01 พฤษภาคม 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 1/05/2024

 พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

พระพุทธเจ้าทรงเป็นพระศาสดาของชาวพุทธนั้น

เมื่อทรงเสด็จดับขันธปรินิพพานไปจากโลกแล้ว

พระจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ของพระองค์

ก็ได้เดินทางข้ามมิติผ่านทาง “ด่านนภาลัย”

เพื่อคืนกลับสู่แดนสุญตาออกไปภายนอกเอกภพ

เพราะพระองค์สามารถบรรลุธรรมขั้นสูงสุดได้

โดยทรง “ตรัสรู้” ความจริงของพระองค์เองได้ว่า

 

พระจิตวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์เป็นใคร

พระองค์มาจากไหนมาเกิดเป็นมนุษย์โลกทำไม

เมื่อมาเกิดแล้วทรงมีหน้าที่จะต้องทำสิ่งใดบ้าง

 

พวกท่านทั้งหลายก็เป็นคนสองมิติเช่นกัน

เป้าหมายสูงสุดของการบรรลุธรรมก็คือ

ต้อง “คนตนเองให้เป็นมนุษย์” เหมือนพระพุทธองค์

การคนตนเองก็คือการหมั่นหมุนธรรมจักรในตนเอง

รวมทั้งการชักชวนคนรอบข้างให้มาหมุนร่วมกันด้วย

วิธีการชักชวนก็คือการใช้ “มรรค 8” ปฏิบัติต่อกัน

อันหมายถึงเมื่อจิตนึกบวกคิดบวกได้แล้ว

ก็ให้แสดงออกเป็นกายกรรมหรือวจีกรรมออกมา

เพื่อให้คนรอบข้างใช้เป็นเงื่อนไขกระตุ้น #ขันธ์ห้า

หมุนธรรมจักรภายในตนเองของพวกเขากันต่อไป

 

ถ้าพวกท่านต้องการเรียนแบบพระพุทธองค์

ก็จงฉลาดที่จะเรียนแบบให้ถูกต้องตรงจริงด้วยว่า

จะเรียนแบบวิธีดำเนินชีวิตของพระองค์ในสิ่งใด

ตัวอย่างเช่นท่านเห็นพระองค์เข้าป่าหาความวิเวก

ก็หยิบฉวยเอาการเข้าป่าปลีกวิเวกมาเป็นต้นแบบ

ด้วยการเดินธุดงค์ท่องป่าย่ำรอยพระบาทก้าวตาม

ทั้งๆที่พระองค์เข้าป่าแสวงหาสัจธรรมจนกำมาให้

เป็นจำนวน “แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์” แล้ว

จนศึกษาเรียนรู้ข้อธรรมกันไม่หมดไม่สิ้นกันอยู่

ไม่จำเป็นต้องเดินดงหาธรรมให้เสียเวลาด้วยซ้ำไป

 

แม้กระทั่งการนั่งกรรมฐานสมาธิ

ซึ่งเป็นอุบายที่ทรงค้นพบด้วยพระองค์เองว่า

ถ้าใช้ชีวิตอยู่ตามลำพังคนเดียวเพราะหนีจากเมือง

ไม่มีใครอื่นในสังคมช่วยเป็นครูสอนพฤติกรรมให้

ทรงต้องหาทางพัฒนาจิตของพระองค์ให้เกิดฌาน

คือทำให้จิตหยาบมีอำนาจในการสั่นสะเทือนสูงๆ

ก็ด้วยวิธีการ #ปฏิบัติกรรมฐานสมาธิ เท่านั้น

 

วิธีปฏิบัติเพื่อทำให้จิตหยาบมีพลังที่ทรงค้นพบนั้น

ทรงเรียกว่าการปฏิบัติ #สมถะกรรมฐานสมาธิ

ด้วยวิธีการฝึกกำหนดจิตให้มันอยู่ในโอวาทให้ได้

โดยกำหนดจิตให้จดจ่ออยู่กับสิ่งใดแค่เพียงสิ่งเดียว

เพื่อให้จิตจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้นนานที่สุดเท่าที่จะทำได้

การกำหนดจิตให้อยู่กับสิ่งเดียวได้เป็นเวลานานๆ

พระพุทธองค์ทรงเรียกว่าจิตสงบเป็น #สมาธิ อยู่

 

พระองค์ทรงปฏิบัติแบบนี้ในทุกครั้ง

ก่อนจะทรงตั้งจิตพิจารณาข้อธรรมทั้งหลาย

พวกท่านจะต้องจำเอาไว้ว่าทรงปฏิบัติแบบนี้

เพราะทรงอยู่ตามลำพังคนเดียวคิดคนเดียว

ขณะปฏิบัติจิตเพื่อสำรวมจิตของพระองค์ให้สงบนั้น

อายตนะภายนอกทั้งห้าช่องทางจึงทรงปิดมันไว้

เพื่อมิให้มันทำงานประสานกับจิตหยาบที่อยู่ข้างใน

โดยส่งข้อมูลอื่นผ่านเข้าไปแทรกสิ่งที่ทรงจดจ่ออยู่

จนยังผลให้จิตหยาบทำงานเกินกำลังความสามารถ

เนื่องจากจิตหยาบมันสั่นสะเทือนได้ทีละเรื่องเท่านั้น

 

เราขอย้ำอีกครั้งว่า

พระพุทธองค์ต้องทรงปฏิบัติเช่นนี้เพราะอยู่คนเดียว

ทรงต้องนึกคิดด้วยจิตกับสมองของท่านเพียงเท่านั้น

ที่ต้องทรงปิดอายตนะภายนอกทั้งห้าเอาไว้จนหมด

มิใช่เพราะเห็นว่าหูตาปากนั้นไร้ค่าหาประโยชน์มิได้

แต่ทรงต้องการให้จิตกับสมองนั้นทำงานทีละอย่าง

ที่สำคัญคือพระองค์มิได้ทรงปิดหูปิดตาปิดวาจาทั้งวัน

แต่จะทรงปฏิบัติเช่นนั้นจำเพาะก่อนคิดและกำลังคิด

พวกท่านจึงจะจำแบบพระองค์มาปฏิบัติอย่างไร้สติ

เพื่อชี้ว่ากรรมฐานคือรูปแบบของการปฏิบัติธรรมมิได้

เพราะมันเป็นอุบายหนึ่งของพระพุทธองค์ที่ทรงใช้

เพื่อการฝึกจิตให้นิ่งสงบจนเกิดพลัง “ฌาน” นั่นเอง

 

เมื่อจิตเกิดพลังฌานจากการนั่งสมถะกรรมฐานแล้ว

พระองค์จะทรงกำหนดนึกเรื่องที่จะคิดพิจารณา

เพื่อให้จิตที่มีพลังฌานสูงนั้นสั่นสะเทือนเซลล์สมอง

ให้เกิดพลังอำนาจทางปัญญาของสมองสูงด้วย

เพราะจิตที่สั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่สูงในขณะนั้น

มันจะกระตุ้นให้เซลล์สมองสั่นสะเทือนสูงตามด้วย

 

เซลล์สมองทั้งสองซีกเป็นเซลล์ประสาท

เมื่อมันถูกกระตุ้นให้สั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่สูง

สมองก็จะผลิตสนามแม่เหล็กไฟฟ้าเหวี่ยงออกมา

โดยจะมีค่าความเข้มสนามแม่เหล็กสูงตามไปด้วย

คนที่มีความฉลาดทางปัญญาในการคิดสูงมาก

ความเข้มสนามแม่เหล็กไฟฟ้าของสมองก็จะสูงตาม

 

ถ้าท่านรู้จักใช้จิตให้เป็นคือนึกทีละเรื่อง

พร้อมกับการใช้สมองให้เป็นคือคิดทีละอย่าง

ท่านก็จะเป็นคนหนึ่งที่เข้าถึงการเป็นอัจฉริยะได้

 

ดังนั้น

คำสอนของคนโบราณที่ว่าไว้คือ

#เห็นช้างขี้ #จงอย่าขี้ตามช้าง

เพราะว่าพวกท่านไม่ใช่ช้างนั้นพึงสังวรเถิด

การหนีเข้าป่าปลีกวิเวก

ทำให้การหมุนธรรมจักรร่วมกันกับผู้อื่นเกิดขึ้นไม่ได้

การใช้ชีวิตปฏิบัติธรรมอยู่ในสังคมที่มีประโยชน์กว่า

การริปฏิบัติธรรมแบบไปสวรรค์คนเดียวก็เกิดไม่ได้

 

การอยู่ในสังคมร่วมกันกับผู้อื่น

แล้วเน้นที่การปิดหูปิดตานั่งกรรมฐานเป็นอาชีพนั้น

มันคือการเห็นช้างขี้แล้วอยากจะขี้ตามช้าง

บริบทของพระพุทธองค์กับพวกท่านต่างกันสิ้นเชิง

ทำไมไม่สนใจ #ธรรมชาติสมาธิ แบบไม่พิการบ้างล่ะ

ท่านเห็นแต่แสร้งทำเป็นไม่เห็นไม่ได้หรือ

ท่านได้ยินแต่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินไม่ได้หรือ

ทำได้โดยเปิดอายตนะแต่ปิดจิตคือมหาสติไงล่ะท่าน

 

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

1/05/2567