สนทนาประสาจิตจักรวาล
16/01/2021
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่าเพราะบทบาทหน้าที่ของท่านทั้ง 3 นี้
ไม่เหมือนกันซึ่งท่านทั้งหลายต้องรู้ไว้
กล่าวคือ
1.ครูผู้สอนศีลธรรม
2.ศาสดาซึ่งเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ
3.อนุตรธรรมาจารย์ซึ่งเป็นพระบุตรเอก
โลกในกาลอดีตที่ผ่านมา
พวกท่านมากมายมีความเข้าใจไม่ถูกต้อง
ต่อบทบาทหน้าที่ของผู้ประเสริฐทั้งสามนี้
บางคนจึงสร้างความสับสนให้แก่ตนเอง
และบางคนยังเป็นผู้สร้างความงมงาย
ให้แก่เพื่อนมนุษย์ร่วมโลกอีกมากมายด้วย
ซึ่งเป็นสาเหตุแห่งการหลุดพ้นนิพพานไม่ได้
ในทุกภพชาติแห่งการเกิดใหม่ตลอดมา
ท่านทั้งหลายจึงต้องรู้ว่า
บทบาทหน้าที่ของท่านทั้งสามนี้เป็นอย่างไร
คุณสมบัติทางจิตวิญญาณของแต่ละท่าน
มีองค์ประกอบสำคัญอย่างไรกันบ้าง
แต่ละท่านมีความแตกต่างกันตรงไหนอย่างไร
เราจะเฉลยความจริงให้ท่านฉลาดรอบรู้ยิ่งขึ้นดังนี้
1. ครูผู้สอนศีลธรรม
หมายถึง คนที่ศึกษาเรียนรู้ข้อธรรมะต่างๆ
จากครูบาอาจารย์ที่เป็นผู้รู้เป็นผู้ปฏิบัติธรรม
จนมีความรอบรู้ในองค์ธรรมะนั้นๆ
แล้วนำมาแบ่งปันต่อเพื่อนมนุษย์ผู้รู้น้อยกว่า
โดยตนไปฟังไปจำครูบาอาจารย์ผู้รู้ท่านสอนมา
เมื่อรู้แล้วก็นำมาสอนต่อบอกต่อคนอื่นต่อไปอีก
ครูผู้สอนธรรมะพวกนี้
จะแสดงออกทางสังคมอยู่ 3 แบบ คือ
แบบแรก
เป็นจำพวก ศิษย์มีครู ซึ่งน่าศรัทธาเชื่อถือยิ่ง
เพราะคนพวกนี้กล้าเปิดเผยนามครูบาอาจารย์
ให้คนทั้งสังคมได้รู้ว่า "ครู" ของตนเป็นใคร
เพื่อเป็นเครื่องการันตีว่าธรรมะของตนไม่มีโมเม
ไม่ใช่ธรรมะมั่วๆหยิบโน่นผสมนี่จนไม่น่าเชื่อถือ
สามารถคิดตามเชื่อตามเห็นตามและทำตามได้
คนพวกนี้จะไม่มีอีโก้ คือ ไม่หลงตัวเอง
แม้ว่าตนจะเรียนมากรู้มากจนพอตัวแล้ว
ก็จะไม่ทำวางโตโอ้อวดอุตริเป็นเจ้าลัทธิ
เมื่อรู้ธรรมะมากแล้วก็ยังจะให้เกียรติยกย่อง
ครูบาอาจารย์ของตนอยู่เหนือหัวเสมอ
แบบที่สอง
เป็นจำพวก ศิษย์มีตำรา ยึดคัมภีร์เป็นคู่มือ
เป็นคนที่ศึกษาเรียนรู้ธรรมะจากพระคัมภีร์
อ่านมากท่องมากก็จดจำได้มาก
เวลานำไปสอนคนอื่นก็จะใช้ความเข้าใจ
อันเกิดจากความคิดความเชื่อส่วนตัวเป็นหลัก
คนพวกนี้จะสอนพวกท่านโดยไม่ต้องคิด
เพราะจะท่องจำไปตามคัมภีร์ที่ตนยึดถือ
ซึ่งบางบทบางตอนในคัมภีร์อาจมีผิดเพี้ยน
เพราะพระศาสดามิได้บันทึกไว้ด้วยตนเอง
คนรุ่นหลังสร้างคัมภีร์นั้นขึ้นมาจากความจำ
แล้วนำมาบันทึกไว้จากความเข้าใจส่วนตัว
ครูจำพวกนี้จะเป็นพวกมีมิจฉาทิฐิสูง
ในการยึดติดพระคัมภีร์ที่ตนคิดว่าศักดิ์สิทธิ์
เพราะเห็นว่ามีคนเชื่อมานานนับพันๆปีแล้ว
ไม่กล้าคิดตีความตามพระคัมภีร์
ไม่กล้าแม้จะคิดต่างเพราะกลัวว่าจะผิดบาป
โดยไม่เคยถามตัวเองว่า "ใครห้าม" มิให้คิด
ทั้งๆที่การรู้จักคิดจะช่วยให้ฉลาดรอบรู้มากขึ้น
การไม่คิดได้แต่แต่เชื่อตามสถานเดียว
จะมีแต่ความโง่งมงายมากขึ้นเรื่อยๆเท่านั้น
ครูผู้สอนธรรมะพวกนี้
เวลาสอนธรรมะยากๆหรือเมื่อมีคนเห็นแย้ง
ก็ชอบที่จะหยิบยกเอาคัมภีร์ขึ้นมาอ้าง
โดยใช้พลังบารมีของผู้สอนธรรมะในคัมภีร์นั้น
เป็นเครื่องยืนยันการันตีความถูกต้อง
แบบที่สาม
เป็นจำพวก ครูพักลักจำ ทำตนเป็นศิษย์ไม่มีครู
เพราะ "ไม่อยาก" จะเป็นศิษย์ใครแต่อยากเป็นครู
จึงทำตนเป็นพวกศิษย์ไม่มีครู
วันๆจึงเที่ยวสอดส่องหาความรู้
ด้วยวิธีการ ลักจำ ความรู้ของผู้อื่นเท่านั้น
โดยทำตนเป็นคน "ตาไว" เพียงใบไม้ไหวก็เห็น
ใครเป็นผู้รอบรู้อยู่หนไหนไกลใกล้ก็จะไปให้ถึง
โดยทำตนเป็นคน "หูไว" จำพวกสี่เท้าหูกาง
เสียงค่อยเสียงดังก็จะเงี่ยหูฟังเพื่อรับเอาไว้
ถ้าความรู้นั้นจะช่วยให้ตนเด่นดังเหนือคนอื่นได้
คนหูไวเป็นต้องไม่พลาดอย่างเด็ดขาด
โดยทำตนเป็นคน "หัวดี" สอนง่ายและจำเก่ง
เป็นคนฉลาดเรียนรู้ไวเข้าใจเร็วกว่าคนอื่นๆ
จึงมีคุณสมบัติเหนือกว่าคนส่วนใหญ่
ในการถ่ายทอดความรู้จากความจำที่เพิ่งก้อปปี้มา
และมีความสามารถในการพูดจาที่พอมีประมาณ
คนพวกนี้จึงฟังปุ้ปจำปั้ปแล้วพูดต่อได้เป๊ะ
เหมือนทุกสิ่งออกมาจากปัญญาของตัวเองเลย
พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
หากท่านหลงไปเป็นศิษย์สาวกของครูไม่มีครูพวกนี้
โอกาสเรียนรู้ผิดเพราะความรู้ที่เขาสอนไม่ถูกต้อง
เพราะคนที่ลักจำมาสอนอาจจำมาไม่หมด
หรือจำมาผิดๆซึ่งมีความเป็นไปได้สูงยิ่ง
นอกจากนั้น
ครูพักลักจำที่นำเอาของคนอื่นมาสอนต่อ
โดยอ้างอิงว่ารู้เองเป็นเจ้าของความรู้นั้นเอง
หรือนำไปกล่าวต่อโดยไม่อ้างอิงครูหรือตำรา
เมื่อตายไปแล้วจิตวิญญาณจะต้องโทษในนรก
เมื่อกลับมาเกิดใหม่ในภพชาติใหม่
จะต้องเกิดเป็นสุนัข "จรจัด"
เที่ยวพเนจรหากินไปเรื่อยๆเพราะไม่มีเจ้าของ
โดยใช้ตาหูและปากที่ช่างเห่าเป็นเครื่องหากิน
เพื่อสร้างสำนึกใหม่ที่ถูกต้องนั่นเอง
ยิ่งถ้าทำตนเป็นครูแล้วอวดรู้สอนผิด
จนทำให้คนอื่นหลงผิดหลงทางหลงธรรม
ตายไปแล้วจิตวิญญาณจะลงนรกขุมที่ 13
นรกขุมนี้ลงไปแล้วกลับขึ้นมายากมาก
เพราะจิตวิญญาณติดนิสัยการหลงตัวเอง
ไปจากจิตหยาบตอนที่เป็นมนุษย์
การมีสำนึกผิดบาปในนรกจึงค่อนข้างยาก
เมื่อสำนึกยากหรือไม่สำนึกจึงต้องตกนรกนาน
2. ศาสดาซึ่งเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ
หมายถึง ผู้ที่ผ่านการศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเอง
จนมีความรอบรู้ทั้งสามมิติในระดับ สัพพัญญู
นั่นคือ ความจริงในมิติโลกทางด้านกายภาพ
ความจริงในมิติจิตวิญญาณทางด้านพลังงาน
และความจริงในมิติของ "อนันตจักรวาล"
เมื่อมีความรอบรู้จนเป็นเอกแห่งยุคนั้น
ชนิดที่ไม่มีมนุษย์คนไหนจะเทียบเทียมได้แล้ว
ท่านผู้ประเสริฐนั้นจึงได้แบ่งปันสิ่งที่ตนรอบรู้
ให้เพื่อนมนุษย์ทั้งหลายที่มีเป้าหมายเดียวกัน
ได้รับรู้เพื่อเรียนรู้แล้วนำไปสู่การปฏิบัติในชีวิต
เพื่อยังประโยชน์สุขทั้งด้านกายสังขาร
และด้านจิตวิญญาณแก่นแท้ของแต่ละคนต่อไป
เพื่อก้าวตามพระศาสดาของตนสู่มรรคผลนั่นเอง
แม้พระศาสดาทั้งหลายเป็นผู้ที่เกิดจากโลก
แต่พระบิดาก็จะทรงเมตตาอนุญาตให้
เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของเวไนยในยุคนั้นได้
แต่เวไนยสัตว์ทั้งหลายก็จักต้องยอมรับเองด้วย
ที่สำคัญคือพระศาสดาจักต้องใช้ความรู้ส่วนตัว
จากความสามารถทางจิตปัญญาของตนเอง
และจากประสบการณ์เรียนรู้ด้วยตนเองเท่านั้น
มิใช่ลักจำคำสอนพระศาสดาอื่นเอามากล่าวต่อ
ผู้ที่แสดงบทบาทลักษณะจำจากพระศาสดา
หรือจำมาจากพระคัมภีร์แล้วนำมากล่าวต่อนี้
เราจะเรียกว่า คนนำทาง นั่นเอง
คนนำทางในความหมายของเราจึงมิใช่ศาสดา
ปกติแล้วพระศาสดาทุกพระองค์
จะทรงเชี่ยวชาญด้านสัจธรรม
ระดับโลกียธรรมและโลกุตรธรรม
อันเป็นการรอบรู้ความจริงทั้งอนันตจักรวาล
ด้วยการใช้พระปรีชาญาณจากสมองสองซีก
ร่วมกับสภาวะจิตอันประเสริฐกว่ามนุษย์ทั่วไป
เป็นเครื่องมือสำคัญในการเรียนรู้และสั่งสอน
3. อนุตรธรรมาจารย์
หมายถึง มนุษย์คนเดียวที่พระผู้เป็นเจ้าส่งมา
ให้ทำหน้าที่เป็น #พระบุตรเอก บนโลกเสรีนี้
เพื่อกล่าวพระโอวาทต่อมนุษย์แทนพระองค์
ในช่วงเวลาสำคัญที่โลกกับมนุษย์
กำลังเกิดอาการวิฤติจนอาจถึงกาลวิบัติได้
หรือเข้ามาเกิดในช่วงเวลาที่โลกกับมนุษย์
กำลังจะเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานใหม่ เป็นต้น
พระบุตรเอก บุตรโทนคนเดียวของพระองค์
นอกจากจะเป็นผู้มากล่าวพระโอวาทพิเศษแล้ว
ยังมีหน้าที่ฉุดช่วยจิตวิญญาณของพวกท่าน
ให้พบหนทางหลุดพ้นนิพพานที่ถูกต้องแท้จริง
หลังจากพากันหลงทางขึ้นไปสร้างสวรรค์มายา
เพราะก้าวตามคนนำทางตาบอดมานับพันๆปีแล้ว
อีกทั้งในยุคสมัยนี้เป็นปลายยุคพลังงานเก่า
พระบุตรเอกจึงต้องเข้ามากล่าวความจริงให้รู้ว่า
ได้เวลาที่ลูกแกะทุกตัวของพระองค์
ต้องรีบกลับเข้าสู่ประตูคอกที่เคยออกมากันแล้ว
เพราะครบกำหนดเวลา 6 หมื่นปีตามสัญญา
ที่พระบิดาผู้เป็นเจ้าของฝูงแกะทรงอนุญาตไว้
การกลับเข้าประตูคอกแกะหมายถึง
การที่จิตวิญญาณของท่านจะต้องหลุดพ้น
ออกไปจากอนันตจักรวาลผ่านด่านนภาลัย
เพื่อกลับคืนสู่ดินแดนจิตจักรวาลบ้านเกิด
ไปกราบพระบาทพระบิดาที่ทรงยอมให้มาเกิด
เมื่อหกหมื่นปีโดยประมาณที่ผ่านมาจนบัดนี้
ภารกิจสุดท้ายของพระบุตรเอกก็คือ
การแจ้งข่าวสารปฏิบัติการชำระโลกทั้งระบบ
ข่าวสารปฏิบัติการชำระโลกทุกมิติ
ไม่เว้นแม้แต่มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายด้วย
ผู้ที่ถูกคัดไว้คือผู้ที่จะได้รับประทานความรอด
ผู้ที่ถูกคัดทิ้งจะเป็นดั่งขยะที่ต้องถูกเผาทำลาย
เพราะโลกเสรีนี้ไม่มีพื้นที่พอต่อการกลบฝังแล้ว
ทั้งขยะคน ขยะวัตถุเท็คโนโลยี และขยะพลังงาน
ที่เกิดจากการล้มเหลวด้านจิตสามนึกของมนุษย์
มันมีมากมายก่ายกองจนท่วมโลกไปทั่วแล้ว
ขณะที่พระองค์ทรงส่งพระบุตรเอกเข้ามา
ทำหน้าที่ฉุดช่วยพวกท่านทั้งหลายให้หลุดพ้น
พวกมารและเหล่าซาตานทั้งหลาย
ก็จะพากันมาเกิดในระบบโลกด้วยเช่นกัน
โดยจะเข้ามาปิดกั้นโอกาสการเข้าถึงพระบิดา
ของประดาผู้ปรารถนาการหลุดพ้นที่เป็นคนดี
แต่มีสภาวะจิตปัญญาที่อ่อนแอในทุกทาง
อาจเข้ามายุแยงให้ไขว้เขว
อาจเข้ามาจูงใจให้หลงผิด
อาจเข้ามาสอนธรรมะฉบับงมงายมิใช่หลุดพ้น
ผู้อ่อนด้อยทางปัญญาและงมงาย
จึงอาจหลงทางมารเพราะไม่รู้เท่าทันกันง่ายๆ
ท่านจะต้องไม่ลืมที่เรากล่าวเตือนเสมอว่า
ไม่ว่ามารหรือซาตานก็มีปัญญาสอนธรรมะได้
ด้วยเหตุนี้เอง
ถ้าจะเลือกใครเป็นครูจึงต้องเลือกด้วยปัญญา
อย่าเลือกครูด้วยความรู้สึกที่เป็นกิเลส
ประตูนิพพานหรือประตูคอกแกะ
จึงจะเปิดอ้าให้จิตวิญญาณท่านผ่านออกไปได้
กราบพระบาทพระบิดาฯ
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
16/01/2021