18 พฤษภาคม 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 18/05/2024

 พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

พวกคนนำทางตาบอดชราในกาลอดีต

ผู้ปรารถนากรรมฐานเป็นอารมณ์ทั้งหลายนั้น

หลายคนในยุคนั้นได้ยินเสียงที่ในหัวหลอกว่า

กรรมฐานเป็นวิธีการปฏิบัติธรรมของคนชอบธรรม

ที่พระพุทธองค์ทรงกำหนดแนวทางเอาไว้

พวกนี้จึงเชื่อตามเพราะเข้าใจว่าเป็นเสียงครูอาจารย์

ที่มีเมตตาสื่อสารเข้ามาสอนธรรมะนั้นให้ตน

 

เป็นการเชื่อทันทีที่สัมผัสกับสุ้มเสียงอัศจรรย์นั้น

โดยอธิบายไม่ได้ว่าแท้จริงแล้วเป็นเสียงของผู้ใดแน่

ตัวตนก็มองไม่เห็นได้ยินเพียงแค่เสียงสอนเท่านั้น

เพราะเสียงนั้นอ้างพระศาสดาที่ตนยอมรับนับถืออยู่

ก็เลยเชื่อตามเสียงที่ได้ยินในหัวนั้นไปทันที

โดยไม่รู้ว่าผู้อ้างตนเป็นครูบาอาจารย์ที่เมตตานั้น

เป็นศัตรูผู้ไม่ประสงค์ดีที่ต้องการใช้ตนเป็นเครื่องมือ

เพื่อให้ช่วยทำหน้าที่เป็นกรรมกรแสงให้แก่พวกเขา

 

คำว่า “กรรมกรแสง” ในที่นี้เราหมายถึง

ผู้ทำหน้าที่ในการผลิตสร้างพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็ก

โดยใช้มหัศจรรย์แห่งขันธ์ห้าในสภาวะจิตที่เป็นบวก

ในยามที่จิตหยาบนิ่งสงบหรือในยามอิ่มเอิบเบิกบาน

ที่ทรงใช้คำว่า #หมุนธรรมจักร ผ่านเรามานั่นแหละ

 

โดยหนึ่งในปฏิบัติการทางเท็คนิกสมาธิ

ซึ่งมักจะเน้นกันแค่ขั้นตอนแรกคือ #สมถะกรรมฐาน

นั่นคือการแผ่เมตตาให้แก่เวไนยสัตว์ทั้งหลาย

พลังแห่งความเมตตาที่ว่านี้นี่เองคือพลังงานแสง

ซึ่งพวกส่งเสียงดังที่ในหัวเขาปรารถนาจะส้องเสพ

เพราะเชื่อว่าพลังงานความเมตตาหรือพลังงานแสง

ที่คนชอบธรรมทั้งหลายนั่งสมถะกรรมฐานผลิตได้

จะช่วยให้จิตวิญญาณของพวกตนที่กำลังป่วยหนัก

เพราะถูกหักจากหกมิติลงมาเหลือเพียง 5 มิตินั้น

จะสามารถเพิ่มกลับคืนสู่มิติที่หกเท่าเดิมได้

ที่พวกเขาคิดอย่างนั้นหรือเชื่ออย่างนั้นก็เพราะว่า

 

1.เหลี่ยมมุมจิตวิญญาณของตนที่หักหายไปนั้น

มันเกิดจากตนเองขาดพลังงานเสริมเติมเต็ม

เนื่องจากตนไม่มีกายหยาบไม่มีกายสังขาร

จึงไม่มีเครื่องยนต์แห่งกรรมที่จะชาร์จพลังเองได้

 

2.แลเห็นว่ามนุษย์พร้อมที่จะผลิตให้พวกตนได้

จึงหวังที่จะใช้คนชอบธรรมที่ชอบนั่งกรรมฐาน

ช่วยผลิตพลังงานแสงด้วยขันธ์ห้าให้แก่พวกตน

โดยแฝงนัยไว้ด้วยการแผ่เมตตาในภาวะสมาธิ

หลังทำบุญสร้างกุศลทุกรูปแบบด้วยจิตที่อิ่มเอิบ

ขณะนั่งกรรมฐานสมาธิด้วยสภาวะจิตที่เป็นสมถะ

ก็จะชี้ชวนพวกท่านให้แผ่เมตตาให้คนนั้นคนนี้

แล้วปิดท้ายด้วยคำว่า “เวไนยสัตว์ทั้งหลาย” เสมอ

ซึ่งเป็นการทำให้พลังงานบุญจากพลังงานจิตที่ดี

เปลี่ยนจากพลังงานสะอาดไปเป็นพลังงานกรรม

เพราะไปใส่รหัสพลังงานดีๆด้วย #คำอุทิศ ที่ว่านี้

 

เนื่องจากการแผ่ส่วนบุญกุศลจากการทำบุญนั้น

พลังงานแสงหรือพลังงานบุญนั้นผลิตได้น้อย

เพราะคนทำบุญซึ่งเป็นผู้อุทิศจะมีจิตที่ไม่เป็นสมถะ

สู้การอุทิศให้ขณะปฏิบัติสมถะกรรมฐานไม่ได้เลย

เพราะผู้ปฏิบัตินั้นมีความตั้งจิตตั้งใจมั่นมากกว่า

พลังงานที่วิญญาณขันธ์ผลิตสร้างกันออกมา

จะเข้มข้นและเป็นกระแสพลังงานไหลหลากมากกว่า

พวกที่เจ้าเล่ห์จึงมุ่งเน้นให้ผู้คนนิยมนั่งกรรมฐาน

โดยจูงใจให้คนนำทางตาบอดเปิดสถานปฏิบัติธรรม

ขึ้นมาใหม่เป็นดอกเห็ดโดยเน้นแต่ปฏิบัติการนี้

ไม่ค่อยจะมีแก่นสารในการสอนนิพพานเพื่อหลุดพ้น

หรือสอนให้ผู้คนเข้าถึงการเป็นพุทธะที่แท้จริงเลย

 

จะเห็นได้ว่ามีคนสนใจติดตามเรื่อง “กรรมฐาน”

มากกว่าจะสนใจปฏิบัติธรรมเพื่อการหลุดพ้น

เพราะเข้าใจผิดคิดว่ากรรมฐานพาให้นิพพานได้

โดยจำภาพพระพุทธรูปที่เป็นตัวแทนพระพุทธองค์

ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นปางนั่งสมาธิแทบทั้งนั้น

ชาวบ้านจึงเชื่อตามทันทีว่านั่งกรรมฐานนิพพานแน่

ทั้งที่พระพุทธองค์ตอนเสด็จดับขันธปรินิพพานนั้น

ทรงประทับเอนนอนหรืออยู่ในปางไสยาสน์ต่างหาก

แต่ภาพพระพุทธรูปปางไสยาสน์นี้มีให้เห็นน้อยกว่า

จิตชาวบ้านจึงคล้อยตามท่านั่งขัดสมาธิกันมากกว่า

ซึ่งไม่มีใคร “ฉุกคิด” ในเรื่องนี้กันมาก่อนเลยว่า

ที่คล้อยตามกันมานั้นเป็นการเข้าใจผิดจนเชื่อผิด

เพราะคำว่าพุทธะนั้นแปลว่า “ผู้รู้แล้วผู้ตื่นแล้ว”

ซึ่งหมายถึงพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้เป็นสัพพัญญูแล้ว

อาจกล่าวว่าพุทธะคือการเข้าถึงปัญญาอันสูงสุดแล้ว

ซึ่งสถานที่สอนปฏิบัติกรรมฐานทั้งหลายที่ผุดขึ้นนั้น

ส่วนใหญ่จะเน้นแต่กิจกรรมการปฏิบัติจิตเท่านั้น

แต่การเป็นพุทธะยังไม่ได้เน้นอะไรที่เป็นรูปธรรมเลย

นี่เราเน้นเฉพาะในแง่มุมของฝ่ายฆราวาสเท่านั้นนะ

ถ้าเป็นการฝึกปฏิบัติกรรมฐานแก่นักบวชก็พอได้บ้าง

เพราะท่านจะว่างในการฝึกปฏิบัติมากกว่าชาวบ้าน

 

ยุคนี้จึงเป็นยุคทองของสำนักกรรมฐาน

เพราะพวกมารที่เป็นอุปสรรคของศาสนิกทุกศาสนา

เปลี่ยนกรรมกรแสงจากคนนำทางตาบอดชรา

มาเป็นคนนำทางตาบอดรุ่นใหม่แทนรุ่นเก่าที่สิ้นไป

กับใช้เด็กรุ่นใหม่ที่ใฝ่อุตริอวิชามาเป็นกรรมกรแสง

โดยใช้กลยุทธ์เดิมคือส่งเสียงสั่งดังเข้าไปในหัว

ซึ่งเป็นการใช้อิทธิฤทธิ์ที่ผีโสโครกยังพอมีเหลืออยู่

แม้จิตวิญญาณจะถูกทำโทษโดนหักไปแล้วหนึ่งมิติ

จนเหลือแค่ห้ามุมหรือห้ามิติในปัจจุบันกันอยู่ก็ตาม

แต่เพื่อความอยู่รอดพวกตนก็ยังต้องเสี่ยงที่จะทำ

 

แม้ว่าพวกเขาจะเป็นพวกที่น่าสงสาร

แต่พวกเขาเป็นมารหรือเป็นอุปสรรคต่องานพระเจ้า

ที่จิตวิญญาณพวกท่านขันอาสามาว่าจะต้องทำ

นั่นคือการใช้เมตตาธรรมหมุนธรรมจักรร่วมกัน

เพื่อผลิตสร้างพลังงานแสงช่วยค้ำจุนสมดุลโลก

มิใช่เป็นกรรมกรแสงเพื่อผลิตพลังงานให้พวกมาร

โดยไม่รู้ตัวไม่รู้ความจริงเบื้องหลังมิติโลกว่า

โลกต้องการพลังงานที่ไม่มีรหัสกรรมกำกับเท่านั้น

 

กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา

เอเมน สาธุ

#พระบุตรเอก

18/05/2567