22 มิถุนายน 2565

สนทนาประสาจิตจักรวาล 22/06/2022

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
มรรคผลสูงสุดของมนุษย์ทุกชาติทุกศาสนา
ในการ #บรรลุธรรม มิใช่แค่การเข้าถึง #นิพพาน
อย่างที่คิดเข้าใจและเชื่อตามกันมาแต่อย่างใด
 
ถ้าความหมายของคำว่า “นิพพาน” หมายถึงชาตินี้
#จิตวิญญาณ แก่นแท้ของท่านได้เข้าถึงการ #ตาย
แบบที่ไม่ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์โลกอีกแล้ว
โดยคิดเข้าใจกันเองว่าวิธีการปฏิบัติธรรมของท่าน
สารพัดลัทธิสารพัดวิธีที่สอนตามทำตามกันมานั้น
มันสามารถตอบโจทย์ที่ท่านต้องการดังกล่าวได้
 
เพราะคำว่านิพพานในความเชื่อของพวกท่านนั้น
มันผิดพลาดตั้งแต่เริ่มกลัดกระดุมเม็ดแรกแล้ว
ตั้งแต่เข้าใจว่าเพราะจิตวิญญาณของท่านมีขันธ์ 5
โดยขันธ์ 5 ก็คือ #อัตตาตัวตน ของจิตวิญญาณ
อันเป็นเหตุให้ท่านต้องเข้ามาเกิดเป็นรูปธรรมมนุษย์
พวกท่านจึงเพียรที่จะหาวิธีดับขันธ์ห้าเพื่อจะดับอัตตา
ให้กลายเป็น #อนัตตา แปลว่าไม่มีตัวตนให้จงได้
เพราะเชื่อว่าเมื่อขันธ์ห้าผู้เป็นเหตุแห่งการเกิดดับสิ้น
จะยังผลให้อัตตาตัวตนของท่านพลอยดับสูญไปด้วย
 
ที่พวกท่านพากันกลัดกระดุมผิดดังที่กล่าวมา
เพราะหลงเชื่อตามคนนำทางตาบอด
ที่ถูกมอดมารหลอกกันมายาวนานนับพันปีแล้วว่า
 
1.การมาเกิดเป็นมนุษย์นั้นเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
2.การมีภพชาติและการเวียนว่ายตายเกิดก็เป็นทุกข์
3.การมีสังสารวัฏก็ยิ่งทุกข์ยาวนานเหลือแสน
4.การจะพ้นทุกข์ดับทุกข์ได้คือ “ตายแล้วไม่เกิดอีก”
5.การตายแล้วไม่เกิดอีกนี่แหละที่พวกท่านหมายถึง
การตายของจิตวิญญาณแล้วหายสาปสูญไปจากโลก
6.ตนเองจะต้องนิพพานด้วยการดับขันธ์ 5 ให้จงได้
เพราะเพ่งโทษว่าขันธ์ห้าเป็นสาเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวง
 
ทั้งๆที่แท้จริงแล้ว
จิตวิญญาณแก่นแท้ของมนุษย์นั้น
เป็นผู้มาจากพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
โดยขันอาสาเข้ามาใช้ขันธ์ 5 เป็นเครื่องมือ
เพื่อใช้ความรักความเมตตาซึ่งเป็น #พลังจิตด้านบวก
ช่วยกัน #ค้ำจุนโลก ในบทบาทของ #คนสองมิติ
ซึ่งคนสองมิติก็คือมนุษย์อย่างพวกท่านนั่นเอง
 
ถ้าพวกท่านไม่มีขันธ์ 5 เป็นเครื่องมือ
จิตวิญญาณของท่านก็จะไม่อาจทำหน้าที่สำคัญ
ในการช่วยกันใช้ความรักค้ำจุนโลกนี้ให้สมดุลได้
นี่คือภารกิจที่จิตวิญญาณของท่านอาสามาทำ
ไม่ใช่พวกที่ซัดเซพเนจรมาเกิดโดยมาจากไหนไม่รู้
เข้ามาเกิดเป็นมนุษย์กันทำไมก็ไม่รู้อีกเหมือนกัน
ทุกลมหายใจเข้าออกจึงสะกดเป็นแต่คำว่า #ทุกข์
 
ดังนั้น
วิธีการปฏิบัติธรรมของพวกท่านจึงหลงทาง
โดยแทนที่จะพากเพียรเรียนรู้เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ
ด้วยการดำเนินชีวิตร่วมกันในแบบ #สัตว์สังคม
ไม่ละทิ้งสังคมไม่หนีสังคมเพื่อจะไปสวรรค์คนเดียว
พวกท่านกลับละทิ้งสิ่งสำคัญนี้กันอย่างหน้าตาเฉย
 
แทนที่จะเรียนรู้เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข
ด้วยการหาทางรักคนที่ทำตัวไม่น่ารักให้ได้
ด้วยการให้อภัยแก่คนที่ทำตนไม่น่าให้อภัยให้เป็น
ด้วยการใช้ชีวิตโดยไม่ก้าวล่วงคนรอบข้างทั้งสิ้น
แต่กลับปฏิบัติธรรมด้วยการอยู่กับตัวเองไม่สนคนอื่น
โดยนั่งเพ่งจิตข่มจิตสอนจิตอบรมจิตตนเองตามลำพัง
เพื่อจะดับขันธ์ 5 แบบทุบขันธ์ทิ้งให้มันนิ่งสงบระงับ
ซึ่งมันจะเป็นความจริงไม่ได้เลยแม้แต่สักน้อยนิด
 
เพราะว่า “ขันธ์ 5” คือ รูป เวทนา สัญญา
สังขารและวิญญาณ (มิใช่จิตวิญญาณ) นั้น
เป็น #กระบวนการ 5 ขั้นตอนของจิตหยาบหรือจิตคน
ซึ่งเป็นตัวแทนของจิตวิญญาณผู้ได้รับมอบอำนาจ
ต้องใช้เพื่อการสั่นสะเทือนทั้งสองมิติให้เป็นหนึ่งเดียว
ในการผลิตพลังงานความรักช่วยค้ำจุนโลกนั่นเอง
พวกท่านไม่มีทางจะดับขันธ์ 5 ทิ้งได้สำเร็จหรอกท่าน
เพราะขันธ์ห้ามันเป็นอาการของจิตรวมห้าขั้นตอน
ซึ่งเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นในมิติทางพลังงาน
ที่พวกท่านต้องเรียนรู้ที่จะใช้มันให้เป็นสถานเดียว
มิใช่พยายามอุตริที่จะทุบขันธ์ทั้งห้านั้นทิ้งให้จงได้
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
 
การเพียรที่จะดับเครื่องมือของจิตวิญญาณทิ้ง
ด้วยคิดเองเออเองว่าไม่เห็นประโยชน์หรือไร้คุณค่า
ในกรณีพยายามจะดับขันธ์ 5 ที่ว่านี้นั้น
มันไม่ง่ายเหมือนกับความพยายามที่จะดับอายตนะ
เพื่อปิดหน้าต่างทั้งห้าบานเอาไว้มิให้สื่อสารกับจิต
จนทำให้มันมืดบอดเหมือนดั่งคนพิการหรอกท่าน
 
ที่ต้องทำเช่นนั้นก็เพราะหวั่นกรงว่าอายตนะทั้งห้า
จะพาให้จิตตกจนขาดสติแล้วทำให้ขันธ์แตก
ถ้าขันธ์แตกจิตวิญญาณท่านก็จะนิพพานไม่ได้
ความเชื่อเหล่านี้ทำให้จิตวิญญาณเป็นทุกข์มานาน
เพราะไม่มีใครฉุกคิดและไม่มีผู้ใดเสี้ยมสอนได้
จึงหลงทางนิพพานเพราะทำผิดพลาดกันโดยแท้
 
ถ้าท่านทั้งหลายเปิดใจให้กว้าง
แล้วสร้างพลังทางปัญญาของสมองคิดตามเรา
ท่านจะพบคำตอบได้เองบ้างแล้วล่ะว่า
ที่อุตส่าห์ปฏิบัติธรรมกันมาอย่างยาวนานมากแล้ว
ใยจิตวิญญาณจึงนิพพานแบบตาลยอดด้วนไม่ได้
ซึ่งพวกที่ตายหายไปจากภพภูมิมนุษย์ได้จริงนั้น
ถ้าไม่หลุดลอยไปแขวนค้างอยู่บนสวรรค์มายา
ก็ตกชั้นหลุดลงไปยังภพภูมินรกนั่นแหละท่าน
 
กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา
 
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
22/06/2022

18 มิถุนายน 2565

VDO. EP. 391: เชื่อผิดไม่ฉุกคิดก็ไม่รู้ (Full Version)

 


บันทึกการสื่อพระโอวาทในระบบจิตสู่จิตจากองค์จิตจักรวาล

โดย อนุตรธรรมาจารย์ปริญญา ตันสกุล

17 มิถุนายน 2565

สนทนาประสาจิตจักรวาล 17/06/2022

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
กรณีที่มีคน “โง่ง่าย” และ #งมงาย รายหนึ่ง
เมื่อได้รับรู้พระโอวาทจากองค์ #จิตจักรวาล
ที่พระองค์ทรงเมตตาสื่อผ่านเรามาเมื่อวันก่อนว่า
มนุษย์โลกจักต้องปฏิบัติตาม “พันธะสัญญา 6”
ก็สำลักความไม่พอใจขยอกออกมาเป็นคำถามเรา
ในเชิงหมิ่นหยามและมิให้เกียรติว่า...
 
ถ้าโลกนี้มนุษย์มีความเสรีจริงตามที่พูด
ทำไมต้องบังคับให้ปฏิบัติตามพันธะสัญญา 6 ด้วย”
 
นายคนนี้ที่เราสรุปว่าเขาเป็นคน “โง่ง่าย”
เพราะเป็นอีกคนหนึ่งที่มีสติปัญญาแต่ไม่รู้จักใช้
หรือโง่ง่ายไปเพราะใช้สมองที่ตนก็มีอยู่แท้ๆไม่เป็น
ทั้งๆที่ในพระโอวาทบทนี้เรามีความเป็นมาระบุไว้
ให้ท่านทั้งหลายรู้ว่าพันธะสัญญา 6 คืออะไรบ้าง
และทำไมมนุษย์ทุกชาติทุกศาสนาต้องปฏิบัติตาม
จะละเลยเพิกเฉยไม่ทำตามไม่ได้เรากล่าวไว้ชัดแล้ว
 
ไม่ว่าจะเป็นเพราะขี้เกียจอ่าน ไม่อยากอ่าน
หรืออาจจะอ่านแต่อ่านแล้วไม่รู้ความ
เพราะอ่านไปเถียงไปแย้งไปมิได้อ่านด้วยจิตว่าง
อย่างนักปราชญ์เมธีผู้ฉลาดเรียนรู้เขาปฏิบัติกัน
แต่นายคนนี้งัดเอาความไม่รู้ในเรื่องพันธะสัญญา 6
มาพิพากษา #อนุตรธรรม บทนี้ว่าไร้สาระหรือเป็นเท็จ
โดยยึดเอาความเชื่อที่ว่า #ศาสดา ของตนมิได้สอน
มาเป็นตัวชี้วัดตัดสินสัจธรรมที่สูงส่งในบทนี้นั่นเอง
 
นอกจากนายคนนี้สำลักความโง่ง่ายดังกล่าวแล้ว
เขาก็ยังสำแดง #ความงมงาย ออกมาให้ได้เห็น
ด้วยการยึดติดคนนำทางของศาสนาที่ตนรับถือ
ซึ่งมักอ้างว่าพวกเขาจำ “คำสอน” มาจากพระศาสดา
เนื่องจากพันธะสัญญา 6 ที่เรากล่าวเป็น “ความรู้ใหม่”
ที่คนนำทางเหล่านี้กางคัมภีร์บทไหนก็ไม่เคยพบเห็น
จึงปฏิเสธความรู้ใหม่ของพระบิดาที่สื่อผ่านเรามาทันที
โดยหลงงมงายอยู่กับความเชื่อไม่เชื่อตามใจตนเอง
แทนที่จะใจกว้างเพื่อเรียนรู้ทุกสิ่งอย่างด้วยสติปัญญา
 
คนพวกนี้ไม่เคยคิดรู้ให้เข้าใจแม้สัจธรรมตื้นๆหรอกว่า
เหนือฟ้ายังมีฟ้าเหนือทวยเทพเทวดาก็ยังมีพระเจ้า
เหนือภูผาสูงเสียดฟ้าก็ยังต่ำกว่ายอดไม้และยอดหญ้า
นัยความหมายเหล่านี้มันให้แง่คิดว่ากระไรบ้าง
 
ด้วยเหตุนี้เอง
คนโง่ง่ายและงมงายเหล่านี้ที่รอวันพิพากษาอยู่
จึงไม่ฉลาดในการเรียนรู้และไม่ฉลาดคิดสร้างสรรค์
ได้แต่ทำตน “โชว์โง่” ในรูปแบบ “อวดฉลาด” ไปวันๆ
ตัวอย่างที่เราจะยกมาแสดงให้พวกท่านเห็นก็คือ
นิสัยการเลือกนับถือศาสนาเดียวกับศาสดาองค์เดียว
โดยจะปฏิเสธหรือ “ปัดทิ้ง” ศาสนาอื่นศาสดาอื่นเสมอ
 
ทั้งๆที่แต่ละศาสนาต่างมีผู้คนยอมรับนับถือกันนับล้าน
แสดงว่าศาสดาแต่ละพระองค์คือผู้นำทางจิตวิญญาณ
ที่พี่น้องชาวโลกยอมรับที่จะเป็นผู้ก้าวตามด้วยศรัทธา
ทั้งในพระวจนะคำสอนในวัตรปฏิบัติที่เป็นแบบอย่างได้
แต่พวกนี้กลับมองข้ามเหมือนคนตาบอดที่มองไม่เห็น
 
เมื่อพวกเขาเลือกพระศาสดาเหมือนเลือก “อมยิ้ม”
จากความเคยชินที่พ่อแม่เคยสอนไว้ตั้งแต่วัยเด็กว่า
อมยิ้มที่แม่ถืออยู่ในมือมีหลายสีและหลายแท่งก็จริงนะ
แต่ลูกมีสิทธิ์เลือกได้แค่หนึ่งแท่งเพราะต้องแบ่งพี่ๆด้วย
พวกเขาทั้งหลายจึงมีนิสัยแบบนี้ติดตัวกันมาตั้งแต่เด็ก
จนมองเห็นพระศาสดาแห่งโลกตั้ง 24 พระองค์มาแล้ว
เป็นเหมือนดั่ง “อมยิ้ม” 24 แท่งที่ตนต้องเลือกเพียงหนึ่ง
ทั้งๆที่เป็นวิธีคิดและมุมมองที่ไม่ฉลาดแต่คับแคบยิ่งนัก
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
 
ในวัยเด็กยังด้อยสามารถในการใช้สติปัญญา
พ่อแม่จึงต้องสอนให้มีสำนึกในการแบ่งปันอมยิ้มกัน
ลองตรองดูมั้ยว่าถ้าพี่น้องสามคนกับอมยิ้ม 1 แท่ง
พ่อแม่จะให้ลูกทั้งสามแบ่งกันยังไงจึงจะถูกใจทุกคน
คำตอบง่ายๆที่เสมอภาคกันก็คือทุกคนต้องผลัดกันอม
มีปัญหาก็ตรงที่ต้องตกลงกันว่า “ใครจะได้อมก่อนหลัง”
ซึ่งพ่อแม่นั่นแหละจะต้องเป็นผู้พิจารณาให้เป็นธรรม
 
แต่ในกรณีพระศาสดาของโลกจะ 3 หรือ 24 พระองค์
พวกเขาเหล่านี้จะทำเหมือนการเลือกลูกอมไม่ได้
เพราะพระศาสดาทรงมาจุติยุคละ 1 พระองค์เท่านั้น
มิได้เสด็จเข้ามาจุติยังโลกเสรีนี้พร้อมกันแต่อย่างใด
พระศาสดาทุกพระองค์ในแต่ละยุคล้วนศักดิ์สิทธิ์
และควรค่าแก่การก้าวตามของมนุษย์ยุคปัจจุบันนี้ทั้งสิ้น
เพราะมนุษย์โลกแต่ละยุคต่างยอมรับพระองค์มาแล้ว
พวกท่านทั้งหลายจะมาแบ่งพระศาสดากันอีกทำไม
 
ควรศึกษาเรียนรู้สัจธรรมแต่ละพระศาสนาให้ถึงแก่น
แล้วนำสัจธรรมเหล่านั้นมา #บูรณาการ กันอย่างบรรจง
พวกท่านก็จะได้สัจธรรมอันล้ำลึกและแยบยลแห่งโลก
ที่จะนำพาจิตวิญญาณพวกท่านให้บรรลุธรรมสูงสุดได้
สมกับที่ท่านทั้งหลายเกิดมาเพื่อเป็น #สัตว์สังคม
แทนที่จะต่างคนต่างอยู่ต่างกูต่างธรรมแบบใครเหนือใคร
 
ถ้าเปลี่ยนนิสัยที่ด้อยค่ากันเสียได้
แค่ความรู้ใหม่เรื่อง “พันธะสัญญา 6” ที่เรายกมาอ้างถึง
จะไม่มีใครสำลักความโง่ง่ายและอวดโชว์ความงมงาย
ให้เรากับพระบิดาทรงผิดหวังกบในกะลาพวกนี้อีกแล้ว
 
กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา
 
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
17/06/2022

14 มิถุนายน 2565

สนทนาประสาจิตจักรวาล 14/06/2022

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
การปฏิบัติธรรมเพื่อให้เข้าถึงซึ่ง #นิพพาน
ของพวกท่านทั้งหลายที่มุ่งมั่นปฏิบัติกันมานั้น
ไม่ว่าจะเป็นคนนำทางเองและท่านผู้ก้าวตาม
เคยตอบตนเองชัดๆกันหรือยังว่านิพพานคือยังไง
 
ถ้าพวกท่านให้คำตอบต่อตนเองว่า
 
1.นิพพาน คือ การตายไปจากโลกนี้แล้ว
จิตวิญญาณผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของท่าน
จะไม่ย้อนกลับมาเกิดในภพภูมิของมนุษย์โลกนี้อีก
 
2.นิพพาน คือ การดับขันธ์ 5 ได้หมดสิ้นแล้ว
จึงยังผลให้ #อัตตา ซึ่งเป็น “ตัวตน” ของท่านเอง
ที่เป็นเหตุแห่งการเกิดเป็นมนุษย์นั้นดับสูญไปด้วย
ตัวท่านจึงไม่มีอัตตาอีกจะเป็นแค่ #อนัตตา เท่านั้น
 
เมื่อตัวท่าน “เชื่อว่า” ตนนั้นไม่มีอัตตาแล้ว
ต้นเหตุแห่งการเกิดเป็นมนุษย์
หรือการจะไปเกิดเป็นอะไรๆในภพภูมิต่างๆ
จึงย่อมไม่มีให้ต้องตกทุกข์ได้ยากอีกต่อไปแล้ว
 
3.นิพพาน คือ การเอาชนะทุกข์ได้แล้ว
เพราะจิตวิญญาณของท่านไม่ต้องเกิดเป็นมนุษย์อีก
เนื่องจากการเกิดเป็นมนุษย์ที่ต้องเวียนว่ายตายเกิด
หรือวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏนั้นมันเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
เมื่อหยุดการเกิดดับได้จิตวิญญาณตนย่อมพ้นทุกข์
 
4.พวกท่านเชื่อกันอย่างสนิทใจว่า
การที่จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านทั้งหลาย
ที่เข้ามาเกิดเป็นมนุษย์โลกเสรีนี้นั้น
เป็นการพลัดหลงเข้ามาเกิดหรือเกิดโดยบังเอิญ
หรือถูกมนุษย์ต่างดาวส่งเข้ามาเกิดเพื่อการทดลอง
 
ถ้าท่านสามารถหยุดการตายแล้วเกิดใหม่อีกได้
แสดงว่าท่านเป็นผู้บรรลุธรรม คือ #พ้นทุกข์ ได้แล้ว
อันหมายถึงจิตวิญญาณของท่านน่ะ “นิพพาน” แล้ว
ซึ่งเป็น “มรรคผลสูงสุด” ในการปฏิบัติธรรมแล้ว
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายให้รู้ว่า
 
คำตอบทั้ง 4 ประการข้างต้นที่เรากล่าวมานั้น
มันเป็นแค่ #ความเชื่อ มิใช่ #สัจธรรม แต่อย่างใด
พวกท่านจึงจะสรุปว่าเป็นการบรรลุสัจธรรมไม่ได้
โดยเหตุผลที่เราจะทำความไม่รู้ของท่านให้กระจ่าง
ในความหลงผิดกันมานานดังต่อไปนี้
 
1.ความเชื่อเรื่องนิพพานในข้อแรกนั้น
พวกท่านหมายถึงตายแล้วไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์
เพราะเชื่อตามกันมาว่าเกิดแก่เจ็บตายเป็นทุกข์ยิ่งนัก
 
ผลการปฏิบัติธรรมจึงมุ่งอยู่แค่ตายแล้วต้องหายไป
ในลักษณะที่เรียกว่า #นิพพานแบบตาลยอดด้วน
โดยเอาโลกปัจจุบันเป็นที่ตั้งเพื่อใช้เป็นเครื่องชี้วัด
โดยไม่เคยใส่ใจว่าจิตวิญญาณแก่นแท้เมื่อตายไป
แม้จะมิได้ย้อนกลับมาเกิดเป็นมนุษย์กันอีกแล้วนั้น
จิตวิญญาณจะไปเกิดใหม่หรือไปจุติอยู่ที่ภพภูมิไหน
คิดแค่ว่าตายให้พ้นๆไปเสียจากโลกนี้กันเท่านั้น
นี่จึงเป็นความเชื่อจาก #ความคิดที่ไร้มิติ โดยแท้
 
2.ความเชื่อเรื่องนิพพานในข้อที่สองนั้น
เหตุเกิดจากความหลงผิดคิดว่า “ขันธ์ 5” เป็นจำเลย
เพราะเชื่อว่าเป็น “อัตตาตัวตน” ของจิตวิญญาณ
ผู้เป็นเหตุให้ท่านต้องเกิดเป็นมนุษย์โดยมิได้ตั้งใจ
 
เพราะไม่เคยมีใครบอกความจริงระดับ #อนุตรธรรม
ให้ท่านรู้กันมาก่อนว่า “สิ่งมีชีวิต” ทั้งสัตว์และมนุษย์
ที่เข้ามาเกิดกันในระบบโลกเสรีนี้ล้วนมีขันธ์ 5 ทั้งสิ้น
เพราะจิตวิญญาณแก่นแท้ของสัตว์และมนุษย์นั้น
ถูกออกแบบให้เป็นรูปธรรมที่มี 2 มิติในร่างเดียว
เพื่อทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณให้สำเร็จในมิติคู่ขนาน
ภายในเวลาปัจจุบันที่เป็นหนึ่งเดียวกัน
 
ถ้าจิตวิญญาณไม่มีขันธ์ 5 เป็นเครื่องมือแล้ว
ก็จะไม่สามารถสั่นสะเทือนให้เกิดการกระทำ
ในมิติคู่ขนานกันในเวลาเดียวกันได้นั่นเอง
 
อีกสาเหตุหนึ่งที่พวกท่านมองว่าขันธ์ 5 เป็นอัตตา
ซึ่งเป็นเหตุให้ต้องเกิดมาเป็นมนุษย์ที่เชื่อกันผิดๆก็คือ
การคิดเข้าใจเองว่าวิญญาณขันธ์ซึ่งเป็นขันธ์ที่ 5 นั้น
(1.รูป 2.เวทนา 3.สัญญา 4.สังขาร 5.วิญญาณ)
มันคือ “จิตวิญญาณ” ที่เป็นแก่นแท้ของ “มนุษย์”
ทั้งๆที่ความจริงที่จริงแท้นั้น “ไม่ใช่” อย่างที่เชื่อกันมา
 
เพราะ #วิญญาณขันธ์” นั้น เป็นขั้นตอนที่ห้าของจิต
ที่สั่นสะเทือนตาม “สังขารขันธ์” ที่ปรุงแต่งพฤติกรรม
ให้เป็นทั้ง “มโนกรรม” และ “กายกรรม” ขึ้นมาแล้ว
เพื่อผลิตพลังงานกรรมออกมาในรูปของ “พลังจิต”
ซึ่งเป็นคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กทั้งบวกหรือลบ
ซึ่งเป็นผลกรรมในมิติทางพลังงานด้านของแก่นแท้
อันเป็นภารกิจในมิติคู่ขนานของจิตวิญญาณนั่นเอง
 
ดังนั้น
การพยายามดับขันธ์ 5 เพราะหลงผิดคิดว่าเป็นอัตตา
นอกจากจะเป็นความงมงายเพราะโง่ง่ายแล้ว
ยังเป็นการชักพากันออกทะเลเสียอีกด้วยนะท่าน
 
3.ความเชื่อเรื่องนิพพานในข้อที่สามนั้น
พวกท่านเชื่อว่าถ้าตนสามารถหยุดการเกิดใหม่ได้
โดยเน้นที่การไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์โลกแล้ว
แสดงว่าจิตวิญญาณของท่านถึงนิพพานแล้วจริงๆ
เพราะเข้าใจว่าหมดทุกข์ สิ้นทุกข์ พ้นทุกข์นั่นเอง
 
โดยพวกท่านไม่เคยฉุกคิดว่า
จิตวิญญาณของเพื่อนมนุษย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
จนตายแล้วจิตวิญญาณไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก
แต่ “หลุดลอย” ไปติดค้างกันอยู่บนสวรรค์มายานั้น
พวกท่านจะอธิบายความจริงในเรื่องนี้กันอย่างไร
 
ผู้ที่ลอยค้างอยู่บนนั้นไปจากการเป็นมนุษย์มิใช่หรือ
ผู้ที่ดำรงตนอยู่บนนั้นมิใช่การไปจุติใหม่หรอกหรือ
ผู้ที่ดำรงตนเองอยู่บนสวรรค์ถ้ามิได้มี “อัตตา” แล้ว
จะไปแสดงตัวตนอยู่บนสวรรค์มายากันได้อย่างไร
 
ผู้ที่หลุดลอยไปค้างอยู่บนนั้น
พวกท่านรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาไร้ทุกข์จริง
เมื่อพวกเขายังเป็นเหมือน “กระทงหลงทาง”
ไม่รู้ว่าที่นั่นคือที่ไหนจะลอยขึ้นลอยลงได้อย่างไร
พวกเขาตกอยู่ในสภาพที่ไร้อิสระเสรีภาพ
ซึ่งมีขีดจำกัดยิ่งกว่าตอนเป็นมนุษย์กันเสียอีก
ทั้งหมดที่เรากล่าวมาล้วนน่าคิดพิจารณาบ้างหรือไม่
 
4.ส่วนความเชื่อเรื่องนิพพานในข้อที่สี่
ที่พวกท่านเชื่อกันว่าถ้าสามารถหยุดการเกิดใหม่ได้
จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านจะเป็นผู้พ้นทุกข์แล้วนั้น
มันยังเป็นความเชื่อที่ผิดอย่างมหันต์อีกเช่นกัน
 
เพราะพวกท่านไม่รู้ “อนุตรธรรม” ว่า
จิตวิญญาณของท่านเป็นใคร มาจากไหน ใครให้มา
มาเกิดเป็นมนุษย์บนโลกเสรีนี้กันทำไม
มาเกิดแล้วต้องทำหน้าที่อะไรอย่างไรกันบ้าง
พวกท่านจึงหลงผิดคิดว่า “ตนเอง” คือ จิตวิญญาณ
ทั้งๆที่แท้จริงแล้วตัวท่านคือ #จิตหยาบ ต่างหาก
โดยจิตวิญญาณผู้มาเกิดได้แบ่งภาคตนเองออกมา
เพื่อให้จิตหยาบคือตัวท่านนี่แหละทำหน้าที่แทน
ตามที่พระผู้สร้างหรือพระเจ้าทรงออกแบบเอาไว้
 
ดังนั้น
การเกลียดทุกข์ กลัวทุกข์ ความต้องการหนีทุกข์
จึงล้วนเป็นความต้องการของจิตมนุษย์ของท่านเอง
มิใช่ความต้องการทางจิตวิญญาณที่แท้จริงเลย
มันเป็นเรื่องของจิตหยาบซึ่งทำหน้าที่ “ผู้รับใช้”
ในลักษณะของ “บ่าว” ผู้บังอาจทำตนเป็น “นาย”
จากความหลงตัวเองเพราะความไม่รู้โดยแท้
 
ทั้งหมดที่เรากล่าวมานี้ล้วนเป็นความล้มเหลว
จากความไม่รู้อนุตรธรรมของชาวโลกนี่แหละ
จึงยังผลให้ “นักสู้เพื่อการรู้แจ้ง” ที่เป็นฆราวาส
รวมทั้ง “นักรบแห่งแสงสว่าง” ที่เป็นนักพรตนักบวช
ไม่สามารถที่จะย่างเท้าก้าวตามพระศาสดาของตน
เพื่อเข้าถึงสภาวะนิพพานเพื่อการหลุดพ้นกันได้เลย
เพราะใช้แต่ความเชื่อแทนการใช้ปัญญาพิจารณา
ยิ่งท่านใดที่พก “มิจฉาทิฐิ” ติดตัวอยู่
ผู้นั้นก็จะออกจากทะเลลอยไปสู่มหาสมุทรแน่นอน
 
กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา
 
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
14/06/2022

13 มิถุนายน 2565

คำสอน 13/06/2022

 

ติดอาวุธทางปัญญาให้คนตาบอด
ปลุกคนที่ท้อแท้ให้ลุกขึ้นมาสู้
เปลี่ยนคนที่น่ารังเกียจเป็นน่ารัก
ฉุดช่วยทุกคนให้มีชีวิตเป็นอมตะ
เปลี่ยนผู้มีมิจฉาทิฐิให้เป็นสัมมาทิฐิ
ช่วยคนที่มาทีหลังให้กลับก่อน

ความจริงเหล่านี้คือภารกิจของเรา

สนทนาประสาจิตจักรวาล 13/06/2022

 


เรานำแสงสว่างมายังโลกแล้ว
เพื่อพวกท่านจะได้ไม่ต้องเดินอยู่ในความมืดอีก
 
ท่านใดที่ก้าวตามเรามาก็จะเป็นผู้ที่มีความสว่าง
ซึ่งสามารถจะมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า
ตนกำลังก้าวเดินไปสู่ประตูแห่งการหลุดพ้น
โดยจะไม่เดินสะเปะสะปะและจะไม่หลงทางนิพพาน
จนหาทางกลับบ้านไม่เจอเหมือนในอดีตอีกแล้ว
 
เรามาจากพระบิดา
เรากลับมาเพื่อเป็นความสว่างของโลก
เพื่อทุกท่านที่เชื่อมั่นในพระบิดาและรักศรัทธาเรา
จะไม่ต้องอยู่ในความมืดมิดอีกตลอดไป
 
กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา
 
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
13/06/2022

11 มิถุนายน 2565

VDO. EP. 390: ชนะทุกข์ได้เพราะไม่โง่ (Full Version)


 

บันทึกการสื่อพระโอวาทในระบบจิตสู่จิตจากองค์จิตจักรวาล

โดย อนุตรธรรมาจารย์ปริญญา ตันสกุล

10 มิถุนายน 2565

สนทนาประสาจิตจักรวาล 10/06/2022

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
เพราะความไม่รู้ว่า #จิตวิญญาณ ของตนเป็นใคร
ใครเป็นผู้ที่อนุญาตให้ตนเข้ามาเกิดเป็นมนุษย์
เข้ามาเกิดเป็นมนุษย์ด้วยวัตถุประสงค์อะไร
เมื่อได้รับโอกาสแล้วตนมีหน้าที่ต้องทำสิ่งใดบ้าง
 
เมื่อมนุษย์ไม่รู้ความจริงระดับ #อนุตรธรรม เหล่านี้
จึงยังผลให้วิธีการและแนวทางดำเนินชีวิตประจำวัน
ในบทบาท #คนสองมิติ ของพวกท่านทั้งหลาย
เกิดการวิปริตผิดเพี้ยนสะเปะสะเปะไปจากความจริง
ตั้งแต่อดีตกาลผ่านมาตราบจนกระทั่งทุกวันนี้
 
เราจะขอยกตัวอย่าง “อนุตรธรรม” ที่พวกท่านไม่เคยรู้
จนทำให้เกิดการหลงผิดหลงธรรมหลงทางจนสุดโต่ง
ให้ได้รับรู้โดยทั่วหน้ากันไว้พอสังเขปดังต่อไปนี้
 
1.เพราะไม่รู้ว่า “จิตวิญญาณ” ผู้เป็นแก่นแท้ของตน
เป็นพระจิตวิญญาณบริสุทธิ์ผู้มาจาก #องค์จิตจักรวาล
ที่ทรงประทับอยู่ในแดนสุญตาภายนอกระบบเอกภพ
ซึ่งทรงเป็นพระผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณของตนนั่นเอง
 
เพราะความไม่รู้นี่แหละจึงพากันปฏิเสธ #พระบิดา
พระผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณของตนกันอย่างไม่ใยดี
ทั้งๆที่จิตวิญญาณของพวกท่านนั้นมิใช่ #บุตรกำพร้า
ที่ไม่มีผู้ใดให้กำเนิดเพราะสามารถให้กำเนิดตนเองได้
 
2.เพราะไม่รู้ว่า “จิตวิญญาณ” ผู้เป็นแก่นแท้ของตน
ซึ่งพากันขันอาสาเข้ามาจุติเป็นมนุษย์แห่งโลกเสรีนี้
ต่างก็มี #ภารกิจสำคัญ ที่จิตวิญญาณถือติดตัวมาด้วย
นั่นคือการเข้ามาช่วยกันใช้ความรัก #หมุนธรรมจักร
เพื่อผลิตพลังจิตด้านบวกให้โลกใช้ในการเหวี่ยงหมุน
เพื่อสร้างสมดุลของระบบโลกให้ช่วยค้ำจุนเอกภพไว้
 
เพราะมนุษย์ทั้งหลายไม่รู้อนุตรธรรมความจริงนี้
จึงมิได้ให้ความสำคัญกับ #การรักเพื่อให้ ต่อผู้อื่น
จึงเข้าไม่ถึงจิตสามนึกแห่งการเป็นหนึ่งเดียวกัน
เพื่อร่วมกันผลิตพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
โดยใช้พลังแห่งเมตตาธรรมช่วยกันค้ำจุนโลกไว้
ตามที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ คือ #ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร
 
มิหนำซ้ำนอกจากจะไม่รู้หน้าที่ของตนเองที่ว่านี้แล้ว
ยังถูกมอดมารหลอกอีกว่าตนไม่น่าจะมาเกิดเป็นมนุษย์
เพราะว่าการเกิดแก่เจ็บตายนั้นมันเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
วันๆจึงไม่ทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับดาวเคราะห์โลก
ได้แต่เน้นที่จะหาทางตายโดยไม่กลับมาเกิดให้ทุกข์อีก
ถ้าทำสำเร็จได้ก็ให้ความหมายว่าตนถึงซึ่งนิพพานแล้ว
 
3.เพราะไม่รู้ว่า “จิตวิญญาณ” ผู้เป็นแก่นแท้ของตน
ต้องมาเกิดเป็น #คนสองมิติ อยู่ในเครื่องยนต์แห่งกรรม
ที่มีทั้งภาคพลังงานและกายสังขารในมิติทางกายภาพ
ซึ่งเป็นรูปธรรมที่มีถึงสองภาคอยู่ในตนเองแค่คนเดียว
ตามที่พระบิดาทรงออกแบบไว้ให้ใช้ทำหน้าที่ในสองมิติ
ในบทบาทของ “เพื่อนร่วมงาน” กับดาวเคราะห์โลก
 
จึงทรงกำหนดให้มนุษย์ใช้ #อายตนะภายนอก ทั้ง 5
ทำงานร่วมกับกระบวนการของ “ขันธ์ 5” ของจิตหยาบ
อันประกอบด้วยรูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ
โดยมีความฉลาดทางปัญญาของสมองทั้งสองซีก
กับความรักเพื่อให้ที่จิตวิญญาณแบกขนมาจากพระบิดา
เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนพฤติกรรมทั้งสองมิติพร้อมกัน
 
เพราะความไม่รู้ในอนุตรธรรมความจริงบทที่ว่านี้
คนนำทางตาบอดจึงชวนพวกท่านให้ดับขันธ์ 5 ให้สิ้น
เพราะหลงผิดคิดว่าขันธ์ 5 เป็น “อัตตา” ผู้พาให้มาเกิด
หากดับขันธ์ 5 ได้ตนก็จะเป็น #อนัตตา คือไม่มีตัวตน
เมื่อไม่มีตัวตนเสียได้การมาเกิดภพชาติใหม่จึงไม่มี
ซึ่งเป็นการ #หลงทางหลงธรรม อันไม่น่าให้อภัยเลย
เพราะว่า “ขันธ์ 5” เป็นกลไกของจิตวิญญาณมนุษย์
ที่ต้องใช้ทำหน้าที่ในบทบาทของ “คนสองมิติ” นั่นเอง
ถ้าไม่มีขันธ์ 5 พวกท่านก็จะทำหน้าที่เป็นมนุษย์ไม่ได้
 
นอกจากนั้นขันธ์ 5 มนุษย์ก็ไม่ต้องเสียเวลาดับมันหรอก
เมื่อวันใดที่จิตวิญญาณทิ้งกายสังขารไปในภพชาตินี้
ขันธ์ 5 จะดับสลายไปพร้อมกับกายสังขารของท่านแล้ว
ไม่ต้องเสียเวลาหาทางดับมันจนวันๆไม่ต้องทำอะไร
เหมือนอย่างที่ปฏิบัติสืบเนื่องมาจนทุกวันนี้เลยด้วยซ้ำ
 
4.เพราะไม่รู้ว่า “จิตวิญญาณ” ผู้เป็นแก่นแท้ของตน
จะสั่นสะเทือนจิตหยาบเพื่อสร้าง “ขันธ์ 5” ขึ้นมาได้
จักต้องใช้ช่องทางอายตนะภายนอกทั้งห้าที่ไม่มืดบอด
สัมผัสสิ่งเร้าจาก “คนรอบข้าง” ส่งให้จิตหยาบข้างใน
เพื่อช่วยกันผลิตพลังงานด้านบวกที่เรียกว่า “วิญญาณ”
ด้วยความรักความเมตตามอบให้แก่ดาวโลกดวงนี้ได้
 
โดยต้องรักให้ได้ แม้เขาจะทำตัวไม่น่ารัก
ต้องให้อภัยให้ได้ แม้เขาจะทำตัวไม่น่าให้อภัย
ต้องมีจิตเมตตาต่อสัตว์ทั้งหลายได้
เพราะมองเห็นคุณค่าและความน่ารักของสัตว์นั้น
 
เพราะว่าไม่รู้ความจริงที่เป็นอนุตรธรรมบทนี้นี่เอง
คนนำทางตาบอดจึงชักนำพวกท่านให้ปิดหูปิดตา
พากันปลีกวิเวกเพื่อมุ่งหาทางดับขันธ์ห้าอยู่คนเดียว
ปฏิบัติธรรมเพื่อตนอยู่คนเดียวจนลืมโลกและผู้อื่น
จนละทิ้งภารกิจของจิตวิญญาณไปอย่างเสียชาติเกิด
 
5.เพราะไม่รู้ว่า “จิตวิญญาณ” ผู้เป็นแก่นแท้ของตน
ถือพันธสัญญา 6 ข้อตามที่ได้ให้สัจจะต่อพระบิดา
ก่อนจะได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์โลกนี้ว่า
ตนจะยินยอมปฏิบัติตามสัจจะโดยมิให้ขาดพร่อง
 
#ตัวอย่างเช่น
สัญญาว่าจะมาทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับโลก
แต่กลับเกิดมาเพื่อหาทางตายโดยไม่กลับมาเกิดอีก
ซึ่งเป็นการทำเพื่อตัวเองมิได้ทำเพื่อโลกตามสัญญา
 
สัญญาว่าจะเป็นเงื่อนไขด้านบวกของคนรอบข้าง
โดยเรียนรู้ที่จะรักผู้อื่นและเรียนรู้ที่จะทำให้ผู้อื่นรัก
แต่กลับรักคนไม่น่ารักไม่ได้อภัยคนไม่น่าอภัยไม่เป็น
มักใช้ตนเองเป็นศูนย์กลางโดยไม่ใส่ใจคนรอบข้าง
 
สัญญาว่าถ้าสิ้นยุคคือครบ 6 หมื่นปีโลกแล้ว
ตนจะนำพาจิตวิญญาณหลุดพ้นกลับบ้านที่จากมา
แต่กลับถวิลหาแต่เรื่องนิพพานเพื่อการไม่มาเกิดอีก
เหตุเพราะกลัวความทุกข์จนขึ้นสมองอย่างไร้สติ
ทั้งๆที่ความทุกข์มันมิได้มีอยู่จริงแต่มันคือมายาเท่านั้น
 
6.เพราะไม่รู้ว่า “จิตวิญญาณ” ผู้เป็นแก่นแท้นั้น
เมื่อได้รับโอกาสให้มาเกิดแล้วจะไม่มีหน้าที่ต้องตาย
เพราะการเกิดแล้วตายแล้วกลับมาเกิดใหม่อีกนั้น
ท่านจะไม่สามารถทำหน้าที่ตามพันธสัญญา 6 ได้
ต้องเซ็ทซีโร่ใหม่ในทุกภพชาติจนขาดการต่อเนื่อง
เช่น ความฉลาดของสมองก็ต้องเริ่มพัฒนาใหม่
จิตหยาบก็ต้องยกระดับจากมิติศูนย์ให้สูงขึ้นมาใหม่
 
พระบิดาจึงทรงกำหนดให้
จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านไม่ต้องมีอดีตชาติ
เพื่อมิให้ขาดการต่อเนื่องจนทำหน้าที่ของตนไม่ได้
 
แต่คนนำทางตาบอดผู้หลงเชื่อมอดมารนี่แหละ
ล้างสมองพวกท่านว่าเกิดแก่เจ็บตายเป็นของธรรมดา
จนพวกท่านท่องจำกันขึ้นใจและพากันเชื่อสนิทใจ
เพราะแลเห็นเป็นที่ประจักษ์แก่ตาตนเองแล้วจริงๆว่า
มนุษย์ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้ามีการเกิดแก่เจ็บตายกันทุกคน
จนไม่มีผู้ใดฉุกคิดเลยว่า “ทำไมมนุษย์ทุกคนต้องตาย”
ขณะที่สิ่งมีชีวิตในต่างดาวเท่าที่บางคนแอบคบหา
พวกเขากลับมีอายุยืนยาวได้โดยยังไม่มีใครตาย
แต่ละเผ่าจะมีอายุขัยเฉลี่ย 2 พัน-3 หมื่นปีกันทีเดียว
มนุษย์จึงถูกหลอกให้หลงทางเพราะเชื่อง่ายนี่เอง
 
เราขอยกตัวอย่างมาเพียงสังเขปเท่านี้ก่อน
ขอท่านทั้งหลายจงใช้ปัญญาแทนมิจฉาทิฐิกันเถิด
เพื่อการ “พิพากษา” ตัวท่านและจิตวิญญาณของท่าน
ด้วยสัจธรรมความจริงระดับ “อนุตรธรรม” ข้างต้นนั้น
ซึ่งไม่มีมนุษย์โลกคนใดจะกล่าวความจริงนี้ต่อท่านได้
จงใช้เวลาอ่านทบทวนเพื่อทำความไม่รู้เสียให้กระจ่าง
โลกสิ้นยุคพลังงานเก่าจะเข้าสู่ยุคพลังงานใหม่แล้ว
มหันตภัยพิบัติกำลังมาเวลาพวกท่านเหลือน้อยลงแล้ว
 
กลับบ้านเดิมของจิตวิญญาณกันเถิดท่าน
ดาวโลกดวงนี้มิใช่บ้านเกิดของพวกท่าน
สวรรค์มายาที่พากันหลุดลอยไปค้างกันอยู่บนนั้น
มิใช่ “แดนนิพพาน” อย่างที่คิดฝันกันแต่อย่างใด
 
กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา
 
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
10/06/2022

07 มิถุนายน 2565

สนทนาประสาจิตจักรวาล 7/06/2022

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
วิธีจัดการกับนิสัยไม่ดีของตนเอง
เช่น การเสพติดกิเลส
ตามความง่ายไปหายาก
ถึงขั้น #หักดิบ มี 4 วิธี คือ
 
1.ด้วยวิธีการ #ปรับ ตัว
2.ด้วยวิธีการ #ปรุง แต่ง
3.ด้วยวิธีการ #ปลิด ทิ้ง
4.ด้วยวิธีการ #ปลง ใจ
 
#หมายเหตุ:
วิธีหักดิบโดยพลันทันใด
ไม่ต้องเปลืองเวลาในการ
ชำระกิเลสตามปกติก็คือ
ข้อ 3.กับข้อ 4.
 
ข้อ 3.ต้องใช้พลังจิต
ข้อ 4.ต้องใช้พลังปัญญา
 
นอกนั้นคิดต่อกันเอาเองนะ
 
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
7/06/2022

04 มิถุนายน 2565

VDO. EP. 389: วิธีล้างจิตให้สะอาด (Full Version)


 

บันทึกการสื่อพระโอวาทในระบบจิตสู่จิตจากองค์จิตจักรวาล

โดย อนุตรธรรมาจารย์ปริญญา ตันสกุล