16 มกราคม 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล 16/01/2021

 สนทนาประสาจิตจักรวาล

16/01/2021


พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

เพราะบทบาทหน้าที่ของท่านทั้ง 3 นี้
ไม่เหมือนกันซึ่งท่านทั้งหลายต้องรู้ไว้
กล่าวคือ

1.ครูผู้สอนศีลธรรม
2.ศาสดาซึ่งเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ
3.อนุตรธรรมาจารย์ซึ่งเป็นพระบุตรเอก

โลกในกาลอดีตที่ผ่านมา
พวกท่านมากมายมีความเข้าใจไม่ถูกต้อง
ต่อบทบาทหน้าที่ของผู้ประเสริฐทั้งสามนี้
บางคนจึงสร้างความสับสนให้แก่ตนเอง
และบางคนยังเป็นผู้สร้างความงมงาย
ให้แก่เพื่อนมนุษย์ร่วมโลกอีกมากมายด้วย
ซึ่งเป็นสาเหตุแห่งการหลุดพ้นนิพพานไม่ได้
ในทุกภพชาติแห่งการเกิดใหม่ตลอดมา

ท่านทั้งหลายจึงต้องรู้ว่า
บทบาทหน้าที่ของท่านทั้งสามนี้เป็นอย่างไร
คุณสมบัติทางจิตวิญญาณของแต่ละท่าน
มีองค์ประกอบสำคัญอย่างไรกันบ้าง
แต่ละท่านมีความแตกต่างกันตรงไหนอย่างไร
เราจะเฉลยความจริงให้ท่านฉลาดรอบรู้ยิ่งขึ้นดังนี้

1. ครูผู้สอนศีลธรรม
หมายถึง คนที่ศึกษาเรียนรู้ข้อธรรมะต่างๆ
จากครูบาอาจารย์ที่เป็นผู้รู้เป็นผู้ปฏิบัติธรรม
จนมีความรอบรู้ในองค์ธรรมะนั้นๆ
แล้วนำมาแบ่งปันต่อเพื่อนมนุษย์ผู้รู้น้อยกว่า
โดยตนไปฟังไปจำครูบาอาจารย์ผู้รู้ท่านสอนมา
เมื่อรู้แล้วก็นำมาสอนต่อบอกต่อคนอื่นต่อไปอีก

ครูผู้สอนธรรมะพวกนี้
จะแสดงออกทางสังคมอยู่ 3 แบบ คือ

แบบแรก
เป็นจำพวก ศิษย์มีครู ซึ่งน่าศรัทธาเชื่อถือยิ่ง
เพราะคนพวกนี้กล้าเปิดเผยนามครูบาอาจารย์
ให้คนทั้งสังคมได้รู้ว่า "ครู" ของตนเป็นใคร
เพื่อเป็นเครื่องการันตีว่าธรรมะของตนไม่มีโมเม
ไม่ใช่ธรรมะมั่วๆหยิบโน่นผสมนี่จนไม่น่าเชื่อถือ
สามารถคิดตามเชื่อตามเห็นตามและทำตามได้

คนพวกนี้จะไม่มีอีโก้ คือ ไม่หลงตัวเอง
แม้ว่าตนจะเรียนมากรู้มากจนพอตัวแล้ว
ก็จะไม่ทำวางโตโอ้อวดอุตริเป็นเจ้าลัทธิ
เมื่อรู้ธรรมะมากแล้วก็ยังจะให้เกียรติยกย่อง
ครูบาอาจารย์ของตนอยู่เหนือหัวเสมอ

แบบที่สอง
เป็นจำพวก ศิษย์มีตำรา ยึดคัมภีร์เป็นคู่มือ
เป็นคนที่ศึกษาเรียนรู้ธรรมะจากพระคัมภีร์
อ่านมากท่องมากก็จดจำได้มาก
เวลานำไปสอนคนอื่นก็จะใช้ความเข้าใจ
อันเกิดจากความคิดความเชื่อส่วนตัวเป็นหลัก

คนพวกนี้จะสอนพวกท่านโดยไม่ต้องคิด
เพราะจะท่องจำไปตามคัมภีร์ที่ตนยึดถือ
ซึ่งบางบทบางตอนในคัมภีร์อาจมีผิดเพี้ยน
เพราะพระศาสดามิได้บันทึกไว้ด้วยตนเอง
คนรุ่นหลังสร้างคัมภีร์นั้นขึ้นมาจากความจำ
แล้วนำมาบันทึกไว้จากความเข้าใจส่วนตัว

ครูจำพวกนี้จะเป็นพวกมีมิจฉาทิฐิสูง
ในการยึดติดพระคัมภีร์ที่ตนคิดว่าศักดิ์สิทธิ์
เพราะเห็นว่ามีคนเชื่อมานานนับพันๆปีแล้ว
ไม่กล้าคิดตีความตามพระคัมภีร์
ไม่กล้าแม้จะคิดต่างเพราะกลัวว่าจะผิดบาป
โดยไม่เคยถามตัวเองว่า "ใครห้าม" มิให้คิด
ทั้งๆที่การรู้จักคิดจะช่วยให้ฉลาดรอบรู้มากขึ้น
การไม่คิดได้แต่แต่เชื่อตามสถานเดียว
จะมีแต่ความโง่งมงายมากขึ้นเรื่อยๆเท่านั้น

ครูผู้สอนธรรมะพวกนี้
เวลาสอนธรรมะยากๆหรือเมื่อมีคนเห็นแย้ง
ก็ชอบที่จะหยิบยกเอาคัมภีร์ขึ้นมาอ้าง
โดยใช้พลังบารมีของผู้สอนธรรมะในคัมภีร์นั้น
เป็นเครื่องยืนยันการันตีความถูกต้อง

แบบที่สาม
เป็นจำพวก ครูพักลักจำ ทำตนเป็นศิษย์ไม่มีครู
เพราะ "ไม่อยาก" จะเป็นศิษย์ใครแต่อยากเป็นครู
จึงทำตนเป็นพวกศิษย์ไม่มีครู

วันๆจึงเที่ยวสอดส่องหาความรู้
ด้วยวิธีการ ลักจำ ความรู้ของผู้อื่นเท่านั้น
โดยทำตนเป็นคน "ตาไว" เพียงใบไม้ไหวก็เห็น
ใครเป็นผู้รอบรู้อยู่หนไหนไกลใกล้ก็จะไปให้ถึง

โดยทำตนเป็นคน "หูไว" จำพวกสี่เท้าหูกาง
เสียงค่อยเสียงดังก็จะเงี่ยหูฟังเพื่อรับเอาไว้
ถ้าความรู้นั้นจะช่วยให้ตนเด่นดังเหนือคนอื่นได้
คนหูไวเป็นต้องไม่พลาดอย่างเด็ดขาด

โดยทำตนเป็นคน "หัวดี" สอนง่ายและจำเก่ง
เป็นคนฉลาดเรียนรู้ไวเข้าใจเร็วกว่าคนอื่นๆ
จึงมีคุณสมบัติเหนือกว่าคนส่วนใหญ่
ในการถ่ายทอดความรู้จากความจำที่เพิ่งก้อปปี้มา
และมีความสามารถในการพูดจาที่พอมีประมาณ
คนพวกนี้จึงฟังปุ้ปจำปั้ปแล้วพูดต่อได้เป๊ะ
เหมือนทุกสิ่งออกมาจากปัญญาของตัวเองเลย

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

หากท่านหลงไปเป็นศิษย์สาวกของครูไม่มีครูพวกนี้
โอกาสเรียนรู้ผิดเพราะความรู้ที่เขาสอนไม่ถูกต้อง
เพราะคนที่ลักจำมาสอนอาจจำมาไม่หมด
หรือจำมาผิดๆซึ่งมีความเป็นไปได้สูงยิ่ง

นอกจากนั้น
ครูพักลักจำที่นำเอาของคนอื่นมาสอนต่อ
โดยอ้างอิงว่ารู้เองเป็นเจ้าของความรู้นั้นเอง
หรือนำไปกล่าวต่อโดยไม่อ้างอิงครูหรือตำรา
เมื่อตายไปแล้วจิตวิญญาณจะต้องโทษในนรก

เมื่อกลับมาเกิดใหม่ในภพชาติใหม่
จะต้องเกิดเป็นสุนัข "จรจัด"
เที่ยวพเนจรหากินไปเรื่อยๆเพราะไม่มีเจ้าของ
โดยใช้ตาหูและปากที่ช่างเห่าเป็นเครื่องหากิน
เพื่อสร้างสำนึกใหม่ที่ถูกต้องนั่นเอง

ยิ่งถ้าทำตนเป็นครูแล้วอวดรู้สอนผิด
จนทำให้คนอื่นหลงผิดหลงทางหลงธรรม
ตายไปแล้วจิตวิญญาณจะลงนรกขุมที่ 13
นรกขุมนี้ลงไปแล้วกลับขึ้นมายากมาก
เพราะจิตวิญญาณติดนิสัยการหลงตัวเอง
ไปจากจิตหยาบตอนที่เป็นมนุษย์
การมีสำนึกผิดบาปในนรกจึงค่อนข้างยาก
เมื่อสำนึกยากหรือไม่สำนึกจึงต้องตกนรกนาน

2. ศาสดาซึ่งเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ
หมายถึง ผู้ที่ผ่านการศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเอง
จนมีความรอบรู้ทั้งสามมิติในระดับ สัพพัญญู
นั่นคือ ความจริงในมิติโลกทางด้านกายภาพ
ความจริงในมิติจิตวิญญาณทางด้านพลังงาน
และความจริงในมิติของ "อนันตจักรวาล"

เมื่อมีความรอบรู้จนเป็นเอกแห่งยุคนั้น
ชนิดที่ไม่มีมนุษย์คนไหนจะเทียบเทียมได้แล้ว
ท่านผู้ประเสริฐนั้นจึงได้แบ่งปันสิ่งที่ตนรอบรู้
ให้เพื่อนมนุษย์ทั้งหลายที่มีเป้าหมายเดียวกัน
ได้รับรู้เพื่อเรียนรู้แล้วนำไปสู่การปฏิบัติในชีวิต
เพื่อยังประโยชน์สุขทั้งด้านกายสังขาร
และด้านจิตวิญญาณแก่นแท้ของแต่ละคนต่อไป
เพื่อก้าวตามพระศาสดาของตนสู่มรรคผลนั่นเอง

แม้พระศาสดาทั้งหลายเป็นผู้ที่เกิดจากโลก
แต่พระบิดาก็จะทรงเมตตาอนุญาตให้
เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของเวไนยในยุคนั้นได้
แต่เวไนยสัตว์ทั้งหลายก็จักต้องยอมรับเองด้วย
ที่สำคัญคือพระศาสดาจักต้องใช้ความรู้ส่วนตัว
จากความสามารถทางจิตปัญญาของตนเอง
และจากประสบการณ์เรียนรู้ด้วยตนเองเท่านั้น
มิใช่ลักจำคำสอนพระศาสดาอื่นเอามากล่าวต่อ

ผู้ที่แสดงบทบาทลักษณะจำจากพระศาสดา
หรือจำมาจากพระคัมภีร์แล้วนำมากล่าวต่อนี้
เราจะเรียกว่า คนนำทาง นั่นเอง
คนนำทางในความหมายของเราจึงมิใช่ศาสดา

ปกติแล้วพระศาสดาทุกพระองค์
จะทรงเชี่ยวชาญด้านสัจธรรม
ระดับโลกียธรรมและโลกุตรธรรม
อันเป็นการรอบรู้ความจริงทั้งอนันตจักรวาล
ด้วยการใช้พระปรีชาญาณจากสมองสองซีก
ร่วมกับสภาวะจิตอันประเสริฐกว่ามนุษย์ทั่วไป
เป็นเครื่องมือสำคัญในการเรียนรู้และสั่งสอน

3. อนุตรธรรมาจารย์
หมายถึง มนุษย์คนเดียวที่พระผู้เป็นเจ้าส่งมา
ให้ทำหน้าที่เป็น #พระบุตรเอก บนโลกเสรีนี้
เพื่อกล่าวพระโอวาทต่อมนุษย์แทนพระองค์
ในช่วงเวลาสำคัญที่โลกกับมนุษย์
กำลังเกิดอาการวิฤติจนอาจถึงกาลวิบัติได้
หรือเข้ามาเกิดในช่วงเวลาที่โลกกับมนุษย์
กำลังจะเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานใหม่ เป็นต้น

พระบุตรเอก บุตรโทนคนเดียวของพระองค์
นอกจากจะเป็นผู้มากล่าวพระโอวาทพิเศษแล้ว
ยังมีหน้าที่ฉุดช่วยจิตวิญญาณของพวกท่าน
ให้พบหนทางหลุดพ้นนิพพานที่ถูกต้องแท้จริง
หลังจากพากันหลงทางขึ้นไปสร้างสวรรค์มายา
เพราะก้าวตามคนนำทางตาบอดมานับพันๆปีแล้ว

อีกทั้งในยุคสมัยนี้เป็นปลายยุคพลังงานเก่า
พระบุตรเอกจึงต้องเข้ามากล่าวความจริงให้รู้ว่า
ได้เวลาที่ลูกแกะทุกตัวของพระองค์
ต้องรีบกลับเข้าสู่ประตูคอกที่เคยออกมากันแล้ว
เพราะครบกำหนดเวลา 6 หมื่นปีตามสัญญา
ที่พระบิดาผู้เป็นเจ้าของฝูงแกะทรงอนุญาตไว้

การกลับเข้าประตูคอกแกะหมายถึง
การที่จิตวิญญาณของท่านจะต้องหลุดพ้น
ออกไปจากอนันตจักรวาลผ่านด่านนภาลัย
เพื่อกลับคืนสู่ดินแดนจิตจักรวาลบ้านเกิด
ไปกราบพระบาทพระบิดาที่ทรงยอมให้มาเกิด
เมื่อหกหมื่นปีโดยประมาณที่ผ่านมาจนบัดนี้

ภารกิจสุดท้ายของพระบุตรเอกก็คือ
การแจ้งข่าวสารปฏิบัติการชำระโลกทั้งระบบ
ข่าวสารปฏิบัติการชำระโลกทุกมิติ
ไม่เว้นแม้แต่มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายด้วย

ผู้ที่ถูกคัดไว้คือผู้ที่จะได้รับประทานความรอด
ผู้ที่ถูกคัดทิ้งจะเป็นดั่งขยะที่ต้องถูกเผาทำลาย
เพราะโลกเสรีนี้ไม่มีพื้นที่พอต่อการกลบฝังแล้ว
ทั้งขยะคน ขยะวัตถุเท็คโนโลยี และขยะพลังงาน
ที่เกิดจากการล้มเหลวด้านจิตสามนึกของมนุษย์
มันมีมากมายก่ายกองจนท่วมโลกไปทั่วแล้ว

ขณะที่พระองค์ทรงส่งพระบุตรเอกเข้ามา
ทำหน้าที่ฉุดช่วยพวกท่านทั้งหลายให้หลุดพ้น
พวกมารและเหล่าซาตานทั้งหลาย
ก็จะพากันมาเกิดในระบบโลกด้วยเช่นกัน
โดยจะเข้ามาปิดกั้นโอกาสการเข้าถึงพระบิดา
ของประดาผู้ปรารถนาการหลุดพ้นที่เป็นคนดี
แต่มีสภาวะจิตปัญญาที่อ่อนแอในทุกทาง

อาจเข้ามายุแยงให้ไขว้เขว
อาจเข้ามาจูงใจให้หลงผิด
อาจเข้ามาสอนธรรมะฉบับงมงายมิใช่หลุดพ้น
ผู้อ่อนด้อยทางปัญญาและงมงาย
จึงอาจหลงทางมารเพราะไม่รู้เท่าทันกันง่ายๆ
ท่านจะต้องไม่ลืมที่เรากล่าวเตือนเสมอว่า
ไม่ว่ามารหรือซาตานก็มีปัญญาสอนธรรมะได้

ด้วยเหตุนี้เอง
ถ้าจะเลือกใครเป็นครูจึงต้องเลือกด้วยปัญญา
อย่าเลือกครูด้วยความรู้สึกที่เป็นกิเลส
ประตูนิพพานหรือประตูคอกแกะ
จึงจะเปิดอ้าให้จิตวิญญาณท่านผ่านออกไปได้

กราบพระบาทพระบิดาฯ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
16/01/2021

คำสอน 16/01/2021

 

จงรักษาคำสัตย์ไว้ให้มั่น
ไม่ต้องสาบานโดยอ้างสวรรค์ซึ่ง
เป็นที่ประทับของพระบิดาหรือ
อ้างพระแม่ธรรณีซึ่งเป็นที่วาง
พระบาทของพระองค์

จงอย่าสาบานโดยเอาศรีษะเป็นประกัน
ถ้าท่านยังเปลี่ยนสีเส้นผมให้ขาว
หรือดำไปอีกสักเส้นหนึ่งไม่ได้

15 มกราคม 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล 15/01/2021

สนทนาประสาจิตจักรวาล

15/01/2021


พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ดาวเคราะห์โลกเสรี ดวงนี้
จะเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองอย่างต่อเนื่อง
ด้วยอัตราความเร็วคงที่มาจนถึงทุกวันนี้ไม่ได้

1.ถ้าไม่มีมนุษย์และสิ่งมีชีวิตทั้งหลายดำรงอยู่
ในจำนวนที่เหมาะสมตามที่พระองค์กำหนดไว้
เพื่อให้น้ำหนักมวลรวมบนพื้นผิวโลก
สมดุลกันกับน้ำหนักมวลภายในแกนโลก
เพื่อมิให้โลกแกว่งส่ายขณะหมุนรอบตัวเอง

2.ถ้ามนุษย์และสิ่งมีชีวิตทั้งหลายบนโลกนี้
ไม่ยอมสั่นสะเทือนแก่นแท้ในตนเองด้านบวก
เพื่อผลิตสร้างพลังงานแห่งรักออกมาในรูปของ
คลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
ที่เป็นพลังงานร่วมจาก จิตสามนึกด้านบวก
อันเป็นพลังงานความรักในแบบที่โลกต้องการ

3.ถ้าพี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
นอกจากจะรักกันไม่ได้ให้อภัยกันไม่เป็น
เมื่อพบเจอบททดสอบร้ายๆจากคนรอบข้างแล้ว
ยังสั่นสะเทือนจิตสามนึกเป็น จิตไร้สามนึก
ทำการผลิตสร้างพลังงานร้ายที่โลกไม่ต้องการ
เช่น อารมณ์ขยะรายวันจำพวกโทสะโลภะโมหะ
ผลิตออกมาเป็นขยะพลังงานจนรกโลกไปหมด

ผลลัพธ์ด้านร้ายในข้อนี้ก็คือ
นอกจากโลกจะไม่ได้รับประโยชน์แล้ว
พลังงานขยะจากอารมณ์ขยะของจิตไร้สามนึกนี้
มันยังจะก่อให้เกิด มหันตภัยพิบัติ บนโลกนี้ด้วย
ซึ่งมันมิได้เป็นผลดีต่อมวลมนุษย์โลกเลย

เช่น จะเกิดแผ่นดินไหว แผ่นดินยุบแยก
ภูเขาถล่ม แผ่นดินสไลด์
อุทกภัย วาตภัย คลื่นอากาศหนาว-ร้อน
ดินฟ้าอากาศวิปริตแปรปรวน
พายุลูกเห็บ พายุหิมะ คลื่นสึนามิ เป็นต้น

4.การตัดโค่นต้นไม้ทำลายป่า
การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตสัตว์ประจำโลกทั้งหลาย
การทำศึกสงครามฆ่ากันตายเองก็เช่นกัน

มันคือการ "ลดจำนวน" เครื่องยนต์แห่งกรรม
ที่พระบิดาทรงกำหนดติดตั้งไว้ให้ในระบบโลก
เพื่อให้ช่วยกันผลิตความรักมอบให้โลกนั้น
ทำให้โลกมี "กลไก" ในการผลิตลดน้อยลงด้วย

เมื่อมาเกิดแล้วให้ความรักกับโลกก็ไม่ได้
แถมยังฆ่ากันตายเองเพื่อนำมากินเป็นอาหาร
และยังมีการล่าสังหารเพื่อล้างแค้นเพื่อกีฬา
แล้วจะมิให้โลกนี้มีปัญหาไม่เสียสมดุลได้อย่างไร

ทั้งหมดที่เรากล่าวมาตั้งแต่ต้นนี้
เป็นความเลวร้ายจากการที่ท่านทั้งหลาย
มอบความรักในแบบที่โลกต้องการให้กันไม่ได้
โดยภัยพิบัติที่เกิดขึ้นจนพวกท่านกับโลกเอง
ต้องเผชิญกับความวิบัติแบบแผ่นดินสะเทือน
ความวิบัติแบบมีการตายหมู่ที่นั่นที่นี่อยู่เนืองๆ
จากภัยพิบัติแบบต่างๆที่ท่านเองก็มองออกบอกได้

แต่ยังมีปัญหาใหญ่ในมิติทางจิตวิญญาณ
ที่พวกท่านทั้งหลายยังไม่รู้ว่าท่านไม่รู้
ซึ่งเป็นปัญหาที่ยังมิได้รับการแก้ไขเยียวยา
เพราะว่าไม่มีใครสามารถให้สติทางวิญญาณ
แก่พวกท่านได้จนตลอดนับพันๆปีที่ผ่านมา
เพราะว่ามันเป็นความจริงระดับ อนุตรธรรม

นั่นคือ
จิตหยาบของพวกท่านแต่ละคน
ไม่เคยรู้มาก่อนว่า
ถ้าท่านสั่นสะเทือนสูงสุดทางด้านบวกไม่ได้
ไม่ว่าใครจะยื่นเงื่อนไขบททดสอบจิตสามนึก
เป็นด้านบวกที่ชอบหรือด้านลบที่ไม่ชอบมาให้
จิตหยาบก็จะยกระดับแรงสั่นสะเทือนของตน
ให้เป็นหนึ่งเดียวกันกับจิตวิญญาณไม่ได้

นอกจากนั้นพวกท่านยังไม่รู้อีกด้วยว่า
จิตหยาบต้องช่วยให้จิตวิญญาณของท่าน
ออกมาทำหน้าที่สั่นสะเทือนร่วมกัน
ในการขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรม
ให้เป็นการกระทำที่ถูกต้องทั้ง 2 มิติให้จงได้
มิใช่จิตหยาบลุแก่อำนาจจากความหลง
ยึดเอาเครื่องยนต์แห่งกรรมนี้ไว้เป็นสมบัติตน
ด้วยการคิดพูดหรือทำอะไรๆเพื่อจิตหยาบเอง
แล้วกักขังทอดทิ้งจิตวิญญาณเอาไว้ข้างใน
ไม่ใส่ใจความต้องการของจิตวิญญาณบ้างเลย

ท่านจึงต้องรู้ว่าถ้าในภพชาตินี้
ท่านยังจำไม่ได้ว่าตนมีจิตวิญญาณอยู่ข้างใน
ยังทำอะไรๆตามใจตัวเองอยู่ร่ำไปแล้ว
ท่านคือผู้ที่ทำให้จิตวิญญาณเสียชาติเกิด
เพราะ "ล้มเหลว" ในการมาเกิดเป็นมนุษย์
เนื่องจากจิตหยาบเป็นอุปสรรคเสียเอง
ในที่สุดตัวท่านคือจิตวิญญาณนั่นแหละ
จะไม่สามารถหลุดพ้นนิพพานกลับบ้านได้
ต้องตายแล้วย้อนกลับมาเกิดในภพชาติใหม่
เพื่อหวังพึ่ง "จิตหยาบ" กลุ่มใหม่ในภพชาติใหม่
เป็นตัวแทนของตนที่จะช่วยให้ตนสำเร็จผลได้
แม้ว่ามันอาจเป็นความหวังลมๆแล้งๆอยู่ก็ตาม

เพราะว่าจิตหยาบหรือจิตมนุษย์
ไม่รู้ความจริงที่เป็น "อนุตรธรรม" นี้
เนื่องจากศาสดาที่เกิดจากโลกทั้งหลาย
ไม่เคยกล่าวความจริงเรื่องนี้ให้ได้รู้มาก่อน
อีกทั้งพวกท่านทั้งหลายมีนิสัย "ยึดติด" ว่า

สิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุด
สิ่งที่เป็นเลิศที่สุด
สิ่งที่ประเสริฐที่สุด
สิ่งที่ชอบที่สุด
จะต้องมีเพียงสิ่งเดียว
จะต้องมีเพียงชิ้นเดียว หรือคนเดียวเท่านั้น

ทั้งๆที่ตนเองลืมตัวไปว่า
ตนนั้นมีหน้าที่รักบิดามารดาของตนทั้งคู่
จะรักคนใดคนหนึ่งเพียงแค่คนเดียว
แล้วปฏิเสธอีกคนหนึ่งไปไม่ได้
เพราะทั้งคู่เป็นผู้ให้ชีวิตแก่บุตรร่วมกัน
แล้วช่วยกันเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนลูกมาด้วยกัน
จะเลือกรักแค่คนที่ตนถูกใจกว่าย่อมไม่ได้

เรื่องของศาสดาก็เช่นกัน
พระองค์ล้วนเป็นหนึ่งเดียวกันสำคัญเช่นกัน
แม้บางพระองค์จะเป็นศาสดาที่มาจากพระเจ้า
ขณะที่พระองค์อื่นๆเป็นศาสดาที่เกิดจากโลก
พวกท่านจะเลือกรักศรัทธาพระองค์เดียว
แล้วปฏิเสธพระองค์อื่นๆไปดั่งไร้ค่าไม่ได้

เช่น พระศาสดาที่เกิดจากโลก
จะทรงกล่าวสอนโลกียธรรมและโลกุตรธรรม
ให้ท่านทั้งหลายเรียนรู้และก้าวตามได้
ขณะที่พระบุตรเอกซึ่งเป็นศาสดามาจากพระเจ้า
ก็ถ่ายทอด "อนุตรธรรม" จากพระเจ้า
เข้ามาบอกกล่าวให้มนุษย์โลกทั้งหลาย
ผู้ไม่รู้ให้ได้รู้เพื่อเติมภูมิธรรมให้เต็มล้น
อันเป็นปัจจัยสำคัญต่อการหลุดพ้นได้หรือไม่ได้
ของจิตวิญญาณท่านทั้งหลายในชาตินี้ด้วย

ดังนั้น
ถ้าชาตินี้ท่านยังใช้ชีวิตแบบเรื่อยเปื่อย
ยังทำอะไรตามความต้องการของจิตหยาบอยู่
โดยไม่รู้หน้าที่ว่าตนต้องทำอะไรบ้าง
ขณะที่เวลาสุดท้ายแห่งการชำระโลก
เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานใหม่
กำลังใกล้มาถึงแล้ว

โอกาสเพื่อการอยู่รอด
กับโอกาสเพื่อการหลุดพ้นของจิตวิญญาณ
มันยิ่งริบหรื่ลงทุกวันๆ
สำหรับการทำตนงมงายไม่เอาไหน
ของใครต่อใครอีกเป็นจำนวนมากล้น
บนดาวโลกเสรีดวงนี้

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
15/01/2021

คำสอน 15/01/2021

 

สิ่งที่ออกมาจากข้างใน
จะทำให้มนุษย์เป็นมลทินได้
ถ้ามาจากจิตใจผู้ที่มีมลทิน

คำพูดที่ไร้สาระ
ความคิดที่ผิดบาป
การกระทำที่ก้าวล่วงผู้อื่น
ล้วนทำให้มนุษย์เป็นมลทิน

14 มกราคม 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล 14/01/2021

สนทนาประสาจิตจักรวาล

14/01/2021



พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

เพราะ "จิตหยาบ" คือตัวท่านในขณะยังมีชีวิตอยู่
มีหน้าที่จะต้องยกระดับแรงสั่นสะเทือนของจิต
ให้เพิ่มสูงขึ้นทางด้านบวกเพื่อเป็นหนึ่งเดียวกัน
กับจิตวิญญาณตัวตนแก่นแท้ที่เร้นอยู่ข้างในให้ได้
โดยจักต้องสั่นสะเทือนเป็น การรักเพื่อให้ เท่านั้น

ท่านทั้งหลายจึงต้องเรียนรู้ให้ได้ว่า
"ความรักเพื่อให้" นั้นเป็นอย่างไร

เคยมีท่านประธานคณะกรรมการบริหาร
ในกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตสินค้าส่งออกนอก
ได้มาปรารภกับเราถึงเรื่อง ความรัก ว่า

การจัดฝึกอบรมสร้างจิตสามนึกแห่งรัก
ให้แก่ผู้บริหารและระดับผู้จัดการของกลุ่มบริษัท
ด้วยกระบวนการ PsychoShow ของ "ปริญญา"
จะนำพาองค์กรให้เกิดความมั่นคงและมั่งคั่งขึ้น
อย่างแตกต่างไปจากปัจจุบันได้จริงแท้แค่ไหน

เพราะเพียงแค่ปลูกสร้าง "ความรัก"
ด้วยการหว่านเมล็ดพันธุ์ลงไปในจิตใจ
ด้วยกระบวนการฝึกอบรมผ่าน จิตสามนึก
มันจะทำให้เจ้านายและลูกน้องทุกคนทุกระดับ
ขยันทำงานมากขึ้น รักองค์กรของตนมากขึ้น
ทำงานร่วมกันอย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น
และเพิ่มผลผลิตให้มากยิ่งขึ้นได้อย่างไร

เพราะว่าในอดีตที่ผ่านมาตราบทุกวันนี้นั้น
บริษัทในเครือทั้งหมดต่างอยู่รอดปลอดภัยมาได้
มิได้เคยใส่ใจ "ความรักเพื่อให้" ของบุคลากร
เพราะท่านมองว่า "ความรัก" ในจิตมนุษย์
ไม่ว่าแบบไหนล้วนเป็น #กิเลสตัณหา ทั้งนั้น
พอมองเห็นว่าเป็นเรื่องของกิเลสตัณหาส่วนตน
ทางประธานและผู้บริหารองค์กร
จึงเห็นเป็นเรื่องส่วนตัวของบุคลากรไปในที่สุด

เมื่อเห็นเป็นเรื่องส่วนตัว
รวมทั้งมองว่า "ความรัก" เป็นเรื่องกิเลสตัณหา
จึงพากันมองข้ามเรื่องนี้ไปทั้งหมด
ทั้งไม่เชื่อว่า "ความรักเพื่อให้" ของทุกคนทุกระดับ
มันมีผลโดยตรงต่อองค์กรที่เป็นองค์รวม
ซึ่งมันจะทำให้ งานได้ผลคนเป็นสุข อย่างแท้จริง

เพราะบุคลากรทุกคนทุกระดับ
จะทำงานด้วยหัวใจสีทอง คือ "ความรักเพื่อให้"
อันเป็นความรักที่บริสุทธิ์ที่เขาจะมอบให้ต่อกัน
ทำให้พวกเขารักองค์กร รักเจ้านาย
รักเพื่อนร่วมงาน รักงานที่พวกเขาทำร่วมกัน
รักลูกค้าและสินค้าที่ร่วมกันผลิต
ด้วย จิตสามนึกแห่งรักที่แท้จริง มิใช่สิ่งอื่น

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

การทำงานและอยู่ร่วมกันในองค์กร
ด้วย "จิตสามนึกแห่งรักเพื่อให้" ที่เรากล่าวนี้
มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับวิธีที่องค์กรใช้อยู่
ซึ่งจะเน้นที่ ผลประโยชน์ หรือ รางวัลจูงใจ
ที่องค์กรกำหนดขึ้นมาเป็น "เป้า" พิเศษ
เพื่อจูงใจให้บุคลากรเกิด กิเลสตัณหา ในจิตใจ
คือ รู้สึกพึงพอใจและอยากได้รางวัลพิเศษนั้น
โดยที่ผ่านมาองค์กรเห็นว่ามันได้ผลดีอยู่แล้ว

แต่เนื่องจากทุกวันนี้เกิดสถานการณ์โควิด 19
ความต้องการขายสินค้าหรือผลิตยังสูงเท่าเดิมอยู่
แต่ขณะที่ความต้องการจะซื้อของตลาดกลับลดลง
องค์กรทั้งหลายจึงมีปัญหายอดขายต่ำรายได้ตก
จนเริ่มจะวิกฤติมากยิ่งขึ้นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆแล้ว

บริษัทต่างๆจึงต้องหาหนทางเอาตัวรอด
ด้วยการคิดหามาตรการใหม่ๆเข้ามาใช้
เพื่อความอยู่รอดทางธุรกิจการค้าขององค์กร
เพื่อลดความเสี่ยง เป็นต้นว่า

1.ปรับลดจำนวนบุคลากรที่เป็นทุนมนุษย์
คัดเอาแต่พนักงานที่ดีและมีคุณภาพไว้
2.ปรับลดต้นทุนด้านการบริหารและการจัดการ
3.ปรับลดต้นทุนการสูญเสียด้านทรัพยากรวัตถุดิบ
4.ปรับเพิ่มผลผลิตผลงานจากบุคลากรให้มากขึ้น
โดยใช้คนน้อยลงแต่ปริมาณและคุณภาพคงเดิม

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

ใน 4 ประการนี้
มีอยู่หลายประการเลยที่เกี่ยวข้องกับบุคลากร
ซึ่งมันทำให้บุคลากรที่ต้องออกไปจากบริษัทแล้ว
และบุคลากรที่ยังทำงานอยู่เป็นพนักงานอยู่
เกิดความรู้สึกถูก กดดัน ถูกบีบคั้น
จนยังผลให้ "ดัชนีชี้วัดความสุข" ตกต่ำลงชัดเจน

บุคลากรส่วนใหญ่เมื่อรู้สึกว่าตนถูกบีบคั้น
ก็จะพากันมองว่าองค์กรของตนไม่มั่นคง
สถานภาพการเป็นพนักงานก็ไม่แน่นอนไม่มั่นคง
ความเห็นแก่ตัวเพื่อเอาตัวรอดก็จะมีมากขึ้น
ความร่วมมือร่วมแรงร่วมใจกันก็จะไม่มีให้เห็น
ความทุ่มเทใจกายให้กับงานและองค์กรจะลดลง
ทำให้ "งานไม่ได้ผล" และคนไม่มีความสุข

สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า
ในอดีตกาลที่ผ่านมา
องค์กรใช้นโยบาย จ้างคนมาสร้างผลประโยชน์
คนไหนมีคุณภาพให้ประโยชน์ได้ก็จ้างไว้
คนไหนด้อยคุณภาพให้ประโยชน์มิได้ก็คัดทิ้ง
โดยสนใจคุณภาพของคนสองในสามด้านเท่านั้น
คือ บุคลากรที่จะจ้างต้องเป็น คนเก่ง คนฉลาด
แต่มิได้ให้ความสนใจใน ความเป็นคนดี เลย

เอาเป้าหมายเอารายได้ที่บุคลากรอยากได้มาล่อ
เพื่อจูงใจให้เขาอยากได้รางวัลพิเศษนั้น
แล้วขยันทำงานสนององค์กรในที่สุด
โดยท่านผู้บริหารลืมคิดไปว่าถ้าวิธีนี้จะได้ผลนั้น

1.ผลประโยชน์ในเป้าพิเศษที่เอามาล่อใจ
รางวัลนั้นมันจะต้อง "ชิ้นใหญ่" เป็นพิเศษ

2.การจะได้มาซึ่งรางวัลพิเศษชิ้นใหญ่นั้น
มันจะต้องไม่ยากเกินกำลังความสามารถพวกเขา
จากที่เขามีอยู่ทำอยู่เท่านั้น

3.ความร่วมมือพิเศษใดๆที่องค์กรต้องการ
พวกเขาส่วนใหญ่จะยอมรับยอมร่วมมือไม่ได้
ถ้าเป็นวิธีที่จะทำให้พวกเขาลดรายได้
จะทำให้พวกเขาขาดโอกาสหรือเสียประโยชน์

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

บุคลากรขององค์กรที่กำลังวิกฤติจากโควิด 19
ที่ขาดการพัฒนาจิตสามนึกแห่งรักเพื่อให้
เพราะองค์กรแสวงประโยชน์จากพวกเขาด้านเดียว
โดยมองว่า "ความรัก" เป็นเรื่องของกิเลสตัณหา
จึงไม่เคยศรัทธาในการปลูกสร้างจิตสามนึกแห่งรัก
ให้แก่บุคลากรทุกระดับชั้นขององค์กรตลอดมา
ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิดพลาดร้ายแรงยิ่งนัก

ท่านจึงไม่ต้องแปลกใจว่า
ทำไมพนักงานบางคนจึงฉ้อฉลคดโกงบริษัท
ทั้งๆที่หลายคนไม่เคยมีประวัติเสียในเรื่องนี้

ทำไมพนักงานมากมายไม่มีไฟในการทำงาน
ยังมีอาการเซ็งๆซังกะตายไปวันๆ
ความขยันทำงานกับความมุ่งมั่นลดลง
ความร่วมมือในการช่วยกอบกู้วิกฤติขององค์กร
เป็นสิ่งที่ผู้บริหารได้รับตอบสนองแค่ เสียงเงียบ

ยิ่งบริษัทไม่มีลูกค้า หาออร์เดอร์ไม่ได้
จนบริษัทกลายเป็นลูกหนี้ของพนักงาน
มิใช่ลูกหนี้แหล่งเงินกู้อย่างเดียวด้วยแล้ว
คงไม่ต้องถามหาว่า....อนาคตอันใกล้
จะกู้วิกฤติองค์กรของท่านกันอย่างไร

ถ้าบุคลากรทุกระดับ
ไม่รักองค์กรของตนเลย
ไม่รักงานและเพื่อนร่วมงานมากพอ
คงรักแต่ความมั่งคั่งมั่นคงของตนเอง
เพื่อปากท้องและครอบครัวของตนเท่านั้น
เท่ากับว่าองค์กรนั้นกำลังรอวันหายนะ

ที่เรากล่าวมาทั้งหมดในบทนี้
เพียงเพื่อต้องการชี้แนวคิดและมุมมอง
ให้ท่านทั้งหลายไม่ว่าใครก็ตามได้รู้ว่า
การทำทุกสิ่งร่วมกันในสังคม
ด้วยการสนใจใฝ่หาแต่ประโยชน์ส่วนตน
โดยขาด "ความรักเพื่อให้" ในรูปแบบของ
การอดทน อดกลั้น ให้อภัย ผู้อื่น
การมีจิตเมตตา กรุณา มุทิตาต่อกัน
การแลกเปลี่ยน แบ่งปัน เสียสละให้กัน
ในยามวิกฤติโลกหรือองค์กรวิกฤตินั้น
มันจะมีแต่ความหายนะให้ต้องเผชิญเท่านั้น

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
14/01/2021

คำสอน 14/01/2021

 

จงอย่าช่วยเหลือ
เฉพาะคนที่คาดว่า
จะช่วยท่านกลับคืนได้

แต่จงช่วยคนที่ลำบากยากจน
แล้วท่านจะเป็นสุข

เพราะพวกเขาไม่มีอะไร
จะตอบแทนท่าน นอกจากท่าน
จะรับรางวัลจากพระบิดา

13 มกราคม 2564

จิตวิญญาณและจิตหยาบ

“ ถ้าท่านไม่รู้ว่า

จิตวิญญาณของท่านต้องการให้

จิตหยาบทำอะไร

ไม่ทำอะไร 

การตายแล้วเกิดใหม่ก็มิอาจเลี่ยงพ้น  

12 มกราคม 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล 12/01/2021

สนทนาประสาจิตจักรวาล

12/01/2021


พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

หน้าที่สำคัญสูงสุดของ "จิตหยาบ"
ในการดำเนินชีวิตประจำวันตั้งแต่ 3 ขวบ
จนตลอดสิ้นอายุขัยมีดังนี้ คือ

1.การเรียนรู้ที่จะมีชีวิตรอดปลอดภัย
2.การเรียนรู้ที่จะใช้อายตนะและอวัยวะ
3.การเรียนรู้ที่จะใช้จิตสัญชาตญาณ
4.การเรียนรู้ที่จะใช้จิตตปัญญาของสมอง
5.การเรียนรู้ที่จะสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น
6.การเรียนรู้ที่จะใช้ความรักเพื่อให้กับทุกคน

ในประดาหน้าที่สำคัญทั้ง 6 ประการนี้
ท่านทั้งหลายมีเวลาให้เรียนรู้ได้
เท่าที่เวลาแห่งชีวิตของท่านยังมีให้ใช้อยู่
ซึ่งมันจะเริ่มต้นเรียนรู้กันอย่างจริงจังได้
ก็ตั้งแต่สมองสองซีกซ้ายขวาของท่าน
มันเชื่อมโยงกันเรียบร้อยแล้วเมื่อครบ 3 ขวบ

การเรียนรู้เพื่อจะพัฒนาตนเอง
ของจิตหยาบหรือจิตมนุษย์ของท่านทั้งหมดนั้น
ล้วนเป็นการกระทำเพื่อจิตวิญญาณทั้งสิ้น
เพราะ "จิตหยาบ" เป็นตัวแทนของ "แก่นแท้"
คือ จิตวิญญาณ ผู้มาเกิดเป็นท่านนี่แหละ

โดยจิตวิญญาณได้แบ่งภาคตนเองออกมา
เป็นกลุ่มพลังงานรวมทั้งสิ้น 189 กลุ่ม
ให้ช่วยทำหน้าที่ขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรม
ที่เป็นรูปธรรมมนุษย์ทั้งชายและหญิงแทนตน
ขณะดำรงชีวิตอยู่ในระบบโลกเสรีนี้

ท่านจักต้องรู้ว่า
รูปธรรมทางพลังงานที่เป็นจิตวิญญาณของท่าน
ผู้เดินทางมาจากแดนจิตจักรวาลนอกด่านนภาลัย
เข้ามาข้างในอนันตจักรวาลเพื่อเกิดเป็นมนุษย์นั้น
ได้ทำการแบกขนพลังงานความรักบริสุทธิ์
จากพระผู้เป็นเจ้าคือ องค์จิตจักรวาล มาด้วย
เพื่อนำข้ามมิติเข้ามามอบให้โลกและทุกสรรพสิ่ง
ในพระนามแห่งพระผู้เป็นเจ้าหรือพระผู้สร้าง

แต่เนื่องจากเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
ที่พวกท่านเรียกขานกันว่า กายสังขาร นั้น
พระบิดาทรงกำหนดให้สร้างขึ้นไว้ในระบบโลก
เพื่อให้จิตวิญญาณหรือพระจิตใช้เป็นเปลือกนอก
หุ้มห่อตนเองไว้ขณะทำหน้าที่อยู่ในระบบโลก
เพราะภารกิจของจิตวิญญาณจะทำสำเร็จได้
ต้องอาศัยเครื่องยนต์แห่งกรรมหรือ "กายหยาบ"
เป็นเครื่องมือแทบทั้งสิ้น

การที่พระบิดาทรงอนุญาตให้จิตวิญญาณ
แบ่งภาคพลังงานตนเองออกมาเป็น "จิตหยาบ"
เพื่อดูแลรับผิดชอบกายหยาบแทนตนนั้น
เหตุผลข้อหนึ่งก็คือเพื่อป้องกันมิให้จิตวิญญาณ
สูญเสียความบริสุทธิ์สมดุลไปจากคุณสมบัติเดิม
มิเช่นนั้นจิตวิญญาณจะหลุดพ้นกลับบ้านมิได้

ดังนั้น
จิตหยาบในแต่ละภพชาติของท่าน
จะเป็นกลุ่มพลังงานกลุ่มใหม่ที่ไม่รู้อะไรเลย
จิตหยาบจึงจำต้องเรียนรู้โลกในทุกสิ่งทุกด้าน
โดยเฉพาะทั้ง 6 ประการที่เรากล่าวไว้ข้างต้นนั้น
ต้องเรียนรู้เพื่อการทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณ
ให้ประสบความสำเร็จทั้งสองมิติให้ได้
คือมิติทางกายภาพซึ่งเป็นมิติของกายหยาบ
กับมิติทางจิตวิญญาณซึ่งเป็นมิติของแก่นแท้

หมายความว่า "จิตหยาบ" ของท่าน
จะต้องคนตนเองทั้งสองมิติก็คือ
ดูแลทั้งเครื่องยนต์แห่งกรรมและจิตวิญญาณ
ให้มีการสั่นสะเทือนร่วมกันให้จงได้นั่นเอง
ซึ่งจิตหยาบกับจิตวิญญาณจะเป็นหนึ่งเดียวได้
ความลับก็คือ "จิตหยาบ" ต้องรักเพื่อให้เท่านั้น
จิตหยาบจะสั่นสะเทือนเป็นคุณสมบัติอื่นๆมิได้

จิตหยาบจะสั่นสะเทือนเป็นอาการอื่น
เช่น ตัณหา ราคะ อารมณ์ขยะโลภโกรธหลง
อิจฉา ริษยา ลังเล สงสัย ระแวง เศร้าหมอง ฯลฯ
รวมทั้งความใคร่อันหมายถึง รักเพื่อเอา
จะทำให้จิตหยาบเข้าถึงจิตวิญญาณไม่ได้ทั้งสิ้น

ดังนั้น
ทุกลมหายใจของท่านทั้งหลายตลอดวัน
ท่านจึงต้องเรียนรู้ที่จะรักเพื่อให้กับทุกๆคน
เรียนรู้ที่จะรักจนเป็นนิสัยธรรมชาติของตนให้ได้

เพื่อเปิดประตูมิติให้จิตวิญญาณของท่าน
นำเอาความรักที่อุตส่าห์แบกขนมาจากพระเจ้า
ออกมามอบให้กับโลกเพื่อช่วยให้โลกหมุน
ออกมามอบให้ท่านเองและเพื่อนร่วมโลก
เพื่อช่วยให้โลกและทุกสิ่งสมดุลชั่วกาลนิรันดร์

ถ้าจิตหยาบคือตัวท่านเอง
ไม่สามารถสั่นสะเทือนจิตสามนึกด้านบวก
เพื่อรักคนไม่น่ารักให้ได้
อดทน อดกลั้น ให้อภัยแก่คนที่ร้ายๆไม่เป็น
ไม่มีจิตเมตตากรุณาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย
จิตวิญญาณของท่านจะเศร้าหมองยิ่งนัก
เพราะเสมือนถูกกักขังอยู่ข้างใน
เนื่องจากจิตหยาบไร้สำนึกทางวิญญาณ
ทำให้ต้องเสียชาติเกิดไปอีกหนึ่งภพชาติ
เพราะมาเกิดได้แต่ทำหน้าที่ของตนไม่ได้

ท่านทั้งหลายจึงต้องรู้ว่า
การทำอะไรตามความพอใจของตนเอง
เพื่อตอบสนองความต้องการนั่นแหละ
คืออุปสรรคสำคัญที่ปิดกั้นความเป็นหนึ่งเดียว
ระหว่างจิตหยาบกับจิตวิญญาณไว้

การเป็นหนึ่งเดียวกันของสองจิต
มันจะเกิดขึ้นได้ด้วย แรงสั่นสะเทือน ด้านบวก
โดยจิตหยาบต้องยกระดับสภาวะจิต
จากการสั่นสะเทือนเป็นคลื่นหยาบๆความถี่ต่ำ
จำพวกอารมณ์ขยะรายวันต้องเลิกสั่นมันให้สิ้น
ยิ่งสั่นทางด้านบวกมากเท่าใดยิ่งดีมากเท่านั้น
แต่ถ้าวันๆหนึ่งพวกท่านยังตกเป็นทาสกิเลส
โอกาสเข้าถึงจิตวิญญาณก็จักยิ่งริบหรี่
เท่ากับจิตวิญญาณเสียโอกาสฟรีไปอีกหนึ่งรอบ
จำนวนภพชาติแห่งการเกิดใหม่ของท่านในอดีต
ที่มันต้องมีมากจนนับภพชาติกันไม่ถ้วนนั้น
ล้วนเป็นผลมาจากสาเหตุนี้นี่แหละท่าน

ดังนั้น
จงจำให้ขึ้นใจและจงทำให้ชำนาญด้วยว่า
การสั่นสะเทือนจิตสามนึกเป็น "รักเพื่อให้"
ที่ถูกต้องถ่องแท้ที่จิตวิญญาณต้องการคืออะไร
เพราะเป็นอีกคุณสมบัติหนึ่งของท่าน
ที่จะช่วยให้จิตวิญญาณสำเร็จในการนำรักมาให้
และจะช่วยส่งจิตวิญญาณให้หลุดพ้นนิพพาน
คืนกลับบ้านแดนจิตจักรวาลภายนอกเอกภพได้
ภายในภพชาติสุดท้ายนี้ได้เลย
เพราะจิตวิญญาณของท่านทำหน้าที่สำเร็จแล้ว
โดยมีจิตหยาบคือตัวท่านเป็นผู้ช่วยเหลือ

กราบพระบาทพระบิดาฯทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
12/01/2021

สนทนาประสาจิตจักรวาล 12/01/2021

สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
หน้าที่สำคัญสูงสุดของ "จิตหยาบ"
ในการดำเนินชีวิตประจำวันตั้งแต่ 3 ขวบ
จนตลอดสิ้นอายุขัยมีดังนี้ คือ
1.การเรียนรู้ที่จะมีชีวิตรอดปลอดภัย
2.การเรียนรู้ที่จะใช้อายตนะและอวัยวะ
3.การเรียนรู้ที่จะใช้จิตสัญชาตญาณ
4.การเรียนรู้ที่จะใช้จิตตปัญญาของสมอง
5.การเรียนรู้ที่จะสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น
6.การเรียนรู้ที่จะใช้ความรักเพื่อให้กับทุกคน
ในประดาหน้าที่สำคัญทั้ง 6 ประการนี้
ท่านทั้งหลายมีเวลาให้เรียนรู้ได้
เท่าที่เวลาแห่งชีวิตของท่านยังมีให้ใช้อยู่
ซึ่งมันจะเริ่มต้นเรียนรู้กันอย่างจริงจังได้
ก็ตั้งแต่สมองสองซีกซ้ายขวาของท่าน
มันเชื่อมโยงกันเรียบร้อยแล้วเมื่อครบ 3 ขวบ
การเรียนรู้เพื่อจะพัฒนาตนเอง
ของจิตหยาบหรือจิตมนุษย์ของท่านทั้งหมดนั้น
ล้วนเป็นการกระทำเพื่อจิตวิญญาณทั้งสิ้น
เพราะ "จิตหยาบ" เป็นตัวแทนของ "แก่นแท้"
คือ จิตวิญญาณ ผู้มาเกิดเป็นท่านนี่แหละ
โดยจิตวิญญาณได้แบ่งภาคตนเองออกมา
เป็นกลุ่มพลังงานรวมทั้งสิ้น 189 กลุ่ม
ให้ช่วยทำหน้าที่ขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรม
ที่เป็นรูปธรรมมนุษย์ทั้งชายและหญิงแทนตน
ขณะดำรงชีวิตอยู่ในระบบโลกเสรีนี้
ท่านจักต้องรู้ว่า
รูปธรรมทางพลังงานที่เป็นจิตวิญญาณของท่าน
ผู้เดินทางมาจากแดนจิตจักรวาลนอกด่านนภาลัย
เข้ามาข้างในอนันตจักรวาลเพื่อเกิดเป็นมนุษย์นั้น
ได้ทำการแบกขนพลังงานความรักบริสุทธิ์
จากพระผู้เป็นเจ้าคือ องค์จิตจักรวาล มาด้วย
เพื่อนำข้ามมิติเข้ามามอบให้โลกและทุกสรรพสิ่ง
ในพระนามแห่งพระผู้เป็นเจ้าหรือพระผู้สร้าง
แต่เนื่องจากเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
ที่พวกท่านเรียกขานกันว่า กายสังขาร นั้น
พระบิดาทรงกำหนดให้สร้างขึ้นไว้ในระบบโลก
เพื่อให้จิตวิญญาณหรือพระจิตใช้เป็นเปลือกนอก
หุ้มห่อตนเองไว้ขณะทำหน้าที่อยู่ในระบบโลก
เพราะภารกิจของจิตวิญญาณจะทำสำเร็จได้
ต้องอาศัยเครื่องยนต์แห่งกรรมหรือ "กายหยาบ"
เป็นเครื่องมือแทบทั้งสิ้น
การที่พระบิดาทรงอนุญาตให้จิตวิญญาณ
แบ่งภาคพลังงานตนเองออกมาเป็น "จิตหยาบ"
เพื่อดูแลรับผิดชอบกายหยาบแทนตนนั้น
เหตุผลข้อหนึ่งก็คือเพื่อป้องกันมิให้จิตวิญญาณ
สูญเสียความบริสุทธิ์สมดุลไปจากคุณสมบัติเดิม
มิเช่นนั้นจิตวิญญาณจะหลุดพ้นกลับบ้านมิได้
ดังนั้น
จิตหยาบในแต่ละภพชาติของท่าน
จะเป็นกลุ่มพลังงานกลุ่มใหม่ที่ไม่รู้อะไรเลย
จิตหยาบจึงจำต้องเรียนรู้โลกในทุกสิ่งทุกด้าน
โดยเฉพาะทั้ง 6 ประการที่เรากล่าวไว้ข้างต้นนั้น
ต้องเรียนรู้เพื่อการทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณ
ให้ประสบความสำเร็จทั้งสองมิติให้ได้
คือมิติทางกายภาพซึ่งเป็นมิติของกายหยาบ
กับมิติทางจิตวิญญาณซึ่งเป็นมิติของแก่นแท้
หมายความว่า "จิตหยาบ" ของท่าน
จะต้องคนตนเองทั้งสองมิติก็คือ
ดูแลทั้งเครื่องยนต์แห่งกรรมและจิตวิญญาณ
ให้มีการสั่นสะเทือนร่วมกันให้จงได้นั่นเอง
ซึ่งจิตหยาบกับจิตวิญญาณจะเป็นหนึ่งเดียวได้
ความลับก็คือ "จิตหยาบ" ต้องรักเพื่อให้เท่านั้น
จิตหยาบจะสั่นสะเทือนเป็นคุณสมบัติอื่นๆมิได้
จิตหยาบจะสั่นสะเทือนเป็นอาการอื่น
เช่น ตัณหา ราคะ อารมณ์ขยะโลภโกรธหลง
อิจฉา ริษยา ลังเล สงสัย ระแวง เศร้าหมอง ฯลฯ
รวมทั้งความใคร่อันหมายถึง รักเพื่อเอา
จะทำให้จิตหยาบเข้าถึงจิตวิญญาณไม่ได้ทั้งสิ้น
ดังนั้น
ทุกลมหายใจของท่านทั้งหลายตลอดวัน
ท่านจึงต้องเรียนรู้ที่จะรักเพื่อให้กับทุกๆคน
เรียนรู้ที่จะรักจนเป็นนิสัยธรรมชาติของตนให้ได้
เพื่อเปิดประตูมิติให้จิตวิญญาณของท่าน
นำเอาความรักที่อุตส่าห์แบกขนมาจากพระเจ้า
ออกมามอบให้กับโลกเพื่อช่วยให้โลกหมุน
ออกมามอบให้ท่านเองและเพื่อนร่วมโลก
เพื่อช่วยให้โลกและทุกสิ่งสมดุลชั่วกาลนิรันดร์
ถ้าจิตหยาบคือตัวท่านเอง
ไม่สามารถสั่นสะเทือนจิตสามนึกด้านบวก
เพื่อรักคนไม่น่ารักให้ได้
อดทน อดกลั้น ให้อภัยแก่คนที่ร้ายๆไม่เป็น
ไม่มีจิตเมตตากรุณาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย
จิตวิญญาณของท่านจะเศร้าหมองยิ่งนัก
เพราะเสมือนถูกกักขังอยู่ข้างใน
เนื่องจากจิตหยาบไร้สำนึกทางวิญญาณ
ทำให้ต้องเสียชาติเกิดไปอีกหนึ่งภพชาติ
เพราะมาเกิดได้แต่ทำหน้าที่ของตนไม่ได้
ท่านทั้งหลายจึงต้องรู้ว่า
การทำอะไรตามความพอใจของตนเอง
เพื่อตอบสนองความต้องการนั่นแหละ
คืออุปสรรคสำคัญที่ปิดกั้นความเป็นหนึ่งเดียว
ระหว่างจิตหยาบกับจิตวิญญาณไว้
การเป็นหนึ่งเดียวกันของสองจิต
มันจะเกิดขึ้นได้ด้วย แรงสั่นสะเทือน ด้านบวก
โดยจิตหยาบต้องยกระดับสภาวะจิต
จากการสั่นสะเทือนเป็นคลื่นหยาบๆความถี่ต่ำ
จำพวกอารมณ์ขยะรายวันต้องเลิกสั่นมันให้สิ้น
ยิ่งสั่นทางด้านบวกมากเท่าใดยิ่งดีมากเท่านั้น
แต่ถ้าวันๆหนึ่งพวกท่านยังตกเป็นทาสกิเลส
โอกาสเข้าถึงจิตวิญญาณก็จักยิ่งริบหรี่
เท่ากับจิตวิญญาณเสียโอกาสฟรีไปอีกหนึ่งรอบ
จำนวนภพชาติแห่งการเกิดใหม่ของท่านในอดีต
ที่มันต้องมีมากจนนับภพชาติกันไม่ถ้วนนั้น
ล้วนเป็นผลมาจากสาเหตุนี้นี่แหละท่าน
ดังนั้น
จงจำให้ขึ้นใจและจงทำให้ชำนาญด้วยว่า
การสั่นสะเทือนจิตสามนึกเป็น "รักเพื่อให้"
ที่ถูกต้องถ่องแท้ที่จิตวิญญาณต้องการคืออะไร
เพราะเป็นอีกคุณสมบัติหนึ่งของท่าน
ที่จะช่วยให้จิตวิญญาณสำเร็จในการนำรักมาให้
และจะช่วยส่งจิตวิญญาณให้หลุดพ้นนิพพาน
คืนกลับบ้านแดนจิตจักรวาลภายนอกเอกภพได้
ภายในภพชาติสุดท้ายนี้ได้เลย
เพราะจิตวิญญาณของท่านทำหน้าที่สำเร็จแล้ว
โดยมีจิตหยาบคือตัวท่านเป็นผู้ช่วยเหลือ
กราบพระบาทพระบิดาฯทรงเมตตา
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
12/01/2021

11 มกราคม 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล 11/01/2021

สนทนาประสาจิตจักรวาล

11/01/2021



พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า

การที่ท่านทั้งหลาย
มีจิตวิญญาณมาเกิดเป็นมนุษย์บนโลกเสรีนี้
มิได้พากันมาเกิดเพราะความบังเอิญ
มิได้มาเกิดกันแบบลมพัดลมเพ

จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านทั้งหลายนั้น
มิใช่จิตวิญญาณที่ร่อนเร่พเนจรไปเรื่อยเปื่อย
จู่ๆก็โผล่เข้าไปปฏิสนธิในครรภ์มารดา
พอได้เวลาก็คลอดออกมาเกิดเป็นทารก

พอเติบใหญ่ขึ้นมาก็พบว่า
การมาเกิดเป็นมนุษย์นั้นมันมีแต่ความทุกข์
ชีวิตประจำวันช่างมากมายด้วยปัญหา
ตั้งแต่เกิดมาจนเฒ่าแก่แลเห็นแต่ทุกข์ทั้งนั้น
อยู่คนเดียวก็ทุกข์ อยู่กับครอบครัวก็ทุกข์
อยู่กับคนมากมายในสังคมก็ยิ่งทุกข์
มองทางไหนก็ล้วนแต่ทุกข์ทั้งสิ้น

จนชวนให้คิดว่า
เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์โลกเสรีนี้ล้วนมีแต่ทุกข์
แล้วจะมาเกิดกันให้ทุกข์ไปทำไม
ตายแล้วจิตวิญญาณไม่ต้องกลับมาเกิดอีกดีกว่า
จึงพยายามค้นหาวิธีที่จะตายแล้วไม่กลับมาเกิดอีก
อันหมายถึงต้องหยุดการมีสังสารวัฏให้ได้นั่นเอง

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

ความคิดของพวกท่านดังกล่าวนั้น
เป็นความคิดที่ผิดพลาดอย่างยิ่ง
ที่มันผิดพลาดเพราะท่านไม่รู้ความจริงว่า

1.จิตวิญญาณของท่านตั้งใจมาเกิดเป็นมนุษย์
มิใช่มาเกิดเป็นมนุษย์เพราะความบังเอิญ

2.จิตวิญญาณของท่านมาจากแดนจิตจักรวาล
ซึ่งอยู่นอกเอกภพหรือที่เรียกว่า "อนันตจักรวาล"
มิใช่จิตวิญญาณพเนจร

3.จิตวิญญาณของท่านทั้งหลาย
เป็นผู้ขันอาสาพระบิดาผู้ให้กำเนิดท่าน
เข้ามาทำหน้าที่มอบความรักให้โลกและทุกสิ่ง
ในบทบาทของ "คนสองมิติ"

4.การได้มาเกิดเป็นมนุษย์ของจิตวิญญาณท่าน
จักต้องเป็นผู้ได้รับโอกาสเท่านั้นจึงจะมาเกิดได้
ซึ่งจิตวิญญาณของพวกท่านจะได้รับโอกาส
ก็ต่อเมื่อพวกท่านต้องรับสัจจะจากพระบิดาฯว่า

ท่านจะยินยอมปฏิบัติตาม พันธะสัญญา_6
ตามที่เราเคยกล่าวต่อพวกท่านไว้บ่อยครั้งแล้ว
โดยจะปฏิบัติอย่างจริงจังมิให้ขาดพร่อง
และสัญญาว่าถ้าครบ 6 หมื่นปีโลกคือสิ้นยุคแล้ว
พวกท่านจะนำพาจิตวิญญาณหลุดพ้นกลับบ้านให้ได้

5.โดยหน้าที่หลักของจิตวิญญาณของท่าน คือ
ต้องการให้จิตหยาบหรือจิตมนุษย์ของท่านนี่แหละ
ทำหน้าที่แทนตนเองขณะมีชีวิตเป็นมนุษย์
นั่นคือให้เรียนรู้ที่จะยกระดับจิตสามนึกทางด้านบวก
ด้วยการสั่นสะเทือนเป็นความรักเพื่อให้
เช่น อดทน อดกลั้น และให้อภัย ต่อผู้อื่นเสมอ

จิตที่สั่นสะเทือนเป็นความรักนี่แหละ
จะผลิตสร้างคลื่นพลังงานด้านบวกออกมา
มอบให้แก่โลกและเพื่อนร่วมโลก
ตามภารกิจของจิตวิญญาณของท่านเอง

พลังงานจิตด้านบวกก็คือ ความรักเพื่อให้
ซึ่งอยู่ในรูปของคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
ชนิดเดียวกันกับคลื่นความถี่สนามแม่เหล็กโลก

6.เพื่อให้จิตหยาบสามารถผลิตพลังงานความรัก
ออกมามอบให้แก่โลกและทุกสรรพสิ่งได้
จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านทั้งหลาย
จึงต้องวางแผนออกอุบายเอาไว้
ตั้งแต่ภพชาติแรกก่อนจะเข้ามาเกิดยังโลกเสรีนี้
ด้วยการสร้างบททดสอบจิตสามนึกตนเองขึ้นมา
โดยให้จิตวิญญาณที่พร้อมจะเล่นละครร่วมกัน
เป็นสามีภรรยาบุตรบริวารทั้งหลายในครอบครัว
ช่วยยื่นเงื่อนไขในแผนการทดสอบนั้นๆให้กันและกัน

7.บททดสอบจิตสามนึก
ซึ่งเป็นเงื่อนไขนี้จะมีทั้งด้านลบและด้านบวก
โดยพวกท่านกับคนใกล้ตัวเป็นผู้เขียนกันเอง
เป็นผู้เลือกที่จะเผชิญมันเองด้วยกันทั้งสิ้น
พระบิดาทรงเรียกบทละครของพวกท่าน
ที่ต้องแสดงร่วมกันเป็นครอบครัวนี้ว่า ชะตาชีวิต

บทละคร "ชะตาชีวิต" นี่้
นอกจากจะประกอบด้วยบทบาทที่แต่ละคน
จะต้องเล่นต้องแสดงต้องเลือกที่จะเป็นกันมาแล้ว
มันยังต้องมีเงื่อนไขบททดสอบและบทเรียนต่างๆ
ที่จิตวิญญาณของท่านต้องการเรียนรู้รวมอยู่ด้วย

บททดสอบต่างๆที่พวกท่านเขียนกันมาแสดง
จะถูกใช้เป็นเงื่อนไขกระตุ้นหรือปลุกเร้าให้
จิตหยาบของท่านสั่นสะเทือนเป็นด้านบวกให้ได้
ไม่ว่าเงื่อนไขนั้นจะเป็นลบซึ่งท่านไม่ชอบไม่ถูกใจ
ก็จะต้องสั่นสะเทือนเป็นรักให้ได้อภัยให้เป็นเท่านั้น

จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่าน
ชอบที่จะสร้างเงื่อนไขทดสอบตนเองที่ยากๆ
ซึ่งจิตหยาบของท่านจักต้องรับรู้ไว้ด้วยว่า
บททดสอบที่เป็นเงื่อนไขด้านร้ายๆยากๆ
ที่สมาชิกในครอบครัวของท่านทุกคน
จะผลัดกันแสดงออกหรือกระทำต่อท่านนั้น
มันเป็นบทละครที่ตัวท่านเป็นผู้เขียนขึ้นมาเอง
แล้ว "ร้องขอ" ให้พวกเขาช่วยแสดงบทบาทนั้น
เพื่อต้องการทดสอบจิตสามนึกของท่านทั้งสิ้น

ที่ท่านเขียนบทละครร้ายๆกันมา
ก็เพื่อปรารถนาจะผลิตสร้างความรักให้โลก
ในปริมาณที่มากกว่าปกตินั่นเอง

เพราะแก่นแท้ของท่านรู้ดีว่า
ถ้าพวกท่านจะให้อภัยต่อกันและกันได้
เมื่อมีการกระทำไม่ถูกต้องไม่ดีงามต่อกันนั้น
มันจะต้องใช้พลังอำนาจแห่งรักค่อนข้างมาก
ซึ่งความรักที่มากกว่าปกตินี่แหละ
เป็นสิ่งที่จิตวิญญาณของท่านต้องการ
เพื่อมอบให้โลกมากกว่าความรักตามปกติทั่วไป

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

ปัญหาชีวิตส่วนตัวในครอบครัวของท่าน
เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ท่านมองว่า
มันเป็นความทุกข์ระทมขมขื่นซึ่งพวกท่านไม่ชอบ
เพราะไม่รู้ความจริงว่ามันเป็นหน้าที่ของท่าน
เมื่อเผชิญกับปัญหาที่คนใกล้ตัวหยิบยื่นมาให้
ท่านจะต้องตอบสนองด้วย ความรัก และปัญญา
มิใช่เห็นปัญหาแล้วเกิดทุกข์เกิดเบื่อหรือเกิดบ้า
เหมือนในอดีตกาลที่ผ่านมา

เพราะท่านรักไม่ได้ ให้อภัยไม่เป็น
เพราะท่านไม่รู้ว่ามันเป็นบทละคร "ชะตาชีวิต"
จึงได้กระทำการต่อสู้ ตอบโต้ ต่อต้าน
คนที่ยื่นเงื่อนไขร้ายๆมาให้ท่านด้วยร้ายเช่นกัน
พวกท่านจึงก่อ "ชะตากรรม" ตามกฎแห่งกรรม
ขึ้นมาทับซ้อน "ชะตาชีวิต" เข้าให้อีก
เพราะ "สอบตกบททดสอบ" ของตนเอง
แล้วโกรธแค้นอาฆาตพยาบาทกันแทนที่จะรักกัน

นี่ไงล่ะ...คือ ความจริงเบื้องหลังมิติโลก

พวกท่านเห็นบทละครชีวิตและบททดสอบ
ที่ขีดเขียนกันมาเองตามที่เรากล่าวมา
ว่าเป็น "ความทุกข์" ที่ไม่รู้จบไม่รู้สิ้น
โดยเข้าใจผิดไปจากความเป็นจริงจนสุดโต่ง
จนเป็นเหตุให้พวกท่านพากัน หลงทางนิพพาน
เพราะต้องการหนีไปจากการเกิดเป็นมนุษย์โลก
ด้วยเหตุแห่งการ ติดทุกข์ ติดสุข
จนพากันหลุดลอยไปติดค้างอยู่บนฟ้า
แล้วสร้างแดนสวรรค์มายาขึ้นมารองรับตนเอง

ที่เรากล่าวมาทั้งหมดนี้
เป็นสัจธรรมระดับ อนุตรธรรม
ซึ่งไม่มีพระศาสดาที่เกิดจากโลกพระองค์ใด
จะกล่าวความจริงนี้แก่ท่านทั้งหลายได้
นอกจากพระบิดาแห่งจิตวิญญาณของพวกท่าน
จะทรงสื่อผ่านเรามาให้กล่าวต่อท่านเท่านั้น

เพราะเหตุนี้แหละ
มนุษย์โลกทั้งหลายจึงมิอาจหลุดพ้นนิพพานได้
เพราะไม่รู้ว่านิพพานแท้คืออย่างไร
และจากการพยายามจะหนีไปจากโลก
ก็เป็นการละทิ้งหน้าที่ละทิ้งพันธสัญญา
ที่ให้ไว้ต่อพระบิดาอย่างน่าตำหนิอีกด้วย

ด้วยเหตุนี้เอง
จิตวิญญาณของท่านทั้งหลาย
จึงไม่มีทางที่จะหลุดพ้นนิพพานได้เลย
ไม่ว่าจะอีกนานสักเท่าใดก็ตาม
หากจิตหยาบของพวกท่านยังงมงายเหลวไหล
และยังไม่ใส่ใจความจริงที่เรากล่าวมานี้

กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
11/01/2021

สนทนาประสาจิตจักรวาล 11/01/2021

สนทนาประสาจิตจักรวาล

11/01/2021



พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า

การที่ท่านทั้งหลาย
มีจิตวิญญาณมาเกิดเป็นมนุษย์บนโลกเสรีนี้
มิได้พากันมาเกิดเพราะความบังเอิญ
มิได้มาเกิดกันแบบลมพัดลมเพ

จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านทั้งหลายนั้น
มิใช่จิตวิญญาณที่ร่อนเร่พเนจรไปเรื่อยเปื่อย
จู่ๆก็โผล่เข้าไปปฏิสนธิในครรภ์มารดา
พอได้เวลาก็คลอดออกมาเกิดเป็นทารก

พอเติบใหญ่ขึ้นมาก็พบว่า
การมาเกิดเป็นมนุษย์นั้นมันมีแต่ความทุกข์
ชีวิตประจำวันช่างมากมายด้วยปัญหา
ตั้งแต่เกิดมาจนเฒ่าแก่แลเห็นแต่ทุกข์ทั้งนั้น
อยู่คนเดียวก็ทุกข์ อยู่กับครอบครัวก็ทุกข์
อยู่กับคนมากมายในสังคมก็ยิ่งทุกข์
มองทางไหนก็ล้วนแต่ทุกข์ทั้งสิ้น

จนชวนให้คิดว่า
เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์โลกเสรีนี้ล้วนมีแต่ทุกข์
แล้วจะมาเกิดกันให้ทุกข์ไปทำไม
ตายแล้วจิตวิญญาณไม่ต้องกลับมาเกิดอีกดีกว่า
จึงพยายามค้นหาวิธีที่จะตายแล้วไม่กลับมาเกิดอีก
อันหมายถึงต้องหยุดการมีสังสารวัฏให้ได้นั่นเอง

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

ความคิดของพวกท่านดังกล่าวนั้น
เป็นความคิดที่ผิดพลาดอย่างยิ่ง
ที่มันผิดพลาดเพราะท่านไม่รู้ความจริงว่า

1.จิตวิญญาณของท่านตั้งใจมาเกิดเป็นมนุษย์
มิใช่มาเกิดเป็นมนุษย์เพราะความบังเอิญ

2.จิตวิญญาณของท่านมาจากแดนจิตจักรวาล
ซึ่งอยู่นอกเอกภพหรือที่เรียกว่า "อนันตจักรวาล"
มิใช่จิตวิญญาณพเนจร

3.จิตวิญญาณของท่านทั้งหลาย
เป็นผู้ขันอาสาพระบิดาผู้ให้กำเนิดท่าน
เข้ามาทำหน้าที่มอบความรักให้โลกและทุกสิ่ง
ในบทบาทของ "คนสองมิติ"

4.การได้มาเกิดเป็นมนุษย์ของจิตวิญญาณท่าน
จักต้องเป็นผู้ได้รับโอกาสเท่านั้นจึงจะมาเกิดได้
ซึ่งจิตวิญญาณของพวกท่านจะได้รับโอกาส
ก็ต่อเมื่อพวกท่านต้องรับสัจจะจากพระบิดาฯว่า

ท่านจะยินยอมปฏิบัติตาม พันธะสัญญา_6
ตามที่เราเคยกล่าวต่อพวกท่านไว้บ่อยครั้งแล้ว
โดยจะปฏิบัติอย่างจริงจังมิให้ขาดพร่อง
และสัญญาว่าถ้าครบ 6 หมื่นปีโลกคือสิ้นยุคแล้ว
พวกท่านจะนำพาจิตวิญญาณหลุดพ้นกลับบ้านให้ได้

5.โดยหน้าที่หลักของจิตวิญญาณของท่าน คือ
ต้องการให้จิตหยาบหรือจิตมนุษย์ของท่านนี่แหละ
ทำหน้าที่แทนตนเองขณะมีชีวิตเป็นมนุษย์
นั่นคือให้เรียนรู้ที่จะยกระดับจิตสามนึกทางด้านบวก
ด้วยการสั่นสะเทือนเป็นความรักเพื่อให้
เช่น อดทน อดกลั้น และให้อภัย ต่อผู้อื่นเสมอ

จิตที่สั่นสะเทือนเป็นความรักนี่แหละ
จะผลิตสร้างคลื่นพลังงานด้านบวกออกมา
มอบให้แก่โลกและเพื่อนร่วมโลก
ตามภารกิจของจิตวิญญาณของท่านเอง

พลังงานจิตด้านบวกก็คือ ความรักเพื่อให้
ซึ่งอยู่ในรูปของคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
ชนิดเดียวกันกับคลื่นความถี่สนามแม่เหล็กโลก

6.เพื่อให้จิตหยาบสามารถผลิตพลังงานความรัก
ออกมามอบให้แก่โลกและทุกสรรพสิ่งได้
จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านทั้งหลาย
จึงต้องวางแผนออกอุบายเอาไว้
ตั้งแต่ภพชาติแรกก่อนจะเข้ามาเกิดยังโลกเสรีนี้
ด้วยการสร้างบททดสอบจิตสามนึกตนเองขึ้นมา
โดยให้จิตวิญญาณที่พร้อมจะเล่นละครร่วมกัน
เป็นสามีภรรยาบุตรบริวารทั้งหลายในครอบครัว
ช่วยยื่นเงื่อนไขในแผนการทดสอบนั้นๆให้กันและกัน

7.บททดสอบจิตสามนึก
ซึ่งเป็นเงื่อนไขนี้จะมีทั้งด้านลบและด้านบวก
โดยพวกท่านกับคนใกล้ตัวเป็นผู้เขียนกันเอง
เป็นผู้เลือกที่จะเผชิญมันเองด้วยกันทั้งสิ้น
พระบิดาทรงเรียกบทละครของพวกท่าน
ที่ต้องแสดงร่วมกันเป็นครอบครัวนี้ว่า ชะตาชีวิต

บทละคร "ชะตาชีวิต" นี่้
นอกจากจะประกอบด้วยบทบาทที่แต่ละคน
จะต้องเล่นต้องแสดงต้องเลือกที่จะเป็นกันมาแล้ว
มันยังต้องมีเงื่อนไขบททดสอบและบทเรียนต่างๆ
ที่จิตวิญญาณของท่านต้องการเรียนรู้รวมอยู่ด้วย

บททดสอบต่างๆที่พวกท่านเขียนกันมาแสดง
จะถูกใช้เป็นเงื่อนไขกระตุ้นหรือปลุกเร้าให้
จิตหยาบของท่านสั่นสะเทือนเป็นด้านบวกให้ได้
ไม่ว่าเงื่อนไขนั้นจะเป็นลบซึ่งท่านไม่ชอบไม่ถูกใจ
ก็จะต้องสั่นสะเทือนเป็นรักให้ได้อภัยให้เป็นเท่านั้น

จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่าน
ชอบที่จะสร้างเงื่อนไขทดสอบตนเองที่ยากๆ
ซึ่งจิตหยาบของท่านจักต้องรับรู้ไว้ด้วยว่า
บททดสอบที่เป็นเงื่อนไขด้านร้ายๆยากๆ
ที่สมาชิกในครอบครัวของท่านทุกคน
จะผลัดกันแสดงออกหรือกระทำต่อท่านนั้น
มันเป็นบทละครที่ตัวท่านเป็นผู้เขียนขึ้นมาเอง
แล้ว "ร้องขอ" ให้พวกเขาช่วยแสดงบทบาทนั้น
เพื่อต้องการทดสอบจิตสามนึกของท่านทั้งสิ้น

ที่ท่านเขียนบทละครร้ายๆกันมา
ก็เพื่อปรารถนาจะผลิตสร้างความรักให้โลก
ในปริมาณที่มากกว่าปกตินั่นเอง

เพราะแก่นแท้ของท่านรู้ดีว่า
ถ้าพวกท่านจะให้อภัยต่อกันและกันได้
เมื่อมีการกระทำไม่ถูกต้องไม่ดีงามต่อกันนั้น
มันจะต้องใช้พลังอำนาจแห่งรักค่อนข้างมาก
ซึ่งความรักที่มากกว่าปกตินี่แหละ
เป็นสิ่งที่จิตวิญญาณของท่านต้องการ
เพื่อมอบให้โลกมากกว่าความรักตามปกติทั่วไป

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

ปัญหาชีวิตส่วนตัวในครอบครัวของท่าน
เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ท่านมองว่า
มันเป็นความทุกข์ระทมขมขื่นซึ่งพวกท่านไม่ชอบ
เพราะไม่รู้ความจริงว่ามันเป็นหน้าที่ของท่าน
เมื่อเผชิญกับปัญหาที่คนใกล้ตัวหยิบยื่นมาให้
ท่านจะต้องตอบสนองด้วย ความรัก และปัญญา
มิใช่เห็นปัญหาแล้วเกิดทุกข์เกิดเบื่อหรือเกิดบ้า
เหมือนในอดีตกาลที่ผ่านมา

เพราะท่านรักไม่ได้ ให้อภัยไม่เป็น
เพราะท่านไม่รู้ว่ามันเป็นบทละคร "ชะตาชีวิต"
จึงได้กระทำการต่อสู้ ตอบโต้ ต่อต้าน
คนที่ยื่นเงื่อนไขร้ายๆมาให้ท่านด้วยร้ายเช่นกัน
พวกท่านจึงก่อ "ชะตากรรม" ตามกฎแห่งกรรม
ขึ้นมาทับซ้อน "ชะตาชีวิต" เข้าให้อีก
เพราะ "สอบตกบททดสอบ" ของตนเอง
แล้วโกรธแค้นอาฆาตพยาบาทกันแทนที่จะรักกัน

นี่ไงล่ะ...คือ ความจริงเบื้องหลังมิติโลก

พวกท่านเห็นบทละครชีวิตและบททดสอบ
ที่ขีดเขียนกันมาเองตามที่เรากล่าวมา
ว่าเป็น "ความทุกข์" ที่ไม่รู้จบไม่รู้สิ้น
โดยเข้าใจผิดไปจากความเป็นจริงจนสุดโต่ง
จนเป็นเหตุให้พวกท่านพากัน หลงทางนิพพาน
เพราะต้องการหนีไปจากการเกิดเป็นมนุษย์โลก
ด้วยเหตุแห่งการ ติดทุกข์ ติดสุข
จนพากันหลุดลอยไปติดค้างอยู่บนฟ้า
แล้วสร้างแดนสวรรค์มายาขึ้นมารองรับตนเอง

ที่เรากล่าวมาทั้งหมดนี้
เป็นสัจธรรมระดับ อนุตรธรรม
ซึ่งไม่มีพระศาสดาที่เกิดจากโลกพระองค์ใด
จะกล่าวความจริงนี้แก่ท่านทั้งหลายได้
นอกจากพระบิดาแห่งจิตวิญญาณของพวกท่าน
จะทรงสื่อผ่านเรามาให้กล่าวต่อท่านเท่านั้น

เพราะเหตุนี้แหละ
มนุษย์โลกทั้งหลายจึงมิอาจหลุดพ้นนิพพานได้
เพราะไม่รู้ว่านิพพานแท้คืออย่างไร
และจากการพยายามจะหนีไปจากโลก
ก็เป็นการละทิ้งหน้าที่ละทิ้งพันธสัญญา
ที่ให้ไว้ต่อพระบิดาอย่างน่าตำหนิอีกด้วย

ด้วยเหตุนี้เอง
จิตวิญญาณของท่านทั้งหลาย
จึงไม่มีทางที่จะหลุดพ้นนิพพานได้เลย
ไม่ว่าจะอีกนานสักเท่าใดก็ตาม
หากจิตหยาบของพวกท่านยังงมงายเหลวไหล
และยังไม่ใส่ใจความจริงที่เรากล่าวมานี้

กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
11/01/2021