22 สิงหาคม 2558

คำสอน 22/08/2015

 

การให้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ
ให้อภัย

แก่คนที่ท่าน
อาจเห็นว่า
ไม่น่าให้

18 สิงหาคม 2558

คำถามจากคุณ: สมกิจ รวยเต็มหัตถ์







คำถามจากคุณ: สมกิจ รวยเต็มหัตถ์
ผ่านอีเมล์:myjitchakraval@gmail.com
ถามว่า:

เงื่อนไขเดียวกัน
กรณีเดียวกัน ของบททดสอบแต่ละคน
คนหนึ่งกลับสอบผ่านได้ง่ายๆ
แต่กับอีกคนหนึ่งนั้นกลับสอบตกล้มเหลวไม่เป็นท่า


บางเรื่องเราคิดว่ามันง่ายมากๆสำหรับตัวเองที่จะผ่าน
แต่มันยากมากๆสำหรับเขา
สาเหตุเหล่านี้เกิดจากอะไรครับพระอาจารย์


Answer:
สาเหตุหลักก็คือ
สองคนนี้มีคุณสมบัติบางสิ่งต่างกัน 6 ประการ ดังนี้

1.มีความฉลาดทางอารมณ์ไม่เท่ากัน
2.มีความฉลาดทางปัญญาไม่เท่ากัน
3.มีความฉลาดทางสังคมไม่เท่ากัน
4.มีความฉลาดด้านการเรียนรู้ปัญหาไม่เท่ากัน
5.มีความฉลาดที่จะยอมรับคนที่แตกต่างกับตนไม่เท่ากัน
6.มีความฉลาดในการปรับตนเองเข้าหาผู้อื่นไม่เท่ากัน

ทั้งหมดนี้ คือ ที่มาของการสอบตกสอบได้
บททดสอบแบบเดียวกันในมนุษย์แต่ละคนล่ะนะ


เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
18-08-2015

16 สิงหาคม 2558

ถ้าต้องการเปลี่ยนแปลงโลก ต้องทำที่จิตสำนึกมนุษย์เท่านั้น




ท่านทราบหรือไม่ว่า
ถ้าต้องการเปลี่ยนแปลงโลก
ทำไมจึงต้องทำที่่จิตสำนึกมนุษย์

คำว่า "โลก (Earth)"
ในที่นี้หมายถึง ดาวเคราะห์โลกเสรี
ซึ่งเป็นหนึ่งในเก้าดวงของระบบสุริยจักรวาลนี้นั่นเอง

คำว่า "เปลี่ยนแปลง (Change)"
ในที่นี้หมายถึง การที่ดาวเคราะห์โลกดวงนี้
เกิดมีอะไรบางสิ่งที่ผิดแผกแตกต่างไปจากเดิม
ซึ่งเป็นไปได้ทั้งด้านบวกคือดีมากยิ่งขึ้น
กับด้านลบคือตกต่ำย่ำแย่ลงไปจากเดิม

คำว่า "จิตสำนึก (Consciousness)"
หมายถึง
การสั่นสะเทือนทางอารมณ์รู้สึกนึกคิดของมนุษย์
เมื่อถูกกระตุ้นหรือปลุกเร้าจากสิ่งเร้าต่างๆ
แล้วขับเคลื่อนออกมาเป็นพฤติกรรมภายนอก
ซึ่งเกิดได้ทั้งด้านบวกและด้านลบ

โดยมีอารมณ์รู้สึกนึกคิดของจิตในขณะนั้น
เป็นตัวกำหนดว่ากำลังสั่นสะเทือนเป็นลบหรือบวก


จิตสำนึกด้านลบเกิดได้อย่างไร
ถ้าสภาวะจิตในขณะนั้น
มีการสั่นสะเทือนอยู่ในย่านความถี่ต่ำ
หรือเกิด "มโนกรรม" ที่เป็นกิเลสตัณหาราคะทั้งปวง
แล้วขับเคลื่อนออกมาเป็นพฤติกรรมภายนอก
ในรูปของ กายกรรม วจีกรรมแล้ว

พระบิดาจะทรงเรียกกระบวนการนี้ว่า
การสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกด้านลบ

นั่นคือ
มันจะเป็นการเริ่มต้นสั่นสะเทือนของจิต
ในรูปของ อารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านลบ ขึ้นมาก่อน
เมื่อถูกยั่วยวน ยั่วยุ หรือ ปลุกเร้าแล้ว
จากนั้นอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านลบที่เกิดขึ้น
มันก็จะไปกระตุ้นให้เกิดการสั่นสะเทือน
ทางความคิดของสมองที่เป็นด้านลบ
ที่เรียกว่า "คิดลบ" ต่อไป

จากนั้นสมองที่สั่นสะเทือนเป็นการคิดด้านลบ
ก็จะสั่งการหรือบัญชาให้อวัยวะร่างกาย
แสดงออกหรือกระทำพฤติกรรมภายนอกที่เป็นด้านลบ
ทั้งกายกรรมและวจีกรรมต่อไปในที่สุด

นี่จึงเป็นกระบวนการเกิด พฤติกรรมด้านลบ
จากจิตสำนึกด้านลบในชีวิตประจำวันของมนุษย์
ที่ท่านทั้งหลายควรรู้ไว้


จิตสำนึกด้านบวกเกิดได้อย่างไร
ถ้าสภาวะจิตในขณะนั้น
มีการสั่นสะเทือนอยู่ในย่านความถี่สูง
หรือเกิด "มโนกรรม" ที่เป็นความสุข ความปีติ
ความอิ่มเอิบเบิกบาน ความสงบ และความรัก
แล้วขับเคลื่อนมันออกมาเป็นพฤติกรรมภายนอก
ในรูปของ กายกรรม วจีกรรมแล้ว

พระบิดาจะทรงเรียกกระบวนการนี้ว่า
การสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกด้านบวก

นั่นคือ
มันจะเป็นการเริ่มต้นสั่นสะเทือนของจิต
ในรูปของ อารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านบวก ขึ้นมาก่อน
เมื่อถูกกระตุ้น หรือ ปลุกเร้าแล้ว
จากนั้นอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านบวกใดๆที่เกิดขึ้น
มันก็จะไปกระตุ้นให้เกิดการสั่นสะเทือน
ทางความคิดของสมองที่เป็นด้านบวก
ที่เรียกว่า "คิดบวก" ต่อไป

จากนั้นสมองที่สั่นสะเทือนเป็นการคิดด้านบวก
ก็จะสั่งการหรือบัญชาให้อวัยวะร่างกาย
แสดงออกหรือกระทำพฤติกรรมภายนอกที่เป็นด้านบวก
ทั้งกายกรรมและวจีกรรมต่อไปในที่สุด

นี่จึงเป็นกระบวนการเกิด พฤติกรรมด้านบวก
จากจิตสำนึกด้านบวกในชีวิตประจำวันของมนุษย์
ที่ท่านทั้งหลายควรรู้ไว้เช่นกัน


จิตสำนึกด้านบวกด้านลบของมนุษย์
เกี่ยวข้องกับดาวเคราะห์โลกอย่างไร

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
มนุษย์กับโลกนั้นได้ถูกกำหนดสร้างขึ้นมา
เพื่อให้ทำหน้าที่ร่วมกัน
ในการพิทักษ์รักษาความสมดุล
ของระบบสุริยจักรวาลแห่งดาวนพเคราะห์เหล่านี้
เอาไว้ให้ยั่งยืนตลอดกาล

แต่การที่ดาวเคราะห์โลกจะมีพลังอำนาจมาก
จนเพียงพอที่จะแสดงบทบาท
ของผู้พิทักษ์สมดุลจักรวาลได้นั้น
ดาวเคราะห์โลกดวงนี้จักต้องมีการสั่นสะเทือน
ทางจิตสำนึกด้านบวกสูงสุดสถานเดียวเท่านั้น
ซึ่งกลไกที่จะช่วยให้โลก
มีพลังอำนาจด้านบวกสูงสุดได้
ก็คือ มวลมนุษย์แห่งโลกเสรีนี่เอง

ดังนั้น
พระบิดาหรือพระผู้สร้าง
จึงได้ทรงกำหนดติดตั้งให้
จิตสำนึกมนุษย์กับโลกเป็นหนึ่งเดียวกันไว้

มนุษย์ทุกคนบนโลกเสรีนี้
จึงมีหน้าที่สำคัญที่จะต้องทำประจำวันก็คือ
ต้องร่วมกันสั่นสะเทือนจิตสำนึกตนเองทางด้านบวก
ให้สูงที่สุดเท่าที่แต่ละคนจะเข้าถึงมันได้
ในทุกเงื่อนไขบททดสอบที่แต่ละคนได้เผชิญ
เพื่อช่วยกันสร้างจิตสำนึกด้านบวกสูงสุด
ให้แก่ดาวเคราะห์โลกดวงนี้ให้จงได้

โดยองค์จิตจักรวาล
ผู้ทรงเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณของมนุษย์ทุกคน
ได้ทรงกำหนดให้มนุษย์โลก
แบ่งเวลาผลัดเปลี่ยนกันทำหน้าที่
โดยใช้เวลากลางวันเป็นเครื่องกำหนดภารกิจนี้
และกำหนดให้เวลากลางคืนเป็นช่วงเวลา
สำหรับการพักผ่อนเครื่องยนต์แห่งกรรม

มนุษย์ทุกคนจะต้องรู้ไว้อีกด้วยว่า
การที่พระบิดาได้ทรงกำหนดสร้างให้
ท่านทั้งหลายล้วนเป็นคนสองมิตินั้น
ก็เพื่อให้ทุกท่านสามารถปฏิบัติภารกิจอันสำคัญนี้
ให้สำเร็จลุล่วงตามพระประสงค์ได้อย่างดียิ่ง

คนสองมิติ
หมายถึง รูปธรรมที่เป็นกายหยาบ
กับจิตวิญญาณซึ่งเป็นรูปธรรมทางพลังงาน
ต่างมีหน้าที่จะต้องสั่นสะเทือนตนเองร่วมกัน
เพื่อแสดงบทบาทของการเป็นมนุษย์นั่นเอง

หมายความว่า....
ขณะใดก็ตามที่มนุษย์มีการสั่นสะเทือนทางจิตใจ
แล้วขับเคลื่อนการกระทำใดๆออกมาทางกายภาพ
เป็นภาษาพูด ภาษาท่าทาง เป็นการแสดงออก
หรือเป็นการกระทำต่างๆทั้งดีและชั่ว
ให้เป็นที่ปรากฏประจักษ์ต่อผู้อื่นนั้น
ในขณะเดียวกันมนุษย์ยังได้ก่อให้เกิดการกระทำ
หรือ "กรรม" แบบเดียวกันในมิติแห่งจิตด้วย

ดังนั้น
ถ้าท่านสั่นสะเทือนตนเองเป็นการกระทำใดๆ
ในมิติโลกทางกายภาพไม่ว่าดีหรือชั่ว
นั่นเท่ากับว่าตัวท่านเองก็กำลังสั่นสะเทือนจิตใจ
เป็นการกระทำนั้นๆในมิติของแก่นแท้
ซึ่งเป็นมิติทางพลังงานไปในเวลาเดียวกันด้วย

หากท่านสั่นสะเทือนจิตสำนึกทางด้านบวก
ผลกรรมที่เกิดขึ้นในมิติโลกก็จะเป็นด้านบวก
และผลกรรมที่เกิดขึ้นในมิติทางพลังงาน
ก็จะเป็นด้านบวกด้วยเช่นเดียวกัน

แต่ถ้าท่านสั่นสะเทือนจิตสำนึกทางด้านลบ
ผลกรรมที่เกิดขึ้นในมิติโลกก็จะเป็นด้านลบ
และผลกรรมที่เกิดขึ้นในมิติทางพลังงาน
ก็จะเป็นด้านลบด้วยเช่นเดียวกัน

สิ่งที่มนุษย์ทั้งหลายยังไม่รู้ก็คือ
ผลกรรมในมิติทางพลังงานด้านของจิตวิญญาณนั้น
เกิดจากการสั่นสะเทือนของกลไกทางกายภาพ
ที่เป็นเครื่องมือของจิตซึ่งเป็นต่อมไร้ท่อต่างๆ
โดยกลไกเหล่านี้จะคอยทำหน้าที่สั่นสะเทือน
ตามการสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกของมนุษย์
เพื่อการ "ผลิตสร้าง" คลื่นพลังจิตออกมา
ในรูปของคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็ก
ซึ่งเป็นได้ทั้งด้านบวกและด้านลบ
สุดแท้แต่ว่าในขณะนั้นมนุษย์กำลังสั่นสะเทือน
ทางอารมณ์รู้สึกนึกคิดในตนเองเป็นแบบใด

ถ้ามนุษย์โลกส่วนใหญ่
พากันสั่นสะเทือนจิตสำนึกด้านลบ
นั่นเท่ากับว่ามนุษย์โลกได้กระทำผิดต่อหน้าที่
เพราะมันจะก่อให้เกิดการผลิตสร้าง
ผลกรรมทางพลังงานในมิติแห่งจิตขึ้นมา
ในรูปของคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กด้านลบ
แล้วก็จะเหวี่ยงมันออกมาภายนอกร่างกาย

พลังงานด้านลบที่มนุษย์ผลิตสร้างออกมานี้
จะเป็นพลังงานในแบบที่โลกไม่ต้องการ
มันจึงกลายเป็นขยะทางพลังงานที่รกโลก
ซึ่งผู้ใดก่อมันขึ้นมาผู้นั้นจักต้องเป็นเจ้าของ
และผู้ใดเป็นเจ้าของผู้นั้นต้องรับผิดชอบขยะนี้

การรับผิดชอบขยะเหล่านี้ก็คือ
การต้องย้อนกลับมาสู่การเกิดใหม่

เพื่อชำระมันให้หมดสิ้นไปจากระบบโลก
อันเป็นที่มาของการเวียนว่ายตายเกิดของมนุษย์
เพื่อแสดงความรับผิดชอบตามกฎแห่งกรรม
ที่ท่านทั้งหลายพอรู้กันอยู่บ้างแล้วนั่นเอง

เมื่อใดก็ตามที่มนุษย์โลกโดยรวม
ผลิตสร้างพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กด้านลบออกมา
จากการสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกด้านลบ
เพื่อตอบสนองสิ่งแวดล้อมที่เป็นสิ่งเร้า
ซึ่งอาจเป็นเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆหรืออะไรก็ตาม
ประจุลบจากคลื่นพลังงานจิต
จำนวนอย่างน้อย 1% ของทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้น
จะถูกเหนี่ยวรั้งลงไปเก็บไว้ที่แกนโลก

ความจริงที่เรากล่าวต่อท่านทั้งหลายนี้
เป็นหลักการเดียวกันกับการที่ท่านต่อสายดิน
เมื่อมีการติดตั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน
จำพวกเครื่องซักผ้า หรือเครื่องทำน้ำอุ่นในห้องอาบน้ำ
เพื่อนำประจุไฟฟ้าลบจากตัวเครื่องลงดิน
อันเป็นการป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร ไฟรั่ว หรือไฟช็อต

ในทางกลับกัน
เมื่อใดก็ตามที่มนุษย์โลกโดยรวม
ผลิตสร้างพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวกออกมา
จากการสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกด้านบวก
เพื่อตอบสนองสิ่งแวดล้อมที่เป็นสิ่งเร้า
ซึ่งอาจเป็นเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆหรืออะไรก็ตาม

ประจุบวกจากคลื่นพลังงานจิต
จำนวนอย่างน้อย 1% ของทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้น
จะถูกเหนี่ยวรั้งลงไปยังแกนโลก

เนื่องจากพระบิดาทรงติดตั้ง
ธาตุออกซิเจนเหลวที่บริสุทธิ์ 100% เอาไว้ที่แกนโลก
ซึ่งนอกจากมันจะมีคุณสมบัติในการเก็บประจุลบแล้ว

อะตอมของธาตุออกซิเจนจะถูกทำให้ระเบิด
ด้วยประจุไฟฟ้าบวกจากพลังจิตด้านบวกเหล่านี้

มนุษย์ควรเรียกการระเบิดที่แกนโลกนี้ว่า
ปฏิกริยา Nuclear Fission

การระเบิดระดับนิวเคลียร์
ของอะตอมของธาตุออกซิเจนที่แกนโลกนี้
จะเป็นลักษณะของการระเบิดแบบต่อเนื่อง
ที่มนุษย์โลกเรียกกันว่า Chain Reaction

เพราะการระเบิดต่อเนื่องรุนแรงที่แกนโลก
ซึ่งได้จากการสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกด้านบวก
ของมนุษย์โลกโดยรวมนี่เอง
จึงเป็นการช่วยสร้างจิตสำนึกของโลกโดยตรง
ทำให้ดาวเคราะห์โลกมีพลังอำนาจขึ้นมาได้

เมื่อโลกมีพลังอำนาจด้านบวกคงที่
เพราะมนุษย์โลกช่วยกันสั่นสะเทือนจิตสำนึกด้านบวก
โลกเองก็จะมีความสมดุลจนสามารถที่จะค้ำจุน
สุริยะจักรวาลทั้งระบบใหญ่เอาไว้ได้อย่างมั่นคง
สมดั่งพระประสงค์แห่งองค์จิตจักรวาล

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
ทุกสรรพสิ่งในจักรวาลอันไพศาลนี้
จะมีพลังอำนาจในตนเองได้ก็ต่อเมื่อ
สรรพสิ่งนั้นต้องมีการสั่นสะเทือนภายในตนเองเสมอ

เช่นถ้ามนุษย์สามารถที่จะเป็นสิงมีชีวิตอยู่ได้
หัวใจก็จะต้องเต้นเพื่อการสูบฉีดโลหิต
อวัยวะภายในทุกชิ้นต้องสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง
มนุษย์นั้นจึงจะสามารถมีพลังชีวิตเกิดขึ้นได้

และถ้ามนุษย์จะมีพลังอำนาจในการสร้างโลก
สร้างชีวิตตนเอง หรือสร้างงานได้
มนุษย์ก็จะต้องสั่นสะเทือนที่จิตสำนึกตนเอง
ให้เกิดเป็นคลื่นพลังงานความรักอันบริสุทธิ์เท่านั้น

ในยุคปัจจุบันนี้มนุษย์โลกมีจิตสำนึกโดยรวม
สั่นสะเทือนร่วมกันไปในทางต่ำลงมาก
จึงยังผลให้ดาวเคราะห์โลกมีพลังอำนาจต่ำลง

เช่นขณะนี้......

โลกมีค่าความเข้มสนามแม่เหล็กลดต่ำลง
จึงยังผลให้มนุษย์โลกทั้งหลายขาดสติง่าย
มีอารมณ์วิปริตรุนแรงมากขึ้น หงุดหงิดผิดปกติ
มีความสามารถในการใช้สติปัญญาต่ำลง
มีภูมิต้านทานโรคต่ำลง ติดเชื้อโรคง่าย 
สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง เป็นต้น

ดังนั้นเราจึงได้กล่าวความจริง
ในพระนามแห่งองค์จิตจักรวาลต่อท่านทั้งหลายว่า
จิตสำนึกของมนุษย์กับจิตสำนึกของโลกนั้น
ถูกกำหนดเอาไว้ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
ตลอดมาและตลอดไป

ถ้ามนุษย์ทั้งหลายไม่รักกัน
ดาวเคราะห์โลกเสรีดวงนี้จะไร้พลังอำนาจ
ทุกสิ่งในระบบโลกและระบบสุริยะ
จะพากันวิกฤตจนวิบัติแน่นอน
เราจึงขอเตือนท่านทั้งหลายไว้ในที่นี้

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
16-08-2015

12 สิงหาคม 2558

ทำไมมนุษย์ต้องมีบททดสอบ




บททดสอบ คือ อะไร
ทำไมมนุษย์ต้องมีบททดสอบ


หลายท่านที่เกิดมาเป็นมนุษย์บนโลกเสรีนี้
จะมีบางสิ่งในชีวิตส่วนตัว
ที่เหมือนๆกันอยู่อย่างหนึ่ง
นั่นคือความรู้สึกเบื่อหน่าย....ท้อแท้

ที่เบื่อหน่ายท้อแท้ในชีวิต
ก็เพราะจิตใจมันไร้พลังที่จะต่อสู้
กับอุปสรรคปัญหาทั้งหลาย
ที่ต้องเผชิญกับมันอยู่อย่างจำเจซ้ำซาก

ทั้งปัญหาเรื่องงาน
ปัญหาทางสังคม ปัญหาครอบครัว
ปัญหาส่วนตัวและอื่นๆ

ปัญหาทั้งหลายเหล่านี้
มันจะสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาในชีวิต
ให้ได้เผชิญกันอยู่มิได้ขาด

มีทั้งยากมีทั้งง่าย
มีทั้งไม่ยากแต่ก็ไม่ง่าย
มีทั้งปัญหาที่ตนเองเป็นผู้ก่อ
มีทั้งปัญหาที่ผู้อื่นหยิบยื่นมาให้

เมื่อได้เผชิญกับมันแล้ว 
จัดการมันแล้ว
ก็มีทั้งสำเร็จบ้างล้มเหลวบ้าง
คละเคล้ากันไป

มนุษย์ทั้งหลายจึงต้องรู้ว่า
คำว่า "ปัญหา" ที่เรากล่าวไว้ข้างต้นนั้น
แท้จริงแล้วมันคือ "บททดสอบ" 
ของพวกท่านนั่นเอง
มนุษย์คนอื่นๆเขาก็มีปัญหา
เขาก็มีบททดสอบ
เช่นเดียวกับท่านด้วยกันทั้งสิ้น

ท่านจึงต้องไม่กลัวบททดสอบ
ท่านจึงต้องไม่รังเกียจบททดสอบ
ท่านจึงต้องไม่เบื่อหน่ายบททดสอบ
ท่านจึงต้องไม่ท้อแท้ที่จะเผชิญกับบททดสอบ


ท่านทั้งหลายจะต้องรู้ว่า
การเผชิญหน้าเพื่อฟันฝ่าบททดสอบใดๆในชีวิตนั้น
มันเป็นหน้าที่สำคัญของมนุษย์ทุกคนที่มิอาจเลี่ยง

ท่านคงยังจดจำที่เราเคยกล่าวไว้กันได้ว่า

จิตวิญญาณของมนุษย์ทุกคนนั้น
เป็นผู้ขันอาสาเข้ามาเกิดเป็นคนบนโลกเสรีนี้
เพื่อทำหน้าที่ "คน" ตนเองให้เป็น "มนุษย์"

โดยต้องคนกายหยาบ จิตหยาบ และจิตวิญญาณ
ให้เป็นหนึ่งเดียวกันให้สำเร็จให้จงได้
ซึ่งมนุษย์จะสามารถทำสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อ
สามารถสั่นสะเทือน "จิตสำนึก" ของตน
ทางด้านบวกเท่านั้น

การสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกด้านบวก
หมายถึง การสั่นสะเทือนทางจิตใจ
ให้เกิดเป็นความรักเอาไว้ตลอดเวลา

รวมทั้ง หมายถึง 
การสั่นสะเทือนทางปัญญา คือ "การคิด"

คิดเพื่อเรียนรู้ให้ได้รู้
คิดเพื่อการตัดสินใจให้ถูกต้อง
คิดเพื่อการพิจารณาตอบสนองอย่างเหมาะสม
คิดเพื่อการสร้างสรรค์สิ่งดีๆในชีวิต
คิดเพื่อให้โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน เป็นต้น

องค์จิตจักรวาล
ผู้ทรงเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ผู้ทรงให้โอกาสแก่พวกท่าน
เดินทางข้ามมิติมาสู่การเกิดเป็นมนุษย์
ยังโลกเสรีนี้นั้น

ทรงเล็งเห็นแล้วว่าหากจะให้ท่านทั้งหลาย
สั่นสะเทือนจิตใจให้เป็นความรัก
และสั่นสะเทือนสมองให้เกิดปัญญาขึ้นมาได้นั้น
ท่านทั้งหลายจึงต้องมี "เงื่อนไข" หรือ "ปัญหา"
เป็นเครื่องมือช่วยเหลือเพื่อเป็นบททดสอบให้

ด้วยเหตุนี้เอง
ในชีวิตประจำวันของพวกท่าน
จึงต้องมีสิ่งเหล่านี้เป็นสำคัญ คือ

1.มีคนใกล้ตัวและคนใกล้ชิด
คอยสร้างปัญหาให้ท่าน
ทั้งปัญหาทางร่างกาย 
ปัญหาทางสังคม ปัญหาการทำงาน
ปัญหาชีวิตที่ไม่ราบรื่น
และปัญหาทางจิตใจ

2.มีตัวท่านเองแต่ละคน
ที่จะคอยสร้างปัญหาให้แก่ผู้อื่น
ที่ท่านเกี่ยวข้องสัมพันธ์ด้วยในทุกรูปแบบ

3.มีเรื่องราว เหตุการณ์ สถานการณ์ต่างๆ
ทั้งดีและร้ายให้ท่านได้เผชิญกับมันเสมอ


ทั้งแบบที่เป็นปัญหาเฉพาะหน้า
ทั้งแบบที่เป็นปัญหาระยะยาว
ทั้งแบบที่เป็นปัญหาระยะสั้

การที่ท่านยังมีปัญหาในชีวิตค่อนข้างมาก
แสดงว่าท่านยังมีข้อสอบ
ในบททดสอบเหลืออยู่อีกมาก

ดังนั้น....
ในภพชาติสุดท้าย
ก่อนการปิดยุคพลังงานเก่านี้
ข้อสอบทั้งหมดของท่านที่ยังคงค้างคามาจากอดีต
จึงจำต้องถูกนำมาจัดวางตั้งกองไว้ตรงหน้า
เพื่อให้ท่านได้เร่งทำมันเสียให้ครบถ้วน

สาเหตุที่บททดสอบของท่านยังเหลืออยู่มาก
อาจเป็นเพราะว่าในภพชาติที่ผ่านๆมา
ท่านสอบตกในการทำข้อสอบเหล่านี้มาแล้ว
ภพชาตินี้ท่านจึงต้องเผชิญกับข้อสอบแบบเดิมนั้นอีก

การสอบตกแล้วต้องเรียนซ้ำชั้้นเพื่อสอบใหม่
จึงมิใช่เรื่องผิดแปลกแต่ประการใด


สาเหตุที่บททดสอบของท่านยังเหลืออีกมาก
ซึ่งอาจมีความเป็นไปได้อีกเช่นกันก็คือ

ภพชาติที่ผ่านมาท่านอาจเป็นผู้ร้องขอไว้
เพื่อให้จิตวิญญาณของท่าน
ได้มีช่วงเวลาแห่งการ้พักผ่อนบ้าง
หลังตรากตรำทำข้อทดสอบรายวันกันจนอ่อนล้าแล้ว

ภพชาตินี้จึงต้องมารับผิดชอ
บททดสอบทั้งหลายที่ตกค้าง
จึงยังผลให้ชีวิตประจำวันของท่าน
กลายเป็นว่ามีปัญหาอยู่ท่วมตัว
ซึ่งมันมากเสียจนวันๆแทบไม่มีเวลาพักผ่อน
ในที่สุดความเบื่อหน่าย....
จึงเป็นผลบั้นปลายที่บังเกิดขึ้นให้ได้เผชิญในภพชาตินี้

นอกจากนั้น
หากท่านต้องพบเจอปัญหานั้นๆอยู่ซ้ำซาก
โดยที่ยังไม่สามารถจะข้ามผ่าน
หรือฟันฝ่ามันไปได้สักที
ชีวิตท่านยังต้องเผชิญกับปัญหาเหล่านี้อยู่ดุจเดิมแล้ว
มีหรือที่ท่านจะมิบังเกิดความท้อแท้ตามมา

ทุกปัญหาในชีวิตประจำวันของท่านนั้น
มันล้วนเป็นเงื่อนไข
อยู่ในบททดสอบจิตสำนึกของท่านเอ
เพื่อให้ท่านสั่นสะเทือนทางจิตใจเป็นความรัก
เพื่อให้ท่านสั่นสะเทือนทางสมองเป็นความคิด
แทบจะทั้งสิ้นเลยทีเดียว

ท่านจะสังเกตได้ว่า.....
คนรอบข้างตัวท่านจนแม้แต่ตัวท่านเอง
ต่างจึงมีหน้าที่คอยสร้างปัญหาทางจิตใจต่อกัน
เพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่ง "รัก" ให้ได้ 
"ให้อภัย" ให้เป็นด้วยกันทั้งสิ้น

ต่างจึงมีหน้าที่สร้างปัญหาทางสังคมต่อกัน
เพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่ง "ต้องใช้ความคิด" ด้วยสมอง
เพื่อการตัดสินใจให้ถูกต้อง
ก่อนที่จะแสดงออกหรือกระทำ
พฤติกรรมใดๆตอบสนองเสมอ

เราจะกล่าวตามความจริงให้พวกท่านรู้
เพื่อยืนยันต่อท่านทั้งหลายว่า
จงอย่าเที่ยวไปถือโทษโกรธเคืองใคร
ให้เป็นการเกี่ยวกรรมเกี่ยวเวรกันอยู่เลย
เพราะทุกคนต้องมีหน้าที่
เป็นเงื่อนไขหรือสร้างเงื่อนไข
ให้เกิดปัญหาทางจิตใจและสมองของกันและกัน
เพื่อการช่วยกันยกระดับจิตสำนึก
สู่การเป็นมนุษย์แห่งโลกเสร
ที่องอาจสง่างามโดยแท้

หาใช่การยียวนกวนประสาทกันและกัน
ดั่งการคิดแบบจิตมนุษย์แต่อย่างใดเลย
ทุกๆท่านล้วนเป็นทั้งครูผู้ยื่นบททดสอบให้กันและกัน
และยังเป็นผู้มีพระคุณของกันและกัน
อีกต่างหากด้วยสิ

รู้อย่างนี้แล้ว...
ยังจะโกรธเคืองขุ่นใจ
อีเวรนั่น....กับ ไอ้เวรนี่.....กันอยู่อีกมั้ย?


เอเมน....สาธุ......

ป.วิสุทธิปัญญา
12-08-2015

11 สิงหาคม 2558

จิตสำนึกแห่งหมู่คณะ 10 ประการ



จิตสำนึกที่ดีงาม 10 ประการ

การที่มนุษย์ทั้งหลาย
จะทำงานร่วมกันเป็นทีมเดียวกัน
หรือจะใช้ชีวิตร่วมกันเป็นสังคมเดียวกันได้นั้น
พวกท่านทุกคนจักต้องเรียนรู้ที่จะเข้าถึง
สำนึกแห่งหมู่คณะให้จงได้
แล้วจงนำมันออกมาแสดงต่อกัน
สำนึกที่ดีมี 10 ประการ ดังต่อไปนี้

บัญญัติ 10 ประการ

1.ต่างต้องมองเห็นคุณค่าของกันและกันเสมอ

แม้ในบางคราว
ใครบางคนอาจทำตนน่ารังเกียจ
ใครบางคนอาจทำตัวเหลวไหลไร้สาระ
ใครบางคนอาจทำตนไม่เอาไหน

แต่หน้าที่ของท่านก็คือ...
จักต้องมองหาคุณค่าในคนที่ไร้ค่าเหล่านี้ให้พบ

2.ต่างต้องมีเป้าหมายเดียวกัน

ทุกคนที่ทำงานร่วมกัน
ทุกคนที่ปรารถนาจะสร้างสังคมร่วมกัน
จักต้องกำหนดเป้าหมายในการทำงานร่วมกัน
จักต้องกำหนดเป้าประสงค์ของการอยู่ร่วมกัน
ด้วยเป้าหมายที่ทุกคนต้องเห็นงามตามกันเท่านั้น
ไม่ว่าพวกท่านจะกำหนดมันขึ้นมา
เป็นจำนวนสักกี่เป้าหมายก็ตาม

เพราะการมีเป้าหมายใดๆร่วมกัน
มันจะนำไปสู่ความพร้อมเพรียงกันในการทำงาน
มันจะนำไปสู่ความมีสันติสุขของสังคมได้

3.ต่างต้องไว้วางใจกัน

เกียรติอันสูงส่งที่สุด
ที่มนุษย์จะพึงมอบให้แก่กันและกันได้
คือ การไว้วางใจในกันและกันนั่นเอง

ไว้วางใจในความเป็นมิตรที่ดี
ไว้วางใจในความบริสุทธิ์ยุติธรรม
ไว้วางใจในความสัตย์ซื่อ
ไว้วางใจในความทุ่มเท
ไว้วางใจในความขยัน อดทน และมานะ เป็นต้น

4.ต่างต้องรู้หน้าที่ของตนเอง
และรับผิดชอบมันให้ดีที่สุด

ท่านจักต้องรู้ว่า
ตนเองมีหน้าที่อะไรบ้างที่ต้องทำ
ต้องรู้ว่าท่านจะทำหน้าที่นั้นให้ลุล่วงได้อย่างไร

ท่านจักต้องรู้ว่า
คนอื่นๆที่อยู่รายรอบตัวท่านนั้น
เขามีหน้าที่ต้องทำอะไรบ้าง
เขามีหน้าที่จะต้องทำสิ่งใด
ที่ต้องอาศัยความร่วมมือด้วยดีจากท่านบ้าง

ทั้งนี้เพื่อลดทอนข้อขัดข้อง
ในการทำงานร่วมกัน

เพื่อป้องกันความขัดแย้ง
ในการใช้ชีวิตร่วมกันนั่นเอง

5.ต่างต้องรู้จัก
การพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน

มนุษย์ทุกคนถูกกำหนดสร้างให้เป็นสัตว์สังคม
เพื่อให้เรียนรู้ที่จะเติมเต็มในสิ่งที่ขาด
ด้วยสิ่งใดๆที่ตนเองมีอยู่แต่คนอื่นๆไม่มี
ให้แก่กันและกัน...

ซึ่งมันจะช่วยให้แต่ละคน
มีคุณค่าต่อกันได้อย่างชัดเจนเป็นรูปธรรม
โดยไม่มีใครต้องเป็นหนึ้บุญคุณใคร

เพราะมันเป็นสังคมแห่งการพึ่งพา
เป็นสังคมแห่งการให้
ในอันที่จะร่วมกันสร้างสิ่งใหม่
ที่ยิ่งใหญ่กว่าสิ่งเดิมๆที่แต่ละคนมีอยู่
เพื่อจะได้ยังประโยชน์ใหญ่นั้นร่วมกันโดยเฉพาะ

6.ต่างต้องมีทักษะการสื่อภาษา

ทีมเดียวกัน สังคมเดียวกัน
จะถูกสร้างขึ้นมาได้ก็ด้วยอาศัยมนุษย์สัมพันธ์

ส่วนมนุษย์สัมพันธ์อันดีในหมู่ชนจะเกิดขึ้นมาได้
ก็ต้องอาศัยการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพเท่านั้น

มนุษย์จึงต้องเรียนรู้ที่จะ
ฝึกทักษะด้านการสื่อสาร

เพื่อสร้างสานสัมพันธ์กับคนอื่นๆอย่างรอบคอบ
เพื่อการมีสัมพันธ์อย่างลงตัวกันกับคนรอบข้าง
เพื่อบอกความคิดนึกต้องการของตนให้ผู้อื่นรู้
เพื่อไถ่ถามและรับฟังความคิดนึกต้องการของผู้อื่น

เพราะการเป็นนักสื่อสารที่ดีนั้น
ความสำเร็จมิได้อยู่ที่การพูดเก่ง พูดคล่อง
แต่มันเกิดจากนักพูดนั้น
จักต้องเรียนรู้ที่จะเป็นนักฟังที่ดีด้วย

7.ต่างต้องเคารพกติกาของสังคมนั้น

กติกาสังคมถูกสร้างขึ้นไว้
เพื่อให้ความเป็นหนึ่งเดียวกัน
ที่เกิดจากความพร้อมเพรียงกันของทุกคนนั้น
ถูกสร้างขึ้นมาได้อย่างง่ายดายมากขึ้น

เคล็ดลับสำคัญคือ
ทุกๆคนต่างต้องอยู่ในกรอบของกติกาเดียวกัน
ด้วยความเสมอภาคกันเท่านั้น

การสร้างทีมและการสร้างสังคมที่เป็นหนึ่งเดียว
จึงจะเป็นจริงตามที่ทุกคนทุกฝ่ายปรารถนาได้

8.ต่างต้องรู้จักการยอมรับและปรับตัวเข้าหากัน
แทนการเผชิญหน้ากัน

เพราะมนุษย์โลก...
ถูกกำหนดสร้างขึ้นมา
ให้มีความแตกต่างกันทั้งด้านบุคลิกและลักษณะนิสัย
เพื่อเป็นเงื่อนไขให้ทุกคนได้เรียนรู้
เพื่อยกระดับจิตตปัญญาในตนเองให้สูงขึ้น

ในขณะที่มนุษย์
มักจะนำความแตกต่างระหว่างตนเองกับคนอื่นๆ
มาสร้างความแตกแยกร้าวฉานให้เกิดขึ้นเสมอ

เพราะมนุษย์สร้างค่านิยมผิดๆสืบเนื่องกันมาว่า
ถ้าจะเป็นพวกเดียวกันได้
แต่ละคนจักต้องมีทุกสิ่งที่เหมือนกันเท่านั้น

ทั้งๆที่แท้จริงแล้ว....
การนำเอาความเหมือนกันมาสร้างสัมพันธ์กัน
มันจะหาประโยชน์ร่วมกันได้น้อยมาก
อีกทั้งจะร่วมกันสร้างสิ่งใหม่ๆขึ้นมาด้วยกันก็ไม่ได้
เพราะหาความแตกต่างไม่พบแล้ว

9.ต่างต้องร่วมกันรับผิดชอบ
ในผลลัพธ์ใดๆที่จะเกิดขึ้นจากการกระทำร่วมกัน

ความมีสันติสุขของสังคมนั้น
ความสำเร็จความสำราญในการทำงานร่วมกันเป็นทีม
หรือความล้มเหลวใดๆที่อาจเกิดขึ้น
ท่านทั้งหลายจักต้องพร้อมที่จะยอมรับมัน

จักต้องร่วมกันแสดงความรับผิดชอบ
เพื่อร่วมกันเปลี่ยนแปลง ปรับปรุง แก้ไข
ในสิ่งผิดพลาดบกพร่องที่ร่วมกันค้นหามาได้
ด้วยหัวใจนักสู้ผู้ปรารถนาความสำเร็จ
อย่างไม่ย่อท้อ...

10.ต่างต้องมอบความเป็นมิตรให้กัน

การมีทัศนคติที่ดีต่อกัน
มันจะช่วยให้การทำงานร่วมกันเป็นทีม
กับการใช้ชีวิตร่วมกันเป็นสังคม
มีพลังร่วมอันยิ่งใหญ่บังเกิดขึ้นมาได้

พลังร่วมที่ว่านี้คือพลังร่วมแห่งหมู่คณะ
ที่สังคมนั้นหรือทีมนั้นๆจักต้องใช้
ในการพิชิตงานประสานใจกันให้ลุล่วง
ซึ่งเป็นสิ่งที่ใครคนเดียว
มิอาจกระทำให้บรรลุผลสำเร็จตามลำพังได้

แน่นอนว่า....
พลังร่วมที่ว่านี้
สามารถบังเกิดขึ้นมาได้ภายในทีมในสังคมนั้นๆ
จากความรักที่แต่ละคน
หยิบยื่นให้กันด้วยจริงใจเท่านั้น

ความอดทน อดกลั้น ให้อภัย
การแลกเปลี่ยน แบ่งปัน เสียสละ
จักเป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญที่ต้องถูกเรียกใช้
ในหมู่พวกท่านตลอดเวลา

ดังนั้น....
ความเป็นหนึ่งเดียวกันในสังคมมนุษย์
มันจึงอบอวลหอมหวานด้วยพลังงานแห่งความรัก
ซึ่งแต่ละคนปลดปล่อยมันออกมาโดยแท้

ท่านทั้งหลายจึงต้องหันหน้าเข้าหากัน
เพื่อค้นหาคำตอบให้ได้ว่า

แต่ละคนจะเข้าถึง
จิตสำนึกแห่งหมู่คณะทั้ง 10 ประการนี้
ด้วยวิธีการใดได้บ้าง

แล้วจงสร้างพันธะสัญญาร่วมกันไว้
เพื่อการดำเนินชีวิตไปตามครรลองนั้นตลอดไป

มันจะยังผลให้ทุกๆคน
มีหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกันได้อย่างน่าทึ่ง

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
11-08-2015

10 สิงหาคม 2558

ความแตกแยกเป็นเรื่องร้ายแรงที่สุดในจักรวาล


เพราะมนุษย์สอบตกบททดสอบ
การเป็นหนึ่งเดียวกัน
สังคมจึงวุ่นวาย โลกจึงไม่สงบ
ภัยพิบัติจึงทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
เพราะจิตสำนึกตกต่ำจนยากเยียวยา

จักรวาลรู้ดีว่า....
มันเป็นเรื่องยากสำหรับมนุษย์อยู่มาก
ที่จะสร้างความสัมพันธ์ให้เป็นหนึ่งเดียวกันกับจักรวาล
เพราะในสังคมโลกของมวลมนุษย์ด้วยกันเอง
ก็ยังมิอาจสร้างความลงตัวต่อกันได้เลย
ทั้งๆที่พระบิดาทรงกำหนดให้มนุษย์แต่ละคน
ล้วนมีกลไกอวัยวะสำคัญ
อันเป็นเครื่องมือของจิตสำนึกให้ได้ใช้กันอยู่แล้ว

แต่มนุษย์ส่วนใหญ่
กลับใช้มันไม่เป็น

มนุษย์มีปาก
เอาไว้พูดกับตนเอง
เอาไว้บ่น ก่นด่า ประณามผู้อื่น
เอาไว้ถากถางเหน็บแนมผู้อื่น
เอาไว้นินทาว่าร้าย ใส่ความผู้อื่น
เอาไว้ออกคำสั่งหรือใช้หว่านล้อมผู้อื่น

เพื่อผลประโยชน์ตนมากกว่าการใช้มัน
เพื่อประโยชน์ส่วนรวม

มนุษย์มีหู
เอาไว้รับฟังความต้องการของตนเอง
เอาไว้คอยเงี่ยหูฟังคำยกยอปอปั้นจากใครสักคน
เอาไว้คอยสอดรู้เสียงซุบซิบนินทาผู้อื่นจากคนรอบข้าง
เอาไว้คอยปฏิเสธคำแนะนำ ความหวัง กำลังใจ
อีกทั้งความปรารถนาดีของผู้อื่น

มนุษย์มีตา
เอาไว้สอดส่ายมองหาผลประโยชน์ส่วนตน
เอาไว้มองหาช่องทางแห่งโอกาส
เพื่อจะรีบฉกฉวยมันมาเป็นของตัวก่อนใครอื่น

เอาไว้สอดส่องจับผิดพิรุธของบุคคลแวดล้อม
เอาไว้มองหาความผิดพลาดของผู้อื่น
เพื่อความสะใจหรือเยาะหยัน

เอาไว้มองความสำคัญของตน
เหนือใครอื่น

มนุษย์มีจิตใจ
เอาไว้นึกคิดสิ่งใดๆ
เพื่อตอบสนองความต้องการ
ทางอารมณ์รู้สึกของตนเอง
มากกว่าการคิดที่จะ
ตอบสนองความต้องการของผู้อื่นบ้าง

เอาไว้ต่อต้านการกระทำของผู้อื่น
ที่ตนเองไม่เห็นด้วย
ไม่เห็นชอบ และไม่ได้ประโยชน์

เอาไว้ตัดสินผู้อื่น
ตามความคิดต้องการของตนเอง
ตามความรู้สึกพอใจไม่พอใจของตนเองเป็นสำคัญ

แม้ว่าจะมิใช่มนุษย์ทุกคนที่เป็นเช่นนี้
แต่มันก็นำมาซึ่งความสับสนวุ่นวาย
ในสังคมมนุษย์โลกเสรีนี้ได้ไม่น้อยเลย
เพราะต่างคนต่างเป็นอุปสรรคของกันและกัน
จึงยังผลให้ความขัดแย้ง
และการทะเลาะเบาะแว้งในสังคมมนุษย์
เสมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดาไป

ทั้งๆที่สำหรับจักรวาลแห่งองค์จิตจักรวาลแล้ว
ความแตกแยก คือ 
เรื่องร้ายแรงที่สุดที่ทรงอภัยให้มิได้เลย

เพราะมนุษย์ส่วนใหญ่
คุ้นเคยกับความขัดแย้งแตกแยก
จนลืมไปแล้วว่า...

ความสงบสุขและสันติมันหมายความว่ากระไร
หน้าที่หลักของตนในการเป็นมนุษย์คืออะไร

ทั้งสังคมเล็กสังคมใหญ่
จึงถามหาความเป็นหนึ่งเดียวกันนั้นแสนยาก

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
10-08-2015





06 สิงหาคม 2558

โลกหมุนรอบตัวเองได้ต้องใช้จิตสำนึกมนุษย์




ความรักช่วยให้โลกหมุนได้อย่างไร
มนุษย์กับโลกเป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างไร

ความรักจากจิตสำนึกโดยรวมของมนุษย์
เป็นคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวกบริสุทธิ์
ที่ใช้เป็นพลังงานเบื้องต้น
เพื่อทำให้โลกเหวี่ยงหมุนรอบแกนกลางอย่างต่อเนื่องได้

มนุษย์ทุกคนจึงต้องรักกัน
เพื่อช่วยให้โลกเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองไว้
ด้วยอัตราเร็วคงที่ตลอดไป

หากยุคใดที่จิตสำนึกมนุษย์โลกตกต่ำ
ยุคนั้นมนุษย์โลกจะต้องทำสงครามกับภัยพิบัติเสมอ

แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินยุบแยก
สึนามิ ภูมิอากาศวิปริตแปรปรวน
กลางวันกลางคืน และฤดูกาลจะสับสน
การทำสงครามฆ่าฟันกันในหมู่พวกเดียวกันเอง
การเห็นกงจักรเป็นดอกบัว
ด้วยการทำชั่วโดยไม่รู้ตัวว่าชั่วของผู้คนจักล้นหลาม
เหล่านี้ล้วนเป็นปรากฏการณ์
จากการที่โลกขาดพลังความรักจากจิตมนุษย์ทั้งสิ้น

ยิ่งจิตสำนึกโดยรวมตกต่ำรุนแรง
โลกนี้จะหาที่สงบจากมหันตภัยธรรมชาติ
ให้พวกท่านได้หยัดยืนยากยิ่ง
ดังที่ท่านทั้งหลายกำลังเผชิญกันอยู่ในทุกวันนี้แล้ว

เอเมน สาธุ
6-08-2015

7 ทางเลือกเสรีของท่าน ในกาลสิ้นยุคพลังงานเก่า




เมื่อโลกถึงกาลสิ้นยุคแล้วในคาบของการปิดยุค 

56 วัน หรือ 8 ราตรีผู้ที่นำพาจิตวิญญาณตนเอง

หลุดพ้นไม่ได้เมื่อตายแล้วจะไปไหน....



1.จิตวิญญาณจะถูกทำให้แตกระเบิด

ด้วยการพุ่งเข้าชน
ของประดา "เจ้ากรรมนายเวร" เมื่อจบชีวิตลง
ทันทีที่จิตวิญญาณของคนๆนั้นละสังขารออกไป

เจ้ากรรมนายเวรก็คือ
กลุ่มรูปธรรมทางพลังงาน "จิตวิญญาณ"
ของประดาผู้ที่เคยเกี่ยวกรรมกันมา
กับคนๆนั้นในภพชาติอดีตตราบปัจจุบัน
ซึ่งพวกเขาถูกฝากฝังรอยแค้นพยาบาทเอาไว้ให้
โดยยังมิได้รับการถ่ายถอน หรือยังมิได้อโหสิกัน

เมื่อดวงจิตวิญญาณของใคร
ถูกดวงจิตวิญญาณเจ้ากรรมนายเวรพุ่งชน
ขณะชนปะทะกันนั้นจะก่อให้เกิดเสียงดังสนั่น
ซึ่งมันจะดังยิ่งกว่าเสียงฟ้าผ่าที่มนุษย์คุ้นเคยกันมา

เสียงอันดังนี้เป็นคลื่นความถี่สูง
สามารถทำให้กระจกหน้าต่างและแก้วน้ำ
ที่อยู่ในระยะใกล้เคียงแตกสลาย
จนถึงขนาดจะทำให้มนุษย์จำนวนไม่น้อย
ถึงขั้นตกใจกลัวจนสติแตกได้ง่ายๆ

นอกจากนั้น...
จิตวิญญาณมนุษย์ 
จำพวกที่จักต้องเผชิญกับชะตากรรมนี้
จะเป็นพวกที่ประพฤติตนหนักโลกรกแผ่นดิน
จนชักพาแก่นแท้ตนเองลงต่ำมาเรื่อยๆอีกด้วย

เมื่อจิตวิญญาณที่เป็นกล่องพลังงาน
ถูกชนจนแตกสลายแล้ว
ทั้งฝ่ายผู้พุ่งชนเองด้วยก็จะต้องแตกสลาย
ไร้ซึ่งคุณสมบัติของการเป็นกล่องพลังงาน
ที่เรียกว่าจิตวิญญาณตลอดไปเสมอกัน

แปลว่าจักต้องแตกสลายกลายเป็นศูนย์ 
คือ จะไม่มีทั้งคู่อยู่ในจักรวาลนี้อีกตราบชั่วนิรันดร์

ผู้ที่กระทำผิดบาปด้วยการยุแหย่
ให้เพื่อนมนุษย์ด้วยกันทำศึกสงครามกันเอง
ทั้งคนภายในชาติเดียวกันและต่างชาติ

พวกที่มีอาชีพรับจ้างสู้รบ
พวกที่ชอบใช้อำนาจเหนือนำ
จิตวิญญาณของมนุษย์คนอื่นๆ

ความผิดบาปของผู้คนจำพวกที่กล่าวมานี้
ในบัญชีของฟ้านั้นจะถูกแทงเป็นศูนย์ทั้งสิ้น


2.จักถูกส่งไปยังนรกโลกันต์

พิกัดที่ตั้งของนรกโลกันต์
หมายถึง ที่แกนโลกนั่นเอง

ที่แกนโลกนี้
จะเป็นอาณาบริเวณที่ร้อนจัดที่สุด
โดยร้อนกว่าสถานที่ใดๆในจักรวาลนี้เลยก็ว่าได้

จิตวิญญาณของผู้ที่จะต้องจบชีวิตลง
ด้วยปฏิบัติการทางเท็คนิก
เพื่อการชำระโลกแบบใดแบบหนึ่ง
ของผู้คนในจำพวกนี้นั้น
ต่างล้วนจะถูกส่งลงไปที่ข้างล่างนั่นทั้งสิ้น

ความผิดบาปมหันต์
ของดวงจิตวิญญาณเหล่านี้
คือ พวกที่ขันอาสาพระบิดาลงมาเกิดเป็นมนุษย์
แล้วกลับเป็นผู้ทำลายสมดุล
ของดาวเคราะห์โลกเสียเอง

พวกระเบิดภูเขา ถมทะเลหรือแหล่งน้ำ
พวกตัดโค่นต้นไม้ทำลายป่า
พวกสร้างเขื่อนปิดกั้นการไหลของทางน้ำ
พวกค้นคิดผลิตใช้อาวุธสงครามเพื่อการฆ่า
พวกผลิตสร้างยาเสพติดและสารเคมีเป็นพิษ

คนพวกนี้จัดเป็นพวกหนักโลก 
รกแผ่นดินอีกพวกหนึ่ง
เพราะพวกเขานอกจากจะไม่เคยทำประโยน์อันใด
ให้กับดาวเคราะห์โลกของตนเองแล้ว
ยังจะทำตนเป็นภัยต่อแผ่นดินที่ตนเหยียบยืนเสียอีกด้วย

การจัดส่งให้ลงไปยังแกนโลกนั้น
ก็เพื่อจะให้พวกเขาได้มีโอกาส
ทำประโยชน์ต่อดาวเคราะห์โลกเสียบ้าง

3.จักถูกส่งลงไปยังนรกที่ลึกกว่าชั้น 13

จิตวิญญาณของมนุษย์ในกลุ่มนี้
จะถูกส่งไปยังนรกที่ลึกกว่าชั้นที่ 13 ลงไปอีก
ซึ่งถือว่า "ไม่ได้ผุด ไม่ได้เกิด" ชั่วนิรันดร์เลย

จิตวิญญาณของกลุ่มคนจำพวกนี้
มีความผิดบาปในลักษณะเดียวกันกับพวกที่สอง
แต่น้ำหนักของความผิดบาปน้อยกว่า เบากว่า

ความผิดบาปที่ชัดเจนที่สุดมีดังนี้

1.ไม่ฝักใฝ่ธรรมะ
2.ไม่ปฏิบัติธรรม
3.ไม่เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์
4.งมงายกับภูติผีปีศาจ
5.หลงตนเองว่ายิ่งใหญ่เหนือใคร
6.ปฏิเสธพระเจ้า ไม่เอาพระศาสดา
7.ไม่เชื่อเรื่องการมีจิตวิญญาณ
8.ต่อต้านเรื่องนิพพาน

จิตวิญญาณของคนในกลุ่มนี้
จะตกนรกโดยมิมีโอกาสได้ผุดเกิดตลอดกาล

จักต้องดำรงอยู่ ณ ที่นั้นอย่างทุกข์ทรมาน
เพื่อใช้น้ำหนักมวลของจิตวิญญาณ
บวกกับผลกรรมของคนๆนั้นที่ได้สั่งสมไว้
ช่วยกันถ่วงน้ำหนักตรงแกนโลกไว้ให้สมดุล
ขณะเหวี่ยงหมุนรอบตนเอง
และโคจรไปรอบๆดวงอาทิตย์

4.จักถูกส่งลงไปยังนรกขุมที่ 13

จิตวิญญาณของผู้คนในกลุ่มนี้
จัดว่าดีกว่าจิตวิญญาณ
ในกลุ่มที่ 3 ก็ตรงที่

พวกเขาจะสามารถพ้นกรรมขึ้นมาจากขุมนรกได้
เพื่อให้ได้รับโอกาสแห่งการเกิดใหม่

แต่พวกเขาจะหมดโอกาส
ในการเกิดเป็นมนุษย์
เพราะไม่เคยเห็นคุณค่า
ของการเป็นมนุษย์เลย

พวกเขาจึงจะได้รับโอกาสให้
มาเกิดเป็นสัตว์ประจำโลกแทน 
เช่น สัตว์จำพวกลอกคราบได้
สัตว์จำศีล และอื่นๆ

ความผิดบาปของมนุษย์จำพวกนี้ก็คือ
พวกที่ชอบสาบานว่าจะเคร่งครัด
ในการถือศีลครองธรรม
แต่กลับกระทำทุศีลอยู่เป็นประจำ

นอกจากนั้น
จิตวิญญาณมนุษย์จำพวกที่ประพฤติมิชอบ
ด้วยการตะแบงคำสอนพระศาสดา
ทั้งๆที่รู้ว่าไม่ถูกต้อง

จิตวิญญาณมนุษย์จำพวกที่สอนธรรมะผิดๆ
จนยังผลให้ผู้อื่นหลงเชื่อผิดๆ เข้าใจผิดๆ
สาเหตุเพราะพวกเขาไม่รู้จริง ไม่รู้แจ้ง
ในข้อธรรมะที่ตนสอนนั้น

พวกเขาแม้โชคยังดี
ที่จะได้รับโอกาสให้กลับมาเกิดใหม่
แต่พวกเขาจักต้องมาเกิดเป็นสัตว์ประจำโลก
จำพวกสัตว์จำศีลทั้งหลาย
ยาวนานถึง 7 ภพชาติ 
หรือ ตายแล้วเกิดใหม่รวม 7 ครั้งนั่นเอง

โดยที่สัตว์จำศีลพวกนี้
ส่วนมากแล้วจะอายุยืนนานนับร้อยปี
แถมตายยากเสียอีกต่างหากด้วย
การจะเกิดตายแล้วเกิดใหม่ให้ครบ 7 ภพชาติ
จึงเป็นสิ่งที่ทุกข์อย่างยิ่งยวดนั่นล่ะ

5.จักได้กลับบ้าน คือ นิพพาน

จิตวิญญาณมนุษย์กลุ่มนี้
เป็นกลุ่มที่เมื่อจบชีวิตลงในระหว่างการชำระโลก
ในช่วง 56 วัน 8 ราตรี
ก็จะได้รับโอกาสให้หลุดพ้นคือนิพพานได้ทันที
ในวันเวลาที่สิ้นชีวิตลง

เพราะว่าพวกเขาเป็นคนดี
เพราะพวกเขาปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
เพราะพวกเขาปฏิบัติธรรมโดยไม่เดินถ่างขา
เพราะพวกเขาไม่ปฏิเสธพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
เพราะพวกเขาสอบผ่านทุกบททดสอบ
เพราะพวกเขาได้ชำระผลกรรมเก่าจนหมดสิ้น

6.จักได้รับโอกาสให้มาเกิดใหม่

จิตวิญญาณมนุษย์กลุ่มนี้เป็นคนดี
ไม่ปฏิเสธพระบิดาแต่ยังขาดมหาสติ
มีปณิธานแห่งนิพพานไม่ชัดเจน

พวกเขาจึงไม่สามารถชำระผลกรรมของตน
ให้คงเหลืออยู่ไม่เกิน 30% ได้เมื่อต้องตาย

ดังนั้น
พวกเขาเหล่านี้จึงจะได้รับโอกาส
ให้ย้อนกลับมาเกิดเป็นมนุษย์
ในยุคพลังงานใหม่ได้อีกต่อไป

โดยพระบิดาจะทรงเมตตายกเลิก
ผลกรรมเก่าทั้งหมดที่เหลืออยู่ให้จนหมดสิ้น
จึงถือเป็นเสมือนดวงจิตวิญญาณหนึ่งของผู้มาใหม่
ที่จะได้รับโอกาสให้เป็น "ภพชาติแรก" 
แห่งการมาเกิดเป็นมนุษย์ในยุคพลังงานใหม่

เสมือนเด็กๆจากฟ้าสีคราม
ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์ยุคพลังงานใหม่
กับเขารูปธรรมหนึ่งด้วยเช่นเดียวกัน

7.จะเป็นผู้ได้รับโอกาสพิเศษ

จิตวิญญาณมนุษย์ในกลุ่มนี้
จัดเป็นพวกที่ดีที่สุดกว่ากลุ่มใดๆที่กล่าวมา

พวกเขาใฝ่ดี
พวกเขาไม่ปฏิเสธพระบิดา
พวกเขาครองมหาสติได้ในชีวิตประจำวัน
จนกลายเป็นธรรมชาติของตนไป

พวกเขาแสดงปณิธานแห่งนิพพานอย่างชัดเจน
พวกเขาเฝ้ารับฟังพระโอวาทอย่างอ่อนน้อม
พวกเขาปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์และสัตว์โลก
อย่างอ่อนโยนและถ่อมตน

พวกเขาไม่ปฏิเสธ
ปฏิบัติการชำระโลกของพระบิดา
เพื่อการปรับสมดุลทางกายภาพและพลังงาน
เพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานใหม่

ในขณะที่พวกเขากลุ่มนี้
ยังได้แสดงความปรารถนาดีอย่างแรงกล้า
ที่จะช่วยโลกและเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆ
ให้อยู่รอดปลอดภัยจากมหันตภัยทั้งหลาย
อีกทั้งยังฏิบัติตนเป็นเยี่ยงอย่างที่ดี
แก่เพื่อนมนุษย์คนอื่นๆด้วย

มนุษย์เหล่านี้จะมีจิตวิญญาณเป็นผู้ถูกคัดไว้
โดยจะสามารถฟันฝ่าภัยพิบัติทั้งหลาย
จนข้ามผ่านวันเวลาที่สิบเอ็ดสุดท้าย
มีชีวิตรอดผ่านไปสู่ยุคพลังงานใหม่ได้ทุกคน
ซึ่งจะมีผลกรรมเก่าทั้งหมดเป็นโมฆะ
โดยพวกเขาไม่ต้องตาย
แล้วกลับมาเกิดใหม่อีกให้เสียเวลา

หน้าที่พวกเขาก็คือ
การช่วยออกแรงปัดกวาดทำความสะอาดโลก
ที่รกรุงรังด้วยทรากสิ่งปรักหักพัง
จากปฏิบัติการชำระโลกคาบสุดท้าย
ใน 56 วัน 8 ราตรีอันมืดมิดนั่น

ทั้งยังจะได้ช่วยใช้ความรักบริสุทธิ์
ประคองโลกให้สมดุล
ตามสมการสามมิติ 6-6-6 
แห่งยุคพลังงานใหม่

พร้อมการเปิดเผยความจริงทั้งหลาย
ในปฏิบัติการเปลี่ยนยุคของพระบิดา
ให้ประดาผู้ที่มาเกิดใหม่ในยุคพลังงานใหม่
ได้รับรู้ รับฟัง และเรียนรู้ความจริงกันต่อไป

ความรู้ใหม่อันสำคัญนี้
เราได้สื่อมาบันทึกไว้เป็นความรู้คู่โลก
ภายในห้องพระคัมภีร์จิตจักรวาลนี้แล้ว

ท่านใดจะอยู่ในจำพวกไหนใน 7 จำพวกนี้
ก็จงพิจารณาตนเองกันตามสำนึกดีสำนึกชอบเถิด
พระบิดายังทรงมีทางเลือกเสรีไว้ให้ท่านเสมอ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
6-08-2015

05 สิงหาคม 2558

อาถรรพณ์ 26: Crisis 26




อาถรรพณ์ 26:
(Crisis 26)
*************
บันทึกไว้เพื่อเป็นประวัติศาสตร์
แห่งโศกนาฏกรรมธรรมชาติ
ของมนุษย์โลกเสรีในกาลอดีต

1.วันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ.2426
หายนะภัย:
VOLCANO ERUPTION
........................................
ภูเขาไฟกะรากะตั้ว ระเบิดรุนแรง
มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น ราวๆ 36,000 คน

2.วันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ.2475
หายนะภัย:
EARTHQUAKE
...........................
แผ่นดินไหวรุนแรง
ณ มณทลกันซู
ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน
มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น ราวๆ 70,000 คน

3.วันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ.2482
หายนะภัย:
EARTHQUAKE
...........................
แผ่นดินไหวรุนแรง
ณ ประเทศตุรกี (Turkey)
มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น ราวๆ 41,000 คน

4.วันที่ 26 มกราคม พ.ศ.2494
หายนะภัย:
EARTHQUAKE
...........................
แผ่นดินไหวรุนแรง
ประเทศปอร์ตุเกต (Portuguese)
มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น ราวๆ 30,000 คน

5.วันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ.2539
หายนะภัย:
TSUNAMI
..................
เกิดคลื่นยักษ์สึนามิ
ที่ Sabah
มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น ราวๆ 1,000 คน

6.วันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ.2546
หายนะภัย:
EARTHQUAKE
...........................
แผ่นดินไหวรุนแรง
ณ ประเทศอิหร่าน (Iran)
มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น ราวๆ 60,000 คน

7.วันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ.2547
หายนะภัย:
TSUNAMI
..................
เกิดคลื่นยักษ์สึนามิ
รวม 11 ประเทศที่มีพื้นที่ติดชายฝั่งมหาสมุทรอินเดีย
รวมทั้งประเทศไทยด้วย
มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น ราวๆ 100,000 คน

ฯลฯ

ขอท่านทั้งหลายพึงสังวร
โดยมุ่งรักษาตนเองไว้ด้วย "มหาสติ" 
ปณิธานแห่งนิพพาน และ "กฤตสติ" 
ตามมรรควิถีจิตจักรวาลเถิด

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
5-08-2015








04 สิงหาคม 2558

ครอบครัวสำคัญที่สายสัมพันธ์ มิใช่การพิพากษา"ใครผิดถูก"


ทุกคนมีหน้าที่แสดงไปตามบทอย่างดีที่สุด
ทั้งบทดีและบทร้ายที่ร่วมขีดเขียนกันมาจากอดีต
เพื่อช่วยให้คนอื่นในครอบครัวของท่าน

มีมหาสติที่แกร่งกล้า 
มากขึ้นด้วยปัญญาและเพิ่มพูนความรัก

แม้วันนี้เวลานี้พวกเขาอาจล้มเหลวอยู่
ท่านยังจะต้องแสดงบทบาทเดิมนั้นอยู่ต่อไป
จนกว่าท่านจะเริ่มเบื่อหน่ายบทร้ายเองได้

ท่านก็สามารถยกเลิกบทบาทนั้นเสีย
โดยหันมาเล่นบทดีบทเดียว
เพื่อช่วยพวกเขาที่ท่านรักให้ง่ายขึ้น
เพราะโลกนี้เป็นดาวแห่งทางเลือกเสรีไงล่ะ

ท่านเองก็เช่นกัน
นอกจากเรียนรู้ที่จะฉลาดขึ้นและรักให้ได้มากขึ้น
เมื่อคนในครอบครัวของท่าน
สร้างเงื่อนไขบางอย่าง
ที่น่าเกลียด น่าโกรธ ไม่น่ากอดแล้ว

ท่านจะต้องรู้จักรัก รู้จักให้
ในทุกเงื่อนไขสถานการณ์

อย่าดีแต่ปาก....
อย่าดีแต่ท่องพระคำ...

เพราะท่านมิใช่ปลาหมอที่ปากดี
ซึ่งมีโอกาสจะ "ตายเพราะปาก"
จากคมเบ็ดของพรานเบ็ดนั่นล่ะนะ

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
4-08-2015

03 สิงหาคม 2558

พันธะสัญญา 6


ถ้าจะมิให้เสียทีที่ได้รับโอกาส
ให้มาเกิดเป็นมนุษย์
ท่านจักต้องเรียนรู้ให้ได้ว่า

จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านเป็นใคร
มาจากไหน
มาเกิดเป็นมนุษย์ทำไม
ใครอนุญาตให้มาเกิด

มาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว
ท่านมีหน้าที่ต้องทำอะไรบ้าง
ท่านจะทำหน้าที่แต่ละอย่าง
ให้สำเร็จลุล่วงได้อย่างไร

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
3-08-2015

จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่าน ต้องการอาหารเช่นกัน



ถ้าร่างกายต้องการอาหารและน้ำดื่มเพื่อการยังชีพ
จิตวิญญาณของท่านก็ต้องการพระโอวาท
เป็นเครื่องยังชีพด้วยเช่นเดียวกัน

มนุษย์จึงต้องรู้ว่าอาหารใด
ที่ตนควรบริโภคหรือไม่ควรบริโภคบ้าง
และตนควรบริโภคอาหารนั้นๆกันอย่างไร
จึงจะทำให้ตนเองอยู่ดีมีสุข
แข็งแรงและมีอายุยืนยาว

จิตวิญญาณของท่านก็เช่นกัน
ย่อมมีความต้องการที่จะได้รับการดูแล
จากจิตหยาบหรือจิตมนุษย์ของท่านด้วย
ซึ่งสิ่งที่แก่นแท้ของท่านปรารถนาเป็นที่สุด
คือ การได้รับฟังพระโอวาท
ที่ทรงพระเมตตาสื่อผ่านเรามาในทุกวโรกาส

พระโอวาทจักกระตุ้นจิตวิญญาณของท่าน
ให้เกิดการสั่นสะเทือนด้านบวกขึ้นมาได้
ด้วยแรงสั่นสะเทือนสูงสุดที่มนุษย์คนไหนๆ
ก็มิอาจเป็นเงื่อนไขให้ท่านได้เลย

ถูกต้องแล้ว....
มันคือคลื่นความรักบริสุทธิ์จากแก่นแท้
ที่สามารถจะทำให้อำนาจด้านลบทุกอย่างเป็นกลางได้

นี่แหละ...
คืออำนาจในตนเองของท่านในส่วนเพิ่ม
ซึ่งท่านสามารถเข้าถึงมันด้วยตนเองได้เสมอ
โดยเฉพาะในยุคสุดท้ายนี้
ในยุคที่เรากลับมาตามสัจจะวาจาที่ให้ไว้

เพราะมีมนุษย์อยู่ตรงไหน
เราก็จักสื่อถ่ายทอดพระโอวาท ณ ตรงนั้นเสมอ

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
3-08-2015