14 มิถุนายน 2565

สนทนาประสาจิตจักรวาล 14/06/2022

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
การปฏิบัติธรรมเพื่อให้เข้าถึงซึ่ง #นิพพาน
ของพวกท่านทั้งหลายที่มุ่งมั่นปฏิบัติกันมานั้น
ไม่ว่าจะเป็นคนนำทางเองและท่านผู้ก้าวตาม
เคยตอบตนเองชัดๆกันหรือยังว่านิพพานคือยังไง
 
ถ้าพวกท่านให้คำตอบต่อตนเองว่า
 
1.นิพพาน คือ การตายไปจากโลกนี้แล้ว
จิตวิญญาณผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของท่าน
จะไม่ย้อนกลับมาเกิดในภพภูมิของมนุษย์โลกนี้อีก
 
2.นิพพาน คือ การดับขันธ์ 5 ได้หมดสิ้นแล้ว
จึงยังผลให้ #อัตตา ซึ่งเป็น “ตัวตน” ของท่านเอง
ที่เป็นเหตุแห่งการเกิดเป็นมนุษย์นั้นดับสูญไปด้วย
ตัวท่านจึงไม่มีอัตตาอีกจะเป็นแค่ #อนัตตา เท่านั้น
 
เมื่อตัวท่าน “เชื่อว่า” ตนนั้นไม่มีอัตตาแล้ว
ต้นเหตุแห่งการเกิดเป็นมนุษย์
หรือการจะไปเกิดเป็นอะไรๆในภพภูมิต่างๆ
จึงย่อมไม่มีให้ต้องตกทุกข์ได้ยากอีกต่อไปแล้ว
 
3.นิพพาน คือ การเอาชนะทุกข์ได้แล้ว
เพราะจิตวิญญาณของท่านไม่ต้องเกิดเป็นมนุษย์อีก
เนื่องจากการเกิดเป็นมนุษย์ที่ต้องเวียนว่ายตายเกิด
หรือวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏนั้นมันเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
เมื่อหยุดการเกิดดับได้จิตวิญญาณตนย่อมพ้นทุกข์
 
4.พวกท่านเชื่อกันอย่างสนิทใจว่า
การที่จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านทั้งหลาย
ที่เข้ามาเกิดเป็นมนุษย์โลกเสรีนี้นั้น
เป็นการพลัดหลงเข้ามาเกิดหรือเกิดโดยบังเอิญ
หรือถูกมนุษย์ต่างดาวส่งเข้ามาเกิดเพื่อการทดลอง
 
ถ้าท่านสามารถหยุดการตายแล้วเกิดใหม่อีกได้
แสดงว่าท่านเป็นผู้บรรลุธรรม คือ #พ้นทุกข์ ได้แล้ว
อันหมายถึงจิตวิญญาณของท่านน่ะ “นิพพาน” แล้ว
ซึ่งเป็น “มรรคผลสูงสุด” ในการปฏิบัติธรรมแล้ว
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายให้รู้ว่า
 
คำตอบทั้ง 4 ประการข้างต้นที่เรากล่าวมานั้น
มันเป็นแค่ #ความเชื่อ มิใช่ #สัจธรรม แต่อย่างใด
พวกท่านจึงจะสรุปว่าเป็นการบรรลุสัจธรรมไม่ได้
โดยเหตุผลที่เราจะทำความไม่รู้ของท่านให้กระจ่าง
ในความหลงผิดกันมานานดังต่อไปนี้
 
1.ความเชื่อเรื่องนิพพานในข้อแรกนั้น
พวกท่านหมายถึงตายแล้วไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์
เพราะเชื่อตามกันมาว่าเกิดแก่เจ็บตายเป็นทุกข์ยิ่งนัก
 
ผลการปฏิบัติธรรมจึงมุ่งอยู่แค่ตายแล้วต้องหายไป
ในลักษณะที่เรียกว่า #นิพพานแบบตาลยอดด้วน
โดยเอาโลกปัจจุบันเป็นที่ตั้งเพื่อใช้เป็นเครื่องชี้วัด
โดยไม่เคยใส่ใจว่าจิตวิญญาณแก่นแท้เมื่อตายไป
แม้จะมิได้ย้อนกลับมาเกิดเป็นมนุษย์กันอีกแล้วนั้น
จิตวิญญาณจะไปเกิดใหม่หรือไปจุติอยู่ที่ภพภูมิไหน
คิดแค่ว่าตายให้พ้นๆไปเสียจากโลกนี้กันเท่านั้น
นี่จึงเป็นความเชื่อจาก #ความคิดที่ไร้มิติ โดยแท้
 
2.ความเชื่อเรื่องนิพพานในข้อที่สองนั้น
เหตุเกิดจากความหลงผิดคิดว่า “ขันธ์ 5” เป็นจำเลย
เพราะเชื่อว่าเป็น “อัตตาตัวตน” ของจิตวิญญาณ
ผู้เป็นเหตุให้ท่านต้องเกิดเป็นมนุษย์โดยมิได้ตั้งใจ
 
เพราะไม่เคยมีใครบอกความจริงระดับ #อนุตรธรรม
ให้ท่านรู้กันมาก่อนว่า “สิ่งมีชีวิต” ทั้งสัตว์และมนุษย์
ที่เข้ามาเกิดกันในระบบโลกเสรีนี้ล้วนมีขันธ์ 5 ทั้งสิ้น
เพราะจิตวิญญาณแก่นแท้ของสัตว์และมนุษย์นั้น
ถูกออกแบบให้เป็นรูปธรรมที่มี 2 มิติในร่างเดียว
เพื่อทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณให้สำเร็จในมิติคู่ขนาน
ภายในเวลาปัจจุบันที่เป็นหนึ่งเดียวกัน
 
ถ้าจิตวิญญาณไม่มีขันธ์ 5 เป็นเครื่องมือแล้ว
ก็จะไม่สามารถสั่นสะเทือนให้เกิดการกระทำ
ในมิติคู่ขนานกันในเวลาเดียวกันได้นั่นเอง
 
อีกสาเหตุหนึ่งที่พวกท่านมองว่าขันธ์ 5 เป็นอัตตา
ซึ่งเป็นเหตุให้ต้องเกิดมาเป็นมนุษย์ที่เชื่อกันผิดๆก็คือ
การคิดเข้าใจเองว่าวิญญาณขันธ์ซึ่งเป็นขันธ์ที่ 5 นั้น
(1.รูป 2.เวทนา 3.สัญญา 4.สังขาร 5.วิญญาณ)
มันคือ “จิตวิญญาณ” ที่เป็นแก่นแท้ของ “มนุษย์”
ทั้งๆที่ความจริงที่จริงแท้นั้น “ไม่ใช่” อย่างที่เชื่อกันมา
 
เพราะ #วิญญาณขันธ์” นั้น เป็นขั้นตอนที่ห้าของจิต
ที่สั่นสะเทือนตาม “สังขารขันธ์” ที่ปรุงแต่งพฤติกรรม
ให้เป็นทั้ง “มโนกรรม” และ “กายกรรม” ขึ้นมาแล้ว
เพื่อผลิตพลังงานกรรมออกมาในรูปของ “พลังจิต”
ซึ่งเป็นคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กทั้งบวกหรือลบ
ซึ่งเป็นผลกรรมในมิติทางพลังงานด้านของแก่นแท้
อันเป็นภารกิจในมิติคู่ขนานของจิตวิญญาณนั่นเอง
 
ดังนั้น
การพยายามดับขันธ์ 5 เพราะหลงผิดคิดว่าเป็นอัตตา
นอกจากจะเป็นความงมงายเพราะโง่ง่ายแล้ว
ยังเป็นการชักพากันออกทะเลเสียอีกด้วยนะท่าน
 
3.ความเชื่อเรื่องนิพพานในข้อที่สามนั้น
พวกท่านเชื่อว่าถ้าตนสามารถหยุดการเกิดใหม่ได้
โดยเน้นที่การไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์โลกแล้ว
แสดงว่าจิตวิญญาณของท่านถึงนิพพานแล้วจริงๆ
เพราะเข้าใจว่าหมดทุกข์ สิ้นทุกข์ พ้นทุกข์นั่นเอง
 
โดยพวกท่านไม่เคยฉุกคิดว่า
จิตวิญญาณของเพื่อนมนุษย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
จนตายแล้วจิตวิญญาณไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก
แต่ “หลุดลอย” ไปติดค้างกันอยู่บนสวรรค์มายานั้น
พวกท่านจะอธิบายความจริงในเรื่องนี้กันอย่างไร
 
ผู้ที่ลอยค้างอยู่บนนั้นไปจากการเป็นมนุษย์มิใช่หรือ
ผู้ที่ดำรงตนอยู่บนนั้นมิใช่การไปจุติใหม่หรอกหรือ
ผู้ที่ดำรงตนเองอยู่บนสวรรค์ถ้ามิได้มี “อัตตา” แล้ว
จะไปแสดงตัวตนอยู่บนสวรรค์มายากันได้อย่างไร
 
ผู้ที่หลุดลอยไปค้างอยู่บนนั้น
พวกท่านรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาไร้ทุกข์จริง
เมื่อพวกเขายังเป็นเหมือน “กระทงหลงทาง”
ไม่รู้ว่าที่นั่นคือที่ไหนจะลอยขึ้นลอยลงได้อย่างไร
พวกเขาตกอยู่ในสภาพที่ไร้อิสระเสรีภาพ
ซึ่งมีขีดจำกัดยิ่งกว่าตอนเป็นมนุษย์กันเสียอีก
ทั้งหมดที่เรากล่าวมาล้วนน่าคิดพิจารณาบ้างหรือไม่
 
4.ส่วนความเชื่อเรื่องนิพพานในข้อที่สี่
ที่พวกท่านเชื่อกันว่าถ้าสามารถหยุดการเกิดใหม่ได้
จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านจะเป็นผู้พ้นทุกข์แล้วนั้น
มันยังเป็นความเชื่อที่ผิดอย่างมหันต์อีกเช่นกัน
 
เพราะพวกท่านไม่รู้ “อนุตรธรรม” ว่า
จิตวิญญาณของท่านเป็นใคร มาจากไหน ใครให้มา
มาเกิดเป็นมนุษย์บนโลกเสรีนี้กันทำไม
มาเกิดแล้วต้องทำหน้าที่อะไรอย่างไรกันบ้าง
พวกท่านจึงหลงผิดคิดว่า “ตนเอง” คือ จิตวิญญาณ
ทั้งๆที่แท้จริงแล้วตัวท่านคือ #จิตหยาบ ต่างหาก
โดยจิตวิญญาณผู้มาเกิดได้แบ่งภาคตนเองออกมา
เพื่อให้จิตหยาบคือตัวท่านนี่แหละทำหน้าที่แทน
ตามที่พระผู้สร้างหรือพระเจ้าทรงออกแบบเอาไว้
 
ดังนั้น
การเกลียดทุกข์ กลัวทุกข์ ความต้องการหนีทุกข์
จึงล้วนเป็นความต้องการของจิตมนุษย์ของท่านเอง
มิใช่ความต้องการทางจิตวิญญาณที่แท้จริงเลย
มันเป็นเรื่องของจิตหยาบซึ่งทำหน้าที่ “ผู้รับใช้”
ในลักษณะของ “บ่าว” ผู้บังอาจทำตนเป็น “นาย”
จากความหลงตัวเองเพราะความไม่รู้โดยแท้
 
ทั้งหมดที่เรากล่าวมานี้ล้วนเป็นความล้มเหลว
จากความไม่รู้อนุตรธรรมของชาวโลกนี่แหละ
จึงยังผลให้ “นักสู้เพื่อการรู้แจ้ง” ที่เป็นฆราวาส
รวมทั้ง “นักรบแห่งแสงสว่าง” ที่เป็นนักพรตนักบวช
ไม่สามารถที่จะย่างเท้าก้าวตามพระศาสดาของตน
เพื่อเข้าถึงสภาวะนิพพานเพื่อการหลุดพ้นกันได้เลย
เพราะใช้แต่ความเชื่อแทนการใช้ปัญญาพิจารณา
ยิ่งท่านใดที่พก “มิจฉาทิฐิ” ติดตัวอยู่
ผู้นั้นก็จะออกจากทะเลลอยไปสู่มหาสมุทรแน่นอน
 
กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา
 
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
14/06/2022