พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
คำว่า
“เชื่อมจิต” เป็นคำที่กำลังฮิตอยู่ในยุคนี้
ขณะที่หลายคนยังไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไรกันแน่
แต่หลายคนก็เชื่อตามแบบว่าง่ายกันไปแล้ว
เราจะบอกให้พวกท่านรู้ว่า
คำๆนี้มาจากคำเต็มว่า
“การเชื่อมต่อจิต”
ซึ่งมีอากัปกิริยาภายนอกแบบการ์ตูน
“กาโม่” ญี่ปุ่น
คือใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางแตะเหนือระหว่างคิ้วเล็กน้อย
ตำแหน่งนั้นเป็นที่ตั้งของประตูที่สามของพวกท่าน
นั่นคือกะโหลกศีรษะจะเป็นรูเท่ากับเส้นผมผ่าซีก
ซึ่งพวกท่านทุกๆคนจะต้องมีรูนี้อยู่ด้วยกันทั้งสิ้น
ไม่มีผู้ใดที่จะเกิดมาแล้วไม่มีรูนี้
เหตุที่พระผู้สร้างทรงออกแบบให้สิ่งมีชีวิตทุกชนิด
รวมทั้งพวกท่านทั้งหลายที่เป็นคนสองมิติด้วย
ต้องมีรูเล็กๆตรงตำแหน่งนี้ด้วยกันทุกคนก็เพราะว่า
พระองค์ทรงออกแบบให้เป็นประตูมิติผ่านเข้าออก
ของคลื่นพลังงานจิตของพวกท่านนั่นเอง
พลังงานจิตที่จะผ่านเข้าออกทางประตูที่สามนี้
จะอยู่ในรูปของคลื่นความถี่ไฟฟ้าแม่เหล็กระบบหนึ่ง
ซึ่งอาจจะเป็นคลื่นพลังงานของการสื่อสารทางจิต
ระหว่างท่านกับจิตของรูปธรรมอื่นๆในระบบโลก
โดยมีสนามแม่เหล็กโลกเป็นโครงข่ายในการสื่อสาร
โดยอาจจะเป็นการสื่อสารทางเดียวหรือสองทางก็ได้
นอกจากนั้นประตูที่สามนี้
ยังเป็นช่องทางออกของคลื่นพลังงานจิต
ที่ตัวท่านแผ่หรือ
“เหวี่ยง” มันออกมา
จากการสั่นสะเทือนจิตหยาบเป็นห้าขั้นตอน
เมื่อจิตมีการรับรู้สิ่งเร้าแล้วรับเอาเกิดขึ้นทุกครั้งไป
โดยการรับเอาของจิตนั้นถ้าสั่นสะเทือนเป็นกิเลส
เครื่องยนต์แห่งกรรมก็จะผลิตพลังงานขยะออกมา
จากกระบวนการหมุน
“กรรมจักร” ภายในตนเองนั้น
พลังงานขยะที่เหวี่ยงออกมาจะเป็นพลังงานกรรม
ซึ่งเป็นพลังงานไฟฟ้าที่มีคุณสมบัติเป็นลบนั่นเอง
เมื่อเหวี่ยงออกมาภายนอกมันจะพุ่งออกมาทางรูนี้
ในขณะเดียวกัน
ถ้ามีการรับเอาเกิดขึ้นแล้วจิตสั่นสะเทือนเป็นบวก
ซึ่งจะเป็นลักษณะของการทำดีแล้วหวังสิ่งตอบแทน
หรือให้อย่างมีเงื่อนไขคือการให้ที่แฝงไว้ด้วยกิเลส
นี่ก็จะเป็นพลังงานจิตด้านบวกแต่ไม่บริสุทธิ์
ถ้าเป็นการให้แล้วอธิษฐานขออุทิศให้ตนหรือคนอื่น
นี่ก็เป็นพลังงานจิตด้านบวกที่ไม่สะอาดบริสุทธิ์
จะเรียกว่าเป็นการหมุนธรรมจักรได้ไม่เต็มคำเท่าใด
เพราะพลังงานจิตที่ถูกเหวี่ยงออกมาทั้งหมดนั้น
จะเป็นได้แค่ #พลังงานกรรม ในรูปของ “ผลกรรม”
เราจึงเคยเตือนพวกท่านมาแล้วว่า
เวลาทำบุญหรือทำความดีงามในทุกครั้งที่กระทำ
จงอย่าร้องขอสิ่งตอบแทนจากบุญกุศลที่ตนทำนั้น
เพราะกรรมดีที่ท่านทำท่านจะต้องได้รับมันอยู่แล้ว
จงอย่าอธิษฐานแบ่งปันหรืออุทิศส่วนบุญนั้นให้ใคร
ไม่ว่าใครคนนั้นจะเป็นบุรพการีของท่านเองก็ตาม
เพราะพ่อแม่ลูกมีจิตวิญญาณที่สั่นสะเทือนถึงกันได้
พระเจ้าทรงออกแบบให้เป็นระบบอัตโนมัติอยู่แล้ว
เพื่อให้สอดคล้องกับสมการ
Σβxโดย X เท่ากับสาม
คือพ่อแม่ลูกรวมสามคนเป็นอย่างน้อยนั่นเอง
เนื่องจากพวกผีโสโครกซึ่งเป็นจิตวิญญาณเร่ร่อน
เหมือนดาวเทียมที่ล่องลอยอยู่บนฟ้าในระบบโลก
ที่ตัวตนถูกน้ำท่วมโลกจนตายสิ้นในยุคสมัยโนอาห์
เมื่อตายแล้วจิตวิญญาณก็กลับมาเกิดอีกไม่ได้
ครั้นจะเดินทางกลับบ้านเกิดของจิตวิญญาณก็ไม่ได้
เพราะมิได้ถือพันธะสัญญา
6 มาด้วยเหมือนพวกท่าน
จิตวิญญาณจึงต้องล่องลอยพเนจรไปเรื่อยๆ
ได้แต่ทำตัวเป็นลูกกำพร้าพ่อแม่และเป็นคนไร้บ้าน
คอยหลอกลวงพวกท่านด้วยการบิดเบือนพระวจนะ
ทำให้สับสนกับตนเองและหลงทางนิพพานตลอดมา
นอกจากนั้น
พวกนี้ยังหลอกล่อพวกท่านให้ฝักใฝ่ในสายมู
ซึ่งเป็นศาสตร์แห่งอวิชชาที่พวกท่านไม่รู้ไม่เข้าใจ
ด้วยฤทธิ์อภิญญาของจิตวิญญาณของพวกเขา
จึงยังผลให้คนชอบธรรมหลายคนพากันหลงทาง
จนถึงกับพลัดตกลงไปในบึงไฟคือขุมนรกตลอดมา
เมื่อพ้นจากนรกขึ้นมาแล้วก็ต้องตกอยู่ในบ่อย่ำองุ่น
คือต้องเวียนตายเวียนเกิดอยู่ในสังสารวัฏไม่สิ้นสุด
เหมือนผลองุ่นที่ถูกเหยียบย่ำอยู่ในบ่อจนเละเทะ
ฝ่ายพวกผีโสโครกเอง
เนื่องจากใช้พลังฤทธิ์อภิญญาหลอกลวงพวกท่าน
ให้เชื่อตามพวกเขาอย่างงมงายในสาย
“มู” นี่แหละ
จิตวิญญาณที่เคยมี
6 เหลี่ยมมุมจึงถูกหักเหลือแค่ 5
จนกลายเป็นรูปธรรมที่พิการกันอยู่ในปัจจุบันนี้
ส่วนพวกท่านที่เป็นคนสองมิติ
มีหน้าที่จะต้องนิพพานกิเลสให้สิ้นซากก่อนตาย
เพื่อยกระดับจิตหยาบจากสี่เหลี่ยมมุมนับจากตกฟาก
ให้มันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจาก
4 ไป 5 จนถึง 6 ให้จงได้
แต่จิตหยาบก็ไม่อาจยกระดับเพิ่มขึ้นจากสี่ไปห้าได้
พวกท่านยังคงย่ำอยู่กับที่กันตลอดมาช้านานแล้ว
เพราะจิตหยาบพวกท่านเกิดอาการป่วยด้วยหลงมิติ
เพราะถูกพวกผีโสโครกคอยหลอกลวงตลอดมา
พวกนี้มีแต่จิตวิญญาณไม่มีตัวตน
จึงชอบใช้ฤทธิ์เข้าไปส่งเสียงสั่งทำเสียงสอนถึงในหู
คนหลายคนจึงถูกหลอกให้เชื่อเสียงที่ในหัว
เพราะเข้าใจว่าเป็นเสียงเทพหรือเสียงสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ที่แสดงฤทธิ์มาโปรดตนเองให้เป็นคนพิเศษ
โดยเฉพาะพวกคนนำทางตาบอดนั่นแหละตัวดีนัก
พวกนี้มักยอมตนทำตัวเป็นดั่งกรรมกรของพวกมัน
เพื่อหลอกชาวบ้านให้หลงก้าวตามเป็นสาวกกันอีกที
แผนการหลอกลวงมีมากมายหลายแบบเหลือเกิน
จะกล่าวความจริงเพื่อแฉทีเดียววันเดียวคงไม่จบสิ้น
พระเยซูจึงทรงเรียกจิตวิญญาณพวกนี้ว่า
#ผีโสโครก
พระพุทธองค์จึงทรงเรียกผีพวกนี้ว่า
“พญามาร”
เนื่องจากจิตวิญญาณพวกนี้ใช้พลังอำนาจจนเสื่อม
โดยไม่สามารถจะชาร์จพลังเพิ่มเติมเต็มให้ตนเองได้
จิตวิญญาณจึงพิการจากการมี
6 มิติจนเหลือแค่ 5 มิติ
เพราะตนไม่มีเครื่องยนต์แห่งกรรมที่มีชีวิตอีกแล้ว
คนชอบธรรมที่เป็นชาวโลกพวกโง่ง่ายในสายมู
จึงพากันเซ่นสรวงกราบไหว้บูชาด้วยความไม่รู้ว่า
ที่หน้าตาหล่อเหลาสวยงามแบบเทพบุตรเทพธิดา
ที่หน้าตาดุร้ายไม่เหมือนเทพแต่เป็นดั่งยักษ์มาร
ที่มีเรือนร่างรูปทรงองค์เอวคล้ายดั่งรูปธรรมมนุษย์
ที่มีรูปธรรมหน้าตาไม่เหมือนมนุษย์โลกแต่อย่างใด
เขาเหล่านี้เป็นแค่มายาที่ถูกสมมุติสร้างขึ้นมาทั้งนั้น
ตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาไม่มีอยู่จริงแต่อย่างใด
มายาเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นให้พวกท่านยึดติด
พวกเขาก็จะมี
“อัตตาตัวตน” ขึ้นมาได้ตามนั้น
ไม่ว่าท่านจะกลัวพวกเขาท่านก็ยึดติดเข้าให้แล้ว
หรือไม่ว่าท่านจะเชื่อพวกเขาที่ให้หวยแม่นให้พรได้
ความงมงายโง่เง่าก็จะบันดาลตัวตนให้แก่พวกเขา
พลังจิตที่ท่านส่งออกมาผ่านทางประตูที่สามนั้น
ก็จะพุ่งตรงไปยังมายารูปลักษณ์ที่ท่านบูชาเหล่านั้น
เพียงเท่านี้พวกผีโสโครกก็ได้รับพลังบวกได้แล้ว
วิธีการหลอกรับประทานแบบที่ว่านี้จึงเกิดง่าย
แต่เนื่องจากยุคนี้พวกมอดทำให้วิทยาการก้าวหน้า
คนโง่ง่ายจากความงมงายน้อยลงมากกว่าแต่ก่อน
การหลอกผ่านกรรมกรชราพวกคนนำทางตาบอด
จึงเสื่อมคลายลงไปจากอดีตกาลที่มันล้าสมัยแล้ว
พวกผีโสโครกจึงหันมาใช้แผนการในเชิงรุก
โดยพยายามเฟ้นหา
“กรรมกรแสงรุ่นใหม่” มาแทน
แต่แผนการเดิมในการใช้ความงมงายเป็นตัวล่อจูง
ก็จะยังคงใช้อยู่เหมือนเดิม
แผนล่าสุดแผนการหนึ่งคือใช้เด็กเป็นเครื่องมือ
แต่โชคไม่ดีที่ผีเลือกใช้ผิดเวลาผิดคนและผิดวิธี
วิชาเชื่อมจิตจึงผิดเป้าหมายไปเยอะเลย
(ยังมีตอนต่อไป)
กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา
เอเมน สาธุ
6/05/2567