรงที่ว่าคิดกันไปเองว่ายาก

มาในบทนี้
เรายังมีความจริงที่จริงแท้
ที่จะเปิดปัญญาให้ท่านทั้งหลาย
ได้ทำความงมงายไม่รู้จริงให้กระจ่าง
ในความเชื่อประการที่ 2 ต่อไปอีกคือ

#เชื่อว่าเป็นผู้หญิงนิพพานยาก

คำชี้แจง: 
ความเชื่อเช่นนี้
ก็เป็นความเชื่อที่ผิดมหันต์เช่นกัน

ท่านทั้งหลายพึงรู้ว่า...
อันจิตวิญญาณของท่าน
ที่ขันอาสามาเกิดเป็นคนสองมิตินั้น
ก็เพื่อทำหน้าที่คนตนเองให้เป็นมนุษย์

โดยสมมติเพศว่าเป็นหญิงเป็นชาย
เพราะต้องใช้กายสังขาร
ที่เป็นเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
ทำหน้าที่ทางโลกบางอย่างที่แตกต่างกัน
แต่ก็ยังคงความเป็นมนุษย์เหมือนๆกัน
มิได้แตกแยกในความแตกต่างนี้เลย

ด้วยเหตุนี้เอง
ถ้าผู้ชายนิพพานได้
ผู้หญิงก็ต้องนิพพานได้
เพราะต่างก็มีกายสังขาร มีจิตวิญญาณ
และมีภารกิจทางจิตวิญญาณเหมือนกัน
ที่ต่างกันบ้างก็เป็นภารกิจทางโลกสมมตินั่น

ที่สำคัญคือเพศหญิงก็มีคุณค่า
แห่งการเป็นมนุษย์เหมือนกันพันเปอร์เซ็นต์

เพศหญิงก็มีพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ที่ตนต้องกลับไปกราบพระบาทท่านเช่นกัน
เพราะว่านิพพานเป็นหน้าที่ของมนุษย์ทุกคน

ดังนั้น
ถ้าเชื่อว่าผู้หญิงเป็นมนุษย์
ผู้หญิงจึงมีหน้าที่ต้องนิพพานเช่นกัน

ส่วนความเชื่อที่ว่า
เกิดมาเป็นหญิงนิพพานยากนั้น
คนที่พูดเช่นนี้รู้แจ้งแล้วหรือไรว่า
ถ้าเกิดเป็นหญิงวิธีนิพพานต้องปฏิบัติยังไง
และท่านได้ปฏิบัติบำเพ็ญตามนั้นแล้วใช่มั้ย
จึงได้พบว่ามันยากลำบากเหลือแสน
ก็เลยหันไปเลียนแบบบริบทของนักบวช
โดยจำเอามาแทรกทำในชีวิตแค่เสี้ยวส่วน
เพราะเชื่อว่าถึงนิพพานได้ง่ายกว่า
ทั้งๆที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า
คนที่เขาทำเช่นนี้มาก่อนหน้าท่าน
เขาถึงนิพพานกันได้ตามเชื่อสักกี่คน

ท่านที่รักทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านว่า

ถ้าท่านยังไม่แจ้งจริงในนิพพาน
ในบทบาทของการเป็นเพศหญิงแล้ว
ท่านจะเชื่อตามจะกล่าวความเช่นนั้นไม่ได้
เพราะมันมุสาตนเองขนานแท้ยังแย่ไม่พอ
ยังเป็นการบังคับจูงใจให้คนอื่นเขา
พากันหลงเชื่อตามคล้อยตามท่านอีกด้วย

เท่ากับว่าเป็นการชวนให้ผู้อื่นงมงาย
เพราะใช้แต่ความเชื่อไม่ใช้ปัญญา
พฤติกรรมเยี่ยงนี้เขาเรียกว่า "เจ้าลัทธิ"

เจ้าลัทธิ คือ คนที่ใช้วิธีบังคับ-จูงใจ
ให้คนอื่นเขาเชื่อตามตนเองอย่างขาดสติ
ใครไม่เชื่อตามตนเองก็จะทำการต่อต้าน
ใครไม่เชื่อตามตนเองก็จะถูกหมิ่นหยาม
ใครไม่เชื่อตามตนเองก็จะผลักไปเป็นศัตรู
นี่เป็นบทบาทของเจ้าลัทธิที่เน้นหาสาวก
มิใช่บทบาทของคุรุหรือครูผู้ต้องการศิษย์

พี่น้องที่รักทั้งหลาย
เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านว่า

ไม่ว่าท่านจะเป็นบุรุษหรือสตรีเพศ
จิตวิญญาณของพวกท่านทั้งหลาย
ได้ผ่านประสบการณ์การเกิดเป็นหญิงชาย
ได้เรียนรู้บทเรียนโลกนี้มาหลายภพชาติแล้ว

ความเป็นมนุษย์เพศหญิงหรือชาย
มันเป็นแค่เพียงมายาแห่งบทละครชีวิต
แก่นแท้จริงคือจิตวิญญาณของท่านต่างหาก
ไม่มีเพศสมมติมีเพียงกล่องพลังงานเท่านั้น

ดังนั้น
เมื่อท่านเลือกเพศมาเกิดเป็นหญิง
ภารกิจสุดท้ายคือต้องนำแก่นแท้กลับบ้าน
จะไปติดอยู่กับความยากง่ายไม่ได้

ท่านจะท้อแท้เชื่อตามคำกล่าวที่งมงาย
ว่าเป็นเพศหญิงนิพพานยากอีกไม่ได้แล้ว
เพราะความคิดความเชื่อที่ถูกล้างสมองนี้เอง
หลายท่านจึงไม่คิดอยากจะนิพพาน
หลายท่านจึงหันไปหยิบบทบาทของนักบวช
มาครอบเครื่องยนต์แห่งกรรมของตนไว้

ส่วนไหนครอบได้พอดีก็เอาไว้
ส่วนไหนครอบไม่ได้เพราะไม่ลงตัว
ก็ตัดเฉือนมันทิ้งไป

กลายเป็นคนสวมใส่อาภรณ์ขาดๆดั่งชำรุด
จึงทำลายความองอาจสง่างามของตนไป

เชิญหาคำตอบให้ตนเองก่อนว่า
ผู้หญิงจะนิพพานได้ในชาตินี้
ต้องปฏิบัติบำเพ็ญอย่างไร
โดยไม่ต้องเลียนแบบบทบาทของผู้อื่น

การทำรวยนั้นมีหลายวิธี
วิธีทำรวยของตัวท่าน
กับวิธีการทำรวยของเศรษฐี
มันย่อมแตกต่างกันแน่นอน
เพราะฐานการเป็นมนุษย์ในสังคมต่างกัน
จะไปจำแบบเลียนแบบกันไม่ได้หรอก

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
6-10-2017

สนทนาประสาจิตจักรวาล 13


#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
มีพี่น้องของพวกเราท่านหนึ่ง
คือ ท่าน Chaiyan Wiangkaew​
ได้กล่าวรำพันเอาไว้ดังๆในห้องรียนนี้ว่า
ยังมีชาวพุทธหลายคนเชื่อกันอยู่ 5 ข้อว่า

1. เป็นฆราวาสนิพพานยาก
2. เป็นผู้หญิงนิพพานยาก
3. ถ้าเรายังใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่กับผู้คนในสังคม
แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะปฏิบัติธรรม
จนเข้าถึงนิพพานได้

ต้องหาโอกาสไปปลีกวิเวก
ถือศีล ปฏิบัติธรรม
โดยใช้วิธีแบบนักบวชเท่านั้น
จึงจะมีโอกาสนิพพานได้

4. มีเฉพาะศาสนาพุทธเท่านั้น
ที่สอนวิธีการปฏิับัติธรรม
ที่ช่วยให้ไปนิพพานได้

5. เฉพาะนักบวชเท่านั้น
จึงจะสอนวิธีการปฏิับัติธรรม
ที่บรรลุถึงขั้นนิพพานได้

เราจึงมีความจริงที่จริงแท้
ที่จะเปิดปัญญาให้ท่านทั้งหลายที่เชื่อเช่นนี้
ได้ทำความงมงายไม่รู้จริงให้กระจ่าง
ในทีละข้อทีละประเด็น

ซึ่งในที่นี้เราจะกล่าวถึง
ความเชื่อที่ไม่ถูกต้องในข้อแรกก่อน
นั่นคือความงมงายในข้อที่1.

#เชื่อว่าเป็นฆราวาสนิพพานยาก

คำชี้แจง:
เป็นความเชื่อที่ผิดมหันต์เพราะว่า

1.จิตวิญญาณของท่านทั้งหลาย
ขันอาสาพระบิดามาเกิดเป็นมนุษย์
มาทำหน้าที่ตามพันธะสัญญา 6 ข้อ
ที่ให้ไว้ต่อพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ในบทบาทของ #คนสองมิติ
ที่มีสองเพศคือ ชายและหญิงเท่านั้น
ไม่มีสมมติว่าเป็นอื่น

โดยบริบทในการดำเนินชีวิต
เพื่อบรรลุเป้าหมายทางจิตวิญญาณ
ในการเป็นคนสองมิตินั้น
ท่านจักต้องแสดงบทบาทของ
#นักสู้เพื่อการรู้แจ้ง เท่านั้น
คือ โง่ก่อนฉลาด
คือ ทำผิดพลาดก่อนที่จะทำให้ถูกต้อง

2.การเป็นพระหรือนักบวชนั้น
เป็นเพียงแค่เพศสมมติว่าเป็น "สงฆ์"
ซึ่งพระก็มิได้ต่างอะไรกับการสมมติว่า
เป็นครู เป็นแพทย์ เป็นตำรวจ ทหาร
เป็นบิดา มารดา เป็นเจ้าหนี้ ลูกหนี้
แต่ละบทบาทสมมติก็มีหน้าที่ต่างกันไป

ดังนั้น
ถ้าท่านเลือกแสดงบทฆราวาส
ซึ่งเป็นนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง
ท่านก็ต้องเรียนรู้ให้ได้ว่า
ฆราวาสจะนิพพานได้อย่างไร

มิใช่หันไปหยิบเอาบทบาทสมมติของพระ
เพียงบางบทบาทมาเลียนแบบ
แล้วบอกตนเองว่านี่แหละใช่เลย

พระหรือนักบวช
มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เป็นผู้ทรงชี้แนวทางการปฏิบัติให้
ด้วยศีล ด้วยธรรม ด้วยวินัย
ด้วยพุทธบัญญัติต่างๆ
ซึ่งเป็นบทบาทของนักรบแห่งแสงสว่าง
เส้นทางสายนั้นก็ชอบแล้วเรามิได้ปฏิเสธ
เพราะปลายทางสุดท้ายก็ถึงนิพพานได้

3.ดังนั้น
การมองว่าวิธีปฏิบัติแบบพระนักบวชนั้น
ถึงนิพพานได้ง่ายกว่าการเป็นฆราวาส
จึงเป็นความคิดความเชื่อของคนท้อแท้
เป็นความเชื่อของคนที่ไม่รู้ไม่ทราบ
ว่านิพพานแบบฆราวาสนั้นจะไปทางไหน
จึงคว้าเอาวิธีนักบวชมาแทรกไว้ในชีวิต

เราเน้นคำว่า #นำมาแทรก นะ
เพราะสิ่งที่นำมาปฏิบัติกันในชีวิต
คือการถือศีล กินเจ สวดมนต์
ทำบุญ สุนทาน นั่งกรรมฐานสมาธินั้น
เป็นเพียงบางเสี้ยวส่วนที่พระเขาถือปฏิบัติ

เป็นเพียงบางเวลาที่ตนว่างหรือสะดวก
มิได้เคร่งครัดปฏิบัติบำเพ็ญแบบพระเลย
การปฏิบัติเลียนแบบพระแต่ไม่เต็มรูปแบบ
มันยังทำให้ท่านเชื่อว่า
ถึงนิพพานได้ง่ายๆเช่นนั้นหรือ

นอกจากนั้น
ฝ่ายนักรบแห่งแสงสว่างเอง
ซึ่งมีเรือนแสนรูปธรรมทั่วประเทศ
ที่เป็นต้นแบบให้ท่านทั้งหลายเลียนแบบนั้น
ยังบากบั่นหมั่นเพียรให้ถึงมรรคผลกันอยู่เลย

4.เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
วิธีนิพพานของพระกับชาวบ้านนั้นแตกต่างกัน
เพราะเป็นเพศสมมติที่แตกต่างกัน
บทบาทโดยรวมจึงย่อมแตกต่างกัน

แต่คุณสมบัติแห่งผู้เข้าถึงนิพพานนั้น
พระกับฆราวาสมิได้ต่างกันแต่อย่างใด
ตัวอย่างเช่น

ต้องมีจิตใสใจสวย
ต้องเข้าถึงความรักเพื่อให้
ต้องใช้จิตตปัญญาระดับปัญญาญาณได้
ต้องดับการเกิดดับของกิเลสตัณหาได้สิ้น
ต้องอยู่เหนือทุกข์สุขทั้งปวง
ต่้องว่างไปจากการมีกฏแห่งกรรม

คุณสมบัติหลักแห่งนิพพานทั้ง 6 นี้
พระมีวิธีเข้าถึงได้ด้วยวิธีการทางเท็คนิก

แต่ฆราวาสหรือชาวบ้าน
สามารถเข้าถึงได้ง่ายๆในชีวิตประจำวัน
ด้วยวิธีการทางธรรมชาติ

เพียงแค่ครองมหาสติให้มั่นคง
กับมีปณิธานแห่งนิพพานไว้
ในชีวิตประจำวัน
ไม่ว่าท่านจะสมมติตนเองว่า
เป็นครูเป็นหมอหรือเป็นอะไรก็แล้วแต่
ที่ท่านเป็นอยู่ในสังคม
ท่านทั้งหลายก็เข้าถึง
คุณสมบัติแห่งนิพพานทั้ง 6 นี้ได้แล้ว

มรรควิถีจิตจักรวาล
เป็นทางเลือกสุดท้าย
ที่สามารถนำจิตวิญญาณของท่านหลุดพ้นได้
ด้วยวิธีปฏิบัติบำเพ็ญที่เป็นธรรมชาติ
โดยไม่ต้องทรมานเครื่องยนต์แห่งกรรม
ไม่ต้องทิ้งครอบครัวและสังคม
ให้ทำทุกสิ่งในชีวิตด้วยจิตสามนึก

5.ฆราวาสสามารถเข้าถึง
คุณสมบัติแห่งนิพพานทั้ง 6 ต่อไปนี้
ได้ง่ายกว่าพระหรือนักบวชที่วิเวกสันโดดด้วย
คุณสมบัติทั้ง 6 มีดังนี้

ต้องมีจิตใสใจสวย
ต้องเข้าถึงความรักเพื่อให้
ต้องใช้จิตตปัญญาระดับปัญญาญาณได้
ต้องดับการเกิดดับของกิเลสตัณหาได้สิ้น
ต้องอยู่เหนือทุกข์สุขทั้งปวง
ต่้องว่างไปจากการมีกฏแห่งกรรม

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
ที่เรากล่าวไว้ข้างต้นว่า
การปฏิบัติบำเพ็ญธรรมแบบฆราวาสง่ายกว่า
เพราะเหตุว่าฆราวาสอย่างท่าน
ยังมีผู้คนมากมายรายรอบในสังคม
ผู้คนเหล่านั้นจะช่วยหยิบยื่น
บททดสอบจิตสามนึกของท่านมาให้
เป็นทั้งเงื่อนไขบวกและลบให้ท่านเผชิญ

ไม่ว่าท่านจะสอบตกสอบผ่านบททดสอบ
มันจะมีผลต่อการยกระดับจิตตปัญญา
นำพาท่านเข้าถึงทั้ง 6 ข้อได้อย่างง่ายดาย
โดยไม่ต้องมานั่งตามดูจิต กำกับจิต
เรียนรู้ที่จะยกระดับจิตด้วยตนเองอยู่คนเดียว
ซึ่งการฝึกพัฒนาจิตปัญญาตนเองคนเดียวนั้น
มันมิได้ง่ายอย่างที่คิดเลย

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
6-10-2017

05 ตุลาคม 2560

สนทนาประสาจิตจักรวาล 12


#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลาย
ซ้ำเดิมกับครั้งที่แล้วอีกว่า

ธรรมะที่ท่านต่างศึกษาเรียนรู้กันมานั้น
ล้วนเป็น "ความจริง" ที่เรียกว่าสัจธรรมทั้งสิ้น

สัจธรรม มีอยู่ 3 ระดับ คือ
1.โลกียธรรม
2.โลกุตรธรรม
3.อนุตรธรรม

ในบทนี้....
เราจะกล่าวถึง "โลกุตรธรรม"
อันเป็นสัจธรรมในมิติที่สูงกว่า "โลกียธรรม"
ตามที่ท่านร้องขอกันมาว่าปรารถนาจะรู้ต่อ

#โลกุตรธรรม
เป็นสัจธรรมความจริงที่จริงแท้
ที่จะไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงผันแปร
หรือบิดเบือนให้เบี่ยงเบนไปจากความจริงได้

ดังนั้น
ถ้าใครเข้าถึงสัจธรรมความจริงในระดับนี้ได้
ในเรื่องเดียวกัน สิ่งเดียวกัน หรือกรณีเดียวกัน
คนผู้นั้นย่อมรู้เห็นเหมือนกันกับคนอื่นๆ
คนผู้นั้นย่อมกล่าวสอดคล้องตรงกันกับคนอื่น
นี่จึงเป็นลักษณะพิเศษของ "โลกุตรธรรม"

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

<3 ถ้าท่านจะเข้าถึงความรู้ระดับโลกุตรธรรมได้
<3 ท่านต้องอาศัยปัจจัยหลักอยู่ 3 อย่าง
#ที่มันจะต้องมีพลังอำนาจสูงพอตัว
#ตัวท่านก็ต้องมีความสามารถสูงพอที่จะใช้มัน

ปัจจัยสำคัญ 4 ประการ
ที่จะช่วยท่านให้เข้าถึงโลกุตรธรรมได้
หากต้องการ มีดังต่อไปนี้ คือ

1.#ความรู้ที่เป็นความจริงจากสิ่งรอบตัว
ซึ่งได้จากการรับรู้ด้วยกลไกอายตนะทั้งหก
แล้วนำมาทำการวิเคราะห์แยกแยะ
ด้วยจิตตปัญญาของสมองซีกซ้าย
ตาม #ChickModel by Parinya
จนได้ความจริงว่า "อะไรเป็นอะไร"

2.#สภาวะจิตที่ว่างไปจากขยะ

หมายถึงจิตที่ว่างจาก กิเลส ตัณหา ราคะ
และอุปาทานอย่างสิ้นเชื้อ
จนจิตมีที่ว่างพอให้กับ #ความรักเพื่อให้
ซึ่งพระพุทธองค์ทรงเรียกว่า "ความเมตตา"

3.#ดวงตาที่สาม
คือ ดวงตาแห่งปัญญา
ซึ่งหลายท่านเรียกว่า #ตาใน มิใช่ #ตาเนื้อ

โดยดวงตาแห่งปัญญานี้
จักต้องได้จากการสั่นสะเทือนของจิต
ที่เข้าถึงคุณสมบัติตามข้อ 2 สำเร็จแล้ว
ไปกระตุ้นให้เกิดกระบวนการคิดของสมอง
ซึ่งเป็นสมองอีกซีกหนึ่งของท่านที่มีอยู่
นั่นคือ สมองซีกขวา นั่นเอง

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
จิตที่สั่นสะเทือนตามคุณสมบัติในข้อ 2 ได้
จะเป็นจิตที่สั่นสะเทือนสูงสุดทางด้านบวก

หากท่านสามารถสั่นสะเทือน
อย่างต่อเนื่องติดต่อกันได้
โดยไม่สะดุดหยุดลงเสียกลางคัน
หรือไม่นำเอาเรื่องอื่นอารมณ์อื่น
เข้ามาแทรกแซงคลื่นจิต
ที่กำลังสั่นสะเทือนสูงสุดด้านบวกอยู่

จิตที่สั่นสะเทือนด้านบวกสูงสุด
ได้อย่างต่อเนื่องนี่แหละ
พระบิดาทรงเรียกว่า "#จิตเป็นสมาธิ"

เมื่อจิตดิ่งเข้าสู่สภาวะสมาธิ
จิตก็จะทำการเปิดมิติเคลื่อนสู่จิตวิญญาณ
ซึ่งเป็นตัวตนแก่นแท้ที่เร้นอยู่ข้างใน
ให้ตื่นตัวขึ้นมาสั่นสะเทือนตามไปด้วยกัน
เพื่อให้ท่านพร้อมต่อการใช้ปัญญาญาณ
ซึ่งเป็นสติปัญญาของวิญญาณ ณ บัดนั้น

นี่...เป็นความลับซับซ้อนที่ท่านต้องรู้!
ไม่รู้ ไม่ผ่าน....ไม่ผ่าน นิพพานไม่ได้!

4.#วิธีกดปุ่มความคิด

ปัจจัยที่สี่นี้เป็นขั้นตอนสุดท้าย
ที่จะช่วยให้ท่านเข้าถึงความจริงที่จริงแท้
ในระดับที่เรียกว่า "โลกุตรธรรม" ได้ในที่สุด

เมื่อข้อมูลในข้อ 1 พร้อมที่จะใช้
เมื่อสภาวะจิตตามข้อ 2 พร้อมที่จะใช้
เมื่อปัญญาญาณจากสมองซีกขวา
ตามข้อ 3 พร้อมที่จะใช้เรียบร้อยแล้ว

ขั้นตอนต่อไปนี้หน้าที่ของท่านก็คือ
ต้องทำการ #สังเคราะห์องค์ความรู้
จากข้อมูลที่เป็นโลกียธรรมในข้อ 1 ให้ได้
ซึ่งความสำเร็จในการสังเคราะห์ความรู้นี้
อยู่ที่ "วิธีการคิด" ของท่านนั่นเอง

ท่านทั้งหลายต้องรู้ว่า
การคิดด้วยสมองซีกซ้ายเพื่อเข้าถึง
ความจริงในระดับโลกียธรรมนั้น
สามารถคิดไปตามที่สัมผัสรู้ดูเห็นได้
ด้วยการมองโลกไปตามความจริง
เรียนรู้ทุกสิ่งไปตามที่เห็น
โดยยึดหลักการและเหตุผลเป็นสำคัญ

แต่สำหรับการเข้าถึง "โลกุตรธรรม" นั้น
กระบวนการเรียนรู้เพื่อคิดรู้
ให้เข้าถึงความจริงระดับสูงนี้ได้
ท่านจะต้องเป็นผู้ "กดปุ่ม" สร้างความพร้อม
ที่จะคิดสังเคราะห์สัจธรรมออกมา
จากโลกียธรรมนั้นๆด้วย "วิธีคิด" พิเศษ
ที่เรียกว่า "การคิดสร้างสรรค์"

การคิดสร้างสรรค์
ที่จะสามารถสังเคราะห์สัจธรรมออกมา
จากโลกียธรรมนั้นๆได้
จะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ

1.มีความสามารถในการมองต่างมุม
2.มีความสามารถในการคิดแบบผสมผสาน
3.มีความสามารถในการคิดเชื่อมโยง
4.มีความสามารถในการใช้จินตนาการ
ด้วยการคิดให้เป็นภาพจริง
5.มีความสามารถด้านการคิดรวบยอด

ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการสังเคราะห์
เอาโลกุตรธรรมออกมาจากโลกียธรรม

เช่น ถ้าท่านเรียนรู้แล้วว่า
1.ปูมี 8 ขา มีสองก้ามโตๆ
2.ปูไม่มีหัว มีตาอยู่ข้างตัว
3.ปูเดินไม่ตรงทาง เวลาเดินเอาข้างไป
4.ปูเคลื่อนที่ได้เร็วมาก
ทั้งหมดนี้ คือ ความจริงที่เป็นโลกียธรรม

เมื่อใช้ความสามารถ 5 ประการ
ในการมองเห็นความจริงด้วยจิตตปัญญา
จากความจริงของ "ปู" ทั้ง 4 แล้ว
สัจธรรมที่สังเคราะห์ออกมาได้
เป็นความคิดรวบยอดในระดับโลกุตรธรรม
มีดังต่อไปนี้

1.ได้ความรู้ว่าถ้าเป็นมนุษย์แล้วไม่ใช้สมอง
ก็ไม่ต่างจากปูที่ไม่มีหัวก็เหมือนไม่มีสมอง

2.เพราะปูไม่มีสมองจึงเดินเอาข้างไป
ปูจึงมีพฤติกรรมการเดินที่แปลกจากสัตว์อื่น

มนุษย์ที่ทำอะไรโดยไม่ใช้สมองก็เช่นกัน
จะสามารถทำผิดบาปแบบไม่รู้ตัวได้ง่ายมาก

3.เมื่อทำผิดบาปได้ง่ายเพราะไม่ใช้สมอง
จึงสร้างความเสียหายกลายเป็นคนชั่วทันที
ซึ่งมันจะชั่วเร็วกว่าการทำความดีงามเสียอีก
เพราะกว่าจะทำดีแล้วได้ดีนั้นต้องรอนานกว่า

ตัวอย่างความรู้ในสามประการนี่แหละ
เป็นความจริงในระดับโลกุตรธรรม
ที่ท่านมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นหรอก
ต้องมองด้วยจิตตปัญญาญาณ
หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า "ญาณหยั่งรู้"
โดยใช้สมองเป็นห้องแล็ปปฏิบัติการ

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
โลกุตรธรรมที่ท่านจะเข้าถึงได้นั้น
ท่านต้องพึ่งตนเองล้วนๆ
ท่านจึงต้องฝึกฝนตนเองให้มีทักษะ
ด้านการใช้จิตและปัญญาของสมองสองซีก
ต้องเรียนรู้มุมมองและวิธีคิดที่ถูกต้อง
ต้องมีความสามารถในการคิดรวบยอด

ถ้าท่านสอนตนเองไม่เป็น
พัฒนาตนเองด้านเหล่านี้ไม่ได้ง่ายๆ
เชิญเข้าร่วมค่ายปฏิบัติธรรมลีลาใหม่
ด้วยกระบวนการ "ไซโคโชว์"
ที่จิตจักรวาลสถานธรรม ณ ภูกระต่าย
จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งจัดเป็นประจำทุกๆเดือนสิ
เรายินดีจะช่วยเหลือท่านนอกเวลาให้เอง
(มีค่าใช้จ่าย)

ถ้าท่านยังเข้าถึงความฉลาด
ของสมองทั้งสองซีก คือซ้ายและขวายังไม่ได้
เส้นทางแห่งการรู้แจ้งของท่านก็จะไม่สว่าง
เมื่อบนเส้นทางเดินยังขาดแสงสว่าง
ท่านคงจะก้าวย่างไปให้ไกลจนสุดทาง
คือหลุดพ้นก็คงยังจะไม่ได้เช่นกัน

เพราะท่านยังหยิบปัญญาที่มีอยู่ในตน
มานิพพานทุกสิ่งไม่ได้นั่นเอง

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
5-10-2017

VDO. สนทนาประสาจิตจักรวาล



 โดย อนุตรธรรมาจารย์ปริญญา ตันสกุล

สนทนาประสาจิตจักรวาล 11


#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ธรรมะที่ท่านทั้งหลายต่างศึกษาเรียนรู้กันนั้น
ล้วนเป็น "ความจริง" ที่เรียกว่าสัจธรรมทั้งสิ้น

สัจธรรม มีอยู่ 3 ระดับ คือ
1.โลกียธรรม
2.โลกุตรธรรม
3.อนุตรธรรม

ในบทนี้....
เราจะกล่าวถึงโลกียธรรม
อันเป็นสัจธรรมเบื้องต้นก่อน

#โลกียธรรม
เป็นความจริงขั้นพื้นฐาน
ที่ทุกท่านสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองได้

โดยท่านจักต้องหมั่นเพียรเรียนรู้
เพื่อให้ได้รู้ว่า "อะไรเป็นอะไร"
เพื่อสร้างความเก่ง ความฉลาด
และความเป็นผู้รอบรู้ให้ตนเอง
ให้มากที่สุดเท่าที่ท่านจะเข้าถึงได้
จนตลอดชั่วชีวิตนี้เลย

โดยท่านต้องใช้กลไกอายตนะทั้ง 6 
ทำงานร่วมกันกับ "จิต" 
และสติปัญญาของสมองซีกซ้าย
เป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญในการเรียนรู้

กล่าวคือ...
ท่านจักต้องมีความสามารถในการ
เลือกสัมผัสรู้ดูเห็นทุกสรรพสิ่งทุกเรื่องราว
แล้วนำมาวิเคราะห์แยกแยะ
เพื่อให้ได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

คำว่า "อะไรเป็นอะไร" หมายถึงรู้ว่า
ความรู้ที่เป็นความจริงที่ตนรับรู้อยู่นั้น 
มันคืออะไร มันเป็นเช่นไร มันคืออย่างไร

เมื่อได้รู้และเข้าใจความจริงนั้นแล้ว
ก็นำเอาความรู้ที่เป็นจริงนั้นมาแยกแยะ
ด้วยวิธี #Chick #Model ของ "ปริญญา"
ซึ่งเป็นวิธีที่ได้จากบุคลิกของไก่นั่นเอง
เพื่อค้นหาองค์ความรู้ที่ท่านควรรู้ให้พบ
โดยคัดเขี่ยเอาความรู้จากประสบการณ์นั้น
ที่รู้แล้วก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรทิ้งไป

ไก่จะทำการคัดเขี่ยกรวดหินดินทรายทิ้งไป
เพื่อจะค้นหาเมล็ดธัญพืชและอาหาร
ซึ่งจะขยันคุ้ยเขี่ยไปเรื่อยๆจนกว่าจะพบ
โดยที่ไก่จักต้องหูไวตาไวฉลาดแยกแยะ

โลกียธรรมก็เปรียบได้ดั่งอาหารของไก่
ซึ่งท่านจะค้นพบได้ก็ต้องฉลาดแยกแยะ
ออกมาจากความจริงที่อยู่แวดล้อมตัวท่าน
ในทุกประสบการณ์และทุกสถานการณ์

โดยท่านต้องมองทุกสิ่งไปตามความจริง
ต้องมองหาที่มาที่ไปของสิ่งนั้นให้พบ 
ต้องมองให้เห็นทั้งต้นสายไปจนถึงปลายเหตุ
ต้องมองให้ชัดเจนในรายละเอียด
ต้องมองด้วยหัวใจที่เป็นกลาง
คือ ไม่มองอย่างลำเอียงไปตามอารมณ์รู้สึก
และความเชื่อของตัวเองเด็ดขาด

การเรียนรู้ในแบบบทที่ว่ามานั้น
เป็นการเรียนรู้เพื่อค้นหาความจริงว่า
อะไรเป็นอะไรและเป็นอย่างไร
อะไรเป็นบาปบุญคุณโทษ
อะไรถูกต้องเหมาะสมดีงาม
อะไรไม่ถูกต้องไม่เหมาะสมไม่ดีงาม
แล้วเก็บจำความรู้นั้นไว้ใช้ในชีวิตจริง

เช่น การมองเห็นคนเดินตากฝน
ในขณะที่ฝนกำลังตกแล้วเปียกปอน

นี่ก็คือ "ข้อมูล" ที่ได้จากการใช้ตามอง
ร่วมกับการใช้จิตปัญญาของสมองซีกซ้าย
จนสามารถรู้ความจริงว่า "เห็นอะไร"
แล้วจากนั้นก็พิจารณาด้วยปัญญาต่อไปว่า
ที่ตนเห็นอยู่นั้นเป็นพฤติกรรมที่
ถูกต้องเหมาะสมหรือไม่อย่างไร
เพื่อจดจำไว้เป็นแบบอย่างต่อไป

ดังนั้น
ความรู้ทั้งหลายที่สัมผัสรู้ดูเห็นมาได้
ด้วยกลไกอายตนะกับจิตตปัญญาเบื้องต้น
เป็นความจริงในระดับโลกียะทั้งสิ้น
โดยความรู้เหล่านี้ทุกคนต้องเรียนรู้
ไม่เรียนรู้ไม่ได้

เพราะเหตุว่า
สัจธรรมขั้นสูงกว่า คือ โลกุตรธรรมนั้น
มนุษย์จะต้องเรียนรู้จากโลกียธรรมเท่านั้น
อันเป็นการต่อยอดองค์ความรู้
ในลักษณะของการเจียระไนโลกียธรรม
ให้มีหลายเหลี่ยมมุมนั่นเอง

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
5-10-2017

04 ตุลาคม 2560

สนทนาประสาจิตจักรวาล 10


#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านอีกว่า

นอกจากจิตมนุษย์ของท่าน
ที่สั่นสะเทือนเป็นกิเลส ตัณหา ราคะ
และอุปาทานทั้งหลาย

จะก่อให้เกิดพลังงานจิตด้านลบ
เพื่อทำการผลิตสร้างประจุลบ
ในรูปของอิเล็คตรอนอิสระขึ้นมาใหม่
แล้วเหวี่ยงออกมาทิ้งขว้างไว้ในบรรยากาศ
จนนำมาซึ่งเมฆฝนสกปรกและพายุแม่เหล็ก
ตามที่เราได้กล่าวไว้ในตอนที่ผ่านมาแล้ว

จิตที่สั่นสะเทือนเป็นกิเลสตัณหานั้น
ยังได้ผลิตสร้างขยะในมิติทางพลังงาน
ด้านของจิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้ขึ้นมาด้วย
เราจะเรียกขยะพวกนี้ว่า #ผลกรรม

"ผลกรรม" เป็นขยะในมิติพลังงานอีกชนิดหนึ่ง
ซึ่งจิตมนุษย์สามารถผลิตสร้างขึ้นมาได้
เมื่อสร้างขึ้นแล้วก็จะเหวี่ยงมันออกมาทิ้งไว้
บนโครงข่ายสนามแม่เหล็กในชั้นบรรยากาศโลก
โดยภายในอนุภาคจะบันทึก "รหัสกรรม" ไว้ด้วย

"รหัสกรรม" เป็นคุณสมบัติทางพลังงาน
อันประกอบด้วย 3 สิ่งที่สำคัญ คือ

1.ชนิดของคลื่นที่จิตสั่นสะเทือน
2.ข้อมูลของเรื่องราวที่มาสาเหตุแห่งกรรมนั้น
ว่าใครเป็นเหตุ เหตุคืออะไร ก่อกรรมอะไรไว้
เกี่ยวกรรมกับใคร เสียสมดุลกันอย่างไร เป็นต้น

3.ผลลัพธ์ที่จักต้องเกิดขึ้น
ต่อผู้ก่อเหตุที่เป็นเจ้าของกรรม (หรือเจ้ากรรม)
ตามกฎแห่งการกระทำนั้นๆ คือ อะไรอย่างไร

ภายในหนึ่งอนุภาคของ "ผลกรรม"
อันเกิดจากการก่อกรรมแต่ละเรื่องราวนี้
จะบันทึกเป็นรหัสกรรม 3 สิ่งนี้ไว้ครบครัน

โดยตลอดชีวิตของใครคนหนึ่ง
ซึ่งยังมิอาจอยู่เหนือกรรมของตนเองได้
เพราะยังตกเป็นทาสกิเลสตัณหาราคะอยู่

ยังก่อกรรมแล้วเกิดกรรมสัมพันธ์ด้านลบ
คือ "เกี่ยวกรรมลบ" กับคนอื่นๆอยู่

ยังก่อกรรมแล้วเกิดกรรมสัมพันธ์ด้านบวก
คือ "เกี่ยวกรรมบวก" กับคนอื่นๆอยู่

อนุภาคของผลกรรมจะถูกสร้างขึ้นไว้
ในลักษณะคล้ายฟองอากาศสีดำ
ที่มันจะพอกพูนเพิ่มทวีขนาดขึ้นเรื่อยๆ
ตราบใดที่คนๆนั้นยังละวางกิเลสตัณหา
เพื่อหยุดสร้างพันธะกรรมกับใครอื่นไม่ได้
มวลของอนุภาคแห่งผลกรรมของท่าน
ในมิติทางพลังงานนั้นมันจะยิ่งโตวันโตคืน

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

ช่อมวลของอนุภาคแห่งผลกรรมต่างๆนี่แหละ
ที่ท่านทั้งหลายเรียกกันว่า #นายเวร
โดยมีเจ้าของผู้สร้างมันขึ้นไว้คือ #เจ้ากรรม
ซึ่งผู้ที่เกี่ยวกรรมกับท่านไว้ไม่ว่าภพชาติใด
เขาจะรู้ทันทีว่าใครเคยกระทำผิดบาปต่อเขาไว้
โดยใช้ "นายเวร" นี่แหละเป็นประจักษ์หลักฐาน

นอกจากนั้นท่านทั้งหลายยังต้องรู้ว่า
"ผลกรรม" ในรูปของ "นายเวร" ที่ว่านี้
มิใช่ประจุลบอิสระอันเป็นขยะพลังจิต
ที่ช่างเท็คนิกสามารถช่วยจัดการชำระได้
แต่มันเป็นขยะพลังงานที่มิอาจกำจัดได้
ซึ่งใครสร้างมันขึ้นมาคนนั้นต้องรับผิดชอบ

นี่จึงเป็นที่มาของการตายแล้วต้องเกิดใหม่
เพื่อให้มากำจัดขยะผลกรรมที่ตนก่อไว้
เป็นพันธะกรรมกับเพื่อนมนุษย์บางคนอยู่
เพราะพลังงานสูญหายไปไหนไม่ได้
แต่ทำให้มันแตกสลายไร้คุณสมบัติขยะได้
ผู้ร่วมเป็นเจ้าของมันจึงต้องจูงกันมาเกิดใหม่
เพื่อสำแดงความรับผิดชอบ

วิธีกำจัดมันก็คือกลับมาเกิดใหม่
เพื่อร่วมกันเผชิญสถานการณ์เดิมๆในอดีต
ที่เคยตัดสินใจกระทำผิดบาปต่อกันไว้
โดยให้มาตัดสินใจใหม่เสียให้ถูกต้อง
รักให้ได้ ให้อภัยให้เป็น ไม่ก้าวล่วงกลับคืน
อนุภาคกรรมนั้นๆจะแตกสลายทันที

ท่านทั้งหลายต้องรู้ว่าผลกรรมที่ว่านี้
ถ้ามีอยู่เป็นจำนวนมากๆในบรรยากาศโลก
มันก็จะเป็นอุปสรรคในการสื่อสารทางจิต
ระหว่างมนุษย์กับรูปธรรมอื่นๆในจักรวาล

เพราะการสื่อสารทางจิตนั้น
ต้องอาศัยเส้นแรงสนามแม่เหล็กโลก
เป็นเส้นทางคมนาคมเท่านั้น
ถ้ามีมวลรวมของอนุภาคผลกรรม
เกาะติดสั่งสมอยู่บนโครงข่ายจำนวนมากๆ
การสื่อสารทางจิตก็จะไม่สะดวกราบรื่น

ทั้งยังจะเป็นอุปสรรค
ต่อการรู้แจ้งของมนุษย์อีกต่างหากด้วย

น่าเสียดายยิ่งนัก
ที่มนุษย์ส่วนใหญ่ยังดื้อรั้น
ยังเป็นลูกแกะที่จำเสียงเจ้าของไม่ได้

ยังเป็นปลาที่ลั้ลลา...ลั้ลลาไม่กลัวฝนฟ้า
ไม่กลัวบรรยากาศที่แปรเปลี่ยนไป
โดยไม่รู้ว่าปลาที่หายใจด้วยเหงือกนั้น
ยังตายเพราะปรับตัวเข้ากับน้ำใหม่ไม่ได้
ยังตายเพราะน้ำที่ตนอาศัยว่ายวนอยู่
มันหนาวเย็นจนเกินไปได้เหมือนกัน

ตราบที่ยังมีโอกาสอยู่
จงงดสร้างประจุลบจากพลังจิตด้านลบเสีย

จงยุติการก่อกรรมจนเกิดการเกี่ยวกรรมขึ้น
จนยังผลให้เกิดมวลของผลกรรมที่เป็นขยะ
ในลักษณะของเจ้ากรรมนายเวรเสียทันที

จงดำเนินชีวิตด้วยมหาสติ
มีปณิธานแห่งนิพพานให้ชัดเจน
เพื่อกำจัดขยะที่เรียกว่า "นายเวร" ให้สิ้น
อย่างน้อยให้เหลือ 30% จากทั้งหมดที่ก่อไว้
เก็บให้ทันก่อนการชำระโลกคาบสุดท้าย
ช่วง 56 วัน 8 ราตรี จะมาถึง

เพียงเท่านี้...
พระบิดาจะทรงประทานความรอดให้แก่ท่าน
นี่เป็นการพิพากษาที่เที่ยงธรรมแล้ว

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
4-10-2017

03 ตุลาคม 2560

สนทนาประสาจิตจักรวาล 9


#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

การแสวงหา #วิธีดับทุกข์
กับการแสวงหา #หนทางพ้นทุกข์ นั้น
ทั้งสองอย่างนี้มันไม่เหมือนกันนะท่าน

พี่น้องเราส่วนใหญ่
ยังมีความเข้าใจสับสนกันมากระหว่างสองอย่างนี้
โดยเข้าใจว่าเมื่อดับทุกข์ได้แสดงว่าพ้นทุกข์แล้ว
ซึ่งเป็นการคิดเข้าใจผิดอย่างสิ้นเชิง

เชิญท่านตามเรามาอย่าละเลยไปทางอื่น
แล้วตื่นตัวค่อยๆนึกคิดตามเรานะ
เพราะเราจะกล่าวความจริงให้กระจ่างว่า
การดับทุกข์กับการพ้นทุกข์นั้นมันต่างกันอย่างไร

1.ความทุกข์เป็นอาการของ "จิต"
เมื่อเกิดอาการนั้นๆขึ้นแล้วก็จะทนได้ยาก
เช่น กลุ้มใจ ขลาดกลัว ปริวิตก ผิดหวัง
โกรธ เกลียด เคียดแค้น อิจฉา ริษยา
เศร้าหมอง เสียใจ ห่วงหา อาวรณ์ อาลัย
เสียดาย เจ็บใจ หวงแหน หึงหวง
ลังเล อาฆาต เป็นต้น

2.ความทุกข์ทางจิตมากมายเหล่านี้
เป็นอาการของจิตที่สั่นสะเทือน
ด้วยคลื่นความถี่ต่ำกว่าปกติทั้งสิ้น
ใครที่เกิดอาการทางจิตตามข้อ 1 นี้
จึงถูกเรียกว่ากำลัง "จิตตก" เสมอ

3.คนที่มีอารมณ์อ่อนไหวง่ายๆ
จิตก็จะสั่นไหวไปตามสิ่งเร้ารอบด้าน
หรือสั่นตามสิ่งเร้าภายในจากจิตของตนเอง

ไม่ว่าจะเป็นการยั่วยุหรือยั่วยวนก็ตาม
จิตก็จะตกเป็นทาสของสิ่งเร้านั้นๆทันที
ซึ่งในชีวิตประจำวันของท่านทั้งหลายนั้น
มันจะมีทั้งเร้าแล้วดี คือพอใจ
กับเร้าแล้วไม่ดี คือไม่พอใจ
โดยทั้งพอใจและไม่พอใจ
ล้วนแล้วแต่เป็นเหตุแห่งทุกข์ที่ในใจทั้งสิ้น

4.ปัญหาในชีวิตประจำวันของท่าน
ซึ่งเป็นที่มาแห่งความทุข์ใจรายวันนั้น
แบ่งคร่าวๆได้เป็น 3 ประเภท คือ

#ประเภทแรก ปัญหาส่วนตัวและครอบครัว
#ประเภทที่สอง ปัญหาการใช้ชีวิตทางสังคม
#ประเภทที่สาม ปัญหาเกี่ยวกับอาชีพการงาน

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
ในชีวิตประจำวันของท่านและคนส่วนใหญ่
เหตุแห่งทุกข์ใจมากมายทั้งหลายนั้น
มันมาจากปัญหาในสามประเภทนี้แหละ

บางท่านจะเผชิญปัญหาที่ละเรื่อง
บางท่านก็เผชิญปัญหามากกว่าหนึ่ง
บางท่านก็เผชิญปัญหารอบด้านเลย

ที่สำคัญก็คือบางปัญหาแก้ไขยากหรือแก้นาน
บางปัญหาแก้แล้วแก้อีกไม่รู้สิ้นสุดจุดจบ
บางปัญหาแก้ได้แล้วแต่เกิดปัญหาใหม่ขึ้นอีก
บางปัญหาที่เผชิญก็ยังหาทางออกไม่ได้
จนต้องปล่อยให้ปัญหามันคาราคาซังอยู่
ทั้งๆที่รู้ดีว่าทิ้งไว้นานไม่ได้ ไม่แก้ไขก็ไม่ได้

สถานการณ์เหล่านี้
ล้วนเป็นที่มาแห่งทุกข์ท่วมใจได้ทั้งนั้น

5.พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

คนส่วนใหญ่สมัยนี้
ที่ห่างไกลจากการประพฤติธรรม
โดยไม่ใส่ใจในการยกระดับจิตตปัญญา
เพื่อพัฒนา #จิตสามนึก
คือ นึกออก นึกเอา และนึกเองนั้น
มักจะเป็นคนสติแตกง่ายเมื่อถูกยั่ว
จะเป็นคนโมโหร้าย
มีนิสัยทางอารมณ์ที่น่ากลัว
ผิดจากมนุษย์มนาโดยทั่วไปอย่างชัดเจน

ท่านทราบหรือไม่ว่า
คนเหล่านี้หรือตัวท่านเอง
ที่หงุดหงิดง่าย ฉุนเฉียวง่าย โมโหร้าย
และเป็นคนขาดสติง่ายคุมอารมณ์ไว้ไม่อยู่นั้น
เป็นเพราะว่าท่านมีต้นทุน
ทางจิตด้านบวกต่ำมาก

สาเหตุที่จิตมีต้นทุนด้านบวกต่ำก็เพราะว่า
ในชีวิตประจำวันของท่านนั้น
ได้สั่งสมแต่ด้านลบเอาไว้มากเกิน
สภาวะจิตของท่าน
จึงสั่นสะเทือนในระดับที่ต่ำกว่า
ระดับของความสงบสมดุลอยู่อย่างนั้น

เมื่อถูกยั่วยุด้วยเงื่อนไขด้านลบแม้เล็กน้อย
สภาวะจิตของท่านก็จะระเบิดความเป็นลบ
ออกมาตอบสนองอย่างรุนแรงทันที
ทั้งๆที่บางทีเป็นเรื่องเล็กน้อย
แต่อาการตอบสนองเหมือนเป็นเรื่องใหญ่
เพราะว่ามีการขาดสติเกิดขึ้น
จึงควบคุมพฤติกรรมตนเองไม่ได้

6.ในชีวิตประจำวัน
ท่านทั้งหลายได้แต่นัวเนียนุงนังอยู่กับ
ปัญหาทั้งสามประเภทที่เรากล่าวไว้นั้น
ทั้งปัญหาเก่าๆที่ค้างคา
กับปัญหาใหม่ๆที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน
จนท่านทั้งหลายพากันเมาปัญหา
จึงเปิดปัญญาใช้สมองของตนเองไม่ได้
จนนำมาซึ่งความทุกข์ทางใจไม่เว้นว่าง

ไม่แปลกหรอกที่พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
คือ เอกองค์จิตจักรวาลของท่านทั้งหลาย
ทรงเปิดมิติทางปัญญาให้ท่านได้รู้จัก
วลีที่ท่านคุ้นเคยกันอยู่เป็นประจำ
เพื่อสร้างสติทางวิญญาณให้แก่ท่าน
วลีที่ว่านี้ก็คือ....

ทุกข์-ทุกวันเวลา
ทุกข์-ทุกคน
ทุกข์-ทุกแห่งหน
ทุกข์-ทุกวิถีทาง
ทุกข์-ทุกค่ำคืน
ทุกข์-ทุกความต้องการ

สาเหตุเพราะทรงพบว่า
คนส่วนใหญ่บนโลกนี้คุ้นชินกับความทุกข์
จนไม่รู้ว่าสภาวะจิตตนเองนั้นป่วยอยู่
อันหมายความว่า "จิตป่วย" ด้วยโรคทุกข์
จากอาการจิตตกมากมายทั้งหลายแหล่
จึงทรงพยายามจะช่วยเหลือพวกท่าน
ให้หันมาฟื้นฟูสภาวะจิตตนเองกันเสียที

7.ดังนั้น
หน้าที่ของท่านทั้งหลายก็คือ
1.ต้องค้นหา "วิธีดับทุกข์" ที่ในใจให้ได้
2.ต้องค้นหา "วิธีป้องปกจิตใจ" มิให้ทุกข์อีก
3.ต้องค้นหา "หนทางพ้นทุกข์" ตลอดกาล

การดับทุกข์
เป็นการทำให้จิตสงบชั่วคราว
เมื่อเกิดทุกข์ขึ้นในจิตใจแล้ว

การป้องปกจิตใจมิให้ทุกข์อีก
เป็นการระมัดระวังตนมิให้ตกเป็นทาสการยั่วยุ
ในขณะใช้ชีวิตอยู่ในสังคม

การหาหนทางพ้นทุกข์ตลอดกาลนั้น
จะเป็นการยกระดับสภาวะจิตของท่านเอง
ให้อยู่เหนือทั้งทุกข์และสุข
ด้วยการไม่ติดทุกข์ไม่ติดสุข
คือ อยู่กับทุกข์ก็สุขสงบได้
อยู่กับสุขก็ไม่ทุกข์เพราะกลัวสุขจะหาย

8.พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
การที่วันๆท่านเอาแต่ฝักใฝ่การนั่งสมาธิ
เพื่อเพียงต้องการดับทุกข์ที่ในใจ
โดยมุ่งหวังให้จิตสงบชั่วคราว
เราจึงไม่สนับสนุนให้ท่านทำเช่นนั้นเลย
ถ้าท่านปรารถนาการหลุดพ้นแท้จริง

เพราะท่านจะหลุดพ้นไม่ได้
ถ้าจิตของท่านมันยังป่วยอยู่
เพราะจิตหยาบป่วยจิตวิญญาณก็ป่วย

จิตวิญญาณของท่านจะต้องแข็งแรง
จึงจะมีแรงดีดตนเองออกจากเอกภพนี้ได้
จิตหยาบจึงต้องได้รับการชำระให้สมดุล
มิใช่ปล่อยให้มีการอมโรคอยู่
หรือได้แต่กินยากดอาการป่วยไว้เท่านั้น

หวังว่าท่านทั้งหลายคงจะเข้าใจ
ในคำกล่าวของเราพอประมาณนะ

จงอย่าเกียจคร้านที่จะอ่านพระโอวาทนี้
ที่พระบิดาทรงเมตตาต่อพวกท่าน

จงอย่ามักง่ายในการเรียนรู้
ด้วยการอ่านผ่านๆเพียงสักแต่ว่าอ่าน
หรือเกิดอาการเบื่อหน่าย
เพราะความยาวขององค์ความรู้นี้

นิพพานมิใช่เรื่องง่าย
สำหรับคนที่ไม่เอาไหน
แต่ไม่ยากสำหรับใครที่มุ่งมั่นหมั่นเพียร

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
3-10-2017

30 กันยายน 2560

สนทนาประสาจิตจักรวาล 8



#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่น้องที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

เมื่อท่านมีปัญหากับใครก็ตาม
ถ้าท่านเกิดความโกรธใครคนนั้นขึ้นมา
นั่นแสดงว่าท่านโทษว่าเขาผิด
แล้วคิดมโนเองว่าท่านถูก
แสดงว่าท่านพิพากษาว่าเขาชั่ว
แล้วมโนเอาเองว่าตนเป็นคนดี

เมื่อท่านมีปัญหากับใครก็ตาม
ถ้าเขาคนนั้นเกิดความโกรธตัวท่านขึ้นมา
นั่นแสดงว่าเขาโทษว่าท่านผิด
แล้วคิดมโนเองว่าเขาถูก
แสดงว่าเขาพิพากษาว่าท่านชั่ว
แล้วมโนเอาเองว่าเขาเป็นคนดี

ท่านจะเห็นได้ว่าทั้งตัวท่านกับเขาคนนั้น
มีนิสัยการมองโลกเหมือนๆกัน
คือลำเอียงเข้าข้างตนเอง
แล้วยื่นลบไปให้อีกฝ่ายหนึ่งแทน
ทั้งๆที่ความจริงแล้ว
อาจมีฝ่ายใดถูกอีกฝ่ายหนึ่งผิด
หรือผิดทั้งคู่ไม่ก็ถูกทั้งคู่
หรืออาจไม่มีใครถูกใครผิดเลยก็ได้

ด้วยเหตุนี้เอง
ถ้าท่านทั้งสองฝ่ายยังยึดมั่น
ในหลักคิดเข้าข้างตนเองกันอยู่
มันจะมีประโยชน์อะไร
ถ้าจะไปมัวเสียเวลาถกทะเลาะกัน
เพื่อค้นหาว่าใครถูกใครผิด ใครดีใครชั่ว
เมื่อไม่มีทางที่จะบรรลุความเห็นพ้อง
จากการมองเห็นความจริงร่วมกันได้

สู้พยายามรักษาความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันไว้
ไม่แสดงความโกรธเกลียดเคียดแค้นกัน
แต่หันหน้ามาเรียนรู้ร่วมกันว่าอะไรเป็นอะไร
ด้วยการมองโลกไปตามความเป็นจริง
มิใช่มองคนอื่นหรือมองโลก
ไปตามอารมณ์ของตนเอง

สันติสุขในหมู่ชนไม่มีวันจะเกิดขึ้นได้
ถ้าคนส่วนใหญ่ยังไม่เปลี่ยนแปลงวิธีคิด
ยังไม่สำนึกในบาปบุญคุณโทษผิดชอบดีชั่ว
ยังยึดเอาอารมณ์รู้สึกนึกคิดของตัวเป็นใหญ่

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
30-09-2017

สนทนาประสาจิตจักรวาล 7



#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่น้องที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

มนุษย์ส่วนใหญ่
ชอบโทษผู้อื่นที่ทำร้ายตน
แต่ไม่เคยโทษตนเอง
ที่เป็นเหตุให้เขาทำร้ายเลย

มนุษย์ส่วนใหญ่
ไม่ยอมเรียนรู้ว่าทำไมเขาจึงทำร้ายตน
ไม่ยอมเรียนรู้ว่าเขาทำร้ายตนได้อย่างไร
เพื่อจะได้รู้วิธีป้องกันตนเองไว้
มิให้ถูกทำร้ายอีกในครั้งต่อๆไป

แต่กลับเสียเวลาให้กับการก่อกรรมใหม่
ด้วยการคิดหาหนทางทำร้ายเขากลับคืน
ซึ่งเป็นสัญชาตญาณของสัตว์ร้าย
แทนการใช้ความรักกับปัญญา
จัดการปัญหาระหว่างกันและกัน
เพื่อรักษาสัมพันธ์ระหว่างกันเอาไว้

จึงทำให้ความเลวของทั้งสองฝ่าย
ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย
ทั้งยังไม่ทำให้ใครฉลาดขึ้นมาได้
เพราะการเรียนรู้กันเลยสักนิดเดียว

จิตมนุษย์จึงไม่ใสใจมิอาจสวยขึ้นมาได้
เพราะต่างคนต่างฝ่ายขาดมหาสติ
จิตใจจึงถูกไฟโทสะเผาสุมรุมเร้า
จึงคิดแต่จะหนามยอกต้องเอาหนามบ่ง
คิดนึกอย่างอื่นไม่เป็นเห็นธรรมไม่ได้
แม้จะปฏิบัติบำเพ็ญธรรมมานาน
ก็นำพาจิตวิญญาณไปถึงแดนสุญตามิได้

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
เมื่อท่านจะออกจากบ้านไปทำธุระข้างนอก
ถ้ารู้ว่าฝนจะตกท่านยังรู้จักพกพาร่มไปด้วย
เพราะท่านไม่ต้องการเปียกฝนใช่หรือไม่
แต่ถ้าท่านไม่ต้องการเปียกฝน
ท่านก็คงจะต้องเก็บตัวอยู่กับบ้าน
ส่วนเรื่องธุระนั้นก็เก็บเอาไว้ก่อน

มันจึงไม่ต่างจากการออกไปใช้ชีวิตในสังคม
ซึ่งมีผู้คนทั้งดีและร้ายปะปนกันอยู่มากมาย
เมื่ออยู่ในสังคมย่อมพบเจอทั้งคนดีที่เราชอบ
และต้องพบเจอคนไม่ดีที่เราไม่ชอบด้วย

ดังนั้น
เมื่ออยู่ในสังคมท่านจึงต้องมีสติระวังตน
เพราะท่านรู้ดีว่าต้องพบเจอคนชั่วแน่ๆ
ไม่ต่างจากการถือร่มไว้กันฝน
เมื่อท่านต้องออกนอกบ้าน
เพราะท่านรู้ดีว่าฝนจะต้องตกแน่ๆ

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
เมื่อท่านมีปัญหากับใครหรือสิ่งใดก็ตาม
มันมีสองทางเลือกให้ท่านทำ
หนึ่ง เลือกทำที่ตัวเอง
เพื่อให้ปัญหานั้นลุล่วง

สอง เลือกทำที่คนอื่นสิ่งอื่น
เพื่อให้ปัญหานั้นลุล่วง

ตรึกตรองเถิดว่า
ถ้าทุกปัญหาจะสิ้นสุดยุติได้
ควรจะจัดการแก้ไขที่ใครง่ายกว่ากัน
ระหว่างตัวท่านเองกับคนอื่นๆ

ด้วยเหตุนี้เอง
ท่านจึงเลือกจัดการที่ตนเอง
ด้วยการพกพาร่มออกจากบ้านไปด้วย
แทนที่จะไปจัดการห้ามฝนมิให้ตก
เพราะท่านรู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้

มันจึงไม่ต่างอะไรกันกับการใช้ชีวิตในสังคม
ที่ท่านจักต้องจัดการแก้ไขป้องกันที่ตนเอง
โดยครองสติเอาไว้ให้มั่นคงตลอดเวลา
เมื่อได้เผชิญหน้ากันกับคนชั่ว
ก็จักไม่พลาดท่าเสียทีถูกทำร้ายง่ายนัก
ซึ่งท่านไม่เลือกใช้วิธีไปเที่ยวบังคับคนชั่ว
มิให้มายั่วยุทำร้ายท่าน
เพราะมันมิใช่เรื่องง่ายดายเลย

ดังนั้น
เมื่อใดที่ท่านตกเป็นฝ่ายถูกก้าวล่วงทำร้าย
ท่านจึงไม่ควรติโทษคนอื่นอยู่ฝ่ายเดียว
เพราะตัวท่านเองซึ่งมีหน้าที่ปกป้องระวังตน
ก็บกพร่องจนเปิดช่องให้เขาทำร้ายเอาได้

หากท่านยอมรับสัจธรรมความจริงนี้ได้
จิตใจของท่านก็จักใสสวยสงบเย็นทันที
ความอาฆาตพยาบาทก็จะไม่บังเกิด
ให้ต้องเสียเวลาทำใจเพื่อให้อภัยในภายหลัง
ซึ่งแค้นฝังใจมันมิอาจถอนแค้นกันได้ง่ายนัก

มนุษย์ส่วนใหญ่พยายามแก้ไขปัญหา
ด้วยการพยายามจะจัดการที่คนอื่นตลอดมา
แต่ทั้งชีวิตก็ยังเต็มไปด้วยปัญหา
เพราะว่าไม่เคยจัดการใครได้สำเร็จเลยสักราย

มนุษย์ส่วนใหญ่เหล่านี้
จึงต้องเลือกใช้วิธีบำเพ็ญธรรม
ด้วยการนำพาตนเองขึ้นเขาเข้าป่า
เพื่อแสวงหาวิธีดับทุกข์แบบแปลกๆ

วิธีที่มักนิยมใช้เป็นเครื่องมือดับทุกข์กัน
คือการฝึกเท็คนิกสมาธิแบบ "ไม้ทับหญ้า"
ด้วยการใช้จิตข่มจิตเอาไว้มิให้พลุ่งพล่าน
เพื่อสัมผัสถึงอาการเบาสบายเมื่อจิตสงบ
ซึ่งเป็นการพบความสุขสงบแค่ชั่วคราว

เมื่อออกจากสมาธิไปใช้ชีวิตปกติในสังคม
แรงอาฆาตพยาบาทก็ยังคงอยู่
นิสัยการดำเนินชีวิตแบบเข้าข้างตัวก็ยังอยู่
เพราะมัวแต่ไปนั่งสมาธิอย่างคร่ำเคร่ง
แต่ยังมิได้จัดการแก้ไขที่จิตใจตนเองเลย
พอมีคนชั่วคนใหม่มายั่วยุยียวนกวนใจอีก
พลันก็ปรี๊ดแตก! สติแตก! อยู่ซ้ำซาก
เนื่องจากแก้ปัญหาไม่ถูกจุด

เพราะหนทางดับทุกข์ใจจากไฟพยาบาทนั้น
แท้จริงแล้วต้องหยิบปัญญามาดับมัน
มิใช่เอาอะไรมากลบๆไฟนั้นไว้
เพราะเชื้อไฟนั้นมันยังอยู่
มันพร้อมจะลุกพรึบขึ้นมาใหม่ได้เสมอ
หากถูกยั่วยุยียวนเหมือนถูกราดด้วยน้ำมัน

มรรควิถีจิตจักรวาล
จึงเน้นให้ท่านปฏิบัติธรรมชาติสมาธิ
ด้วยการครองมหาสติในชีวิตประจำวัน
และช่วยติดอาวุธทางปัญญาให้ท่าน
เพื่อสามารถหยิบปัญญามาดับทุกข์ได้
เพราะเรามั่นใจว่า
ความฉลาดทางปัญญาเท่านั้น
ที่จะช่วยท่านดับการเกิดดับได้อย่างสิ้นเชิง

ลองเปลี่ยนแปลงวิธีคิด
ลดละทิฐิของท่านลงเสียบ้าง
วิถีชีวิตของท่านทั้งหลายจะเปลี่ยนไป

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
30-09-2017