07 พฤษภาคม 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 7/05/2024

 พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

ความหมายที่แท้จริงในการ “เชื่อมจิต” นั้น

สำหรับมนุษย์มันคือการติดต่อสื่อสารกันทางจิต

เป็นการพูดจาภาษาจิตที่เป็นภาษาสากล

ซึ่งจะเป็นจริงได้หรือเกิดผลได้ต้องได้รับการฝึกฝน

จิตวิญญาณไม่อาจถือเป็นพรสวรรค์ติดตัวมาเกิดได้

เพราะตอนที่มาเกิดเป็นคนสองมิติและมีชีวิตอยู่

ผู้จะทำหน้าที่สื่อสารภาษาสากลได้คือ “จิตหยาบ”

ไม่ใช่จิตวิญญาณผู้ขันอาสามาเกิดแต่อย่างใด

 

เมื่อปฏิสนธิในครรภ์มารดา

จิตวิญญาณผู้มาเกิดจะแบ่งภาคตนเองออกมา

เป็นจิตหยาบจำนวน 189 กลุ่มเพื่อใช้ทำภารกิจแล้ว

การสื่อสารทางจิตเป็นภาษาสากลต้องฝึกฝนเอาเอง

 

มีเพียงทารกที่เกิดใหม่วัยยังไม่ถึงสามขวบเท่านั้น

ที่สามารถจะสื่อสารภาษาสากลกับพ่อแม่ของตนได้

ให้สังเกตจากการที่กุมารน้อยจะต้องค่อยๆฝึกพูดจา

จะใช้ภาษาวาจาสื่อสารไม่ค่อยได้คือพูดไม่ค่อยชัด

เนื่องจากตาที่สามของเด็กยังเปิดอยู่ยังปิดไม่สนิท

จิตวิญญาณผู้มาเกิดยังติดต่อกับจักรวาลภายนอกได้

เมื่อตาที่สามถูกปิดมิติแล้วเด็กคนนั้นจึงจะพูดได้ชัด

มิเช่นนั้น “ความลับเบื้องหลังมิติโลก” จะถูกเด็กเผย

ทำให้การมาเกิดเป็นคนสองมิตินั้นต้องเป็นโมฆะไป

 

การเชื่อมจิตจึงหมายถึงการสื่อสารทางจิต

ในระบบจิตสู่จิตของจิตหยาบหรือจิตมนุษย์ด้วยกัน

ซึ่งทั้งสองฝ่ายนั้นได้ผ่านการฝึกฝนกันมาก่อนแล้ว

จงจำไว้ว่า “พรสวรรค์” ในการเชื่อมจิตได้ไม่มีจริง

นอกจากจะมีอยู่ในหนังการ์ตูนของญี่ปุ่นเท่านั้น

แต่ถ้าเป็น “พรแสวง” คือการฝึกฝนเอาก็เป็นจริงได้

หากมีครูผู้ฝึกสอนที่รู้จริงเก่งจริงและมีความสามารถ

หรือเป็นการสื่อสารระหว่างจิตมนุษย์กับจิตวิญญาณ

ของเทพเทวดาและสัตว์ประจำโลกที่รู้ภาษามนุษย์

 

ดังนั้น

ถ้ามีเด็กน้อยคนไหนที่เพิ่งจะเกิดใหม่

ยังพูดจาภาษาคนไม่ได้หรือพูดไม่ชัดเจนเป็นถ้อยคำ

แล้วอ้างว่าตนสามารถ “เชื่อมจิต” กับคนอื่นได้นั้น

มันไม่ใช่ความจริงตามที่กล่าวเพราะเป็นไปไม่ได้เลย

เพราะกุมารน้อยสามขวบขึ้นไปจิตหยาบมีแค่ 4 มิติ

จิตนั้นยังไม่มีความสมดุลในตนเองแต่อย่างใด

จึงเข้าถึงอภิญญฤทธิ์ไม่ได้นอกจากจะมี 6 มิติเท่านั้น

 

ถ้าฝึกฝนการใช้ภาษาสากลมาจากอดีตชาติบ้าง

จิตวิญญาณเด็กคนนั้นจะถือติดตัวมากับสัญญาขันธ์

เพื่อการสื่อสารทางจิตในระบบจิตสู่จิตก็พอจะได้บ้าง

ซึ่งจะอยู่ในรูปของพรสวรรค์เฉพาะบุคคลเท่านั้นเอง

แต่ส่วนใหญ่ความสามารถพิเศษของเด็กแบบที่ว่านี้

จะค้นพบได้ยากมากเพราะตัวเด็กเองมักจะไม่รู้ภาษา

อีกทั้งไม่รู้ว่าจะเชื่อมจิตกับใครหรือผู้ใหญ่คนไหน

ที่สามารถเข้าใจภาษาจิตที่เป็นภาษาสากลกันได้

ซึ่งทั้งเด็กที่มีพรสวรรค์และผู้ใหญ่รอบข้างตัวเด็กนั้น

จะต้องผ่านการฝึกฝนให้เกิดทักษะกันอยู่ดีนั่นแหละ

 

ท่านทั้งหลายจะต้องรู้ว่า

ในสภาวะปกติจิตวิญญาณแก่นแท้ของพวกท่านนั้น

ทุกรูปธรรมสามารถที่จะเชื่อมจิตติดต่อสื่อสารกันได้

เมื่อได้รับโอกาสให้มีชีวิตเป็นคนสองมิติเมื่อไหร่

จิตวิญญาณพวกท่านจึงถูกกักตัวไว้ที่ต่อมพิทูอิทารี่

เพื่อไม่ให้สามารถติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอกได้

นอกจากจะมองผ่านอายตนะภายนอกทั้งห้าช่องทาง

อันหมายถึงตาหูจมูกลิ้นและสัมผัสกายภายนอก

โดยใช้ผ่านจิตหยาบหรือจิตมนุษย์ของท่านเท่านั้น

 

การที่พระศาสดาทุกพระองค์

ไม่ทรงใช้วิธีเชื่อมจิตเพื่อการสอนธรรมศาสนิก

เพราะทุกคนมีอายตนะภายนอกทั้งห้าที่ดีพร้อมอยู่

จึงต้องใช้มันเพราะเป็นการปฏิบัติไปตามธรรมชาติ

อีกทั้งทรงทราบดีว่าชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่มีใครหรอก

ที่สามารถจะสื่อสารทางจิตเป็นภาษาสากลได้

จึงทรงสอนธรรมโปรดญาติโยมด้วยพระวจนะเท่านั้น

ไม่มีการสอนธรรมด้วยการเชื่อมจิตแต่อย่างใดทั้งสิ้น

 

เราจะกล่าวความจริงให้รู้ว่า

มีแต่พวกผีโสโครกที่พระเยซูทรงเรียกขาน

ซึ่งพระพุทธองค์ทรงเรียกว่า “พญามาร” เท่านั้น

ที่จะใช้วิธีพิสดารด้วยการสื่อสารทางจิตกับมนุษย์

เพราะตนไม่มีกายหยาบไม่มีเครื่องยนต์แห่งกรรม

จึงต้องใช้อภิญญฤทธิ์ส่งเสียงดังเข้าไปในหูหรือหัว

บอกความต้องการของตนให้บุคคลเป้าหมายนั้นรู้

บางทีก็สอนธรรมะแบบในจริงมีเท็จในเท็จมีจริง

ด้วยเสียงดังที่ในหูหรือเสียงในหัวให้สาวกของตนรู้

โดยที่คนส่วนใหญ่จะเป็นพวกคนนำทางตาบอด

ให้ไปเผยแพร่สัจธรรมผิดๆจากการบิดเบือนต่อไป

 

คำว่า “คนนำทางตาบอด” นั้นเป็นคำกล่าวของเรา

ที่มีความหมายคล้ายคำว่า “กรรมกรแสง” ของมาร

ขอท่านจงรับรู้รับทราบความจริงกันตามนี้ไว้ด้วยนะ

 

แต่การเชื่อมจิตในแบบการสื่อสารทางจิตนั้น

เป็นวิธีสื่อสารโดยใช้จิตสัมผัสระหว่างผู้สื่อกับผู้รับ

ไม่ต้องแตะไม่ต้องสัมผัสเนื้อตัวกันแต่อย่างใด

เพราะวิธีการก็บอกชัดอยู่แล้วว่าเป็นการ #เชื่อมจิต

โดยทั้งสองฝ่ายรับรู้ข้อมูลกันด้วยความเข้าใจ

ด้วยกระบวนการทำงานของจิตกับสมองสองซีก

คือซีกขวากับจิตจะทำงานร่วมกันเพื่อการหยั่งรู้

เมื่อหยั่งรู้แล้วจะส่งข้อมูลให้สมองซีกซ้ายถอดรหัส

เพื่อแปลความหมายแล้วทำความเข้าใจข้อมูลนั้น

นี่เป็นกระบวนการในการ “รับสื่อ” จากการเชื่อมจิต

 

แต่ถ้าเป็นการเชื่อมจิตในบทบาทของ “ผู้สื่อ”

คนนั้นจะต้องเริ่มต้นจากการกำหนดจิตด้วยการนึก

แล้วส่งข้อมูลการนึกไปให้สมองซีกซ้ายคิดต่อว่า

ตนจะสื่อสารกับผู้รับสื่อรายนั้นว่าอะไรอย่างไรบ้าง

จึงจะใช้จิตกับสมองซีกซ้ายส่งข้อมูลนั้นไปให้เขา

เพื่อให้เขารับเอาข้อมูลที่ส่งไปด้วยวิธีหยั่งรู้ต่อไป

นี่ก็เป็นกระบวนการในการ “ส่งสื่อ” ด้วยวิธีเชื่อมจิต

 

สำหรับการเชื่อมจิตโดยใช้มือแตะหน้าผาก

บริเวณตำแหน่งที่สองนิ้วมือแตะสัมผัสตรงนั้น

เป็น “ประตูที่สาม” ที่เป็นรูเล็กๆเท่ากับเส้นผมผ่าซีก

ปกติแล้วพระบิดาจะทรงกำหนดให้ #ต่อมไพเนี่ยล

ทำหน้าที่เป็นยามคอยเฝ้าประตูมิตินี้เอาไว้ให้

โดยทำหน้าที่ร่วมกันกับความเข้มสนามแม่เหล็กโลก

ประตูนี้จะปิดถ้าอำนาจแม่เหล็กโลกเป็น 14 เก๊าส์

ประตูมิติจะยิ่งปิดแน่นถ้าอำนาจแม่เหล็กเพิ่มขึ้นกว่านี้

แต่ประตูมิตินี้จะแง้มออกทันทีที่อำนาจแม่เหล็กลดลง

 

การใช้มือแตะบริเวณประตูมิติตรงนี้จึงมีเลศนัย

ซึ่งมิใช่วิชาพระอาทิตย์แต่เป็นอวิชชาของพญามาร

การสัมผัสหน้าผากที่ตรงนี้ก็เพื่อสะเดาะกลอนประตู

ที่ปกติปิดสนิทอยู่ให้มันแง้มหรืออ้าออกมานั่นเอง

ซึ่งผู้แตะสัมผัสจะใช้อภิญญฤทธิ์ 1 ใน 6 เปิดโดยแท้

 

หากถามว่าจะเปิดมิติตรงประตูที่สามนี้กันทำไม

คำตอบคือเมื่อตอนที่ท่านนั่งปฏิบัติสมถะกรรมฐาน

เพื่อการฝึกฌานสมาบัติโดยเข้าสมาธินานๆนั้น

จะถูกสอนให้ “แผ่เมตตา” ให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย

ทั่วทั้งสากลจักรวาลอันไพศาลด้วยเสมอ

พลังงานจิตด้านบวกที่อยู่ในรูปคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็ก

จะถูกเหวี่ยงออกมาทางประตูหรือรูเล็กๆที่ว่านี้

โดยมันจะพุ่งผ่านออกมาเป็นลำแสงอันเจิดจ้าเลย

พวกสมุนของมารทั้งหลายจะคอยดักดูดกันก็ตรงนี้

 

คนนำทางตาบอดชราหรือว่ากรรมกรแสงรุ่นใหม่ๆ

จะถูกสอนให้หลงผิดเข้าใจผิดหรือคิดผิดกันว่า

การนั่งกรรมฐานแผ่เมตตาคือวิธีปฏิบัติธรรมแท้จริง

ซึ่งคนชอบธรรมจักต้องเพียรทำหรือหมั่นฝึกฝนกัน

การปฏิบัติกรรมฐานกับการแผ่เมตตาแบบเจาะจง

ด้วยการให้สัจจะว่าจะอุทิศให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย

คำอุทิศจะเปลี่ยนพลังงานที่วิญญาณขันธ์ผลิตได้

ให้กลายเป็นพลังงานขยะที่ถูกเหวี่ยงออกมาทางรูนี้

 

สถานปฏิบัติธรรมโดยคนนำทางตาบอด

จึงพากันสร้างสำนักกรรมฐานขึ้นมาเป็นดอกเห็ด

เพราะผู้ปฏิบัติธรรมพากันเข้าใจผิดจนหลงเชื่อตาม

เนื่องจากถูกจูงใจด้วยวิธีการที่แปลกพิสดารบ้าง

ถูกจูงใจให้คล้อยตามด้วยการสร้างความเชื่อผิดๆบ้าง

เช่น สอนว่าถ้าปฏิบัติตามแล้วท่านจะนิพพานได้ก็มี

เมื่อตายแล้วจะไม่ต้องกลับมาเกิดบนโลกนี้อีกก็มี

 

พวกท่านจะต้องรู้ว่า

เมื่อพระศาสดาจะทรงแผ่เมตตานั้น

ไม่เคยทรงสอนสั่งให้สาวกทำแบบที่ว่านี้เลย

พระองค์จะทรงใช้วิธีกรวดน้ำด้วยการตั้งจิตอธิษฐาน

แล้วหยาดน้ำมนต์ทิพย์นั้นลงสู่พระแม่ธรณี

เพื่อนำส่งต่อ “ผู้รับ” ที่ทรงอุทิศให้โดยมิได้เพ่งจิต

พลังงานบุญที่เป็นด้านบวกจะได้รับกันทั่วหล้าโลก

ไม่มีผู้ใดสามารถจะคอยลักลอบดักดูดเอาไปได้

 

ขณะทรงเข้าฌานหรือนั่งสมาธิก็เช่นกัน

พลังจิตปัญญาทางด้านบวกจะสั่นสะเทือนขันธ์ห้า

ให้เกิดเป็นพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก

ที่จะแผ่ออกมาเป็นรัศมีรอบศีรษะดั่งแสงเทียน

แล้วแผ่ขยายกระจายแสงออกไปทั่วทั้งจักรวาล

ดุจดั่งรูปของพระพุทธเจ้าที่มีอยู่ตามวัดวาอารามนั้น

นี่จึงเป็นพลังงานสะอาดในแบบที่โลกต้องการ

เป็นพลังงานที่ไม่มีคุณสมบัติกรรมเป็นรหัสกำกับอยู่

 

ดังนั้น

การเชื่อมจิตแบบพญามารจึงเป็นการดักดูดพลัง

เพื่อหวังจะนำเอาพลังงานใหม่เข้าไปบำบัดรักษา

จิตวิญญาณของตนที่เดิมมี 6 แต่หักไปหนึ่งเหลือ 5

ให้ฟื้นคืนตัวกลับมาเป็น 6 เหลี่ยมมุมดังเดิม

แต่พวกเขาไม่มีเครื่องยนต์แห่งกรรมเหมือนท่าน

จึงไม่สามารถจะชาร์จพลังเพื่อยกระดับตนเองได้

ต้องอาศัยกายสังขารคนโง่ง่ายเป็นเครื่องมือเท่านั้น

 

มารก็สอนธรรมะแบบผิดๆถูกๆได้

ถ้าอยากหลุดพ้นกลับบ้านแดนสุญตา

จงอย่าหลงทางมาร

ตายแล้วอย่าขอไปเกิดบนสวรรค์มายาเด็ดขาด

 

กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

7/05/2567