24 พฤษภาคม 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 24/05/2024

 พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

คำว่า #นิพพาน นั้นมีนัยความหมายอยู่ 2 อย่าง

ความหมายแรกเป็นความหมายที่ตรงกับคำว่า

#นิพพานคือการดับการเกิดดับของทุกสิ่ง

 

คำว่า “ดับการเกิดดับ” นี้ หมายถึงดับสนิทไม่ติดอีก

คำว่า “ดับสนิท” คือ ดับจนไม่มีเหลือเชื้อก็ไม่มีแล้ว

ซึ่งพวกท่านจะต้องทำมันให้สำเร็จก่อนตายให้จงได้

จะเอาแต่ทำสวยทำรวยหรือทำหล่ออย่างเดียวไม่ได้

โดยท่านจะต้องนิพพานมันให้ทันก่อนที่ท่านจะตาย

เพราะมันจะทำให้เสียเวลาไปอีกภพชาติหนึ่งนั่นเอง

 

มีคำถามต่อไปว่าแล้ว “นิพพานก่อนตาย” นั้น

ท่านจะต้องดับการเกิดดับของอะไรกันและดับที่ไหน

ทำไมจึงต้องดับมันให้สิ้นเชื้อหรือว่าต้องดับให้สนิท

ใยปล่อยให้ดับแล้วติดขึ้นมาใหม่แบบติดๆดับๆไม่ได้

ทั้งสี่คำถามที่ว่านี้แหละเพราะที่ผ่านมาพวกท่านไม่รู้

จึงถูกพวกจิตวิญญาณผีโสโครกหลอกเอาจนทุกวันนี้

 

เราจะไขความไม่รู้ของท่านให้กระจ่างดังต่อไปนี้ คือ

สิ่งที่ต้องนิพพานหรือดับการเกิดดับของมันให้หมด

สิ่งนั้นก็คือ #กองกิเลสมาร ที่อยู่ในจิตหยาบนั่นแหละ

 

คำว่า “กองกิเลสมาร” นี้หมายรวมถึง

ตัวต้นเหตุก็คือกิเลสซึ่งเป็น “ความรู้สึก” ชอบไม่ชอบ

ต่อมาก็คือ “ตัณหา” อันหมายถึงความอยากไม่อยาก

ซึ่งนำไปสู่ “อารมณ์ขยะรายวัน” ทั้งปวงหรือพวงก็คือ

ความใคร่ ความโลภ ความโกรธ ความลุ่มหลงงมงาย

ที่เรากล่าวมาทั้งหมดนี้รวมเป็น “กิเลส” กองใหญ่เลย

โดยที่เรารวมเรียกสิ่งเหล่านี้เป็นกิเลสมารก็เพราะว่า

พวกมารนี่แหละที่วางยาพวกท่านเอาไว้ทำให้เสียจริต

 

มารพวกนี้คือพวกที่มีชีวิตมีตัวตนปนอยู่กับมนุษย์โลก

เราเรียกพวกนี้ว่า “มอด” ซึ่งเข้ามาแทรกแซงมนุษย์

โดยเดินทางเข้ามาจากดาวดวงอื่นตั้งนานแล้ว

พวกนี้สอนมนุษย์โลกให้เสพติดกิเลสกันตั้งแต่วัยเด็ก

ด้วยการใช้รางวัลจูงใจทั้งที่เป็นด้านบวกและด้านลบ

เป็น #การจูงใจด้วยรางวัล เพื่อล่อให้อยากกับไม่อยาก

โดยมองพวกท่านที่เป็นมนุษย์เหมือนสัตว์ประจำโลก

ต้องการให้ใครทำสิ่งใดก็กระตุ้นให้อยากได้รางวัลนั้น

ซึ่งสิ่งที่ถูกจูงใจให้ทำจริงๆแล้วท่านเองก็ไม่อยากทำ

หรือใช้รางวัลด้านลบมาขู่ให้ท่านไม่อยากได้รางวัลนั้น

เพื่อจูงไม่ให้ท่านทำในสิ่งที่ท่านอยากจะทำนั้นก็มีด้วย

 

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้

คือ #การจูงใจ ด้วยวิธีของคนในซีกโลกตะวันตก

ที่เขายกเอามาเผยแพร่แก่ชาวตะวันออกผู้ด้อยกว่า

จนคนส่วนใหญ่พากันติดรางวัลจูงใจไปทั่ว

คือไม่จูงใจจะไม่ทำจะทำก็ต่อเมื่อมีแรงจูงใจเท่านั้น

เราจึงเรียกอำนาจในการจูงใจนี้ว่า “กิเลสมาร”

เราจึงเรียกทฤษฎีการจูงใจนี้ว่า #วิชามาร

ที่เด็กรุ่นใหม่และผู้ใหญ่รุ่นเก่าสันดานเสียไปหมด

ไม่ละเว้นแม้แต่คนแก่คนเฒ่าที่เป็นคนชอบธรรม

จะถูกสอนให้เสพติดกิเลสแม้แต่การทำบุญสุนทาน

 

เช่นสอนให้ทำบุญเบื้องล่าง

เพื่อนำไปสร้างสวรรค์มายาไว้เบื้องบน

สอนให้พวกท่านทำบุญหลายครั้งหลายหน

เพื่อสั่งสมบุญกุศลนั้นให้ได้มากมายหลายๆครั้ง

เมื่อตายแล้วจิตวิญญาณจะได้ไปเสวยสุขที่บนนั้น

 

สอนให้พวกท่านทำบุญแล้วร้องขอสิ่งตอบแทน

สอนให้พวกท่านทำบุญอย่างมีเงื่อนไข

โดยจะเจาะจงอุทิศส่วนบุญกุศลให้เฉพาะพวกตน

 

ซึ่งพฤติกรรมการทำบุญในลักษณะที่ว่านี้

เป็นการ #ทำเพื่อเอา มิใช่ #ทำเพื่อให้ ทั้งสิ้น

ในมิติทางพลังงานนั้นผลกรรมที่เกิดขึ้นจากกิเลส

มันจะเป็นพลังงานสกปรกหรือไม่สะอาด

ที่โลกและสรรพสิ่งใดเอาไปใช้ประโยชน์ไม่ได้เลย

เพราะมันเป็นพลังงานกรรมที่มีรหัสเจ้าของกำกับอยู่

แต่พวกท่านไม่รู้ความจริงจึงถูกคนนำทางตาบอด

ที่ถูกพวกมอดมารหลอกมาให้บอกท่านอีกทอดหนึ่ง

 

ดังนั้น

นิพพานในความหมายแรกที่ว่านี้

จึงเป็นการนิพพาน “กิเลส” ให้สิ้นก่อนที่ท่านจะตาย

แดนนิพพานที่ว่านี้ก็คือ “จิตหยาบ” ของตัวท่านเอง

เพราะถ้าท่านยังนิพพานกิเลสมารให้สิ้นซากไม่ได้

ภารกิจของจิตวิญญาณที่จิตหยาบท่านจะต้องทำนั้น

มันจะไม่ประสบความสำเร็จคือล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง

โดยพวกท่านจะไม่อาจใช้เมตตาธรรมค้ำจุนโลกได้

เนื่องจาก “ความเมตตา” คือปรารถนาที่จะช่วยเหลือ

ซึ่งหมายความว่า “ต้องการที่จะให้” อย่างไร้เงื่อนไข

 

นอกจากนั้น

ถ้าจิตหยาบของท่านยังนิพพานกิเลสมารไม่ได้

ตัวท่านก็จะไม่สามารถหมุนธรรมจักรในตนเอง

ด้วยการสั่นสะเทือนจิตหยาบให้สูงขึ้นทางด้านบวก

เพื่อค่อยๆยกระดับแรงสั่นสะเทือนให้สูงขึ้นเรื่อยๆ

จนสั่นสะเทือนอยู่ในระดับเดียวกันกับจิตวิญญาณ

โดยยกระดับจาก 4 มิติ ให้เข้าถึง 6 มิติในชาตินี้ได้

ซึ่งถ้าท่านทำไม่สำเร็จท่านก็จะเป็นมนุษย์ไม่ได้

เพราะท่านจะไม่มีใครคนอื่นมาหมุนร่วมกับท่านด้วย

เนื่องจากการยกระดับจิตหยาบให้เป็นหนึ่งเดียวกัน

กับจิตวิญญาณของท่านเองนั้นต้องอาศัยพลังร่วม

ตามสมการ Σβxโดย X แทนค่าด้วย 3 ขึ้นไปเท่านั้น

 

ส่วนความหมายที่สองของคำว่า “นิพพาน” นั้น

จะเป็นการนิพพานเมื่อท่านตายไปจากชาตินี้แล้ว

ซึ่งคำว่า “นิพพาน” นี้จะหมายถึงการกลับสู่บ้านเกิด

โดยบ้านเกิดของจิตวิญญาณของพวกท่านก็คือ

พระนิเวศน์ของพระเจ้าคือพระผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง

หรือองค์พระบิดาแห่งจิตวิญญาณของท่านทั้งหลาย

เป็นดินแดนที่มีอยู่จริงคือบริเวณภายนอกของเอกภพ

 

โดย “เอกภพ” ที่ว่านี้เป็นห้องทดลองของพระเจ้า

ทรงสร้างขึ้นเพื่อจะเรียนรู้ว่าจะทรงทำสิ่งใดได้บ้าง

ทั้งจิตวิญญาณพวกท่านที่อาสามาเกิดในระบบโลก

และโลกก็เป็นดาวดวงหนึ่งในเอกภพอันไพศาลนี้

ล้วนเป็นสิ่งที่อยู่ในแผนการทดลองของพระองค์

พวกท่านเป็นผู้มาทดลองในพระนามแห่งพระเจ้า

พวกท่านจึงเป็นผู้ทรงเกียรติของพระองค์กันทุกคน

 

น่าเสียดายนะที่หลายคนทำตนไม่สมพระเกียรติ

ไม่สามารถทำหน้าที่ #เพื่อนร่วมงานกับโลก กันได้

แต่ไปเป็น #กรรมกรแสง ให้ “มาร” ดักดูดพลังแทน

เพราะมีปัญญาแต่ใช้ปัญญาไม่เป็นหรือว่าไม่รู้จักใช้

จนยอมตนตกเป็นทาสของกิเลสมารกันแบบมักง่าย

จึงตกม้าตายเพราะว่า “อวดเก่ง อวดดี อวดฉลาด”

 

พวกที่ตกม้าตายนั้นมีอยู่ 2 จำพวก คือ

 

#พวกแรก

จะเป็นพวกโง่ง่ายที่แห่ตามผีโสโครกกันไป

โดยใช้ความอึ้งความทึ่งและความกลัวเป็นสิ่งจูงใจ

จึงทำตนเป็นดั่งนกแร้งหรือแมลงวันไปทันที

 

#พวกที่สอง

จะเป็นพวกที่ไม่โง่ง่ายแต่ทว่า “งมงาย”

เป็นพวกที่มิได้ก้าวตามผีโสโครกไป

มิได้ทำตัวเป็นนกแร้งแมลงวันที่ชอบตอมของเน่า

แต่คนพวกที่สองนี้เป็นพวกที่มีสมองแต่ไม่รู้จักใช้

เป็นพวกที่ปฏิเสธพระโอวาทพระบิดากันแบบสิ้นคิด

โดยเหมาว่าอนุตรธรรมที่เราสื่อมาและตัวเราผู้สื่อนี้

เป็นศาสตร์เดียวพวกเดียวกับเจ้าลัทธิอุตริพวกนั้น

เขาเรียกว่ากลัวเสียท่าหรือเสียรู้จนอุจจาระขึ้นสมอง

จึงชิงปฏิเสธพระโอวาททันทีทั้งที่ตนก็ยังไม่เข้าใจ

 

ผู้นิพพานกลับบ้านจึงเป็นผู้ที่ #หลุดพ้น

คือพ้นออกไปจากแรงดึงดูดของเอกภพเป็นอิสระได้

เพราะหมดหน้าที่ๆต้องทำภายในเอกภพนี้แล้ว

 

กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา

เอเมน สาธุ

#พระบุตรเอก

24/05/2567