25 เมษายน 2558

กลับบ้านดีกว่า


กลับบ้านกันเถอะ
กลับตัวเปล่าๆ...เกิดมามีแค่ไหน
เอากลับไปเท่านั้น

อย่ามัวขยันสะสมต่อไปเลย
เดี๋ยวแผ่นดินไหวเมื่อไหร่
มันก็จะพังลงมากองกับพื้นทั้งหมดแหละ

ไอ้ที่พกพาติดตัวไว้
เมื่อคราน้ำท่วมบ่าไหลมา
ท่านก็จะต้องถอดมันเหวี่ยงทิ้งไป
เพื่อลดน้ำหนักตัวเองลงทันที
ไม่งั้นจะจมหายไปใต้น้ำ

ชีวิตกับเงินตรา
ชีวิตกับทรัพย์สมบัติ
ชีวิตกับเกียรติชื่อเสียง
ชีวิตกับอำนาจวาสนา

ท่านอุตส่าห์สั่งสมกันมาทั้งชีวิตน่ะ
ในยามวิกฤติ...
มันมีค่าแค่เพียงเศษของเศษขยะเท่านั้นเอง

ฉลาดก่อนใคร วางทิ้งเสียก่อนใคร
ก่อนที่ภัยจะมาจนวางไม่ทัน
หรือสะสมมามากไปจนไม่รู้จะหาที่วางตรงไหน
ดีมั้ยล่ะท่าน????

เอเมน...สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
25-04-2015

สัญญาณการสั่นไหว


สัญญาณการสั่นไหวทุกวันไม่เว้นวรรค
ตั้งแต่ระดับต่ำย้ำแล้วย้ำซ้ำจนเลยระดับ 4
แล้วปรี่ขึ้นไปถึงระดับ 5 
ไม่กี่เพลาที่ไต้หวันก็สั่นขึ้นไปถึงระดับ 6

มาเที่ยงวันนี้ตามเวลาของเนปาล
แรงสั่นสะเทือนก็ไปถึงระดับ 7.9 R 
นี่...มันเกือบจะมาถึงระดับ 8 กันแล้ว

ถ้าผู้คนบนแผ่นดินใด
มีการวัดค่าพลังงานซัมเบต้าแล้ว "ไม่ไหว"
แผ่นดินนั้นก็จะ "สั่นไหว" เสียเอง

ลูกกล่าวต่อพี่ๆน้องๆไปแล้ว
ผู้คนจะไหวเพื่อแผ่นดินจะได้ไม่ต้องไหว
หรือผู้คนจะไม่ไหวเพื่อแผ่นดินจะต้องไหว
อีกไม่ช้า....โลกจะได้รับการพิสูจน์กันถ้วนทั่ว

กราบพระบาทพระบิดา
เอเมน....สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
25-04-2015

รหัสธรรมน่ารู้ จากครูเมฆ


ก้อนเมฆรูปมังกรพ่นไฟ
สอนอะไรพวกท่านเช่นนั้นหรือ?

นักเรียนที่รักแห่งเราทั้งหลาย
ที่เราอัญเชิญนำลงมาให้เรียนรู้กันนั้น

มิใช่ให้ดูเพื่อการนึกรู้กันเพียงแค่ว่า
ที่สองตาผัสสะดูนั่นน่ะ....

ใครเห็นเป็นหน้าหมา 
ใครเห็นว่าเป็นหน้าหมู
หรือให้ท่านดูเป็นมังกรพ่นไฟ
ดั่งใจผู้บันทึกภาพเขากำกับไว้ดอกนะ

เพราะนั่นพิสูจน์ว่าท่านยังมองผ่านสิ่งไร้สาระ
เพื่อเข้าถึงสิ่งที่เป็นสาระกันไม่ได้

นักเรียนที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า

สิ่งอันไร้สาระทั้งหลายรายรอบตัวท่านนั้น
ล้วนเป็นมายาทั้งสิ้น
เพราะสรรพสิ่งซึ่งเป็นมายานั้น
ลำพังตัวตนรูปลักษณ์ของมันน่ะ
จักให้คุณหรือให้โทษอะไรท่านไม่ได้หรอก

สาระที่เป็นแก่นแท้
ซึ่งเร้นอยู่ในสิ่งไร้สาระที่เป็นมายาต่างหากล่ะ
จักเป็นรหัสนัยแห่งสัจธรรมของพระบิดา
ที่ท่านทั้งหลายจักต้อง "อ่านมันให้ออก"
เพื่อบอก...เพื่อสอน...ตนเองให้ได้
และแน่นอนว่าทรงประสงค์ให้ท่านรู้ไว้
เพื่อการเสี้ยมสอนตนเอง
มิใช่เอาไว้ "อวดเก่ง" กับคนอื่น

เอเมน...สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
25-04-2015



ยังทำอยู่มั้ย?


เราขอกล่าวความจริงให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า
แม้ท่านจะเรียนรู้ได้แล้วว่า
หน้าที่แท้จริงของท่านนั้นมีอะไรบ้าง

แต่ท่านก็ยังต้องเรียนรู้ต่อไปด้วยว่า
หน้าที่ของท่านที่จะต้องไม่กระทำน่ะมีอะไรบ้าง
เพราะการไม่ไปกระทำในบางสิ่ง
ซึ่งมิใช่กงการอะไรของท่านนั้น
มันก็เป็นหน้าที่ของท่านด้วยเช่นเดียวกัน

เราจึงสอนพวกท่าน
ให้คิดก่อนพูด คิดก่อนทำ
โดยคิดตาม PARINYA MODEL ไงล่ะ

ไม่งั้นจะไปก่อกรรมแล้วผูกเวรกับผู้อื่นเข้า
ในข้อหา..... "เจือก!" รายวันน่ะท่านนะ

เอเมน...สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
25-04-2015

ต้องคิดสิ


นักเรียนที่รักแห่งเราทั้งหลาย

แม้ว่าทุกวันนี้....
ยังคงมีอีกมากคนที่ยังไม่รู้ว่า
"นึก" กับ "คิด" ต่างกันอย่างไร
เพราะยังมิเคยผ่านประสบการณ์ "ไซโคโชว์"
กับอาจารย์ปริญญา ตันสกุล

แต่เราก็จะกล่าวความจริง
ต่อท่านทั้งหลายที่ยังมิได้ใช้โอกาสว่า
พลังอำนาจทางปัญญาของมนุษย์นั้น
จักต้องได้จาก "กระบวนการคิดที่ถูกต้อง"
ซึ่งพระผู้สร้างได้ทรงกำหนดติดตั้งเอาไว้ดั่งนี้

1.ต้องเริ่มกันที่ "จิต" 
2.ต้องทำให้ศักดิ์สิทธิ์ที่ "สมอง"
3.ต้องครองธรรมด้วย "มหาสติ"
4.ต้องใช้ "ปณิธานแห่งนิพพาน"
5.ต้องกล้าหาญ "แสดงออก"

ท่านทั้งหลายจะสามารถเป็นคนพ้นกรรมได้
หากใช้การคิดด้วยจิตวิญญาณ
ตามกระบวนการ 5 ขั้นที่เราสอนท่านอยู่นี้

หากท่านแสดงออกหรือกระทำสิ่งใดๆ
โดยมิได้ผ่านกระบวนการ 5 ขั้นข้างต้น
แสดงว่าท่านยังมิได้ตกผลึกในสิ่งที่ท่านกำลังทำ
เพราะเป็นเพียงแค่ "นึก" ด้วยจิตเท่านั้น

ชีวิตท่านประจำวัน
จึงเต็มไปด้วยการพูดการกระทำ
ที่ผิดๆถูกๆอยู่ซ้ำซาก

ผิดคน ผิดวิธี 
ผิดที่ ผิดเวลา 
ผิดพลาด และผิดใจ
โดยผิดอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่เนืองๆ

นี่เท่ากับว่า....
ท่านได้ก่อกรรมเวรขึ้นมาใหม่
เกี่ยวกรรมกับใครต่อใครอยู่เนืองๆด้วยเช่นกัน

เราจึงสื่อสอนท่านมาโดยตลอดว่า
อย่าเดินถางขาให้น่าเกลียด
จงเดินให้ตรงอย่างสง่า
คือ เดินตรงมาทางเรา 
เพื่อมาเฝ้าฟังพระโอวาทองค์จิตจักรวาลด้วยกัน
เอเมน...สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
25-04-2015

17 เมษายน 2558

เรียนรู้ที่จะรักกัน


หินหนึ่งก้อนที่หนักใหญ่
หากมวลสารแต่ละอณูน้อยๆมันไม่รักกัน
มันก็จะไม่เหนี่ยวรั้งซึ่งกันและกันไว้ให้มั่นคงได้
แล้วในที่สุด...
หินก้อนนั้นมันก็มิอาจจะกลายเป็นหินแข็ง
และหนักใหญ่ได้เลย
ระบบสุริยจักรวาลนี้ก็เช่นกัน
ดาวทั้ง 9 ดวง 
ต้องรักดวงอาทิตย์และต่างต้องรักกันนิรันดร
มิเช่นนั้นทุกๆดวง
จะเกาะเกี่ยวเหนี่ยวรั้งซึ่งกันและกันไว้
เป็นระบบสุริยะระบบเดียวกันมิได้
มนุษย์โลกเสรีนี่ก็เช่นกัน
ถ้าสมาชิกในครอบครัวไม่รักกัน
ครอบครัวนั้นย่อมแตกร้าง
ประเทศชาติเดียวกัน
ถ้าคนในชาติไม่รักกัน
ไม่เกาะเกี่ยวเหนี่ยวรั้งกันไว้
ประเทศชาติย่อมพังทลายไม่มั่นคง
คนในโลกเสรีนี้
ถ้าต่างเชื้อชาติ ต่างศาสนา 
ต่างภาษา ต่างประเทศกัน
แล้วไม่รักกัน
ก็จะลุกขึ้นมาต่อสู้บู๊ล้างผลาญกันด้วยศึก
ก็จะฮึกเหิมเติมโหดกันด้วยสงคราม
ดาวโลกดวงนี้ย่อมมีแต่หายนะ
ดังนั้น
ท่านทั้งหลายจงเรียนรู้ที่จะรักกันให้ได้
ให้กันให้เป็น...เอาไว้เถิด
เพื่อสร้างสันติสุขอันประเสริฐร่วมกันนะ
เอเมน....
ป.วิสุทธิปัญญา
17-04-2015

ตะเกียงแห่งชีวิต


ท่านเตรียมตะเกียงไว้พร้อมหรือยัง
ตะเกียงใครพร่องน้ำมัน
เราจะช่วยเติมเต็มให้

ใครจุดตะเกียงไม่เป็น
เรายินดีที่จะช่วยสอนวิธีจุดตะเกียงให้

เรามาอยู่กับพวกท่านที่นี่แล้ว

ป.วิสุทธิปัญญา
16-04-2015

16 เมษายน 2558

คำสอน 16/04/2015

 

ตะเกียงแห่งชีวิต

ตะเกียงใช้ส่องทาง
แสงสว่างดั่งปัญญา

ความร้อนคือความรัก
ไส้ในจักแทนเวลา

น้ำมันต้องสรรหา
มาเติมจิตเพื่อติดไฟ

15 เมษายน 2558

ปากเป็นเอก


มนุษย์จะได้ดีได้ชั่ว มักอยู่ที่ปากของตัวเอง
มีปากเหมือนมีตูดที่หูรูดชำรุด
ย่อมถ่ายของเสียไม่หยุดฉันใด

คำพูดที่หลุดออกจากปาก
อาจนำความทุกข์ยากมาสู่ตนเองได้
เพราะปากเหม็นกระเด็นไปก้าวล่วงผู้อื่นเข้า
ถ้าเอาแต่พล่ามเอาแต่พูด
พูดโดยไม่ยั้งคิด
มวลหมู่มิตรก็อาจถูกท่านสะกิด
ให้เปลี่ยนจากมิตรไปเป็นศัตรูได้
ด้วยคำพูดเหม็นเน่าของท่านจากการไร้สติ

เอเมน....สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
14-04-2015


คำโอด...คำอ้าง....



คำโอด...คำอ้าง.....
............................
ตะโกนก้อง ร้องว่า "เรามาแล้ว"
จนเสียงแผ่ว กลับไม่รู้ เราอยู่นี่
จะเหหัน ชันคอ รอกี่ปี
จึงได้รู้ เรานี้ ที่เธอ "รอ"

ทั้งความรัก ความฉลาด มิขาดพร่อง
เชิญมารอง รับเอา กันเถิดหนอ
พร้อมเส้นทาง นิพพาน สานต้นตอ
เรายังรอ แบ่งปัน ทุกวันคืน

เพราะบาปหนา ตาบอด น่าอดสู
คนไม่รู้ หูตึง จึงขมขื่น
คนงมงาย ไร้สมอง คงกล้ำกลืน
ความขมขื่น เพราะรอ จนท้อใจ

เปิดทวาร ทั้งหก ที่รกร้าง
แล้วสะสาง จิตสวย ด้วยใจใส
รับโอวาท สัจธรรม น้อมนำไป
พินิจใช้ แผ้วถาง ทางนิพพาน

เอเมน...สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
14-04-2015

เบื้องหลังฟ้าผ่า


Meta-physics:
เรื่องเบื้องหลังฟ้าผ่า
.............................
ถ้าท่านทั้งหลายเป็นคนช่างสังเกต
จะพบว่าท้องฟ้าเหนือขุนเขาราวป่าและทุ่งราบ
มักจะมีเมฆขาวสวยลอยสูงและฟ้าสีครามสดใส
ซึ่งต่างจากท้องฟ้าเหนือชุมชนเมือง
จะพบว่าท้องฟ้านั้นเต็มไปด้วยเมฆครึ้มสีเทาดำ
โดยมวลหมู่เมฆนั้นมักลอยต่ำ
แลดูทะมึนไม่สวยงาม
ก้อนเมฆสีเทาดำบนท้องฟ้าเหนือชุมชนเมือง
เกิดจากการรวมตัวกัน
ของมวลความชื้นในชั้นบรรยากาศ
ซึ่งได้จากไอน้ำร้อนที่ลอยตัวสูงขึ้นไปจากพื้นดิน
เมฆสีเทาดำเหล่านี้จะเต็มไปด้วยอนุภาคประจุลบ
ซึ่งรู้จักกันในนาม "อีเล็คตรอนอิสระ"
สะสมอยู่ในระหว่างโมเลกุลของน้ำเป็นจำนวนมาก
ประจุลบหรืออีเล็คตรอนอิสระเหล่านี้
มันมิได้มีอยู่ทั่วไปในธรรมชาติ
มันมิได้ก่อกำเนิดขึ้นมาเอง
แต่พวกท่านทั้งหลายนี่แหละ
เป็นผู้ผลิตสร้างมันขึ้นมาโดยแท้
ปกติแล้วพวกท่านจะต้องรู้ว่า
หน้าที่ในการมาเกิดเป็นมนุษย์นั้น
คือท่านต้องผลิตสร้างประจุบวกออกมาให้ได้
ด้วยการสั่นสะเทือนจิตสำนึกด้านบวกอย่างเดียว
ไม่ว่าท่านจะเผชิญกับเงื่อนไขทั้งดีหรือร้าย
ที่คนใกล้ตัวหยิบยื่นให้ในชีวิตประจำวันก็ตาม
โดยท่านจะสั่นสะเทือนด้านบวกได้
ก็ด้วยปณิธานแห่งนิพพานเท่านั้น
คือ ต้องรักให้ได้ ให้ให้เป็น
แม้ว่าเขาคนนั้นจะทำตัวไม่น่ารักไม่น่าให้เลยก็ตาม
แต่ปรากฏว่า....
ในโลกแห่งความเป็นจริงของพวกท่าน
กลับสั่นสะเทือนจิตสำนึกด้านลบต่อกันมากกว่า
โดยมีกิเลสตัณหาครอบงำ
จึงยังผลให้เกิดการผลิตสร้างประจุลบออกมามากมาย
ขณะที่ผู้ผลิตประจุบวกจากความรักมีน้อยเต็มที
อนุภาคประจุลบที่เกิดจากพลังงานจิตด้านลบ
ที่พวกท่านในชุมชนเมือง
ตั้งหน้าตั้งตาผลิตสร้างกันขึ้นมาในทุกวินาทีนั้น
ประมาณ 1% เท่านั้นเอง
ที่จะสามารถเหนี่ยวรั้งลงไปเก็บไว้ที่แกนโลกได้
ส่วนใหญ๋แล้วมันจะฟุ้งกระจาย
ยึดเกาะอยู่บนโครงข่ายสนามแม่เหล็กโลก
เมื่อเจอความชื้นหรือมวลของไอน้ำเข้า
ก็จะพากันเข้าไปแทรกตัวอยู่ระหว่างโมเลกุลของน้ำ
แล้วค่อยๆจับกลุ่มรวมตัวกันเป็นก้อนเมฆสีเทาดำ
เพราะมีค่าสนามแม่เหล็กเป็นลบนั่นเอง
ถ้าในก้อนเมฆมีปริมาณของประจุลบจำนวนมาก
ช่างเท็คนิกผู้ดูแลความสมดุล
ของสนามแม่เหล็กในชั้นบรรยากาศโลก
ก็จะทำการสร้างสมดุล
ด้วยการยักย้ายถ่ายเทประจุลบ
หรืออีเล็คตรอนอิสระเหล่านี้ 2 วิธี
วิธีแรก คือ...
ให้ตกลงมาสู่พื้นดินร่วมกับพายุฝนฟ้าคะนอง
และมีฟ้าผ่าแรงๆสลับบ้าง
โดยบ่อยครั้งที่สายฟ้าจะฟาดลงมา
ตรงยอดหอคอยสูงหรือยอดตึกสูงๆ
เพราะมนุษย์สร้างสายล่อฟ้าเอาไว้ให้แล้ว
ส่วนวิธีที่สอง คือ...
จะสร้างกระแสสายฟ้าผ่าขึ้นมา
เพื่อนำพาประจุลบจากก้อนเมฆลงสู่ดิน (ground)
ถ้าปริมาณประจุลบมีจำนวนหนาแน่นไม่มากนัก
แต่ถ้าปริมาณประจุลบในก้อนเมฆหนาแน่นมาก
ช่างเท็คนิกก็จะใช้วิธียกย้ายก้อนเมฆทั้งหลาย
ไปสร้างกระแสสายฟ้าผ่าขึ้นมายังที่ไกลๆผู้คน
เช่นในทะเล มหาสมุทร หรือแหล่งน้ำ
เพื่อถ่ายเทประจุลบลงสู่แหล่งน้ำแทน
กรณีที่ต้นไม้ สัตว์ คน และบ้านเรือนถูกฟ้าผ่า
จนเป็นอันตรายถึงชีวิต และบ้านพังนั้น
เป็นการกระทำของเจ้ากรรมนายเวรของพวกท่าน
ซึ่งจิตวิญญาณของเขา
มีคุณสมบัติทางไฟฟ้าเป็นลบ
โดยจะสั่งสมความอาฆาตโกรธแค้น
อันเป็นสภาวะจิตสุดท้ายเมื่อก่อนตายเอาไว้มาก
จิตวิญญาณอาฆาตเหล่านี้
จะทำตัวเหมือนมีอำนาจทางไฟฟ้าเป็นบวก
เพราะภายในรูปธรรมสั่งสมลบเอาไว้เยอะ
ทำให้ประจุบวกที่มีอยู่น้อยกว่า
ถูกเหวี่ยงออกมาออกันอยู่บริเวณรอบนอกของรูปธรรม
เลยดูเหมือนมีอำนาจด้านบวก
ทั้งๆที่แท้แล้วสิ่งที่ปรากฏให้เห็นนั้นมิใช่สิ่งที่เป็น
คนที่มีสนามแม่เหล็กเป็นลบเพราะกิเลสหนา
และเป็นคู่อาฆาตของตน
รวมทั้งต้นไม้ต้นไร่หรืออาคารบ้านใด
ที่สะสมประจุลบไว้กับตนมาก
เจ้ากรรมนายเวรเหล่านี้ก็จะพุ่งลงมาจากเมฆ
เข้าชนเป้าหมายลบที่ตนต้องการทำลายได้เสมอ
ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาจะร่วมมือกัน
คราวละสองสามรูปธรรม
ในการทำร้ายหรือทำลายเป้าหมายต่อครั้ง
ถ้าเป้าหมายเป็นมนุษย์
จุดที่เขาจะพุ่งเข้าชนกระแทก
จะเป็นบริเวณกลางหน้าอกหรือกลางแผ่นหลัง
เพราะเป็นที่ตั้งของต่อมไทมัส
เราเล่าเบื้องหลังมิติโลกเหล่านี้ให้ท่านรู้
แต่มิได้บังคับให้ท่านเชื่อตามที่เรากล่าว
ขอให้รู้เอาไว้เพื่อพิสูจน์กันด้วยตัวท่านเองเถิด
เพราะยิ่งใกล้วันสำคัญ
ในปฏิบัติการชำระโลกคาบสุดท้ายมากเท่าใด
ท่านทั้งหลายก็จะได้เห็นปรากฏการณ์
ตามที่เรากล่าวไว้นี้ได้ชัดเจนเป็นรูปธรรมอยู่แล้ว
ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อเรา
ปรากฏการณ์ที่ว่านี้มันก็ต้องเกิดของมันอยู่แล้ว
เอเมน...สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
14-04-2015

โลกที่กำลังหันหลัง


ปัญหาที่แท้จริงสำหรับเรานั้น
มิได้อยู่ตรงที่ว่า...

1.ไม่มีผู้ใดสามารถที่จะจดจำเราได้
เนื่องจากรหัสพันธุกรรมเปลี่ยนไป
เพราะผ่านการเกิดใหม่มาแล้ว 7 ภพชาติ
รูปกายจึงมิอาจเหมือนเดิม

2.ไม่มีผู้ใดรู้ว่าตัวเรานี้เป็นใคร
ใครใช้ให้เรามา
ให้เรามาทำหน้าที่อะไรบ้าง

แต่ปัญหาที่แท้จริงของเรานั้น
มันอยู่ตรงที่ว่า...

1.จะต้องมีผู้คนล้มตายไปอีกสักเท่าไหร่
2.จะต้องเกิดภัยพิบัติแรงๆอีกสักกี่ครั้ง
3.หรือต้องรอให้เกาะบางเกาะจมหายไปบ้าง

โลกที่กำลังหันหลัง
จึงจะยอมหันหน้ากลับมาฟังเรา

ใครตอบได้...ช่วยไขขานที
เพราะบัดนี้ปฏิบัติการทางเท็คนิกเพื่อการชำระโลก
ได้ถูกยกระดับเพิ่มขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว
เอเมน...สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
13-04-2015

อำนาจในตนเอง


ฆราวาสทั้งหลาย
ที่เลือกดำเนินบนเส้นทางสายวิมุติ
ในบทบาทของนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง
ที่ท่านยังมีสังคม มีครอบครัว มีภารกิจทางโลก
เป็นเครื่องรัดรึงทั้งจิตและกายท่านอยู่นั้น

บัดนี้....
ปฏิบัติการทางเท็คนิก
เพื่อเก็บกวาดชำระโลกได้ถูกยกระดับ
สูงขึ้นกว่าที่ผ่านมาแล้ว

ท่านทั้งหลายจักต้องเคร่งครัดกับตนเอง
ในการ "ต่อสู้" เพื่อให้ได้รู้แจ้งเห็นแจ้งในแสงธรรม
โดยเฉพาะ....

การต่อสู้กับความไม่รู้
การต่อสู้กับความไม่ฉลาด
การต่อสู้กับความงมงาย

การต่อสู้กับอำนาจจิตฝ่ายต่ำ
จำพวกกิเลสตัณหาราคะทั้งปวงเมื่อถูกยั่วยุ

การต่อสู้กับความเกียจคร้าน
การต่อสู้กับความขลาดกลัว
การต่อสู้กับความเหนื่อยล้า ท้อแท้

การต่อสู้กับอุปสรรค ปัญหา 
และความยุ่งยากใดๆในชีวิต

หากท่านต้องเผชิญหน้า
กับสถานการณ์อันไม่พึงประสงค์
ดังกล่าวมาทั้งหมดนี้เมื่อใด
ก็จงรับรู้ไว้ว่าท่านน่ะมี "อำนาจในตนเอง" 
ซึ่งสามารถหยิบฉวยออกมาใช้
เพื่อจัดการกับมันได้

อำนาจหนึ่งเป็นอำนาจด้านมืด
เป็นอำนาจของ "ซาตาน"
ที่เน้นการเปลี่ยนแปลงไปในทางลบ
ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 2 ลักษณะ
คือ การทำลาย และการยอมตนเป็นพวก

อีกอำนาจหนึ่งเป็นอำนาจด้านบวก
เป็นอำนาจแห่งพระผู้สร้าง หรือ "พระเจ้า"
ที่เน้นการเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งไปในทางบวก
คือ การเปลี่ยนแปลงเพื่อการสร้างใหม่
โดยเน้นที่การเปลี่ยนแปลงจากภายใน
อันเริ่มต้นที่ตนเองและสิ้นสุดยุติที่ตนเอง

ผู้ปรารถนาการหลุดพ้นบนถนนของสังคม
ที่ไม่ปลีกวิเวก ไม่เสพสันโดษ
จึงต้องมีมหาสติคือมีสมาธิในยามตื่น
เพื่อคอยเฝ้าระวังมิให้จิตตน
เผลอไผลไปไขว่คว้าเอาอำนาจของซาตาน
เข้ามาจัดการกับอุปสรรคปัญหาทั้งหลายในชีวิต
เหมือนเช่นคนส่วนใหญ่บนโลกใบนี้เขาคุ้นชินกัน
โดยเด็ดขาด....

อำนาจด้านบวกที่มีอยู่ในตนเองนั้น
เป็นอำนาจแห่งพระผู้สร้าง
เป็นอำนาจแห่งพระเจ้า
เป็นอำนาจแห่งความดีงาม
ท่านจักต้องค้นหามันให้พบ แล้วนำออกมาแสดง
เพื่อความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ
เพื่อความมีสันติสุขในชีวิตร่วมกันกับผู้อื่น

อำนาจจากปัญญาของสมอง
อำนาจจากความรักของจิตวิญญาณ
อำนาจจากแรงกายของเครื่องยนต์แห่งกรรม

อำนาจจากกลไกอายตนะ
อันเป็นหน้าต่างของแก่นแท้

อำนาจจากอวัยวะของรูปธรรมมนุษย์
อำนาจจากพลังจิตแห่งการเป็นผู้มีจิตใสใจสวย

พลังอำนาจทั้ง 6 เป็นเครื่องมือแห่งการหลุดพ้น
จากเครื่องรัดรึงทั้งจิตและกาย
ศิษย์จิตจักรวาลทั้งหลายจงเร่งมือ
ค้นหามันให้พบ...ในเร็ววัน

เอเมน...สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
13-04-2015



อุปสรรค


อุปสรรค คือ เครื่องมือทดสอบความมุ่งมั่น
ถ้าท่านปรารถนาจะเป็นคนดี
ท่านจักต้องมีมารมาทดสอบเสมอ

มาร คือ ผู้ที่จะเข้ามาสร้างเงื่อนไข
ให้เกิดเป็นอุปสรรคในชีวิตหรือในงาน
เป็นได้ทั้งคนคุ้นเคยและคนแปลกหน้า
เพื่อเข้ามาทดสอบความปรารถนา
ต่อการจะเป็น "คนดี" ของท่านโดยเฉพาะ

ดังนั้น....
ถ้าหากท่านปรารถนาจะเป็นคนดีที่แท้จริงแล้ว
ไม่ว่าผู้ใดจะเข้ามาทำผิดคิดมิชอบต่อท่าน
หนักหนาสากรรจ์แค่ไหน
ท่านก็จักต้องไม่ทำชั่วตอบสนองต่อพวกเขา
เพื่อยืนยันให้โลกและฟ้ารู้ว่า
ท่านมุ่งมั่นที่จะเป็นคนดีตราบกาลนิรันดร์

เอเมน...สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
13-04-2015

ความไม่เอาถ่าน



ทำตัวเหลวไหล เช่น
ไม่รักเรียน
เกียจคร้าน
พาลเกเร
คือ ไม่เอาถ่าน ก็ไม่ดี

ทำตัวบกพร่อง เช่น
ไม่ตั้งใจเรียน
ไม่ใส่ใจจดจำ
ไม่มีมานะพยายาม
คือ ไม่เอาไหน ก็ไม่ได้

เอเมน...สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
12-04-2015

ปัญญา


เรากล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายมานานแล้วว่า
ให้หยิบ "ปัญญา" มานิพพานในทุกสิ่ง

เพื่อรักษาคุณสมบัติดี
ในความมีจิตใสใจสวยเอาไว้
ตราบกระทั่งวินาทีสุดท้ายแห่งการสิ้นลมหายใจ

เพื่อละวางเครื่องยนต์แห่งกรรมของท่าน
สู่การเป็นอิสระทางจิตวิญญาณ
ในสภาวะแห่งการหลุดพ้นอย่างสิ้นเชิง
ตามวิถีจิตจักรวาล
บนเส้นทางสายอริยมรรคของนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง

แต่วิธีการหยิบปัญญาในตนเองมาใช้นั้น
ท่านทั้งหลายจักต้องรู้วิธี
ทั้งยังต้องมีการฝึกฝนจนเชี่ยวชาญอีกด้วย

สมองมีสองซีก
ให้ความฉลาดได้สองระดับ
ท่านจักต้องจับฉวยมาใช้ให้ถูกต้อง
สอดคล้องกับคุณสมบัติของมันด้วย

1.หากท่านปรารถนาที่จะเรียนรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
ทำไม...อย่างไร....?

ท่านต้องฝึกควบคุมอารมณ์ไม่สมดุลของตนเอง
ท่านต้องฝึกการเป็นคนช่างสังเกต
ท่านต้องฝึกการเป็นคนมีเหตุผล
ท่านต้องฝึกการใช้เหตุผลเป็น
ท่านต้องฝึกตั้งคำถามตนเองให้เป็น
ท่านก็ต้องฝึกการมองโลกไปตามความเป็นจริง

นี่คือการฝึกใช้สมองซีกซ้ายนำซีกขวา
ที่เรียกว่า "สติปัญญา" นั่นเอง

2.หากท่านปรารถนาที่จะนำธรรมะ
จากพระบิดาที่ทรงสื่อผ่านมาทางเรา
หรือจะนำเอาธรรมะ
จากธรรมชาติแวดล้อมรายรอบตัวท่าน
มาใช้เป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิต

ท่านก็ต้องฝึกการใช้จินตนาการ
ท่านก็ต้องฝึกการใช้ความคิดสร้างสรรค์
ท่านก็ต้องฝึกนิสัยการมองโลกด้านบวก
ท่านก็ต้องฝึกการคิดเชื่อมโยง

นี่คือการฝึกใช้ "ปัญญาญาณ"
จากสมองซีกขวานำซีกซ้ายนั่นเอง

3.การนั่งหลับตาปฏิบัติเท็คนิกสมาธิเป็นอาชีพ
จะไม่สามารถเข้าถึงพลังอำนาจสูงสุดทางปัญญา
เพื่อการหลุดพ้นไปเสียจากทุกสิ่ง
ตามวิถีจิตจักรวาลที่ว่านี้ได้

ไม่ฟัง ไม่รู้
ไม่คิดตาม ไม่เข้าใจ
ไม่ปฏิบัติ ย่อมไม่ได้
ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีวันถึงมรรคผลนั้น

เอเมน....สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
11-04-2015

สมาธิ


การนึกโน่นนั่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย

การเปลี่ยนไปทำโน่นนั่นนี่
อย่างไม่เป็นชิ้นเป็นอัน

การไม่สามารถเข้าถึงคุณภาพ
ในสิ่งที่คิด ที่คุย และที่ทำได้

การละเลิกทำบางสิ่งเสียกลางคัน
เพราะเพียงแค่พบเจออุปสรรค
หรือเผชิญความยุ่งยากเพียงแค่เล็กน้อย
ก็ท้อก็ถอยเสียแล้ว

ทั้ง 4 พฤติกรรมที่กล่าวมานี้
เป็นคุณสมบัติของคนที่ไม่มีสมาธิโดยแท้

เอเมน...สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
11-04-2015

ศีล


ถ้าการครองศีล หมายถึง 
การครองตนไว้อย่างมั่นคง
โดยมิให้เกิดการก้าวล่วงต่อผู้ใด
ทั้งด้วยกาย วาจา และจิตใจ
จนเป็นเงื่อนไขด้านลบของผู้อื่น
แล้วยังผลให้ผู้อื่นเสียสมดุลทางจิตใจ

ศีล จึงย่อมหมายถึงการทำให้สิ้นไป
ซึ่งเงื่อนไขที่กล่าวนั้น

สำหรับฆราวาสหรือชาวบ้าน
ศีลที่พึงถือปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
จึงมีเพียงข้อเดียวเท่านั้น....
นั่นคือ "การไม่ก้าวล่วง" ใคร

เอเมน...สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
10-04-2015

แก้ววิเศษ


ถ้าท่านพร้อมที่จะเป็นนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง
เพราะไม่พร้อมที่จะออกบวช-ปลีกวิเวก
ท่านก็สามารถยกระดับจิตตปัญญา
เพื่อนำพาแก่นแท้ของท่านสู่การหลุดพ้นได้
ด้วยการดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมตามปกติ

เพียงแต่ท่านจักต้องถือครอง 2 สิ่งนี้ไว้ให้มั่นคง
ในทุกขณะจิตในยามตื่น
จงอย่าได้ผิดพลาดบกพร่อง

จิตวิญญาณของท่าน
ก็สามารถเข้าถึงแดนสุญตาได้เช่นกัน
เอเมน....สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
10-04-2015

ตะเกียงส่องธรรม



พลังอำนาจในตนเองที่สำคัญ
คือ แสงสว่างที่จะส่องทางสู่ประตูแห่งการหลุดพ้น
ซึ่งทุกคนมีอยู่แล้ว...แต่จะใช้มันได้
ใช้มันเป็นหรือเปล่าเท่านั้น

เอเมน...สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
10-04-2015