06 พฤษภาคม 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 6/05/2024

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

คำว่า “เชื่อมจิต” เป็นคำที่กำลังฮิตอยู่ในยุคนี้

ขณะที่หลายคนยังไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไรกันแน่

แต่หลายคนก็เชื่อตามแบบว่าง่ายกันไปแล้ว

 

เราจะบอกให้พวกท่านรู้ว่า

คำๆนี้มาจากคำเต็มว่า “การเชื่อมต่อจิต”

ซึ่งมีอากัปกิริยาภายนอกแบบการ์ตูน “กาโม่” ญี่ปุ่น

คือใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางแตะเหนือระหว่างคิ้วเล็กน้อย

ตำแหน่งนั้นเป็นที่ตั้งของประตูที่สามของพวกท่าน

นั่นคือกะโหลกศีรษะจะเป็นรูเท่ากับเส้นผมผ่าซีก

ซึ่งพวกท่านทุกๆคนจะต้องมีรูนี้อยู่ด้วยกันทั้งสิ้น

ไม่มีผู้ใดที่จะเกิดมาแล้วไม่มีรูนี้

 

เหตุที่พระผู้สร้างทรงออกแบบให้สิ่งมีชีวิตทุกชนิด

รวมทั้งพวกท่านทั้งหลายที่เป็นคนสองมิติด้วย

ต้องมีรูเล็กๆตรงตำแหน่งนี้ด้วยกันทุกคนก็เพราะว่า

พระองค์ทรงออกแบบให้เป็นประตูมิติผ่านเข้าออก

ของคลื่นพลังงานจิตของพวกท่านนั่นเอง

 

พลังงานจิตที่จะผ่านเข้าออกทางประตูที่สามนี้

จะอยู่ในรูปของคลื่นความถี่ไฟฟ้าแม่เหล็กระบบหนึ่ง

ซึ่งอาจจะเป็นคลื่นพลังงานของการสื่อสารทางจิต

ระหว่างท่านกับจิตของรูปธรรมอื่นๆในระบบโลก

โดยมีสนามแม่เหล็กโลกเป็นโครงข่ายในการสื่อสาร

โดยอาจจะเป็นการสื่อสารทางเดียวหรือสองทางก็ได้

 

นอกจากนั้นประตูที่สามนี้

ยังเป็นช่องทางออกของคลื่นพลังงานจิต

ที่ตัวท่านแผ่หรือ “เหวี่ยง” มันออกมา

จากการสั่นสะเทือนจิตหยาบเป็นห้าขั้นตอน

เมื่อจิตมีการรับรู้สิ่งเร้าแล้วรับเอาเกิดขึ้นทุกครั้งไป

โดยการรับเอาของจิตนั้นถ้าสั่นสะเทือนเป็นกิเลส

เครื่องยนต์แห่งกรรมก็จะผลิตพลังงานขยะออกมา

จากกระบวนการหมุน “กรรมจักร” ภายในตนเองนั้น

พลังงานขยะที่เหวี่ยงออกมาจะเป็นพลังงานกรรม

ซึ่งเป็นพลังงานไฟฟ้าที่มีคุณสมบัติเป็นลบนั่นเอง

เมื่อเหวี่ยงออกมาภายนอกมันจะพุ่งออกมาทางรูนี้

 

ในขณะเดียวกัน

ถ้ามีการรับเอาเกิดขึ้นแล้วจิตสั่นสะเทือนเป็นบวก

ซึ่งจะเป็นลักษณะของการทำดีแล้วหวังสิ่งตอบแทน

หรือให้อย่างมีเงื่อนไขคือการให้ที่แฝงไว้ด้วยกิเลส

นี่ก็จะเป็นพลังงานจิตด้านบวกแต่ไม่บริสุทธิ์

ถ้าเป็นการให้แล้วอธิษฐานขออุทิศให้ตนหรือคนอื่น

นี่ก็เป็นพลังงานจิตด้านบวกที่ไม่สะอาดบริสุทธิ์

จะเรียกว่าเป็นการหมุนธรรมจักรได้ไม่เต็มคำเท่าใด

เพราะพลังงานจิตที่ถูกเหวี่ยงออกมาทั้งหมดนั้น

จะเป็นได้แค่ #พลังงานกรรม ในรูปของ “ผลกรรม”

 

เราจึงเคยเตือนพวกท่านมาแล้วว่า

เวลาทำบุญหรือทำความดีงามในทุกครั้งที่กระทำ

จงอย่าร้องขอสิ่งตอบแทนจากบุญกุศลที่ตนทำนั้น

เพราะกรรมดีที่ท่านทำท่านจะต้องได้รับมันอยู่แล้ว

จงอย่าอธิษฐานแบ่งปันหรืออุทิศส่วนบุญนั้นให้ใคร

ไม่ว่าใครคนนั้นจะเป็นบุรพการีของท่านเองก็ตาม

เพราะพ่อแม่ลูกมีจิตวิญญาณที่สั่นสะเทือนถึงกันได้

พระเจ้าทรงออกแบบให้เป็นระบบอัตโนมัติอยู่แล้ว

เพื่อให้สอดคล้องกับสมการ Σβxโดย X เท่ากับสาม

คือพ่อแม่ลูกรวมสามคนเป็นอย่างน้อยนั่นเอง

 

เนื่องจากพวกผีโสโครกซึ่งเป็นจิตวิญญาณเร่ร่อน

เหมือนดาวเทียมที่ล่องลอยอยู่บนฟ้าในระบบโลก

ที่ตัวตนถูกน้ำท่วมโลกจนตายสิ้นในยุคสมัยโนอาห์

เมื่อตายแล้วจิตวิญญาณก็กลับมาเกิดอีกไม่ได้

ครั้นจะเดินทางกลับบ้านเกิดของจิตวิญญาณก็ไม่ได้

เพราะมิได้ถือพันธะสัญญา 6 มาด้วยเหมือนพวกท่าน

จิตวิญญาณจึงต้องล่องลอยพเนจรไปเรื่อยๆ

ได้แต่ทำตัวเป็นลูกกำพร้าพ่อแม่และเป็นคนไร้บ้าน

คอยหลอกลวงพวกท่านด้วยการบิดเบือนพระวจนะ

ทำให้สับสนกับตนเองและหลงทางนิพพานตลอดมา

 

นอกจากนั้น

พวกนี้ยังหลอกล่อพวกท่านให้ฝักใฝ่ในสายมู

ซึ่งเป็นศาสตร์แห่งอวิชชาที่พวกท่านไม่รู้ไม่เข้าใจ

ด้วยฤทธิ์อภิญญาของจิตวิญญาณของพวกเขา

จึงยังผลให้คนชอบธรรมหลายคนพากันหลงทาง

จนถึงกับพลัดตกลงไปในบึงไฟคือขุมนรกตลอดมา

เมื่อพ้นจากนรกขึ้นมาแล้วก็ต้องตกอยู่ในบ่อย่ำองุ่น

คือต้องเวียนตายเวียนเกิดอยู่ในสังสารวัฏไม่สิ้นสุด

เหมือนผลองุ่นที่ถูกเหยียบย่ำอยู่ในบ่อจนเละเทะ

 

ฝ่ายพวกผีโสโครกเอง

เนื่องจากใช้พลังฤทธิ์อภิญญาหลอกลวงพวกท่าน

ให้เชื่อตามพวกเขาอย่างงมงายในสาย “มู” นี่แหละ

จิตวิญญาณที่เคยมี 6 เหลี่ยมมุมจึงถูกหักเหลือแค่ 5

จนกลายเป็นรูปธรรมที่พิการกันอยู่ในปัจจุบันนี้

 

ส่วนพวกท่านที่เป็นคนสองมิติ

มีหน้าที่จะต้องนิพพานกิเลสให้สิ้นซากก่อนตาย

เพื่อยกระดับจิตหยาบจากสี่เหลี่ยมมุมนับจากตกฟาก

ให้มันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจาก 4 ไป 5 จนถึง 6 ให้จงได้

แต่จิตหยาบก็ไม่อาจยกระดับเพิ่มขึ้นจากสี่ไปห้าได้

พวกท่านยังคงย่ำอยู่กับที่กันตลอดมาช้านานแล้ว

เพราะจิตหยาบพวกท่านเกิดอาการป่วยด้วยหลงมิติ

เพราะถูกพวกผีโสโครกคอยหลอกลวงตลอดมา

 

พวกนี้มีแต่จิตวิญญาณไม่มีตัวตน

จึงชอบใช้ฤทธิ์เข้าไปส่งเสียงสั่งทำเสียงสอนถึงในหู

คนหลายคนจึงถูกหลอกให้เชื่อเสียงที่ในหัว

เพราะเข้าใจว่าเป็นเสียงเทพหรือเสียงสิ่งศักดิ์สิทธิ์

ที่แสดงฤทธิ์มาโปรดตนเองให้เป็นคนพิเศษ

โดยเฉพาะพวกคนนำทางตาบอดนั่นแหละตัวดีนัก

พวกนี้มักยอมตนทำตัวเป็นดั่งกรรมกรของพวกมัน

เพื่อหลอกชาวบ้านให้หลงก้าวตามเป็นสาวกกันอีกที

แผนการหลอกลวงมีมากมายหลายแบบเหลือเกิน

จะกล่าวความจริงเพื่อแฉทีเดียววันเดียวคงไม่จบสิ้น

พระเยซูจึงทรงเรียกจิตวิญญาณพวกนี้ว่า #ผีโสโครก

พระพุทธองค์จึงทรงเรียกผีพวกนี้ว่า “พญามาร”

 

เนื่องจากจิตวิญญาณพวกนี้ใช้พลังอำนาจจนเสื่อม

โดยไม่สามารถจะชาร์จพลังเพิ่มเติมเต็มให้ตนเองได้

จิตวิญญาณจึงพิการจากการมี 6 มิติจนเหลือแค่ 5 มิติ

เพราะตนไม่มีเครื่องยนต์แห่งกรรมที่มีชีวิตอีกแล้ว

คนชอบธรรมที่เป็นชาวโลกพวกโง่ง่ายในสายมู

จึงพากันเซ่นสรวงกราบไหว้บูชาด้วยความไม่รู้ว่า

ที่หน้าตาหล่อเหลาสวยงามแบบเทพบุตรเทพธิดา

ที่หน้าตาดุร้ายไม่เหมือนเทพแต่เป็นดั่งยักษ์มาร

ที่มีเรือนร่างรูปทรงองค์เอวคล้ายดั่งรูปธรรมมนุษย์

ที่มีรูปธรรมหน้าตาไม่เหมือนมนุษย์โลกแต่อย่างใด

เขาเหล่านี้เป็นแค่มายาที่ถูกสมมุติสร้างขึ้นมาทั้งนั้น

ตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาไม่มีอยู่จริงแต่อย่างใด

 

มายาเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นให้พวกท่านยึดติด

พวกเขาก็จะมี “อัตตาตัวตน” ขึ้นมาได้ตามนั้น

ไม่ว่าท่านจะกลัวพวกเขาท่านก็ยึดติดเข้าให้แล้ว

หรือไม่ว่าท่านจะเชื่อพวกเขาที่ให้หวยแม่นให้พรได้

ความงมงายโง่เง่าก็จะบันดาลตัวตนให้แก่พวกเขา

พลังจิตที่ท่านส่งออกมาผ่านทางประตูที่สามนั้น

ก็จะพุ่งตรงไปยังมายารูปลักษณ์ที่ท่านบูชาเหล่านั้น

เพียงเท่านี้พวกผีโสโครกก็ได้รับพลังบวกได้แล้ว

วิธีการหลอกรับประทานแบบที่ว่านี้จึงเกิดง่าย

 

แต่เนื่องจากยุคนี้พวกมอดทำให้วิทยาการก้าวหน้า

คนโง่ง่ายจากความงมงายน้อยลงมากกว่าแต่ก่อน

การหลอกผ่านกรรมกรชราพวกคนนำทางตาบอด

จึงเสื่อมคลายลงไปจากอดีตกาลที่มันล้าสมัยแล้ว

พวกผีโสโครกจึงหันมาใช้แผนการในเชิงรุก

โดยพยายามเฟ้นหา “กรรมกรแสงรุ่นใหม่” มาแทน

แต่แผนการเดิมในการใช้ความงมงายเป็นตัวล่อจูง

ก็จะยังคงใช้อยู่เหมือนเดิม

 

แผนล่าสุดแผนการหนึ่งคือใช้เด็กเป็นเครื่องมือ

แต่โชคไม่ดีที่ผีเลือกใช้ผิดเวลาผิดคนและผิดวิธี

วิชาเชื่อมจิตจึงผิดเป้าหมายไปเยอะเลย

(ยังมีตอนต่อไป)

 

กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

6/05/2567