#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ถ้าคุณยอมรับและเข้าใจแล้วว่า
จิตวิญญาณคุณขันอาสาพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ข้ามมิติเข้ามาเกิดเป็น “คนสองมิติ”
อยู่ในระบบโลก
ภายในเอกภพที่เป็นเสมือนห้องทดลองของพระองค์
เพื่อจะคนตนเองในสองมิติให้เป็นหนึ่งเดียวกันให้ได้
เมื่อเป็นหนึ่งเดียวกันได้แล้วจึงจะเรียกว่า
#มนุษย์
คำว่า #เป็นหนึ่งเดียวกันในสองมิติ ในที่นี้หมายถึง
จิตหยาบจะต้องสามารถสั่นสะเทือนเป็นหนึ่งเดียวกัน
กับจิตวิญญาณผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของตนเองได้
โดยการเข้าถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันดังกล่าวนี้
มันคือสิ่งที่เราเรียกว่า “คน”
ให้เข้ากันนั่นเอง
วิธีการยกระดับแรงสั่นสะเทือน
ระหว่างจิตหยาบกับจิตวิญญาณให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
ก็คือทุกวันเวลาในยามตื่นตั้งแต่คุณอายุได้สามขวบ
คุณต้องเรียนรู้ที่จะรักตัวเองรักพ่อแม่รักทุกคนทุกสิ่ง
ด้วยความรักที่ซื่อใสบริสุทธิ์ไม่มีกิเลสแอบแฝงให้ได้
ในทุกเงื่อนไขที่เป็นสิ่งเร้าทั้งภายนอกภายในตนเอง
สิ่งเร้าต่างๆจากภายนอก
อาจถูกส่งผ่านเข้ามาทางตาหูจมูกลิ้นและกายสัมผัส
ซึ่งตัวคุณสับเปลี่ยน “หมุนเวียน”
ใช้มันเพื่อรับข้อมูล
แล้วส่งรหัสข้อมูลจากอายตนะภายนอกทั้งห้านั้น
เข้าไปยัง “จิตหยาบ”
ที่อยู่ข้างในให้รับรู้กันอีกทีหนึ่ง
สิ่งเร้าภายในก็คือสิ่งที่จิตหยาบนึกออกนึกเอานึกเอง
เมื่อนึกแล้วก็ปลุกเร้าตนเองให้เกิดการรับรู้สิ่งนั้นขึ้น
จิตหยาบของคุณ
เมื่อถูกปลุกเร้าจากการรับรู้สิ่งเร้านั้นไม่ว่าแบบไหน
มันจะสั่นสะเทือนขึ้นเพื่อ #การรับเอา สิ่งนั้นเสมอ
แต่การรับเอาที่ถูกต้องเหมาะสมดีงามสมควรทำก็คือ
คุณต้องรับเอาสิ่งเร้านั้นมาเพื่อ #การเรียนรู้ เท่านั้น
โดยต้องเรียนรู้ด้วยวัตถุประสงค์ 3
อย่าง คือ
1.เรียนรู้ว่ามันคืออะไร เป็นอะไร
อย่างไรและทำไม
2.เรียนรู้แล้วคุณต้องรักมันให้ได้แม้ว่ามันจะไม่น่ารัก
3.เรียนรู้แล้วต้องสงบระงับโดยวางจิตเป็นอุเบกขา
คำว่า “อุเบกขา” ในที่นี้เราหมายถึง
คุณต้องไม่ตกเป็นทาสการยั่วยุเมื่อเป็นสิ่งเร้าด้านลบ
โดยคุณต้องไม่มีคำว่าไม่ชอบไม่มีคำว่าไม่พึงพอใจ
หรือไม่ตกเป็นทาสการเย้ายวนเมื่อเป็นสิ่งเร้าด้านบวก
โดยคุณต้องไม่มีคำว่าชอบหรือคำว่าพึงพอใจเด็ดขาด
เพราะการชอบหรือไม่ชอบ
การพอใจหรือไม่พอใจ
ที่เกิดขึ้นมาภายในจิตหยาบของคุณนั้น
มันคือสิ่งที่เรียกว่า #ความรู้สึก ซึ่งเป็นกิเลสมาร
ที่จะทำให้จิตหยาบของคุณสั่นสะเทือนผิดจากปกติ
โดยแรงสั่นสะเทือนของจิตหยาบจะตกต่ำลงทันที
ซึ่งพวกคุณเรียกกันว่าเกิดอาการ “จิตตก”
นั่นแหละ
อาการจิตตกชั่วคราวนี้
มันคือสภาวะจิตที่สั่นสะเทือนในย่านความถี่ต่ำ
ขณะที่ในยามปกติถ้าคุณไม่มีสิ่งเร้ามายั่วยุเย้ายวน
สภาวะจิตของคุณจะสั่นสะเทือนอยู่ในย่านความถี่สูง
จิตหยาบที่สั่นสะเทือนในย่านความถี่สูงก็คือจิตสงบ
ไม่ต่างจากเส้นลวดราวตากผ้าที่ขึงเอาไว้จนตึงนั้น
สองตาเปล่าของคุณอาจจะมองเห็นว่ามันนิ่งสงบสงัด
แต่โมเลกุลเส้นลวดนั้นมันกำลังสั่นด้วยความถี่สูงอยู่
หรือถ้าคุณดีดลวดเส้นนั้นแรงๆ
มันจะสั่นสะเทือนขึ้นๆลงๆด้วยความถี่สูงได้
แรกๆที่ทำให้มันสั่นสะเทือนคุณจะมองเห็นว่ามันสั่น
แต่ในที่สุดสองตาของคุณจะเห็นว่าสั่นเป็นเส้นตรง
เพราะมันกำลังสั่นสะเทือนสูงสุดจนเหมือนว่าไม่สั่น
สภาวะของจิตหยาบก็เช่นเดียวกันกับลวดราวตากผ้า
ยามใดที่จิตหยาบของคุณอยู่ในความสงบระงับนั้น
จิตก็กำลังสั่นสะเทือนในย่านความถี่สูงถึงสูงสุดอยู่
ถ้าสงบมากก็สูงสุดถ้าสงบน้อยก็ไม่ค่อยสูงเท่าใดนัก
คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่านิสัยเคยตัวหรือสันดานที่ไม่ดีนั้น
เมื่อรับรู้สิ่งใดแล้วจะหยิบสิ่งนั้นมาเป็นเงื่อนไขเสมอ
ตรงนี้เองที่ทำให้มีการ “หมุนกรรมจักร”
ขึ้นมาทันที
เช่นถ้าเกิดความรู้สึกไม่พอใจมากก็จะโกรธมาก
หากรู้สึกไม่พอใจมากจนสุดขีดก็จะโกรธแค้นอาฆาต
ถ้าเป็นแค่โกรธก็เป็นการหมุนกรรมจักรในตนเอง
ที่ทำให้จิตหยาบยกระดับแรงสั่นสะเทือนสูงขึ้นไม่ได้
กับก่อให้เกิดบุรพกรรมหรือวิบากกรรมขึ้นมาด้วย
เพราะสอบตกบททดสอบจิตสามนึกแห่งรักรายวัน
ที่คนรอบข้างคนนั้นช่วยหยิบยื่นมาให้
แต่ถ้าถึงขั้นโกรธแค้นอาฆาตรุนแรงกว่าปกติ
นอกจากใครคนนั้นจะหมุนกรรมจักรในตนเองขึ้นมา
จนก่อวิบากกรรมเพราะสอบตกบททดสอบแล้ว
ยังจะทำให้เกิด #ชะตากรรม ที่เป็น
“กรรมสัมพันธ์”
กับคู่กรณีคนนั้นๆผู้สร้างเงื่อนไขให้อีกต่างหากด้วย
คุณเห็นหรือยังว่า...
ถ้าต้องเป็นสัตว์สังคมโดยมีผู้คนรอบข้างมากมาย
ถ้ารักจะเป็นคนชอบธรรมด้วยการเลียนแบบนักบวช
คุณก็จะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ไม่ได้อย่างแน่นอน
เพราะการเรียนรู้ที่จะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์และสมดุล
ด้วยบทเรียนต่างๆที่จิตวิญญาณของคุณถือติดตัวมา
จากการสอบผ่านบททดสอบรายวันในแต่ละบท
ทั้งยากและง่ายถูกคุณหลีกเลี่ยงเบี่ยงหนีไปหมด
จากการปลีกวิเวกและแกล้งทำเป็นอายตนะพิการ
จนไม่อาจปลดการเกี่ยวกรรมกับคู่เวรคู่กรรมได้เลย
กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา
เอเมน สาธุ
24/04/2567