14 สิงหาคม 2566

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 14/08/2023

(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
คุณสมบัติของมนุษย์ในประการที่ 5 คือ
การเป็นผู้ที่มี “จิตใสใจสวยรวยปัญญา”
ด้วยการ #นึกให้เป็นเพื่อคิดให้เป็น ที่ว่านี้นั้น
คุณจะต้องสร้างคุณสมบัติต่างๆดังนี้
 
1.จะต้องฝึกการ “นึกออก นึกเอา นึกเอง”
จำเพาะทางด้านบวกให้ชำนาญการเอาไว้ก่อน
เพื่อสร้างทักษะการคิดด้วยสมองไปตามที่จิตนึก
 
การนึกออกแต่เรื่องดีๆและมีประโยชน์
ทั้งของตนเองที่ผ่านมาและของคนอื่นๆที่คุณรู้มา
นอกจากจะเป็นประสบการณ์อันควรระลึกถึงแล้ว
เมื่อคุณนึกออกหรือจำได้เมื่อไหร่ก็เป็นสุขเมื่อนั้น
 
คุณจะต้องรู้ว่า
ประสบการณ์ที่ไม่ดีในชีวิตที่ผ่านมา
ไม่ว่าจะเป็นของตัวคุณเองที่พบพานผ่านเผชิญมา
หรือที่คุณรู้เห็นจากประสบการณ์ผ่านบุคคลอื่นมา
จะมองว่าเป็นสิ่งไม่ดีเป็นประสบการณ์ที่ไร้ค่ามิได้
คุณต้องแยกให้ออกระหว่าง #เรื่องราวกับอารมณ์
เพราะเรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่คุณเผชิญมันมานั้น
มีประโยชน์ที่จะใช้เป็น “บทเรียน” มากกว่าอารมณ์
 
ถ้าคุณจำบทเรียนได้คุณก็จะเป็นฝ่าย “บัณฑิต”
ถ้าได้แง่คิดจากบทเรียนนั้นคุณก็เป็น “นักปราชญ์”
 
ถ้าคุณจำแต่อารมณ์ที่ไม่ดีจากประสบการณ์นั้นไว้
คุณก็จะเป็นได้แค่ “ฆาตกรหรืออาชญากร” คนหนึ่ง
ที่ลมหายใจจะมีแต่ความโกรธแค้นอาฆาตพยาบาท
ทั้งความรอบรู้และความเฉลียวฉลาดจะไม่อาจมีเลย
เพราะจิตหยาบมันทำหน้าที่ได้ทีละอย่างเท่านั้น
#ถ้าจิตไม่ว่างจากโกรธจิตจะรักจะนึกเพื่อจะคิดมิได้
แปลว่าคุณจะได้แต่อารมณ์มากกว่าปัญญาเท่านั้น
 
การนึกเอาแต่เรื่องดีนึกแต่เรื่องมีประโยชน์ก็เช่นกัน
เช่น นึกว่าจะช่วยเหลือเกื้อกูลเขายังไงได้บ้างหนอ
นึกว่าจะช่วยให้ตนเองมีความสุขสำเร็จได้ยังไงบ้าง
นึกเอาว่าเขาคนนี้ต้องปรารถนาดีต่อเราแน่นอน
นึกเอาว่าชาตินี้สักวันหนึ่งข้างหน้าเราต้องเอาดีให้ได้
 
การนึกเอาแต่เรื่องดีๆคือการวาดหวังอย่างมีหลักการ
เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้ตนเองในห้วงปัจจุบันขณะ
หมายถึงการเลือกที่จะมองโลกในแง่ดีแบบคนฉลาด
ซึ่งตรงข้ามกับคนโง่ที่ไม่ฉลาดในการใช้ปัญญาขบคิด
ในสภาวะจิตคนโง่จะมีแค่ “ซวยแน่ ๆ...แย่แล้วเรา”
“มันต้องโกงกูแน่” หรือ “มันจะมีอะไรให้กูมั่ง” เป็นต้น
 
เมื่อใดที่คุณนึกเอาแต่เรื่องลบๆร้ายๆเช่นว่านี้
สภาวะจิตของคุณมันจะถูกบั่นทอนจนเสียสมดุล
ทำให้จิตไม่ว่างไปจากกิเลสตัณหาอารมณ์ขยะ
ก่อให้เกิดความ “ทุกข์” ครอบงำจิตหยาบจนไร้อิสระ
ซึ่งคุณจะเข้าถึงความรักความคิดด้วยจิตสงบไม่ได้
 
การนึกเองนี่ก็เช่นเดียวกัน
“การนึกเอง” ในที่นี้เราหมายถึงการ #คิดแทนผู้อื่น
โดยการคิดแทนผู้อื่นนั้นพวกคุณทุกคนต่างถนัดนัก
เพราะจริตนิสัยสันดานของมนุษย์มันว่องไวมาก
เนื่องจากจิตหยาบมี 3 ตัวนึกและมันช่างนึกไปเรื่อย
พระเจ้าจึงทรงเปรียบจิตหยาบว่าซุกซนเหมือนลิง
จึงทรงแนะให้คุณทำจิตให้มันสงบนิ่งด้วย #มหาสติ
ในรูปแบบของ #ธรรมชาติสมาธิ ไม่ต้องปิดอายตนะ
ตรงข้ามกับวิธี “เท็คนิกสมาธิ” แบบนักพรตนักบวช
 
มหาสติช่วยให้สภาะจิตสงบนิ่งสยบจริตสันดานได้
เพราะ “มหาสติ” ประกอบด้วยการรู้สติ มีสติ ใช้สติ
 
โดย “รู้สติ” คือ
รู้ว่าในขณะนี้ตนกำลังทำอะไรอยู่
รู้ว่าเมื่อสักครู่ตนเพิ่งจะทำอะไรมา
รู้ว่าต่อไปในภายหน้าตนจะต้องเผชิญกับสิ่งใด
หมายถึง การตื่นตัว ตื่นรู้และตื่นใจนั่นเอง
 
โดย “มีสติ” คือ
การรู้รับรู้ รู้รับเอา
การรู้รับรู้ รู้ไม่รับเอา
การรู้ที่จะไม่รับรู้ รู้ที่จะไม่รับเอา
หมายถึง การรู้ตัวทั่วพร้อมอย่างแท้จริง
 
โดย “ใช้สติ” คือ
สามารถเข้าถึงปณิธานแห่งนิพพานได้
 
ปณิธานแห่งนิพพานหมายถึงการหลุดพ้น
โดยเบื้องต้นคือหลุดพ้นไปจากกิเลส
เบื้องกลางคือหลุดพ้นไปจากบริวารของกิเลส
ซึ่งเป็นการนิพพานก่อนตายไปจากโลกนี้
 
เบื้องปลายคือหลุดพ้นนิพพานจากเอกภพ
เพื่อกลับบ้านแดนสุญตาที่จิตวิญญาณจากมา
ซึ่งเป็นการ “นิพพาน” หลังตายไปจากโลกแล้ว
 
การที่คุณจะต้องกำกับจิตหยาบไว้ด้วยมหาสติ
ก็เพื่อสร้างสภาวะการตื่นตัวเพื่อการรู้ตัวทั่วพร้อม
ในการสั่นสะเทือนจิตสามนึกด้านบวกให้ถูกต้อง
ซึ่งเป็นขั้นตอนของ “สังขารขันธ์” ของขันธ์ห้า
แทนการหลบมุมไปอยู่คนเดียวใน #วิเวการาม
ไม่ว่าจะเป็นห้องนอนห้องพระในป่าในเขาในถ้ำ
เพื่อแสร้งทำเป็นคนอายตนะพิการชั่วครั้งชั่วคราว
จะได้ไม่มีอะไรจากภายนอกเป็นเงื่อนไขรบกวน
ทำให้ควบคุมจิตหยาบของตนได้ยากหรือคุมไม่ได้
จนเกิดอาการจิตตกสติแตกไปอย่างง่ายดาย
 
เพราะพวกคุณเป็นสัตว์สังคม
จะทิ้งสังคมไม่ให้ใครคบหรือไม่ยอมคบใครไม่ได้
จะแสร้งทำเป็นคนหูหนวกตาบอดหรือว่าเป็นใบ้
ด้วยการนั่งกรรมฐานที่เป็น “เท็คนิกสมาธิ” ไปวันๆ
เพื่อปิดช่องทางการรับรู้ของอายตนะทั้งห้าก็ไม่ได้
เพราะมันมิใช่วิธีการปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องถ่องแท้
เนื่องจากผิดหลักธรรมชาติทั้งสองประการนั่นคือ
หนึ่งการทำตนเป็นคนพิการด้านอายตนะภายนอก
สองละทิ้งสังคมเพื่อปลีกวิเวกจะไปสวรรค์คนเดียว
ซึ่งคุณจะเรียกมันว่าเป็น #การปฏิบัติธรรม ไม่ได้
แท้จริงแล้วเป็นการปฏิบัติอุตริมนุษยธรรมมากกว่า
 
2.จะต้องฝึก “การนึกให้เป็นเพื่อคิดให้เป็น”
การนึกให้เป็นเพื่อคิดให้เป็นที่ว่านี้หมายถึง
การต่อยอดทักษะในการนึกด้วยจิตคิดด้วยสมอง
อย่างเป็นรูปธรรมไปอีกขั้นตอนหนึ่งนั่นเอง
โดยคุณจะต้องปฏิบัติดังต่อไปนี้ คือ
 
#ประการแรก
คือ “การเอาใจเขามาใส่ใจเรา” ด้วยการนึกว่า
#ถ้าเราเป็นเขา เราจะเป็นอย่างไร
#ถ้าเราเป็นเขา เราจะรู้สึกนึกคิดอย่างไร
#ถ้าเราเป็นเขา เราจะตอบสนองอย่างไร
#ถ้าเราเป็นเขา เราจะได้หรือเสียประโยชน์อะไรบ้าง
 
#ประการที่สอง
คือ “เอาใจเราไปใส่ใจเขาบ้าง” ด้วยการนึกว่า
#ถ้าเขาเป็นเรา เขาจะเป็นอย่างไร
#ถ้าเขาเป็นเรา เขาจะรู้สึกนึกคิดอย่างไร
#ถ้าเขาเป็นเรา เขาจะตอบสนองอย่างไร
#ถ้าเขาเป็นเรา เขาจะได้หรือเสียประโยชน์อะไรบ้าง
 
#ประการที่สาม
คือการ “ยั้งคิดยั้งทำ” ด้วยการปฏิบัติแบบนี้นะ
 
1.ต้องนึกก่อนนึก
หมายถึง ต้องกำหนดนึกหรือตั้งใจที่จะนึก
เพื่อกำหนดให้สมองของคุณ “คิด” ตามที่นึกนั้น
โดยไม่ปล่อยให้จิตมันนึกแบบสะเปะสะปะ
 
นึกแบบ “สะเปะสะปะ” หมายถึง
การปล่อยให้จิตมันนึกไปตามจริตสันดานของมัน
หรือการปล่อยให้จิตมันนึกไปตามกิเลสที่เกิดขึ้น
ซึ่งคุณต้องรู้ตัวทั่วพร้อมอย่าไปยอมมันง่ายๆ
เพราะจิตเป็นนายกายเป็นบ่าวมันจะพาคุณให้ลงนรก
พาไปตกบึงไฟหรือตกลงไปในบ่อย่ำองุ่นได้ง่ายๆ
 
ถ้าคุณกำกับสันดานเอาไว้ได้
ถ้าคุณรู้เท่าทันกิเลสในปัจจุบันขณะนั้นได้
มันจะช่วยให้การนึกก่อนนึกของคุณนั้น
เป็นไปในในทิศทางที่จะเกิดประโยชน์ต่อการคิดรู้
เพื่อนำไปสู่การแสดงออกหรือกระทำที่ถูกต้องได้
 
2.ต้องนึกก่อนคิด
หมายถึง ก่อนที่คุณจะคิดเรื่องใดสิ่งใดก็ตาม
คุณจะต้องตั้งคำถามตนเองให้เป็นด้วย
การตั้งคำถามเป็นก็คือคำถามที่คุณนึกถามตนเองนั้น
มันจะต้องตรงกับ “คำตอบ” ที่ต้องการอย่างชัดเจน
คำตอบที่จะได้ต้องตรงประเด็นและเป็นรูปธรรมด้วย
 
ถ้าคุณตั้งคำถามผิดคุณจะได้คำตอบที่ผิด
เช่น ถามว่า “ไปไหนมา” ทั้งๆที่อยากรู้ว่ายาวเท่าไหร่
หรือถามว่า “ยาวเท่าไหร่” ทั้งๆที่อยากรู้ว่าไปไหนมา
 
3.ต้องเรียบเรียงเรื่องที่จะคิดตามลำดับก่อนหลัง
 
สื่อถ่ายทอดคลื่นความคิดในระบบจิตสู่จิต
จากองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่
 
ปัญญาวิสุทธิ์
14/08/2566