25 เมษายน 2567

คำสอน 25/04/2024

 "จิตสามนึก" มีกันต้องหมั่นใช้

หนึ่ง "นึกได้" คือจำที่ทำค้าง

สอง "นึกเอา" คือขยับมาจับวาง

"นึกเอง" บ้าง สามจริตคือคิดแทน

 

เป็นมนุษย์มีดีที่สามนึก

นึกแล้วฝึกคิดตามจะงามแสน

คิดก่อนพูดมิให้หมู่เขาดูแคลน

คิดวางแผนก่อนทำไม่ลำเค็ญ

 

เอเมน สาธุ

25/04/2567




คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 25/04/2024

 พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

หลายคนเมื่อได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์

กลับแลไม่เห็นคุณค่าของการเป็นมนุษย์เลย

โดยมองว่าตนเองนั้นไม่น่ามาเกิดเป็นมนุษย์โลก

เพราะเป็นมนุษย์โลกนั้นมันมีแต่ความทุกข์

จะหาความสงบสุขอย่างที่ต้องการแทบไม่ได้

 

ถ้าเชื่อคนนำทางตาบอดก็จะบอกตัวเองว่า

การเกิดแก่เจ็บตายนั้นเป็นทุกข์อย่างยิ่งยวด

แต่ไม่ยอมพิจารณาต่อว่าเหตุแห่งทุกข์นั้นคืออะไร

ใครเป็นเหตุให้ชีวิตตนต้องวนเวียนกันแบบนั้น

 

แต่ถ้าคิดแบบคนนำทางตาบอดก็ว่า

เหตุที่ทุกข์เพราะความเจ็บปวดทั้งผู้เบ่งและผู้ถูกคลอด

เหตุแห่งทุกข์เพราะความชราจนแข้งขาไม่มีแรง

จึงไม่อาจสามารถทำอะไรตามใจเหมือนวัยรุ่นได้

เหตุแห่งทุกข์เพราะการเจ็บป่วยทางร่างกายจนตาย

ลูกหลานที่คอยดูแลก็ทุกข์คนที่กำลังจะตายก็ทุกข์

มีครอบครัวมีผัวมีเมียมีลูกมีหลานมันก็ทุกข์

ต้องหากินแบบอาบเหงื่อต่างน้ำขายแรงงานก็ทุกข์

ชีวิตที่ต้องเผชิญกับความสมหวังและผิดหวังก็ทุกข์

ที่ต้องการหรือที่คิดคาดหวังแล้วไม่ได้นั่นก็ทุกข์

สิ่งที่ได้มาทั้งๆที่ไม่อยากได้และไม่เคยหวังนั่นก็ทุกข์

 

คนทุกคนที่เกิดมาเป็นมนุษย์นั้นสาระพัดทุกข์

โดยทุกข์ทั้งกายสังขารและทุกข์ทั้งจิตใจเลยทีเดียว

ซึ่งพวกเธอถูกหล่อหลอมความคิดกันมาแบบนี้ทั้งสิ้น

จนความคิดเหล่านี้กลายเป็นความเชื่อกันไปในที่สุด

 

เราจะกล่าวความจริงต่อพวกเธอทั้งหลายว่า

มุมมองความทุกข์ที่เธอถูกหล่อหลอมเสียจนกลัวนั้น

เป็นการมองทุกสิ่งอยู่ด้านเดียวและเป็นภาพที่ไกลตัว

หากจะหันมามองในมุมของเธอแบบใกล้ตัวเสียบ้าง

จะพบว่าเหตุแห่งทุกข์ที่ถูกล้างสมองให้เชื่อเหล่านั้น

มันมิใช่ความจริงและมิได้ถูกต้องตรงประเด็นทุกข์เลย

 

พระบิดาแห่งจิตวิญญาณคือองค์จิตจักรวาล

ทรงพระเมตตาเคยให้นิยามความทุกข์ผ่านเรามาว่า

#ความทุกข์เกิดที่จิตเมื่อเผชิญกับสิ่งที่ทนได้ยาก

ซึ่งความทุกข์หมายถึงอาการของจิตชนิดหนึ่ง

ที่มันต้องการได้รับการบำบัดขจัดออกให้บรรเทาลง

โดยความทุกข์ในจิตใจนั้นจะบรรเทาลงได้หายได้

ต้องค้นหาว่าสาเหตุแห่งทุกข์นั้นมันคืออะไรกันแน่

ถ้าพบสาเหตุว่าคืออะไรแน่ก็จัดการแก้ไขที่ตรงนั้น

 

พวกเธอเรียกสาเหตุแห่งความทุกข์ยากว่า #ปัญหา

เรียกสาเหตุแห่งทุกข์ระดับธรรมดาว่า #ข้อขัดข้อง

 

แน่นอนว่า

ความทุกข์มักจะเกิดจาก "ปัญหา" ที่เผชิญ

ทุกข์แรกคือทุกข์เพราะวิตกกังวลว่าจะแก้ไขไม่ได้

ทุกข์ขั้นต่อไปคือทุกข์เพราะแก้ปัญหานั้นไม่เป็น

 

ทุกข์เพราะไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหานั้นได้อย่างไร

ทุกข์เพราะไม่รู้ไม่เข้าใจว่าปัญหานั้นคืออะไรกันแน่

ทุกข์เพราะเกิดปัญหาซ้ำซ้อนขึ้นมาขณะกำลังแก้ไข

ลักษณะของ "ลิงแก้แห" คือมันพัลวันกันยุ่งไปหมด

ยิ่งแก้ยิ่งยุ่งตามโบราณกล่าวไว้นั่นแหละ

 

ส่วนกรณีที่เรียกว่า "ข้อขัดข้อง" นั้นหากจะทุกข์ก็น้อย

เพียงแค่หาให้พบว่าปมติดขัดติดข้องมันอยู่ตรงไหน

ก็ให้เธอรีบจัดการแก้ไขมันที่ตรงจุดนั้นได้เลยทันที

ปมปัญหาที่เป็นแค่ข้อขัดข้องนั้นมันหาได้ไม่ยากนักหรอก

อีกทั้งวิธีจัดการแก้ไขข้อข้ดข้องของปมปัญหานั้นๆ

มันก็ไม่ได้ยุ่งยากจนทำให้พวกเธอเป็นทุกข์อีกด้วย

#เพราะข้อขัดข้องจะเป็นตัวกำหนดวิธีแก้ไขให้เธอเอง

 

เพียงแค่เธอจัดการข้อขัดข้องนั้นไปตามสถานการณ์

มันก็จะสำเร็จลุล่วงผ่านไปได้อย่างราบรื่นแล้ว

 

ต่างจากการแก้ไขจัดการสิ่งที่เรียกว่าปัญหา

โดยที่มันเป็นปัญหาก็เพราะเหตุว่า

 

1.เธอจะต้องหาคำตอบให้ได้ว่าปัญหาคืออะไร

ถ้าเธอยังไม่รู้ว่าปัญหานั้นมันคืออะไรเสียก่อนแล้ว

การจัดการแก้ไขปัญหานั้นมันจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย

นี่จึงเป็นเหตุแห่งทุกข์ใจของเธออย่างแรก

 

2.เธอต้องค้นหาให้พบว่าปัญหานั้นมันมีกี่ปัญหา

แต่ละปัญหามันมีอะไรเป็นอย่างไรบ้าง

นี่จึงเป็นเหตุแห่งทุกข์ใจของเธออีกอย่างหนึ่งแล้ว

 

3.เมื่อเธอรู้แล้วว่าปัญหามีกี่ปัญหาว่าอะไรอย่างไรแล้ว

เธอต้องจัดเรียงลำดับการแก้ไขปัญหาก่อนหลังด้วยว่า

ปัญหาใดจะต้องหยิบขึ้นมาแก้ไขก่อนตามลำดับกันไป

นี่จึงเป็นเหตุแห่งทุกข์ใจของเธออีกอย่างหนึ่งเช่นกัน

 

4.เมื่อจัดเรียงลำดับปัญหาที่ต้องแก้ไขก่อนหลังแล้ว

สิ่งที่เธอต้องทำก็คือหยิบเอาเฉพาะปัญหาที่เลือกไว้

ขึ้นมาขบคิดพิจารณาไปทีละปัญหาเท่านั้น

โดยวางปัญหาลำดับถัดไปเอาไว้ชั่วคราวก่อน

 

จงอย่าปล่อยให้จิตเธอเกิดความวิตกกังวลใจ

เกี่ยวกับปัญหาที่ยังไม่ถึงคิวต้องหยิบขึ้นมาขบคิด

เพราะมันจะเป็นเหตุแห่งทุกข์ในจิตใจขึ้นมาอีก

 

5.กรณีที่บางปัญหามีวิธีจัดการแก้ไขมากกว่าหนึ่งวิธี

ปัญหาของเธอจึงอยู่ที่ว่าจะตัดสินใจเลือกใช้วิธีไหน

เพื่อจัดการแก้ไขปัญหานั้นให้ลุล่วงไปให้จงได้

ปัญหาซ้อนปัญหาที่เพิ่มขึ้นมาก็คือ #การตัดสินใจ

นี่จึงเป็นเหตุแห่งทุกข์ใจของเธออีกอย่างหนึ่งแล้ว

 

6.ความทุกข์ขั้นสุดท้าย

เมื่อเธอจัดการตามกระบวนการแก้ปัญหาทั้งหมดนั้น

มันขึ้นอยู่กับว่าจะกล้าตัดสินใจลงมือทำมันหรือไม่

เพราะที่ผ่านมาทั้งหมดนั้นมันคือการ "วางแผน"

 

ความทุกข์ในขั้นตอนแรกคือขั้นวางแผนนั้น

มันขึ้นอยู่กับว่าเธอเกลียดกลัวปัญหานั้นหรือไม่

แต่ความทุกข์ขั้นสุดท้ายนี้อยู่ที่เธอกล้าลงมือทำ

ด้วยความเชื่อมั่นว่าเธอจะทำมันได้แน่หรือเปล่า

หากกล้าตัดสินใจลงมือทำเธอก็จะไม่ลังเลใจ

เพราะเธอจะกล้ารับผิดชอบในผลที่มันจะเกิดขึ้น

อันเกิดจากความเชื่อมั่นในตัวเธอเองนั่นแหละ

 

ทุกสิ่งอย่างในโลกนี้

พระเจ้าทรงยอมให้พวกเธอเผชิญกับปัญหา

ก็เพื่อกระตุ้นให้พวกเธอสั่นสะเทือนทางปัญญา

ทำให้สมองเกิดการพัฒนาขึ้นมาตามวัย

 

ดังนั้น

พวกเธอทุกคนจึงต้องเจอปัญหากันทั้งนั้น

เพราะปัญหาเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา

อย่ายอมให้ปัญหาเป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์อยู่ถ่ายเดียว

จงอย่าเกลียดกลัวปัญหาในการเกิดมาเป็นมนุษย์

แล้วขี้ขลาดตาขาวจะหนีเตลิดไปจากโลก

ไปเกิดเป็นเทพเทวดาบนสวรรค์มายาที่ไม่มีอยู่จริง

เพราะเข้าใจว่าอยู่บนนั้นสุขสบายกว่าบนโลกมนุษย์

อยู่บนนั้นไม่ต้องทำอะไรมีแต่เสพสุขตลอดกาล

โดยยังไม่รู้ว่าอยู่บนนั้นสุขจริงแท้แน่นอนหรือเปล่า

แต่ก็เชื่อก็ฝันตามคนนำทางตาบอดชี้นำกันไปแล้ว

 

เธอว่ามีสมองสองซีกให้ใช้

สำหรับจัดการแก้ไขปัญหาทุกปัญหาได้

มีตาหูจมูกปากและสัมผัสกายที่ไม่พิการ

มีสองมือสองเท้าที่หยิบฉวยจับทำอะไรก็ได้

มีความรักในจิตใจที่หนักแน่นและกล้าแกร่ง

ที่สามารถใช้จัดการกับปัญหาที่เผชิญได้เสมอ

แต่กลับเกลียดกลัวความทุกข์ซึ่งเป็นกิเลสมาร

ที่เกิดขึ้นในจิตใจของตนเองตั้งแต่ยังมิได้ใช้มันเลย

เธอว่า...เสียชาติเกิดมั้ยล่ะ?

 

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

25/04/2567




สวัสดีวันพฤหัสบดี 25/04/2024


 

24 เมษายน 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 24/04/2024

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

ถ้าคุณยอมรับและเข้าใจแล้วว่า

จิตวิญญาณคุณขันอาสาพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ

ข้ามมิติเข้ามาเกิดเป็น “คนสองมิติ” อยู่ในระบบโลก

ภายในเอกภพที่เป็นเสมือนห้องทดลองของพระองค์

เพื่อจะคนตนเองในสองมิติให้เป็นหนึ่งเดียวกันให้ได้

เมื่อเป็นหนึ่งเดียวกันได้แล้วจึงจะเรียกว่า #มนุษย์

 

คำว่า #เป็นหนึ่งเดียวกันในสองมิติ ในที่นี้หมายถึง

จิตหยาบจะต้องสามารถสั่นสะเทือนเป็นหนึ่งเดียวกัน

กับจิตวิญญาณผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของตนเองได้

โดยการเข้าถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันดังกล่าวนี้

มันคือสิ่งที่เราเรียกว่า “คน” ให้เข้ากันนั่นเอง

 

วิธีการยกระดับแรงสั่นสะเทือน

ระหว่างจิตหยาบกับจิตวิญญาณให้เป็นหนึ่งเดียวกัน

ก็คือทุกวันเวลาในยามตื่นตั้งแต่คุณอายุได้สามขวบ

คุณต้องเรียนรู้ที่จะรักตัวเองรักพ่อแม่รักทุกคนทุกสิ่ง

ด้วยความรักที่ซื่อใสบริสุทธิ์ไม่มีกิเลสแอบแฝงให้ได้

ในทุกเงื่อนไขที่เป็นสิ่งเร้าทั้งภายนอกภายในตนเอง

 

สิ่งเร้าต่างๆจากภายนอก

อาจถูกส่งผ่านเข้ามาทางตาหูจมูกลิ้นและกายสัมผัส

ซึ่งตัวคุณสับเปลี่ยน “หมุนเวียน” ใช้มันเพื่อรับข้อมูล

แล้วส่งรหัสข้อมูลจากอายตนะภายนอกทั้งห้านั้น

เข้าไปยัง “จิตหยาบ” ที่อยู่ข้างในให้รับรู้กันอีกทีหนึ่ง

 

สิ่งเร้าภายในก็คือสิ่งที่จิตหยาบนึกออกนึกเอานึกเอง

เมื่อนึกแล้วก็ปลุกเร้าตนเองให้เกิดการรับรู้สิ่งนั้นขึ้น

 

จิตหยาบของคุณ

เมื่อถูกปลุกเร้าจากการรับรู้สิ่งเร้านั้นไม่ว่าแบบไหน

มันจะสั่นสะเทือนขึ้นเพื่อ #การรับเอา สิ่งนั้นเสมอ

แต่การรับเอาที่ถูกต้องเหมาะสมดีงามสมควรทำก็คือ

คุณต้องรับเอาสิ่งเร้านั้นมาเพื่อ #การเรียนรู้ เท่านั้น

โดยต้องเรียนรู้ด้วยวัตถุประสงค์ 3 อย่าง คือ

 

1.เรียนรู้ว่ามันคืออะไร เป็นอะไร อย่างไรและทำไม

2.เรียนรู้แล้วคุณต้องรักมันให้ได้แม้ว่ามันจะไม่น่ารัก

3.เรียนรู้แล้วต้องสงบระงับโดยวางจิตเป็นอุเบกขา

 

คำว่า “อุเบกขา” ในที่นี้เราหมายถึง

คุณต้องไม่ตกเป็นทาสการยั่วยุเมื่อเป็นสิ่งเร้าด้านลบ

โดยคุณต้องไม่มีคำว่าไม่ชอบไม่มีคำว่าไม่พึงพอใจ

หรือไม่ตกเป็นทาสการเย้ายวนเมื่อเป็นสิ่งเร้าด้านบวก

โดยคุณต้องไม่มีคำว่าชอบหรือคำว่าพึงพอใจเด็ดขาด

 

เพราะการชอบหรือไม่ชอบ

การพอใจหรือไม่พอใจ

ที่เกิดขึ้นมาภายในจิตหยาบของคุณนั้น

มันคือสิ่งที่เรียกว่า #ความรู้สึก ซึ่งเป็นกิเลสมาร

ที่จะทำให้จิตหยาบของคุณสั่นสะเทือนผิดจากปกติ

โดยแรงสั่นสะเทือนของจิตหยาบจะตกต่ำลงทันที

ซึ่งพวกคุณเรียกกันว่าเกิดอาการ “จิตตก” นั่นแหละ

 

อาการจิตตกชั่วคราวนี้

มันคือสภาวะจิตที่สั่นสะเทือนในย่านความถี่ต่ำ

ขณะที่ในยามปกติถ้าคุณไม่มีสิ่งเร้ามายั่วยุเย้ายวน

สภาวะจิตของคุณจะสั่นสะเทือนอยู่ในย่านความถี่สูง

จิตหยาบที่สั่นสะเทือนในย่านความถี่สูงก็คือจิตสงบ

ไม่ต่างจากเส้นลวดราวตากผ้าที่ขึงเอาไว้จนตึงนั้น

สองตาเปล่าของคุณอาจจะมองเห็นว่ามันนิ่งสงบสงัด

แต่โมเลกุลเส้นลวดนั้นมันกำลังสั่นด้วยความถี่สูงอยู่

 

หรือถ้าคุณดีดลวดเส้นนั้นแรงๆ

มันจะสั่นสะเทือนขึ้นๆลงๆด้วยความถี่สูงได้

แรกๆที่ทำให้มันสั่นสะเทือนคุณจะมองเห็นว่ามันสั่น

แต่ในที่สุดสองตาของคุณจะเห็นว่าสั่นเป็นเส้นตรง

เพราะมันกำลังสั่นสะเทือนสูงสุดจนเหมือนว่าไม่สั่น

 

สภาวะของจิตหยาบก็เช่นเดียวกันกับลวดราวตากผ้า

ยามใดที่จิตหยาบของคุณอยู่ในความสงบระงับนั้น

จิตก็กำลังสั่นสะเทือนในย่านความถี่สูงถึงสูงสุดอยู่

ถ้าสงบมากก็สูงสุดถ้าสงบน้อยก็ไม่ค่อยสูงเท่าใดนัก

 

คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่านิสัยเคยตัวหรือสันดานที่ไม่ดีนั้น

เมื่อรับรู้สิ่งใดแล้วจะหยิบสิ่งนั้นมาเป็นเงื่อนไขเสมอ

ตรงนี้เองที่ทำให้มีการ “หมุนกรรมจักร” ขึ้นมาทันที

เช่นถ้าเกิดความรู้สึกไม่พอใจมากก็จะโกรธมาก

หากรู้สึกไม่พอใจมากจนสุดขีดก็จะโกรธแค้นอาฆาต

 

ถ้าเป็นแค่โกรธก็เป็นการหมุนกรรมจักรในตนเอง

ที่ทำให้จิตหยาบยกระดับแรงสั่นสะเทือนสูงขึ้นไม่ได้

กับก่อให้เกิดบุรพกรรมหรือวิบากกรรมขึ้นมาด้วย

เพราะสอบตกบททดสอบจิตสามนึกแห่งรักรายวัน

ที่คนรอบข้างคนนั้นช่วยหยิบยื่นมาให้

 

แต่ถ้าถึงขั้นโกรธแค้นอาฆาตรุนแรงกว่าปกติ

นอกจากใครคนนั้นจะหมุนกรรมจักรในตนเองขึ้นมา

จนก่อวิบากกรรมเพราะสอบตกบททดสอบแล้ว

ยังจะทำให้เกิด #ชะตากรรม ที่เป็น “กรรมสัมพันธ์”

กับคู่กรณีคนนั้นๆผู้สร้างเงื่อนไขให้อีกต่างหากด้วย

 

คุณเห็นหรือยังว่า...

ถ้าต้องเป็นสัตว์สังคมโดยมีผู้คนรอบข้างมากมาย

ถ้ารักจะเป็นคนชอบธรรมด้วยการเลียนแบบนักบวช

คุณก็จะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ไม่ได้อย่างแน่นอน

เพราะการเรียนรู้ที่จะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์และสมดุล

ด้วยบทเรียนต่างๆที่จิตวิญญาณของคุณถือติดตัวมา

จากการสอบผ่านบททดสอบรายวันในแต่ละบท

ทั้งยากและง่ายถูกคุณหลีกเลี่ยงเบี่ยงหนีไปหมด

จากการปลีกวิเวกและแกล้งทำเป็นอายตนะพิการ

จนไม่อาจปลดการเกี่ยวกรรมกับคู่เวรคู่กรรมได้เลย

 

กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

24/04/2567




สวัสดีวันพุธ 24/04/2024


 

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 24/04/2024

 พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

สังคมมนุษย์ปลายยุคพลังงานเก่า

จะเป็นช่วงที่สนามพลังงานแม่เหล็กโลกวิปริต

ค่าความเข้มสนามแม่เหล็กโลกไม่คงที่

มีการแกว่งไปแกว่งมามิได้อยู่ที่ 14 เก๊าส์

เพราะเหตุว่ามนุษย์โลกรักกันไม่ได้อภัยไม่เป็น

มีความเห็นแก่ตัวและพวกพ้องสูงมากขึ้นเรื่อยๆ

จนยังผลให้พลังงานความรักจากจิตมนุษย์

ที่จะต้องผลิตสร้างด้วยขันธ์ห้าป้อนให้แก่แกนโลก

จากการหมุนธรรมจักรร่วมกันมีปริมาณไม่พอเพียง

ที่จะช่วยค้ำจุนความสมดุลของโลกทั้งระบบได้

 

ทะเลทรายก็จะเปลี่ยนเป็นทะเลสาปในไม่ช้า

เนื่องจากภูมิอากาศจะเกิดการวิปริตแปรปรวน

ฤดูกาลบนโลกจะปั่นป่วนรวนเรไปจากเดิม

บริเวณพื้นที่แห้งแล้งเป็นทะเลทราย

จะกลายเป็นบริเวณที่ฝนตกหนักมากผิดปกติ

บริเวณที่เคยชุ่มชื้นอุดมสมบูรณ์จะเปลี่ยนเป็นแล้ง

บริเวณพื้นที่ซึ่งเคยเพาะปลูกได้จะปลูกอะไรไม่ได้

บริเวณที่เคยเพาะปลูกอะไรไม่ได้จะเพาะปลูกได้

 

ปลาที่หากินอยู่ในแหล่งน้ำทั้งน้ำจืดและนำทะเล

จะลอยคอขึ้นมาตายบริเวณชายฝั่งหรือน้ำตื้น

เพราะในน้ำมีก๊าซออกซิเจนให้หายใจไม่พอเพียง

 

ปลาตัวใหญ่ที่หากินอยู่ในท้องทะเลลึก

จะพากันว่ายน้ำขึ้นมาเกยตื้นเกยหาดแถบชายฝั่ง

เพราะเกิดอาการ "หลงทิศ" คิดว่าเป็นน้ำลึก

ยิ่งว่ายเข้ามาทิศทางที่ว่ายจะกลายเป็นน้ำตื้น

เนื่องจากเส้นแรงสนามแม่เหล็กโลกแกว่งส่าย

ทำให้ #ดิจิตัลลิส ที่ทรงติดตั้งเอาไว้ให้ที่สมองของปลา

คำนวณทิศทางผิดพลาดไปจากปกติ

 

นกที่บินกันไปในอากาศซึ่งหากินกันเป็นฝูง

บางครั้งก็จะพากันตกลงมากระแทกพื้นตายให้เห็น

เพราะบินอยู่ดีๆบริเวณนั้นขาดก๊าซหายใจฉับพลัน

ทำให้สมองนกขาดอ๊อกซิเจนจนเกิดอาการมึนงง

จึงพลัดตกลงมาพากันตายหมู่จนเกิดเป็นอาเพศ

 

ผึ้งทั้งฝูงมาทำรังกันอยู่ในเมืองให้เห็นเป็นเรื่องแปลก

มิใช่เป็นเพราะฝูงผึ้งย้ายรังจากป่าออกมาสู่เมือง

แต่เป็นเพราะพวกเขา "สับสนทิศ" ต่างหาก

ที่เกิดอาการสับสนทิศจนจำทางกลับรังตัวเองไม่ได้

ก็เป็นเพราะเส้นแรงสนามแม่เหล็กโลกแกว่งส่าย

 

เหตุอาเพศทั้งหลายที่กล่าวมา

มันจะเป็นปรากฏการณ์ที่ท่านทั้งหลายมองเห็นได้

แต่สิ่งที่พวกท่านมองไม่เห็นถ้าหากไม่บอกก็ไม่รู้

นั่นคือถ้าสนามแม่เหล็กโลกทั้งระบบเสียสมดุลไป

ทั้งความสูงของระบบโครงข่ายสนามแม่เหล็กโลก

หากยกตัวสูงขึ้นจากพื้นโลกไม่ถึงหกหมื่นกิโลเมตร

และหรือความเข้มของสนามแม่เหล็กโลก

มีค่าไม่ถึง 14 เก๊าส์เท่าที่พระองค์กำหนดไว้ให้แล้ว

มันจะทำให้พวกคุณชาวโลกเกิดอาการแบบนี้นะ

 

1.มึนศีรษะบ่อยๆ

2.ความดันไม่ปกติ

3.ภูมิต้านทานโรคต่ำ โรคประจำตัวจะปรากฏ

4.อารมณ์วิปริตแปรปรวน โกรธง่าย ขี้วีน

5.นึกคิดอะไรไม่ค่อยออก ขี้ลืม

6.ขี้โรค อายุขัยจะสั้นลง

7.นั่งกรรมฐานสมาธิแบบเดิมไม่ได้นาน

8.มีเจ้าลัทธิประหลาดเกิดใหม่มากขึ้นเรื่อยๆ

9.คนจะเห็นกงจักรเป็นดอกบัวมากยิ่งขึ้น

10.ฆราวาสจะตั้งตนเป็นครูสอนธรรมะกันเองมากขึ้น

 

สิ่งเหล่านี้จะเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น

โดยมีสาเหตุจากสนามแม่เหล็กโลกแปรปรวน

ซึ่งน่ากลัวกว่าแม่เหล็กโลกกลับขั้วกันเสียอีก

เพราะแม่เหล็กโลกกลับขั้วนั้นยากที่จะเป็นไปได้

แต่นิสัยสันดานคนกับสิ่งวิปริตทั้งหมดที่กล่าวมา

มันจะปรากฏเกิดขึ้นให้ได้แลเห็นกันแน่นอน

ไม่นับภัยพิบัติรุนแรงที่จะมาจากน้ำจากฟ้าจากไฟ

 

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา

สไลด์คำสอนประจำวันพระบิดาจึงให้เน้นย้ำ

เรื่องการมีกฤตสติเอาไว้ให้ 2 วันติดต่อกัน

 

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

24/04/2567




20 เมษายน 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 20/04/2024

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

พวกคุณทุกคนที่มีจิตวิญญาณเป็นตัวตนแก่นแท้

โดยมีจิตหยาบหรือจิตมนุษย์ทำหน้าที่แทน

ในการขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรมขณะมีชีวิตนั้น

จักต้องเป็นหนึ่งเดียวกันกับดาวเคราะห์โลกดวงนี้

ทั้งมิติทางพลังงานด้านแก่นแท้และมิติแห่งเนื้อหนัง

โดยจะขาดจิตสำนึกรัก “โลก” กันไม่ได้

 

คำว่า “โลก” ในที่นี้เราหมายถึงดาวโลกทั้งดวง

รวมทั้งทุกสรรพสิ่งที่ดำรงอยู่ภายในระบบโลก

ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรธรรมชาติจำพวกหินดินทราย

น้ำแร่ธาตุต่างๆและสัตว์ทั้งหลายก็เรียกว่าโลกทั้งสิ้น

 

การเป็นหนึ่งเดียวกันในมิติแห่งเนื้อหนัง

ซึ่งเป็นมิติทางกายภาพของคุณกับโลกนั้นไม่มีปัญหา

เนื่องจากว่าดาวเคราะห์โลกดวงนี้ช่วยคุณอยู่แล้ว

ด้วยการนำพาคุณเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองอย่างต่อเนื่อง

จึงทำให้พวกคุณและทุกสรรพสิ่งภายในระบบโลก

ที่เปรียบคล้ายดั่งเห็บเหาที่เกาะติดอยู่บนพื้นผิวโลก

เหวี่ยงหมุนไปด้วยกันจนกลายเป็นหนึ่งเนื้อเดียวกัน

 

ถ้าคุณสามารถออกไปยืนมองโลกอยู่ในอวกาศได้

คุณจะพบว่าโลกกำลังเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองอยู่

โดยที่ไม่อาจรู้เห็นว่าบ้านคุณหรือบ้านใครอยู่ตรงไหน

ตัวตนของคุณหรือของใครกำลังยืนอยู่ตรงพิกัดใด

เพราะคุณจะเหวี่ยงหมุนไปด้วยกันกับโลกตลอดเวลา

เนื่องจากโลกจะออกแรงดึงดูดเหนี่ยวรั้งคุณเอาไว้

ในมิติทางพลังงานที่สองตาของคุณมองไม่เห็นด้วย

 

ดังนั้น

ในมิติโลกทางกายภาพสำหรับพวกคุณจึงไม่มีปัญหา

ในมิติทางพลังงานจากการที่โลกหมุนรอบตัวเอง

จึงทำให้เกิดแรงดึงดูดเหนี่ยวรั้งคุณและทุกสรรพสิ่งไว้

ไม่ให้กระเด็นกระดอนกระจายออกไปจากระบบแล้ว

คุณจำคำกล่าวที่ว่า “ตบมือข้างเดียวดังไม่ได้” ได้ไหม

แสดงว่าจะให้โลกดึงดูดเหนี่ยวรั้งคุณฝ่ายเดียวมิได้

ตัวพวกคุณแต่ละคนจะต้องออกแรงเหนี่ยวรั้งโลกด้วย

การเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างคุณกับโลกจึงจะเป็นผล

 

แปลว่าจะต้องตบมือสองข้างเท่านั้นจึงจะดังได้

คุณกับโลกต่างฝ่ายจึงต้อง “รักกัน” ด้วย

การเป็นหนึ่งเดียวกันจึงจะเกิดผลตามต้องการ

ในเมื่อโลกออกแรงรักพวกคุณก่อนแล้วดังกล่าว

ก็เหลือแต่พวกคุณเท่านั้นเองที่จะต้องรักโลกบ้าง

จะปล่อยให้โลกต้องรักคุณอยู่ข้างเดียวไม่ได้แน่

ปัญหาจึงมีอยู่ว่าคุณจะรักโลกกันอย่างไรได้บ้างล่ะ

นี่คือหน้าที่ของพวกคุณทุกคนจะต้องคิดและทำ

เพราะพระเจ้าประทานจิตปัญญาให้คุณใช้มันอยู่แล้ว

 

ถ้าคุณรักโลกและทุกสรรพสิ่งอย่างแท้จริง

คุณต้องปฏิบัติตนขณะมีชีวิตอยู่ดังต่อไปนี้

 

1.มีสำนึกขอบคุณโลกที่ให้คุณได้ใช้เป็นที่เหยียบยืน

ได้มีที่อยู่ที่กินมีสถานที่ปฏิบัติภารกิจของจิตวิญญาณ

อย่างผาสุกและสงบเย็นเป็นอาจิณ

 

ไม่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกแบบต่างคนต่างอยู่

โดยไม่สำนึกถึงบุญคุณของโลกของตนบ้างเลย

เพราะการสำนึกถึงบุญคุณคือการกตัญญูรู้คุณโลก

แทนที่จะเป็นผู้เอาจากโลกอยู่ฝ่ายเดียว

แต่ต้องรู้จักให้โลกรู้จักตอบแทนโลกกันบ้าง

อันหมายถึงเมื่อมีการกตัญญูแล้วต้องมีกตเวทีด้วย

 

2.ต้องไม่ทำร้ายโลกด้วยการทำลายระบบโลก

เพราะระบบโลกก็คือ “ระบบของตัวคุณเอง”

ถ้าคุณทำลายระบบโลกจึงเป็นการทำลายตัวเองด้วย

เช่น การระเบิดภูเขาเพื่อเอาหินไปใช้ก่อสร้าง

มันคือการขนย้ายภูเขาทั้งลูกไปไว้ที่ตรงพิกัดอื่น

มันคือการทำให้ระบบโลกเสียสมดุลนั่นเอง

 

ภูเขาแต่ละลูกเทือกเขาแต่ละแนว

ไม่ต่างจากแท่งตะกั่วชิ้นเล็กๆน้ำหนักไม่กี่กรัม

ที่ช่างถ่วงล้อรถยนต์เขาใช้งานกันนั่นแหละ

แม้แต่ละชิ้นเมื่อเปรียบเทียบกับน้ำหนักล้อรถแล้ว

มันเบากว่าหลายเท่าจึงไม่ต่างกับตะกั่วถ่วงล้อ

แต่ถ้าคุณติดตั้งตะกั่วผิดตำแหน่งหรือว่าย้ายที่ไป

ล้อรถนั้นก็จะเสียศูนย์หรือเสียสมดุลไปทันที

ช่างติดตั้งตะกั่วไว้ตรงไหนคุณจะย้ายไปที่อื่นมิได้

 

ภูเขาทุกลูกและเทือกเขาทุกแห่งที่อยู่บนโลก

พระบิดาทรงสร้างขึ้นไว้อย่างถูกที่ถูกตำแหน่ง

โดยมีน้ำหนักมวลที่ทรงคำนวณไว้เหมาะสมดีแล้ว

ขณะที่โลกเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองไปเรื่อย ๆนั้น

ก็ไม่ต่างจากล้อรถยนต์ที่กำลังหมุนขณะแล่นไป

ทั้งตำแหน่งและขนาดแท่งตะกั่วที่ถูกต้องเหมาะสม

ทำให้ล้อรถยนต์ไม่แกว่งส่ายขณะรถวิ่งไปได้ฉันใด

ภูเขาทุกลูกก็ทำให้โลกไม่แกว่งส่ายได้ฉันนั้น

 

พวกคุณจึงต้องไม่ทำลายภูเขาของพระองค์

ไม่เช่นนั้นแล้วโลกจะหมุนไปเสียสมดุลไป

พวกคุณจะเกิดอาการเวียนศีรษะอยู่ไม่เป็นสุขเลย

เพราะจะเกิดอาการเหมือนคนขี้เมานั่นแหละ

จะมีอาการแกว่งส่ายคล้ายลูกข่างที่กำลังจะล้ม

ภูมิอากาศรอบโลกจะวิปริตแปรปรวนไปหมดเลย

 

3.ต้องไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไม่ฆ่ากันเองและไม่โค่น

เพราะสิ่งมีชีวิตทุกชนิดเป็นเพื่อนร่วมงานกับโลก

คุณโค่นต้นไม้ทิ้งไปต้นหนึ่งฆ่าสัตว์ตายไปตัวหนึ่ง

เท่ากับว่าคุณได้ทำลายเครื่องยนต์แห่งกรรม

ซึ่งมีหน้าที่ผลิตพลังงานไฟฟ้าป้อนให้แกนโลก

เพื่อช่วยให้โลกใช้ในการเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองไป

 

หนึ่งคน หนึ่งต้น หนึ่งตัว

ที่ถูกทำลายทิ้งไปก็เท่ากับว่า

เครื่องยนต์ผลิตไฟฟ้าถูกทำลายไปเครื่องหนึ่ง

พระพุทธองค์จึงทรงกำหนดไว้เป็นศีลข้อแรกคือ

#ห้ามฆ่าสัตว์ตัดโค่นต้นไม้ใหญ่ทำลายชีวิต

เพื่อป้องกันมิให้พวกคุณทำลายระบบโลก

จนเกิดการเสียสมดุลจนพวกคุณอยู่บนโลกนี้ไม่ได้

เพราะต้องทำสงครามกับภัยพิบัติที่คุณไม่มีวันชนะ

ถ้าโลกเกิดอาการเสียสมดุลจนถึงขั้นรุนแรง

 

4.พวกคุณต้องรักโลกด้วยการรักกันเอง

นอกจากจะไม่ฆ่ากันตายไม่ฆ่าสัตว์ไม่ตัดโค่นป่าแล้ว

คุณยังต้องรักกันรักสัตว์และรักป่าของพระบิดาด้วย

เพื่อใช้พลังงานความรักจากจิตสามนึกด้านบวก

สั่นสะเทือนขันธ์ห้าผลิตพลังงานจิตป้อนให้แกนโลก

ในบทบาทของ “เพื่อนร่วมงานกับโลก” อีกต่างหาก

 

อย่าเป็นคนทำตนหนักแผ่นดินหรือเสียชาติเกิด

ด้วยการเกิดมาชาตินี้มีแต่ “ขี้เอา” อยู่อย่างเดียว

โดยไม่ยอมรักกันเพื่อการรักโลกแต่อย่างใดเลย

ใช้ชีวิตในแบบต่างคนต่างอยู่ต่างกูต่างหากิน

ไม่มีจิตสามนึกรักกันพึ่งพาอาศัยอะไรกันไม่ได้

มีความเห็นแก่ประโยชน์สุขส่วนตัวเป็นสำคัญ

มีการถือดีถือตัวถือตนเป็นใหญ่ไม่แคร์ใครทั้งนั้น

 

ความสมานฉันท์กันอย่างแท้จริงเกิดขึ้นได้ยากยิ่ง

จะเข้าถึงกันได้แค่ระดับ “ความสามัคคี” เท่านั้น

ความสามัคคีกันในหมู่พวกคุณนั้น

มันเกิดจากความสมานฉันท์กันแค่ชั่วคราว

พลังอำนาจที่เกิดจากความสามัคคีจึงไม่จีรังยั่งยืน

เพราะพวกคุณเข้าถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันได้

โดยเอาประโยชน์เป็นตัวตั้งเท่านั้น

เมื่อหมดงานหมดภารกิจก็หมดผลประโยชน์

พวกคุณก็จะแยกย้ายจากกันไปกลุ่มก็สลายตัวไป

 

แต่ถ้าเป็นความสมานฉันท์ที่แท้จริง

มันจะต่างจากความสามัคคีตรงที่ว่า

พวกคุณจะต้องเอาความสุขและความพึงพอใจ

ในการอยู่ร่วมกันหรือการทำงานร่วมกันเป็นที่ตั้ง

ไม่ว่าในขณะที่ร่วมงานกันอยู่หรืองานนั้นเสร็จแล้ว

พวกคุณก็ยังเป็นหนึ่งเดียวกันทางจิตใจอยู่ได้ตลอด

 

พวกคุณจักต้องรู้ว่า

ความรักที่พึงมีต่อดาวเคาะห์โลกดวงนี้นั้น

คุณไม่ต้องนั่งนอนในอาการ “กอด” โลกหรอก

แค่ไม่ทำร้ายไม่ทำลายระบบโลกให้เสียสมดุลก็พอ

ที่สำคัญคือต้องรักโลกผ่านคนรอบข้างและทุกสิ่ง

เพื่อทำให้สมการพลังงานทางช้างเผือกศักดิ์สิทธิ์

ด้วยการหมุนธรรมจักรร่วมกันกับทุกคนทุกสิ่งให้ได้

โดยไม่มีการแบ่งแยกว่าจะเป็นคนสัตว์หรือต้นไม้

 

กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

20/04/2567