20 เมษายน 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 20/04/2024

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

พวกคุณทุกคนที่มีจิตวิญญาณเป็นตัวตนแก่นแท้

โดยมีจิตหยาบหรือจิตมนุษย์ทำหน้าที่แทน

ในการขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรมขณะมีชีวิตนั้น

จักต้องเป็นหนึ่งเดียวกันกับดาวเคราะห์โลกดวงนี้

ทั้งมิติทางพลังงานด้านแก่นแท้และมิติแห่งเนื้อหนัง

โดยจะขาดจิตสำนึกรัก “โลก” กันไม่ได้

 

คำว่า “โลก” ในที่นี้เราหมายถึงดาวโลกทั้งดวง

รวมทั้งทุกสรรพสิ่งที่ดำรงอยู่ภายในระบบโลก

ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรธรรมชาติจำพวกหินดินทราย

น้ำแร่ธาตุต่างๆและสัตว์ทั้งหลายก็เรียกว่าโลกทั้งสิ้น

 

การเป็นหนึ่งเดียวกันในมิติแห่งเนื้อหนัง

ซึ่งเป็นมิติทางกายภาพของคุณกับโลกนั้นไม่มีปัญหา

เนื่องจากว่าดาวเคราะห์โลกดวงนี้ช่วยคุณอยู่แล้ว

ด้วยการนำพาคุณเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองอย่างต่อเนื่อง

จึงทำให้พวกคุณและทุกสรรพสิ่งภายในระบบโลก

ที่เปรียบคล้ายดั่งเห็บเหาที่เกาะติดอยู่บนพื้นผิวโลก

เหวี่ยงหมุนไปด้วยกันจนกลายเป็นหนึ่งเนื้อเดียวกัน

 

ถ้าคุณสามารถออกไปยืนมองโลกอยู่ในอวกาศได้

คุณจะพบว่าโลกกำลังเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองอยู่

โดยที่ไม่อาจรู้เห็นว่าบ้านคุณหรือบ้านใครอยู่ตรงไหน

ตัวตนของคุณหรือของใครกำลังยืนอยู่ตรงพิกัดใด

เพราะคุณจะเหวี่ยงหมุนไปด้วยกันกับโลกตลอดเวลา

เนื่องจากโลกจะออกแรงดึงดูดเหนี่ยวรั้งคุณเอาไว้

ในมิติทางพลังงานที่สองตาของคุณมองไม่เห็นด้วย

 

ดังนั้น

ในมิติโลกทางกายภาพสำหรับพวกคุณจึงไม่มีปัญหา

ในมิติทางพลังงานจากการที่โลกหมุนรอบตัวเอง

จึงทำให้เกิดแรงดึงดูดเหนี่ยวรั้งคุณและทุกสรรพสิ่งไว้

ไม่ให้กระเด็นกระดอนกระจายออกไปจากระบบแล้ว

คุณจำคำกล่าวที่ว่า “ตบมือข้างเดียวดังไม่ได้” ได้ไหม

แสดงว่าจะให้โลกดึงดูดเหนี่ยวรั้งคุณฝ่ายเดียวมิได้

ตัวพวกคุณแต่ละคนจะต้องออกแรงเหนี่ยวรั้งโลกด้วย

การเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างคุณกับโลกจึงจะเป็นผล

 

แปลว่าจะต้องตบมือสองข้างเท่านั้นจึงจะดังได้

คุณกับโลกต่างฝ่ายจึงต้อง “รักกัน” ด้วย

การเป็นหนึ่งเดียวกันจึงจะเกิดผลตามต้องการ

ในเมื่อโลกออกแรงรักพวกคุณก่อนแล้วดังกล่าว

ก็เหลือแต่พวกคุณเท่านั้นเองที่จะต้องรักโลกบ้าง

จะปล่อยให้โลกต้องรักคุณอยู่ข้างเดียวไม่ได้แน่

ปัญหาจึงมีอยู่ว่าคุณจะรักโลกกันอย่างไรได้บ้างล่ะ

นี่คือหน้าที่ของพวกคุณทุกคนจะต้องคิดและทำ

เพราะพระเจ้าประทานจิตปัญญาให้คุณใช้มันอยู่แล้ว

 

ถ้าคุณรักโลกและทุกสรรพสิ่งอย่างแท้จริง

คุณต้องปฏิบัติตนขณะมีชีวิตอยู่ดังต่อไปนี้

 

1.มีสำนึกขอบคุณโลกที่ให้คุณได้ใช้เป็นที่เหยียบยืน

ได้มีที่อยู่ที่กินมีสถานที่ปฏิบัติภารกิจของจิตวิญญาณ

อย่างผาสุกและสงบเย็นเป็นอาจิณ

 

ไม่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกแบบต่างคนต่างอยู่

โดยไม่สำนึกถึงบุญคุณของโลกของตนบ้างเลย

เพราะการสำนึกถึงบุญคุณคือการกตัญญูรู้คุณโลก

แทนที่จะเป็นผู้เอาจากโลกอยู่ฝ่ายเดียว

แต่ต้องรู้จักให้โลกรู้จักตอบแทนโลกกันบ้าง

อันหมายถึงเมื่อมีการกตัญญูแล้วต้องมีกตเวทีด้วย

 

2.ต้องไม่ทำร้ายโลกด้วยการทำลายระบบโลก

เพราะระบบโลกก็คือ “ระบบของตัวคุณเอง”

ถ้าคุณทำลายระบบโลกจึงเป็นการทำลายตัวเองด้วย

เช่น การระเบิดภูเขาเพื่อเอาหินไปใช้ก่อสร้าง

มันคือการขนย้ายภูเขาทั้งลูกไปไว้ที่ตรงพิกัดอื่น

มันคือการทำให้ระบบโลกเสียสมดุลนั่นเอง

 

ภูเขาแต่ละลูกเทือกเขาแต่ละแนว

ไม่ต่างจากแท่งตะกั่วชิ้นเล็กๆน้ำหนักไม่กี่กรัม

ที่ช่างถ่วงล้อรถยนต์เขาใช้งานกันนั่นแหละ

แม้แต่ละชิ้นเมื่อเปรียบเทียบกับน้ำหนักล้อรถแล้ว

มันเบากว่าหลายเท่าจึงไม่ต่างกับตะกั่วถ่วงล้อ

แต่ถ้าคุณติดตั้งตะกั่วผิดตำแหน่งหรือว่าย้ายที่ไป

ล้อรถนั้นก็จะเสียศูนย์หรือเสียสมดุลไปทันที

ช่างติดตั้งตะกั่วไว้ตรงไหนคุณจะย้ายไปที่อื่นมิได้

 

ภูเขาทุกลูกและเทือกเขาทุกแห่งที่อยู่บนโลก

พระบิดาทรงสร้างขึ้นไว้อย่างถูกที่ถูกตำแหน่ง

โดยมีน้ำหนักมวลที่ทรงคำนวณไว้เหมาะสมดีแล้ว

ขณะที่โลกเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองไปเรื่อย ๆนั้น

ก็ไม่ต่างจากล้อรถยนต์ที่กำลังหมุนขณะแล่นไป

ทั้งตำแหน่งและขนาดแท่งตะกั่วที่ถูกต้องเหมาะสม

ทำให้ล้อรถยนต์ไม่แกว่งส่ายขณะรถวิ่งไปได้ฉันใด

ภูเขาทุกลูกก็ทำให้โลกไม่แกว่งส่ายได้ฉันนั้น

 

พวกคุณจึงต้องไม่ทำลายภูเขาของพระองค์

ไม่เช่นนั้นแล้วโลกจะหมุนไปเสียสมดุลไป

พวกคุณจะเกิดอาการเวียนศีรษะอยู่ไม่เป็นสุขเลย

เพราะจะเกิดอาการเหมือนคนขี้เมานั่นแหละ

จะมีอาการแกว่งส่ายคล้ายลูกข่างที่กำลังจะล้ม

ภูมิอากาศรอบโลกจะวิปริตแปรปรวนไปหมดเลย

 

3.ต้องไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไม่ฆ่ากันเองและไม่โค่น

เพราะสิ่งมีชีวิตทุกชนิดเป็นเพื่อนร่วมงานกับโลก

คุณโค่นต้นไม้ทิ้งไปต้นหนึ่งฆ่าสัตว์ตายไปตัวหนึ่ง

เท่ากับว่าคุณได้ทำลายเครื่องยนต์แห่งกรรม

ซึ่งมีหน้าที่ผลิตพลังงานไฟฟ้าป้อนให้แกนโลก

เพื่อช่วยให้โลกใช้ในการเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองไป

 

หนึ่งคน หนึ่งต้น หนึ่งตัว

ที่ถูกทำลายทิ้งไปก็เท่ากับว่า

เครื่องยนต์ผลิตไฟฟ้าถูกทำลายไปเครื่องหนึ่ง

พระพุทธองค์จึงทรงกำหนดไว้เป็นศีลข้อแรกคือ

#ห้ามฆ่าสัตว์ตัดโค่นต้นไม้ใหญ่ทำลายชีวิต

เพื่อป้องกันมิให้พวกคุณทำลายระบบโลก

จนเกิดการเสียสมดุลจนพวกคุณอยู่บนโลกนี้ไม่ได้

เพราะต้องทำสงครามกับภัยพิบัติที่คุณไม่มีวันชนะ

ถ้าโลกเกิดอาการเสียสมดุลจนถึงขั้นรุนแรง

 

4.พวกคุณต้องรักโลกด้วยการรักกันเอง

นอกจากจะไม่ฆ่ากันตายไม่ฆ่าสัตว์ไม่ตัดโค่นป่าแล้ว

คุณยังต้องรักกันรักสัตว์และรักป่าของพระบิดาด้วย

เพื่อใช้พลังงานความรักจากจิตสามนึกด้านบวก

สั่นสะเทือนขันธ์ห้าผลิตพลังงานจิตป้อนให้แกนโลก

ในบทบาทของ “เพื่อนร่วมงานกับโลก” อีกต่างหาก

 

อย่าเป็นคนทำตนหนักแผ่นดินหรือเสียชาติเกิด

ด้วยการเกิดมาชาตินี้มีแต่ “ขี้เอา” อยู่อย่างเดียว

โดยไม่ยอมรักกันเพื่อการรักโลกแต่อย่างใดเลย

ใช้ชีวิตในแบบต่างคนต่างอยู่ต่างกูต่างหากิน

ไม่มีจิตสามนึกรักกันพึ่งพาอาศัยอะไรกันไม่ได้

มีความเห็นแก่ประโยชน์สุขส่วนตัวเป็นสำคัญ

มีการถือดีถือตัวถือตนเป็นใหญ่ไม่แคร์ใครทั้งนั้น

 

ความสมานฉันท์กันอย่างแท้จริงเกิดขึ้นได้ยากยิ่ง

จะเข้าถึงกันได้แค่ระดับ “ความสามัคคี” เท่านั้น

ความสามัคคีกันในหมู่พวกคุณนั้น

มันเกิดจากความสมานฉันท์กันแค่ชั่วคราว

พลังอำนาจที่เกิดจากความสามัคคีจึงไม่จีรังยั่งยืน

เพราะพวกคุณเข้าถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันได้

โดยเอาประโยชน์เป็นตัวตั้งเท่านั้น

เมื่อหมดงานหมดภารกิจก็หมดผลประโยชน์

พวกคุณก็จะแยกย้ายจากกันไปกลุ่มก็สลายตัวไป

 

แต่ถ้าเป็นความสมานฉันท์ที่แท้จริง

มันจะต่างจากความสามัคคีตรงที่ว่า

พวกคุณจะต้องเอาความสุขและความพึงพอใจ

ในการอยู่ร่วมกันหรือการทำงานร่วมกันเป็นที่ตั้ง

ไม่ว่าในขณะที่ร่วมงานกันอยู่หรืองานนั้นเสร็จแล้ว

พวกคุณก็ยังเป็นหนึ่งเดียวกันทางจิตใจอยู่ได้ตลอด

 

พวกคุณจักต้องรู้ว่า

ความรักที่พึงมีต่อดาวเคาะห์โลกดวงนี้นั้น

คุณไม่ต้องนั่งนอนในอาการ “กอด” โลกหรอก

แค่ไม่ทำร้ายไม่ทำลายระบบโลกให้เสียสมดุลก็พอ

ที่สำคัญคือต้องรักโลกผ่านคนรอบข้างและทุกสิ่ง

เพื่อทำให้สมการพลังงานทางช้างเผือกศักดิ์สิทธิ์

ด้วยการหมุนธรรมจักรร่วมกันกับทุกคนทุกสิ่งให้ได้

โดยไม่มีการแบ่งแยกว่าจะเป็นคนสัตว์หรือต้นไม้

 

กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

20/04/2567