พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
พระพุทธเจ้าทรงเป็นพระศาสดาของชาวพุทธนั้น
เมื่อทรงเสด็จดับขันธปรินิพพานไปจากโลกแล้ว
พระจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ของพระองค์
ก็ได้เดินทางข้ามมิติผ่านทาง
“ด่านนภาลัย”
เพื่อคืนกลับสู่แดนสุญตาออกไปภายนอกเอกภพ
เพราะพระองค์สามารถบรรลุธรรมขั้นสูงสุดได้
โดยทรง
“ตรัสรู้” ความจริงของพระองค์เองได้ว่า
พระจิตวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์เป็นใคร
พระองค์มาจากไหนมาเกิดเป็นมนุษย์โลกทำไม
เมื่อมาเกิดแล้วทรงมีหน้าที่จะต้องทำสิ่งใดบ้าง
พวกท่านทั้งหลายก็เป็นคนสองมิติเช่นกัน
เป้าหมายสูงสุดของการบรรลุธรรมก็คือ
ต้อง
“คนตนเองให้เป็นมนุษย์” เหมือนพระพุทธองค์
การคนตนเองก็คือการหมั่นหมุนธรรมจักรในตนเอง
รวมทั้งการชักชวนคนรอบข้างให้มาหมุนร่วมกันด้วย
วิธีการชักชวนก็คือการใช้
“มรรค 8”
ปฏิบัติต่อกัน
อันหมายถึงเมื่อจิตนึกบวกคิดบวกได้แล้ว
ก็ให้แสดงออกเป็นกายกรรมหรือวจีกรรมออกมา
เพื่อให้คนรอบข้างใช้เป็นเงื่อนไขกระตุ้น
#ขันธ์ห้า
หมุนธรรมจักรภายในตนเองของพวกเขากันต่อไป
ถ้าพวกท่านต้องการเรียนแบบพระพุทธองค์
ก็จงฉลาดที่จะเรียนแบบให้ถูกต้องตรงจริงด้วยว่า
จะเรียนแบบวิธีดำเนินชีวิตของพระองค์ในสิ่งใด
ตัวอย่างเช่นท่านเห็นพระองค์เข้าป่าหาความวิเวก
ก็หยิบฉวยเอาการเข้าป่าปลีกวิเวกมาเป็นต้นแบบ
ด้วยการเดินธุดงค์ท่องป่าย่ำรอยพระบาทก้าวตาม
ทั้งๆที่พระองค์เข้าป่าแสวงหาสัจธรรมจนกำมาให้
เป็นจำนวน
“แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์” แล้ว
จนศึกษาเรียนรู้ข้อธรรมกันไม่หมดไม่สิ้นกันอยู่
ไม่จำเป็นต้องเดินดงหาธรรมให้เสียเวลาด้วยซ้ำไป
แม้กระทั่งการนั่งกรรมฐานสมาธิ
ซึ่งเป็นอุบายที่ทรงค้นพบด้วยพระองค์เองว่า
ถ้าใช้ชีวิตอยู่ตามลำพังคนเดียวเพราะหนีจากเมือง
ไม่มีใครอื่นในสังคมช่วยเป็นครูสอนพฤติกรรมให้
ทรงต้องหาทางพัฒนาจิตของพระองค์ให้เกิดฌาน
คือทำให้จิตหยาบมีอำนาจในการสั่นสะเทือนสูงๆ
ก็ด้วยวิธีการ #ปฏิบัติกรรมฐานสมาธิ เท่านั้น
วิธีปฏิบัติเพื่อทำให้จิตหยาบมีพลังที่ทรงค้นพบนั้น
ทรงเรียกว่าการปฏิบัติ
#สมถะกรรมฐานสมาธิ
ด้วยวิธีการฝึกกำหนดจิตให้มันอยู่ในโอวาทให้ได้
โดยกำหนดจิตให้จดจ่ออยู่กับสิ่งใดแค่เพียงสิ่งเดียว
เพื่อให้จิตจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้นนานที่สุดเท่าที่จะทำได้
การกำหนดจิตให้อยู่กับสิ่งเดียวได้เป็นเวลานานๆ
พระพุทธองค์ทรงเรียกว่าจิตสงบเป็น
#สมาธิ อยู่
พระองค์ทรงปฏิบัติแบบนี้ในทุกครั้ง
ก่อนจะทรงตั้งจิตพิจารณาข้อธรรมทั้งหลาย
พวกท่านจะต้องจำเอาไว้ว่าทรงปฏิบัติแบบนี้
เพราะทรงอยู่ตามลำพังคนเดียวคิดคนเดียว
ขณะปฏิบัติจิตเพื่อสำรวมจิตของพระองค์ให้สงบนั้น
อายตนะภายนอกทั้งห้าช่องทางจึงทรงปิดมันไว้
เพื่อมิให้มันทำงานประสานกับจิตหยาบที่อยู่ข้างใน
โดยส่งข้อมูลอื่นผ่านเข้าไปแทรกสิ่งที่ทรงจดจ่ออยู่
จนยังผลให้จิตหยาบทำงานเกินกำลังความสามารถ
เนื่องจากจิตหยาบมันสั่นสะเทือนได้ทีละเรื่องเท่านั้น
เราขอย้ำอีกครั้งว่า
พระพุทธองค์ต้องทรงปฏิบัติเช่นนี้เพราะอยู่คนเดียว
ทรงต้องนึกคิดด้วยจิตกับสมองของท่านเพียงเท่านั้น
ที่ต้องทรงปิดอายตนะภายนอกทั้งห้าเอาไว้จนหมด
มิใช่เพราะเห็นว่าหูตาปากนั้นไร้ค่าหาประโยชน์มิได้
แต่ทรงต้องการให้จิตกับสมองนั้นทำงานทีละอย่าง
ที่สำคัญคือพระองค์มิได้ทรงปิดหูปิดตาปิดวาจาทั้งวัน
แต่จะทรงปฏิบัติเช่นนั้นจำเพาะก่อนคิดและกำลังคิด
พวกท่านจึงจะจำแบบพระองค์มาปฏิบัติอย่างไร้สติ
เพื่อชี้ว่ากรรมฐานคือรูปแบบของการปฏิบัติธรรมมิได้
เพราะมันเป็นอุบายหนึ่งของพระพุทธองค์ที่ทรงใช้
เพื่อการฝึกจิตให้นิ่งสงบจนเกิดพลัง
“ฌาน” นั่นเอง
เมื่อจิตเกิดพลังฌานจากการนั่งสมถะกรรมฐานแล้ว
พระองค์จะทรงกำหนดนึกเรื่องที่จะคิดพิจารณา
เพื่อให้จิตที่มีพลังฌานสูงนั้นสั่นสะเทือนเซลล์สมอง
ให้เกิดพลังอำนาจทางปัญญาของสมองสูงด้วย
เพราะจิตที่สั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่สูงในขณะนั้น
มันจะกระตุ้นให้เซลล์สมองสั่นสะเทือนสูงตามด้วย
เซลล์สมองทั้งสองซีกเป็นเซลล์ประสาท
เมื่อมันถูกกระตุ้นให้สั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่สูง
สมองก็จะผลิตสนามแม่เหล็กไฟฟ้าเหวี่ยงออกมา
โดยจะมีค่าความเข้มสนามแม่เหล็กสูงตามไปด้วย
คนที่มีความฉลาดทางปัญญาในการคิดสูงมาก
ความเข้มสนามแม่เหล็กไฟฟ้าของสมองก็จะสูงตาม
ถ้าท่านรู้จักใช้จิตให้เป็นคือนึกทีละเรื่อง
พร้อมกับการใช้สมองให้เป็นคือคิดทีละอย่าง
ท่านก็จะเป็นคนหนึ่งที่เข้าถึงการเป็นอัจฉริยะได้
ดังนั้น
คำสอนของคนโบราณที่ว่าไว้คือ
#เห็นช้างขี้ #จงอย่าขี้ตามช้าง
เพราะว่าพวกท่านไม่ใช่ช้างนั้นพึงสังวรเถิด
การหนีเข้าป่าปลีกวิเวก
ทำให้การหมุนธรรมจักรร่วมกันกับผู้อื่นเกิดขึ้นไม่ได้
การใช้ชีวิตปฏิบัติธรรมอยู่ในสังคมที่มีประโยชน์กว่า
การริปฏิบัติธรรมแบบไปสวรรค์คนเดียวก็เกิดไม่ได้
การอยู่ในสังคมร่วมกันกับผู้อื่น
แล้วเน้นที่การปิดหูปิดตานั่งกรรมฐานเป็นอาชีพนั้น
มันคือการเห็นช้างขี้แล้วอยากจะขี้ตามช้าง
บริบทของพระพุทธองค์กับพวกท่านต่างกันสิ้นเชิง
ทำไมไม่สนใจ #ธรรมชาติสมาธิ แบบไม่พิการบ้างล่ะ
ท่านเห็นแต่แสร้งทำเป็นไม่เห็นไม่ได้หรือ
ท่านได้ยินแต่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินไม่ได้หรือ
ทำได้โดยเปิดอายตนะแต่ปิดจิตคือมหาสติไงล่ะท่าน
กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา
เอเมน สาธุ
1/05/2567