29 พฤษภาคม 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 29/05/2024

 พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

บ้านเกิดเมืองนอนของจิตวิญญาณ

ผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของท่านทั้งหลายนั้น

มีถิ่นกำเนิดจาก “พระนิเวศน์ของพระบิดา”

พระบิดาก็คือผู้ทรงให้กำเนิดจิตวิญญาณพวกท่าน

ซึ่งพระองค์ยังทรงเป็นพระผู้สร้างทุกสิ่งในเอกภพ

โดยเอกภพก็เป็นห้องทดลองของพระองค์นั่นเอง

 

ก่อนที่พวกท่านจะได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์

ตัวตนภาคแรกของพวกท่านคือ #จิตจักรวาลดวงเล็ก

ที่เป็นรูปธรรมทางพลังงานซึ่งมี 11 เหลี่ยมมุม

พระบิดาทรงเรียกจิตจักรวาลดวงเล็กว่า #พระบุตร*

ได้ขันอาสาพระองค์ว่าจะขอข้ามมิติมาเกิดเป็นมนุษย์

เพื่อทำหน้าที่ตาม #พันธะสัญญาหก* อยู่ในระบบโลก

โดยเฉพาะหนึ่งในพันธะสัญญา 6 ที่ต้องทำก่อนก็คือ

ใช้ขันธ์ห้า “หมุนธรรมจักร” ด้วย #ความรักเพื่อให้

ที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า “เมตตาธรรมค้ำจุนโลก”

 

เมื่อจิตจักรวาลดวงเล็กหรือที่เรียกว่า “พระบุตร”

ได้รับโอกาสให้ข้ามมิติเข้ามาเกิดภายในเอกภพแล้ว

ก็จะแบ่งภาคตนเองออกมาเป็นรูปธรรมทางพลังงาน

ซึ่งมี 6 เหลี่ยมมุมโดยเรียกรูปธรรมนี้ว่า #พระจิต*

พระจิตจึงเป็นตัวแทนพระบุตรผู้อาสามาเกิดบนโลก

เพื่อทำหน้าที่ใช้เมตตาธรรมคือรักเพื่อให้ค้ำจุนโลก

 

แต่เนื่องจากพระนิเวศน์ของพระเจ้า

ที่เป็นบ้านเกิดของจิตวิญญาณพวกท่านทั้งหลายนั้น

ทุกรูปธรรมมีคุณสมบัติเป็น #สุญตา ด้วยกันทั้งสิ้น

ทั้ง “พระบุตร” ที่เป็นองค์จิตจักรวาลดวงเล็กเอง

ซึ่งเป็นตัวตนภาคแรกที่สูงส่งของพวกท่านผู้ขันอาสา

กับ “พระจิต” ที่ถูกแบ่งภาคทางพลังงานออกมา

ทุกรูปธรรมต่างล้วนมีคุณสมบัติเป็นสุญตากันทั้งสิ้น

เพราะการดำรงตนเองอยู่ในพระนิเวศน์ของพระเจ้า

องค์จิตจักรวาลดวงเล็กไม่มีหน้าที่จะต้องอะไร

นอกจากเป็นผู้ที่ #อิ่มเอิบอยู่กับความสงบว่าง เท่านั้น

นี่จึงเป็นที่มาของความหมายในประโยคสำคัญที่ว่า

#แดนสุญตาเป็นดินแดนของผู้อิ่มเอิบอยู่กับความว่าง

 

ดังนั้น

เมื่อพระบุตรคือจิตวิญญาณท่านที่ถูกแบ่งภาคออกมา

เดินทางข้ามมิติเข้ามาภายในเอกภพอันไพศาลนี้แล้ว

จะต้องผ่านประตูมิติคือด่านนภาลัยเข้ามาในเอกภพนี้

ซึ่งพระเยซูเจ้าทรงเปรียบเป็นดั่ง “ประตูคอกแกะ”

ในกรณีที่ทรงใช้อธิบายถึงทางออกมาจากพระนิเวศน์

ของจิตวิญญาณบริสุทธิ์ที่เป็นดั่งฝูงแกะของพระเจ้า

โดยทุกรูปธรรมต้องเดินทางผ่านประตูนี้ออกมาทุกตัว

 

และพระเยซูเจ้ายังทรงเปรียบด่านนภาลัยประตูมิตินี้

ที่ฝูงแกะจะต้องกลับคืนสู่พระนิเวศน์เมื่อเสร็จภารกิจ

ที่ตนขันอาสาพระเจ้าเข้ามาทำหน้าที่อยู่ในระบบโลก

จนครบกำหนดแห่งกาลสิ้นยุคคือ 60,000 ปีโลกแล้ว

โดยทรงเปรียบประตูนี้ว่า #เป็นดั่งประตูเรือนหอ

ที่เจ้าสาวของพระองค์ก็คือจิตวิญญาณของพวกท่าน

จะต้องก้าวตามพระองค์ออกไปทางนี้เพื่อกลับบ้าน

เมื่อถึงวันที่เสด็จกลับมารับเจ้าสาวกลับเข้าหออีกครั้ง

 

ที่ทรงเปรียบจิตวิญญาณพวกท่านทั้งหลายว่า

เป็นดั่งเจ้าสาวผู้รอคอยเจ้าบ่าวแห่ขบวนขันหมากมารับ

เพื่อจูงมือเจ้าสาวเข้าสู่ประตูเรือนหอก็เพราะว่า

เจ้าสาวทุกคนจะใจจดใจจ่อรอคอยเจ้าบ่าวให้มารับ

ในวันกำหนดนัดหมายคือวันแต่งงานด้วยกันทุกคน

ที่รอคอยอย่างใจจดจ่อก็เพราะกลัวเจ้าบ่าวไม่มารับ

ตามที่ได้เคยให้คำมั่นสัญญาเอาไว้นั่นแหละ

 

ส่วนเจ้าสาวผู้รอคอยเจ้าบ่าวมารับด้วยความตื่นเต้นนั้น

จะมัวนั่งนอนนับวันนับคืนเฉยๆไม่ทำอะไรเลยไม่ได้นะ

จะต้องเตรียมตะเกียงที่มีน้ำมันพร้อมรู้วิธีจุดให้พร้อมใช้

เมื่อถึงวันเวลาที่พระองค์เสด็จกลับมารับเอาไว้ด้วย

มิใช่ผ่านมาแล้วกี่ปีดันรอจนหลับไหลไม่ทำอะไรสักสิ่ง

ตะเกียงก็ไม่ได้เตรียมให้พร้อมสมองก็ไม่มีน้ำมันอยู่เลย

แถมไม่รู้วิธีจุดตะเกียงคือ “คิดไม่เป็น” อีกต่างหาก

แล้วจะเอาแสงสว่างส่องทางกลับบ้านมาจากไหนกัน

การทำตัวแบบนี้ไม่เป็นเจ้าสาวที่รอคอยเจ้าบ่าวเลย

เพราะไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ให้พร้อมแต่อย่างใด

 

เมื่อวันเวลาใดที่พระองค์เสด็จกลับมา

พวกท่านที่เป็นเจ้าสาวจะรู้ได้อย่างไรว่า

ใครคือพระองค์นั้นใครคือผู้ที่พวกท่านรอคอยมานาน

 

สมมุติว่าท่านรู้แล้วว่าใครเป็นเจ้าบ่าวของท่าน

แต่ท่านยังต้องถามตนเองกันเอาไว้อีกด้วยว่า

 

1.ตะเกียงของท่านคือสมองนั้นมันพร้อมใช้หรือเปล่า

2.ความฉลาดทางปัญญาของสมองคือน้ำยาน่ะมีมั้ย

3.ท่านใช้จิตปัญญาเพื่อให้แสงสว่างแก่ตนเป็นหรือยัง

4.มัวแต่บ้าบุญเพราะหลงทางนิพพานกันอยู่หรือเปล่า

5.ทำบุญอย่างมีเงื่อนไขจนหมุนธรรมจักรไม่ได้หรือเปล่า

 

เมื่อพระจิตวิญญาณบริสุทธิ์ของท่าน

เดินทางถึงด่านนภาลัยประตูมิติผ่านเข้าออกเอกภพ

ต้องแวะ “วิหารสีขาว” เพื่อเตรียมตนให้พร้อมกันที่นั่น

การเตรียมพร้อมที่ว่านี้คือพร้อมต่อการเป็นคนสองมิติ

ด้วยการปฏิบัติดังต่อไปนี้ คือ

 

1.เติมเต็มคุณสมบัติพิเศษให้แก่จิตวิญญาณของตน

ที่เรียกว่า “จิตสามนึก” คือ นึกออก นึกเอา นึกเอง

เพื่อเอาไว้ใช้ทำหน้าที่ในตอนที่เกิดเป็นมนุษย์โลก

 

2.เติมเต็มคุณสมบัติพิเศษ คือ “ขันธ์ห้า”

ให้จิตทั้งสามนึกเมื่อมีการสั่นสะเทือนเกิดขึ้นเมื่อใด

ให้มันสั่นสะเทือนเป็นกระบวนการ 5 ขั้นตอนต่อเนื่อง

นั่นคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ

ซึ่งขันธ์ทั้งห้าขั้นตอนนี้เป็นกระบวนการสองมิติของจิต

มันจะเกิดขึ้นได้โดยอัตโนมัติในพวกท่านทุกคนไป

เมื่อจิตสามนึกถูกกระตุ้นด้วยสิ่งเร้าผ่านอายตนะทั้งหก

คือตาหูจมูกลิ้นกายสัมผัสและจิตที่เป็นอายตนะภายใน

 

เราจึงขอบอกพวกท่านว่า

ขันธ์ห้าที่ว่านี้ไม่ใช่ “อัตตา” ของจิตวิญญาณ

แต่เป็นคุณสมบัติพิเศษที่จิตวิญญาณของท่าน

รับมาใช้ทำหน้าที่เป็น “คนสองมิติ” ในระบบโลก

เพื่อสั่นสะเทือนจิตหยาบที่เป็นตัวแทนจิตวิญญาณ

ให้เกิดการกระทำต่อกันในมิติโลกทางกายภาพ

ด้วยการสั่นสะเทือน “จิตสามนึก” ที่ถือมาจากวิหาร

สั่นสะเทือนร่วมกับ “จิตใต้สามนึก” ของจิตวิญญาณ

เพื่อผลิตพลังจิตด้วย “วิญญาณขันธ์” ของขันธ์ห้า

เหวี่ยงออกมาให้โลกตามหน้าที่ในพันธะสัญญา 6

ซึ่งเราเคยกล่าวย้ำให้รู้โดยทั่วกันมาบ่อยครั้งแล้ว

เพื่อเตือนสติทางวิญญาณพวกท่านทั้งหลายเสมอว่า

พวกท่านมิได้เกิดมาเพื่อสั่งสมบุญกุศลเพื่อตนเอง

มิได้มาเกิดเพื่อจะไปสวรรค์คนเดียวแต่อย่างใด

 

3.เขียนบทละครร่วมกันเรียกว่า "ชะตาชีวิต"

กับจิตวิญญาณอีกสองสามรูปธรรม

เพื่อมาแสดงบทบาทเป็นสมาชิกครอบครัวเดียวกัน

มาเป็นเงื่อนไขเป็นบททดสอบให้แก่กันและกัน

เพื่อหมุนธรรมจักรร่วมกันให้สำเร็จให้จงได้

 

พวกท่านจะต้องรู้ว่า

ท่านจะไปสวรรค์นิรันดรหรือกลับแดนสุญตาไม่ได้

ถ้าจิตหยาบของท่านยกระดับสูงถึงมิติที่ 6D ไม่ได้

โดยต้องยกระดับให้ทันก่อนโลกมืดนาน 8 ราตรีด้วย

คำว่า “8 ราตรี” นี้หมายถึง 56 วัน 56 คืนของโลก

ทั่วโลกจะมืดพร้อมกันหมดโดยไม่มีแสงอาทิตย์เลย

ในช่วงเวลาที่มืดมิดนี้ประตูมิติต่างๆจะถูกเปิดทั้งหมด

เพื่อชำระขยะที่เคยรกโลกรกจักรวาลมานานให้สิ้นไป

โลกกับมนุษย์จะถูกชำระด้วยภัยพิบัติที่แรงเกินคาด

แบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์จักรวาล

วิสุทธิชนยุคสุดท้ายตัวจริงเท่านั้นที่จะได้รับการคัดไว้

 

การยกระดับของจิตหยาบจากปัจจุบันคือมิติที่ 4D

มันจะถูกยกระดับสู่มิติที่ 5D ไปถึง 6D ได้ก็ต่อเมื่อ

ตัวท่านจะต้อง #หมั่นหมุนธรรมจักร ด้วยรักเพื่อให้

กับทุกเงื่อนไขทั้งดีและร้ายในชีวิตประจำวันให้ได้

โดยต้องอดทนอดกลั้นให้อภัยใจดีมีเมตตากับทุกคน

อย่างไม่มีข้อแม้หรือไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น

จิตหยาบของท่านมันจะยกระดับเพิ่มมิติขึ้นได้เรื่อยๆ

ยิ่งถ้าท่านแสดงออกหรือกระทำต่อผู้อื่นทางด้านบวก

เพื่อชักชวนพวกเขาเหล่านั้นมาร่วมกันหมุนธรรมจักร

จิตหยาบของท่านเองและทุกคนจะยิ่งยกระดับเร็วขึ้น

 

ดังนั้น

คนที่กวนโอ๊ยท่านมากกว่าใครเขาเพื่อน

เขาก็จะยิ่งเป็นคนที่มีคุณค่าของเพื่อนมากกว่าใคร

ซึ่งสมควรจะอนุรักษ์เขาเอาไว้ด้วยการให้อภัยต่อเขา

เพราะท่านต้องใช้ความรักมอบให้เขาค่อนข้างมาก

หากจะให้อภัยแก่ตัวเขาคนที่ทำไม่ดีกับท่านนั้นได้

แรงสั่นสะเทือนด้านบวกมากๆจากการให้อภัยเขานั้น

มันคือการสั่นสะเทือนขันธ์ห้าทางด้านบวกในระดับสูง

วิญญาณขันธ์ของท่านก็จะทำการผลิตพลังงานบวก

เหวี่ยงออกมาสร้างพลังงานร่วมกับคนอื่นๆอีกสามคน

โดย 99% ของทั้งหมดจะเป็นของพวกท่านกันเอง

ที่เหลือ 1% เป็นของโลกที่จะใช้เหวี่ยงหมุนรอบตัวเอง

ในทุกวินาทีที่พวกท่านรักกันได้ให้อภัยต่อกันนั่นแหละ

 

พวกท่านจงจำไว้ว่า

จงอย่าไปเชื่อมอดมารผีโสโครก

ที่หลอกลวงพวกท่านผ่านลัทธิประหลาดต่างๆ

ที่มักนำเอาวิชากรรมฐานที่ดีงามของพระพุทธเจ้า

มาทำการบิดเบือนเบี่ยงเบนให้หลงทางหลงผิด

ซึ่งคนที่คิดน้อยหรือไม่ค่อยคิดจะถูกหลอกง่ายมาก

 

แต่รายที่คิดมากเกินไปก็มีปัญหาเหมือนกัน

ถ้าท่านผู้นั้นคิดมากแต่ดันคิดไม่เป็น

นั่นคือพวกที่ระแวงในตัวเรา

เพราะมีหูแต่เหมือนไม่มี

นั่นคือไม่รับฟังข่าวสารของจิตจักรวาล

หรือได้ยินได้ฟังเหมือนกันแต่ทำเป็นเฉยเมยไม่ใส่ใจ

 

เพราะมีจมูกแต่เหมือนไม่มี

จึงไม่ได้กลิ่นหอมของพระโอวาทจากพระเจ้า

ที่เราสู้อุตส่าห์รับสื่อจากพระองค์ลงมาแบ่งปันให้

แต่กลับได้กลิ่นของเน่าเหม็นที่มารนำมาหลอกล่อ

ผ่านเจ้าลัทธิอุตริอวิชชาทั้งหลาย

แล้วทำตัวเป็นอีแร้งหรือแมลงวันไปรุมทึ้งรุมตอม

ขณะของหอมๆของพระบิดานี้กลับเบือนหน้าหนี

โดยเหมารวมว่า #จิตจักรวาล เป็นลัทธิมารไปด้วย

น่าเสียดายและเศร้าใจนักหากท่านจะต้องถูกคัดทิ้ง

 

กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา

เอเมน สาธุ

#พระบุตรเอก

29/05/2567