31 พฤษภาคม 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 31/05/2024

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

หนึ่งในกฎหลักของจักรวาลของพระบิดา

ที่ทุกสรรพสิ่งและพวกคุณจักต้องถือปฏิบัติกันก็คือ

#กฎแห่งการสมดุลกันของทุกสรรพสิ่ง

 

คำว่า #สมดุลกัน ในที่นี้หมายถึง

1.ทุกสิ่งนั้นจะต้อง “เสมอภาค” กัน

2.ทุกสิ่งนั้นจะต้อง “เท่าเทียม” กัน

3.ทุกสิ่งนั้นจะต้อง “กลมกลืน” กัน

 

ทั้ง 3 ประการนี้

จะมีความสมดุลกันทั้งด้านปริมาณและขนาด

เพื่อการดำรงอยู่ร่วมกันกับสิ่งแวดล้อมอย่างลงตัว

แม้มีความต่างกันในบางด้านที่หลากหลายก็ตาม

โดยในธรรมชาตินั้นทุกสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง

ล้วนมีคุณสมบัติจำเพาะในการ “ปรับตัว” เข้าหากัน

เพื่อสร้างสมดุลกันทั้งสามประการดังกล่าวนี้เองได้

 

สำหรับพวกคุณนั้น

ต่างจากสรรพสิ่งอื่นที่ดำเนินชีวิตอยู่ในธรรมชาติ

เพราะสามารถที่จะปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้บ้าง

ซึ่งเป็นแค่เพียงเรื่องเล็กๆน้อยๆเท่านั้นเอง

เช่น นิสัยในการดำเนินชีวิตกับภูมิอากาศแวดล้อม

ถ้าอยู่ในเขตร้อนก็จะไม่ค่อยกระตือรือร้นเท่าใดนัก

ต่างจากคนที่อยู่ในภูมิภาคของเขตอากาศหนาวเย็น

จะเป็นคนกระตือรือร้นมากกว่าคือรีบเดินรีบทำเป็นต้น

 

ที่พระบิดาทรงกำหนดไว้ให้คร่าวๆ

ก็เพื่อความอยู่รอดปลอดภัยในเบื้องต้นเท่านั้น

เนื่องจากพวกคุณเป็นสัตว์สังคมสิ่งแวดล้อมก็คือคน

ซึ่งความแตกต่างระหว่างคนหลักๆคือนิสัยกับสันดาน

ที่มีความแตกต่างกันอย่างหลากหลายมากกว่า

ความแตกต่างกันของสิ่งแวดล้อมในธรรมชาติ

พระองค์จึงทรงออกแบบให้พวกคุณมีสมองสองซีก

ที่มีพลังอำนาจทางปัญญาคือความฉลาดของสมอง

ซึ่งแต่ละคนสามารถเข้าถึงอำนาจสูงสุดของมันได้

สำหรับใช้ “ปรับตัวเข้าหากัน” เพื่อสร้างสมดุลกัน

ตามที่ตนปรารถนาได้โดยไม่ต้องพึ่งพาธรรมชาติ

เหมือนพวกจิ้งจกตุ๊กแกแย้กิ้งก่ากบและเขียดเป็นต้น

 

เพียงแค่สมองสองซีก

พระบิดาก็ทรงติดตั้งความฉลาดทางปัญญา

รวมทั้งสิ้น 3 ระดับความฉลาดไว้ให้ใช้อยู่แล้ว

เพียงแต่พวกคุณสามารถจะเข้าถึงอำนาจของมัน

เพื่อใช้งานมันได้ดีแค่ไหนมากน้อยอย่างไรเท่านั้น

 

เริ่มจากภพชาติแรกที่ได้มาเกิดเป็น #คนสองมิติ

พระองค์ทรงกำหนดให้พวกคุณฉลาดเท่ากันทุกคน

เพื่อสามารถใช้สมองในการดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกัน

ตาม #กฎแห่งการสมดุลกันของทุกสรรพสิ่ง ได้เลย

เพียงแต่คุณต้องเรียนรู้ที่จะใช้มันและฝึกใช้กันให้ได้

ด้วยการสั่นสะเทือนมันเอาไว้ให้ต่อเนื่องตลอดเวลา

เพราะเซลล์สมองนับล้านเซลล์นั้นเป็นเซลล์ประสาท

เซลล์สมองส่วนใดที่ไม่ได้ใช้งานเซลล์สมองส่วนนั้น

จะเสื่อมสมรรถภาพลงไป 10% ในทุกๆ 9 ปีที่ไม่ใช้

โดยเริ่มตั้งแต่สะพานเชื่อมสมองสองซีกสร้างเสร็จ

นั่นคือคุณมีอายุขัยได้สามขวบปีขึ้นไปเรียบร้อยแล้ว

 

ความฉลาดทางจิตปัญญาของพวกคุณนั้น

พระผู้สร้างหรือองค์จิตจักรวาล

ได้ทรงออกแบบไว้ให้ใช้รวม 3 ระดับ คือ

 

1.#จิตสัญชาตญาณ

มีที่ตั้งอยู่ตรงก้านสมองบริเวณท้ายทอย

เป็นสมองส่วนที่ถูกสร้างขึ้นก่อนสมองส่วนอื่น

เพื่อให้จิตวิญญาณผู้ขันอาสาเข้ามาเกิด

ใช้เป็นสมองกลในการถักทอกายหยาบด้วยความรัก

ตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิในครรภ์ของมารดาให้เป็นทารก

ตามคุณสมบัติต่างๆที่จิตวิญญาณนั้นถือรหัสมา

 

นอกจากนั้น “จิตสัญชาตญาณ” ที่ว่านี้

จิตวิญญาณจะเป็นผู้ควบคุมและสั่งการโดยตรง

โดยจิตสามนึกไม่อาจข้องเกี่ยวหรือแทรกแซงได้

เพราะหน้าที่หลักในการใช้สัญชาตญาณก็คือ

#ภารกิจการเอาชีวิตรอด เพื่อการอยู่รอดปลอดภัย

เช่นเมื่อมือคุณจับของร้อนก็จะสะดุ้งชักมือหนีทันที

โดยที่คุณไม่ต้องเสียเวลาคิดวางแผนสั่งการมันเลย

 

กรณีที่ร่างกายคุณขาดน้ำ

จิตวิญญาณคุณจะสั่งการผ่านสัญชาตญาณว่า

คุณกำลังกระหายน้ำด้วยอาการ “คอแห้ง”

เพื่อกระตุ้นให้จิตหยาบสั่งคุณให้รีบดื่มน้ำเข้าไป

ก่อนที่ร่างกายจะขาดน้ำมากจนเสียชีวิตได้

 

กรณีที่ถึงเวลารับประทานอาหาร

จิตวิญญาณคุณจะสั่งการผ่านสัญชาติญาณว่า

คุณกำลังต้องการอาหารด้วยอาการ “หิว”

อันเกิดจากกระเพราะอาหารและลำไส้บีบรัดตัว

ถ้าหิวมากก็จะบีบรัดตัวมากจนท้องไส้ร้องจ๊อกๆเลย

ซึ่งคุณจะรู้ตัวจนรีบหาอะไรทานเข้าไปทันที

 

จิตสัญชาตญาณนี้

จิตวิญญาณของคุณจะเป็นผู้สั่งการและควบคุมมัน

ตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิไปจนกว่าจะดับสิ้นอายุขัยคือตาย

เพื่อให้คุณรู้ว่าจิตวิญญาณไม่ต้องการให้คุณตาย

โดยไม่ไว้ใจว่าจิตหยาบผู้เป็นตัวแทนของตนนั้น

จะเหลวไหลจนทำให้เครื่องยนต์แห่งกรรมดับขันธ์

ก่อนถึงกาลเวลาที่กำหนดไว้หรือเปล่า

เพราะถ้าจิตวิญญาณไม่มีกายหยาบหรือกายสังขาร

ปฏิบัติการในสองมิติที่จิตหยาบเป็นผู้รับผิดชอบนั้น

ภารกิจของจิตวิญญาณมันจะดำเนินการไม่ได้เลย

 

2.#สติปัญญา

เป็นความฉลาดทางปัญญาของสมองซีกซ้าย

สำหรับใช้เพื่อการคิดแบบจิตมนุษย์นั่นเอง

โดยพวกคุณใช้สติปัญญาของสมองซีกซ้ายนี้ได้ฟรี

ซึ่งพวกคุณสามารถใช้มันได้ตั้งแต่ก่อนสามขวบแล้ว

เพราะพระบิดาทรงออกแบบให้เป็นระบบอัตโนมัติ

เพียงแค่คุณสั่นสะเทือนเป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดขึ้นมา

สมองซีกซ้ายมันก็จะสั่นสะเทือนเพื่อการคิดได้แล้ว

ไม่ว่าจะคิดถูกหรือคิดผิดไม่ว่าจะคิดดีหรือคิดชั่ว

สมองซีกซ้ายจะสั่นสะเทือนตามจิตหยาบในทันที

 

เพราะพระบิดาทรงออกแบบเอาไว้เช่นนี้

พวกคุณจึงคุ้นชินกับการใช้สติปัญญาสมองซีกซ้าย

ที่เราใช้คำว่า “ใช้ฟรี” โดยไม่ต้องมากพิธีรีตองอะไร

 

แต่เนื่องจากการใช้ฟรีแบบอัตโนมัตินี้

มันจะทำให้พวกคุณทำผิดคิดชั่วได้ง่ายในชีวิตจริง

ถ้าจิตหยาบคุณถูกกิเลสครอบงำเอาไว้ในขณะนั้น

หรือกำลังถูกอารมณ์เป็นตัวขับเคลื่อนการนึกคิดอยู่

ซึ่งมันจะทำให้ตัวคุณเสียสมดุลกับคนรอบข้างได้

ไม่ว่าจะเสียสมดุลเพราะคนรอบข้างเป็นตัวต้นเหตุ

หรือว่าคุณเองเป็นต้นเหตุให้คนรอบข้างเสียสมดุล

เพราะสภาวะจิตในปัจจุบันขณะของพวกคุณนี่แหละ

จะเป็นผู้บังคับขับเคลื่อนพฤติกรรมของพวกคุณว่า

มันจะเป็นไปตามกฎแห่งการสมดุลกันได้ดีแค่ไหน

 

ดังนั้น

ไม่ว่าจะนึกคิดพูดทำสิ่งใดในชีวิตก็ตาม

แม้จิตจะเป็นนายส่วนกายจะเป็นบ่าวก็ตาม

คุณก็ต้องใช้ “ปัญญา” นำ “จิต” ของคุณเสมอ

อย่าปล่อยให้จิตหยาบบงการพฤติกรรมเด็ดขาด

เพราะก้อนสมองของคุณภายในกะโหลกศีรษะ

จะมีจิตหยาบตรงต่อมไพเนียลหรือตาที่สามนั้น

ติดตั้งอยู่ต่ำกว่าก้อนสมองให้เป็นที่สังเกตอยู่แล้ว

 

สิ่งใดก็ตามที่อยู่สูงกว่าหรือเหนือกว่าแสดงว่า

สิ่งนั้นต้องให้ความสำคัญกับมันมากกว่าเอาไว้ก่อน

คุณจึงต้องเน้นที่สติปัญญาของสมองก่อนนั่นเอง

 

การใช้สติปัญญาของสมองซีกซ้ายนั้น

นอกจากคุณจะใช้งานได้ในระบบอัตโนมัติแล้ว

ถ้าไม่ต้องการให้คิดผิดๆถูกๆเพราะกิเลสชี้นำแล้ว

มันจะเป็นประโยชน์กับคุณมากยิ่งขึ้นได้

ถ้าคุณสร้างกระบวนการในการคิดด้วยวิธีกดปุ่มเป็น

โดยการกดปุ่มเป็นกระบวนการคิดด้วย #จิตตปัญญา

คิดในขณะที่จิตว่างหรือจิตสะอาดปราศจากกิเลส

คิดอย่างมีหลักการและมีเหตุผลรองรับเสมอ

ที่สำคัญคือคิดทีละเรื่องคิดทีละขั้นตอนตามลำดับ

ภาษามนุษย์เรียกวิธีการคิดแบบนี้ว่า #คิดวิเคราะห์

 

การเรียนรู้โลกทุกด้านทุกแขนง

ต้องใช้สติปัญญาของสมองซีกซ้ายแบบที่ว่านี้

คุณจึงต้องระวังกิเลสที่ในจิตเอาไว้ให้มาก

เพราะมันคือมารตัวใหญ่ที่เป็นมารภายใน

ซึ่งน่าเกลียดน่ากลัวมากกว่าผีโสโครกเสียอีก

คนทั้งโลกที่ต้องการหมุนธรรมจักรในตัวเอง

พากันตกม้าตายมาแล้วนานนับพันๆปีที่ผ่านมา

ก็เพราะมีมารภายในคือ “กองกิเลส” เป็นอุปสรรค

พระศาสดาจึงสอนให้หาทาง “นิพพานกิเลส”

ขณะยังมีชีวิตอยู่ให้สิ้นซากไปจากจิตหยาบให้ได้

เมื่อตายแล้วจิตวิญญาณจึงจะเข้าถึงสภาวะนิพพาน

คือหลุดพ้นออกไปจากเอกภพนี้เพื่อคืนสู่เหย้า

คือแดนสุญตาบ้านเกิดที่จากมานานนับหมื่นปีได้

 

3.#ปัญญาญาณ

เป็นความฉลาดทางปัญญาของสมองซีกขวา

โดยความฉลาดของสมองซีกขวาที่ว่านี้

ถ้าไม่มีพรสวรรค์ในการใช้งานมันมาจากอดีตชาติ

และถ้าไม่ใช้มันในลักษณะที่เรียกว่า “ฟลุ้ค” แล้ว

คุณจะหยิบฉวยมันมาใช้ฟรีๆเหมือนสติปัญญาไม่ได้

ถ้าจะใช้มีเพียงวิธีเดียวคือต้อง #กดปุ่ม ใช้เท่านั้น

 

วิธีใช้ปัญญาญาณของสมองซีกขวานี้

เป็นกระบวนการคิดที่เรียกว่า #สังเคราะห์

โดยนำเอาความรู้ที่ได้มาจากกระบวนการวิเคราะห์

มาใช้เป็นวัตถุดิบในการสังเคราะห์อีกขั้นตอนหนึ่ง

เพื่อนำเอาผลึกความรู้ที่สังเคราะห์หรือเจียระไนได้

มาสร้างประโยชน์สุขในการดำเนินชีวิตของคุณ

ซึ่งเป็นอาหารของจิตวิญญาณคือแก่นแท้นั่นเอง

 

ถ้าพวกคุณใช้ปัญญาทั้งสามระดับนี้เป็น

ทั้งสามารถเข้าถึงพลังอำนาจสูงสุดของมันได้

คุณจะเป็นมนุษย์ที่สมดุลและสมบูรณ์กับเขาคนหนึ่ง

โดยไม่เสียทีที่ได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์

แปลว่า “ไม่เสียชาติเกิด” อย่างแน่นอน

 

อย่าลืมนะว่า

ขยันทำมาหากิน ขยันทำรวย

ด้วยการหาทรัพย์สินเงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียง

มันจะสู้แสวงหาความฉลาดทางปัญญาในตนเอง

ที่คุณมีของคุณอยู่แล้วไม่ต้องดิ้นรนไปแย่งของใคร

โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไกลไปหาให้เสียเวลา

ซึ่งมันง่ายกว่ากันตั้งเยอะ...รีบทำเสียทีเถอะ

 

เพราะถ้าจะนิพพานกิเลสได้ก็ต้องใช้ปัญญาเป็น

จะหลุดพ้นกลับบ้านได้ก็ต้องใช้ปัญญาเป็นเช่นกัน

ก้อนสมองทั้งสองซีกนี่แหละสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด

ของนอกกายทั้งหลายหาได้ด้วยปัญญาทั้งนั้น!

 

กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

31/05/2567