Meta-physics:
เรื่องเบื้องหลังฟ้าผ่า
.............................
ถ้าท่านทั้งหลายเป็นคนช่างสังเกต
จะพบว่าท้องฟ้าเหนือขุนเขาราวป่าและทุ่งราบ
มักจะมีเมฆขาวสวยลอยสูงและฟ้าสีครามสดใส
ซึ่งต่างจากท้องฟ้าเหนือชุมชนเมือง
จะพบว่าท้องฟ้านั้นเต็มไปด้วยเมฆครึ้มสีเทาดำ
โดยมวลหมู่เมฆนั้นมักลอยต่ำ
แลดูทะมึนไม่สวยงาม
ก้อนเมฆสีเทาดำบนท้องฟ้าเหนือชุมชนเมือง
เกิดจากการรวมตัวกัน
ของมวลความชื้นในชั้นบรรยากาศ
ซึ่งได้จากไอน้ำร้อนที่ลอยตัวสูงขึ้นไปจากพื้นดิน
เมฆสีเทาดำเหล่านี้จะเต็มไปด้วยอนุภาคประจุลบ
ซึ่งรู้จักกันในนาม "อีเล็คตรอนอิสระ"
สะสมอยู่ในระหว่างโมเลกุลของน้ำเป็นจำนวนมาก
ประจุลบหรืออีเล็คตรอนอิสระเหล่านี้
มันมิได้มีอยู่ทั่วไปในธรรมชาติ
มันมิได้ก่อกำเนิดขึ้นมาเอง
แต่พวกท่านทั้งหลายนี่แหละ
เป็นผู้ผลิตสร้างมันขึ้นมาโดยแท้
ปกติแล้วพวกท่านจะต้องรู้ว่า
หน้าที่ในการมาเกิดเป็นมนุษย์นั้น
คือท่านต้องผลิตสร้างประจุบวกออกมาให้ได้
ด้วยการสั่นสะเทือนจิตสำนึกด้านบวกอย่างเดียว
ไม่ว่าท่านจะเผชิญกับเงื่อนไขทั้งดีหรือร้าย
ที่คนใกล้ตัวหยิบยื่นให้ในชีวิตประจำวันก็ตาม
โดยท่านจะสั่นสะเทือนด้านบวกได้
ก็ด้วยปณิธานแห่งนิพพานเท่านั้น
คือ ต้องรักให้ได้ ให้ให้เป็น
แม้ว่าเขาคนนั้นจะทำตัวไม่น่ารักไม่น่าให้เลยก็ตาม
แต่ปรากฏว่า....
ในโลกแห่งความเป็นจริงของพวกท่าน
กลับสั่นสะเทือนจิตสำนึกด้านลบต่อกันมากกว่า
โดยมีกิเลสตัณหาครอบงำ
จึงยังผลให้เกิดการผลิตสร้างประจุลบออกมามากมาย
ขณะที่ผู้ผลิตประจุบวกจากความรักมีน้อยเต็มที
อนุภาคประจุลบที่เกิดจากพลังงานจิตด้านลบ
ที่พวกท่านในชุมชนเมือง
ตั้งหน้าตั้งตาผลิตสร้างกันขึ้นมาในทุกวินาทีนั้น
ประมาณ 1% เท่านั้นเอง
ที่จะสามารถเหนี่ยวรั้งลงไปเก็บไว้ที่แกนโลกได้
ส่วนใหญ๋แล้วมันจะฟุ้งกระจาย
ยึดเกาะอยู่บนโครงข่ายสนามแม่เหล็กโลก
เมื่อเจอความชื้นหรือมวลของไอน้ำเข้า
ก็จะพากันเข้าไปแทรกตัวอยู่ระหว่างโมเลกุลของน้ำ
แล้วค่อยๆจับกลุ่มรวมตัวกันเป็นก้อนเมฆสีเทาดำ
เพราะมีค่าสนามแม่เหล็กเป็นลบนั่นเอง
ถ้าในก้อนเมฆมีปริมาณของประจุลบจำนวนมาก
ช่างเท็คนิกผู้ดูแลความสมดุล
ของสนามแม่เหล็กในชั้นบรรยากาศโลก
ก็จะทำการสร้างสมดุล
ด้วยการยักย้ายถ่ายเทประจุลบ
หรืออีเล็คตรอนอิสระเหล่านี้ 2 วิธี
วิธีแรก คือ...
ให้ตกลงมาสู่พื้นดินร่วมกับพายุฝนฟ้าคะนอง
และมีฟ้าผ่าแรงๆสลับบ้าง
โดยบ่อยครั้งที่สายฟ้าจะฟาดลงมา
ตรงยอดหอคอยสูงหรือยอดตึกสูงๆ
เพราะมนุษย์สร้างสายล่อฟ้าเอาไว้ให้แล้ว
ส่วนวิธีที่สอง คือ...
จะสร้างกระแสสายฟ้าผ่าขึ้นมา
เพื่อนำพาประจุลบจากก้อนเมฆลงสู่ดิน (ground)
ถ้าปริมาณประจุลบมีจำนวนหนาแน่นไม่มากนัก
แต่ถ้าปริมาณประจุลบในก้อนเมฆหนาแน่นมาก
ช่างเท็คนิกก็จะใช้วิธียกย้ายก้อนเมฆทั้งหลาย
ไปสร้างกระแสสายฟ้าผ่าขึ้นมายังที่ไกลๆผู้คน
เช่นในทะเล มหาสมุทร หรือแหล่งน้ำ
เพื่อถ่ายเทประจุลบลงสู่แหล่งน้ำแทน
กรณีที่ต้นไม้ สัตว์ คน และบ้านเรือนถูกฟ้าผ่า
จนเป็นอันตรายถึงชีวิต และบ้านพังนั้น
เป็นการกระทำของเจ้ากรรมนายเวรของพวกท่าน
ซึ่งจิตวิญญาณของเขา
มีคุณสมบัติทางไฟฟ้าเป็นลบ
โดยจะสั่งสมความอาฆาตโกรธแค้น
อันเป็นสภาวะจิตสุดท้ายเมื่อก่อนตายเอาไว้มาก
จิตวิญญาณอาฆาตเหล่านี้
จะทำตัวเหมือนมีอำนาจทางไฟฟ้าเป็นบวก
เพราะภายในรูปธรรมสั่งสมลบเอาไว้เยอะ
ทำให้ประจุบวกที่มีอยู่น้อยกว่า
ถูกเหวี่ยงออกมาออกันอยู่บริเวณรอบนอกของรูปธรรม
เลยดูเหมือนมีอำนาจด้านบวก
ทั้งๆที่แท้แล้วสิ่งที่ปรากฏให้เห็นนั้นมิใช่สิ่งที่เป็น
คนที่มีสนามแม่เหล็กเป็นลบเพราะกิเลสหนา
และเป็นคู่อาฆาตของตน
รวมทั้งต้นไม้ต้นไร่หรืออาคารบ้านใด
ที่สะสมประจุลบไว้กับตนมาก
เจ้ากรรมนายเวรเหล่านี้ก็จะพุ่งลงมาจากเมฆ
เข้าชนเป้าหมายลบที่ตนต้องการทำลายได้เสมอ
ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาจะร่วมมือกัน
คราวละสองสามรูปธรรม
ในการทำร้ายหรือทำลายเป้าหมายต่อครั้ง
ถ้าเป้าหมายเป็นมนุษย์
จุดที่เขาจะพุ่งเข้าชนกระแทก
จะเป็นบริเวณกลางหน้าอกหรือกลางแผ่นหลัง
เพราะเป็นที่ตั้งของต่อมไทมัส
เราเล่าเบื้องหลังมิติโลกเหล่านี้ให้ท่านรู้
แต่มิได้บังคับให้ท่านเชื่อตามที่เรากล่าว
ขอให้รู้เอาไว้เพื่อพิสูจน์กันด้วยตัวท่านเองเถิด
เพราะยิ่งใกล้วันสำคัญ
ในปฏิบัติการชำระโลกคาบสุดท้ายมากเท่าใด
ท่านทั้งหลายก็จะได้เห็นปรากฏการณ์
ตามที่เรากล่าวไว้นี้ได้ชัดเจนเป็นรูปธรรมอยู่แล้ว
ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อเรา
ปรากฏการณ์ที่ว่านี้มันก็ต้องเกิดของมันอยู่แล้ว
เอเมน...สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
14-04-2015