22 พฤศจิกายน 2562

สนทนาประสาจิตจักรวาล 22/11/2019

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

ถ้าท่านต้องการสนทนากับพระเจ้า

เพื่อเพียงจะกราบทูลพระองค์ว่า

 

1. จุดมุ่งหมายของท่าน

คือ การวิวัฒน์ มิใช่การลงทัณฑ์

 

2. จุดมุ่งหมายของท่าน

คือ การเติบโต

มิใช่การเติบโตเพื่อตาย

 

3. จุดมุ่งหมายของท่าน

คือ การมีประสบการณ์

มิใช่พลาดโอกาสที่จะเรียนรู้มัน

 

4. จุดมุ่งหมายของท่าน

คือ การได้รับเป็นบางสิ่ง

มิใช่การหยุดที่จะเป็นในทุกสิ่ง

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

 

เราจะกล่าวต่อท่านทั้งหลาย

ในพระนามแห่งพระเจ้า

เพื่อสอนท่านให้ฉลาดคิดรู้ได้เอง

ในกรณีเหล่านี้ว่า

 

1. ไม่ว่าจะเป็นจุดมุ่งหมายทั้ง 4 ข้อนี้

หรือจะมีอีกสักกี่ร้อยพันข้อก็ตาม

 

ท่านจงรับรู้เอาไว้เถิดว่า

"พระผู้เป็นเจ้า" มิได้ทรงเข้ามาเกี่ยวข้อง

ในแผนการดำเนินชีวิตของท่านแต่อย่างใด

 

ดังนั้น

จุดมุ่งหมายใดจะบรรลุผลสมดั่งใจหรือไม่

มันจึงมิใช่แผนการของพระเจ้า

แม้ปากของท่านจะร่ำร้องขอพรจากพระเจ้า

พระองค์ก็มิอาจประทานให้

เป็นไปตามที่ท่านต้องการได้

เพราะว่ามันมิใช่ภารกิจของพระเจ้า

 

2. ท่านทั้งหลายต้องรู้เอาไว้ด้วยว่า

พระบิดาทรงกำหนดสร้างให้โลกนี้

เป็นดาวเคราะห์แห่งทางเลือกเสรี

มาตั้งแต่เมื่อแรกสร้างแล้ว

 

ถ้าท่านต้องการสิ่งใดในชีวิตทั้งดีชั่ว

ท่านก็สามารถใช้อำนาจในตนเอง

ไขว่คว้ามันมาได้ด้วยตัวของท่านเอง

เพียงแต่ท่านต้องดำรงอยู่

ภายใต้กฎเกณฑ์ของพระองค์

นั่นคือกฎแห่งการสมดุลกันของทุกสรรพสิ่ง

 

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ด้วยว่า

อำนาจด้านบวกในตนเองที่ท่านมีอยู่

ก็เป็นอำนาจแห่งพระผู้เป็นเจ้า

เพราะท่านทั้งหลายล้วนมีพระเจ้าในตนเอง

ท่านทั้งหลายจึงต้องพยายามเข้าถึง

อำนาจสูงสุดด้านบวกในตนเองให้ได้

แล้วใช้พลังอำนาจด้านบวกนั้น

ทำตามจุดมุ่งหมายทั้ง 4 ข้อหรือมากกว่า

เพื่อให้ได้มาในแบบที่ท่านต้องการอย่างเสรี

 

3. การที่ท่านไม่บรรลุเป้าหมายแห่งการวิวัฒน์

เพราะท่านล้มเหลวในสิ่งที่ทำในสิ่งที่หวัง

จึงต้องรับผลกรรมเลวร้ายจากความล้มเหลวนั้น

โดยทึกทักเอาเองว่า "พระเจ้า" เป็นผู้ลงทัณฑ์

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

ท่านจักต้องรู้สำนึกเอาไว้ด้วยว่า

ท่านเองก็เป็นคนๆหนึ่ง

ที่มิได้แตกต่างจากคนส่วนใหญ่บนโลกใบนี้

ตรงที่ไม่ยอมรับความล้มเหลวใดๆ

อันเกิดจากความไม่เอาไหนของตัวเอง

แล้วเที่ยวโยนความผิดบาปให้คนอื่นแทน

ตัวอย่างเช่น

 

พอล้มเหลวในเรื่องงมงายก็หันไปโทษผี

เมื่อล้มเหลวในเรื่องอยากได้ใคร่มี

ก็หันไปกล่าวโทษ "พระเจ้า"

โดยไม่เคยกล่าวโทษตัวเองเลยว่า

 

ไม่ว่าจะดีหรือจะชั่วก็เพราะ "ตัวทำ"

ไม่ว่าจะสูงจะต่ำก็เพราะ "ทำตัว"

 

คนส่วนใหญ่จึงมักจะใช้มือ "ชี้โทษ" ผู้อื่น

โดยไม่เคยสังเกตว่านิ้วที่ชี้โทษผู้อื่นอยู่

มันเป็นแค่ "นิ้วชี้" เพียงนิ้วเดียวเท่านั้นเอง

แต่นิ้วที่เหลืออยู่อีกตั้งสองสามนิ้วนั้น

มันกำลังชี้เข้าหาตัวเองโดยแท้

 

ในที่สุดแล้วใครกันแน่ที่ควรถูกเพ่งโทษ

ระหว่างตนเองกับคนอื่นๆ

 

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า

 

ความฉลาด ความโง่ ความยโส โอหัง

ความประมาท ขาดสติ ความหลงตัวเอง

ความมีวิริยะ อุตสาหะ ความอดทน ความขยัน

ความมุ่งมั่น ความเชื่อมั่น ความรัก ฯลฯ

 

ทั้งหมดที่กล่าวนี้ คือ ตัวแทนของพระผู้เป็นเจ้า

ซึ่งเป็นคุณสมบัติทั้งด้านดีและเลวของท่าน

ที่พระองค์ได้ทรงประทานให้เป็นคุณสมบัติไว้

เพื่อให้ท่านเรียนรู้ที่จะฉลาดเลือกใช้มัน

 

แต่ถ้าท่านเข้าถึงพระเจ้าในตนเองเหล่านี้ไม่ได้

จนต้องพบกับความปราชัยย่อยยับอับเฉา

แล้วท่านจะมาร้องแรกแหกกะเฌอหาพระเจ้า

เสมือนตำหนิติเตียนพระองค์ได้อย่างไรกัน

 

4. การที่ท่านไม่บรรลุเป้าหมายของการเติบโต

แต่ท่านต้อง "เติบตาย" คือ โตมาเพื่อตายนั้น

ท่านก็สมควรต้องเอาความโง่ออกจากตา

แล้วฉลาดคิดรู้ฉลาดพิจารณาบ้างว่า

 

ความจริงแล้ว......

พระเจ้าได้ทรงสร้างเครื่องยนต์แห่งกรรม

ที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่านวัตกรรมใดๆเสียอีก

เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้ "ยืมใช้" กันทั้งชีวิต

เป็นเครื่องยนต์แห่งกรรมที่เติบโตได้เรื่อยๆ

พอโตเต็มที่แล้วหากมีการสึกหรอ

ก็สามารถซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอเองได้ด้วย

 

พระเจ้าทรงให้ชีวิตที่จีรังแก่ท่านทั้งหลาย

ด้วยเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์

ที่ไม่มีวันตาย...ไม่มีวันตาย.....ไม่มีวันตาย

 

แต่เป็นเพราะท่านดูแลและเลี้ยงดูมันไม่เป็น

ปฏิบัติกับมันอย่างไม่ถูกต้อง

โดยเอาแต่ใช้งานแต่ขาดการใส่ใจดูแล

จึงเกิดการเสื่อมจนต้องตาย

นี่มันมิใช่เพราะตัวท่านทำร้ายตัวเองดอกหรือ

 

ท่านทั้งหลายคงไม่รู้หรอกว่า

ความโง่กับความหลงตัวเองของท่าน

มันทำให้ท่านขาดสติไร้สำรวม

จนหาญกล้าตำหนิ "พระเจ้า" ผู้ให้กำเนิดท่าน

ซึ่งเป็นความผิดบาปอันยากแก่การให้อภัย

 

5. กรณีที่ท่านไม่บรรลุเป้าหมาย

ในการหาประสบการณ์เพราะท่านพลาดมัน

นี่ก็เป็นความผิดพลาดล้มเหลวของท่านเอง

มิใช่การผิดพลาดตามพระบัญชาของพระเจ้า

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

ถ้าวันๆท่านเอาแต่นั่งกินนอนกินดั่งคนพิการ

ท่านก็จะพลาดประสบการณ์ชีวิตในโลกกว้าง

พระเจ้าจะบังคับให้ท่านออกจากบ้าน

เพื่อไปหาประสบการณ์นอกบ้านได้หรือ

 

ถ้าเท้าสองข้างของท่านไม่ยอมก้าวย่าง

ถ้าสองตาท่านไม่ยอมเบิ่งกว้างออกมองหา

ถ้าสติปัญญาของท่านยังมิอาจใช้การได้

เพราะสมองสองซีกของท่านมันไม่ทำงาน

 

6. การที่ท่านไม่บรรลุเป้าหมาย

ในการเป็นบางสิ่ง

แต่กลับหยุดที่จะเป็นในบางสิ่งนั้นแทน

โดยท่านหมายถึง...

 

การอยากร่ำรวยเป็นเศรษฐี

แต่ท่านมิอาจมีความร่ำรวยตามต้องการได้

 

การอยากจะเป็นคนดี

แต่ท่านก็มิอาจเป็นคนดีกับใครเขาได้

 

การอยากจะรวยสนมรวยเมีย

แต่ทานก็มิอาจทำตนตามกิเลสตัณหานั้นได้

หรืออื่นๆ...

 

เราขอถามท่านว่า

การที่ใครคนไหนจะรวยได้หรือไม่ได้

มันเป็นสิทธิของใครคนนั้นมิใช่หรือ

 

เพียงขยันทำมาหากิน หนักเอาเบาสู้

ฉลาดใช้ปัญญาในการประกอบสัมมาอาชีวะ

ฉลาดใช้เงิน และฉลาดอดออม

กฎเกณฑ์ง่ายๆเหล่านี้ก็ช่วยให้ไม่จนได้แล้ว

 

อยากเป็นคนดี แต่เป็นไม่ได้

ก็ลองใช้ปัญญาตรึกตรองดูสิว่า

ใครห้ามไม่ให้ท่านเป็นคนดีล่ะ

พระเจ้า...อีกแล้วหรือ?

 

อยากรวยสนมรวยเมีย

แต่ท่านเป็นอย่างที่ต้องการไม่ได้

 

เพราะไม่มีปัญญาเลี้ยงดู

เพราะที่จะเลือกเอามานั้นดันเป็นเมียคนอื่น

เพราะลูกเมียของท่านเองเขายอมรับไม่ได้

เพราะสังคมไม่ยอมรับ

 

ก็ต้องถามตนเองด้วยว่า

เพราะอะไรท่านจึงทำตามใจตนไม่ได้

ไหงจึงโทษ "พระเจ้า"

หรือหาว่า "พระเจ้า" ไม่เข้าข้าง

ทั้งๆที่พระเจ้าก็อยู่ในตัวท่านเองแท้ๆ

 

7. เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า

ความคิดของท่านที่กล่าวไว้นั้น

มันอาจฟังดูดีมีสำนวนชวนชื่นชม

แต่เราเห็นว่ามันเป็นแค่บทกวีนิพนธ์เท่านั้น

หาใช่ผลึกแห่งการคิดเชิงสัจธรรมไม่

 

ถ้าชีวิตนี้เป็นอย่างที่ต้องการไม่ได้

ถ้าชีวิตนี้ทำอย่างที่ต้องการไม่ได้

ถ้าชีวิตนี้มีอย่างที่ต้องการไม่ได้

 

ก็จงอย่าได้เพ่งโทษพระเจ้า

อย่าได้แต่พร่ำบ่นกับพระเจ้า

อย่าได้แต่ร้องขอต่อพระเจ้า

 

จงรีบพิจารณาตนเอง

เพื่อหาข้อบกพร่องผิดพลาดให้พบ

แล้วจงเริ่มต้นสานฝันกันใหม่

 

จงบ่นกับตนเองดีกว่า

อย่าไปบ่นกับใครให้เขารำคาญ

เพราะการบ่นนั้นมันไร้ประโยชน์

 

ให้ท่านทั้งหลายจงร้องขอต่อตนเอง

อยากสำเร็จเร็วก็เร่งลงมือทำอย่างไม่รั้งรอ

อยากก้าวหน้าอย่างราบรื่นก็จงอย่าประมาท

ท่านจะต้องทำด้วยความมุ่งมั่นและเชื่อมั่น

ทำทุกสิ่งด้วยการเคารพตนเอง

ทำทุกสิ่งด้วยการยำเกรงต่อพระเจ้า

ด้วยความสำนึกรู้ตลอดเวลาว่า

องค์จิตจักรวาลหรือพระเจ้าทรงประทับอยู่

ภายในเครื่องยนต์แห่งกรรมของตัวท่านเอง

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

22-11-2019

21 พฤศจิกายน 2562

VDO. น่าคิดเรื่องจิตสำนึก โดย อาจารย์ปริญญา ตันสกุล

 


โดย อนุตรธรรมาจารย์ปริญญา ตันสกุล

ข่าวสมเด็จพระสังฆราชเจ้าของไทย 21/11/2019

 #สมเด็จพระสังฆราชเจ้าของไทย

#ทรงดำรัสรับเสด็จสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส

#นิกายโรมันคาทอลิกและนครรัฐวาติกัน

 

ซึ่งเสด็จเยือนราชอาณาจักรไทย

อย่างเป็นทางการ

เมื่อวันพฤหัสบดี ที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๒

 

เจ้าพระคุณสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ

สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก

เสด็จลงพระอุโบสถ

วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม

ทรงรับสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส

ประมุขแห่งคริสต์ศาสนา

นิกายโรมันคาทอลิกและนครรัฐวาติกัน

ซึ่งเสด็จเยือนราชอาณาจักรไทย

อย่างเป็นทางการ

 

โอกาสนี้ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระสังฆราช

มีพระดำรัสรับเสด็จ ความว่า

 

ขอถวายพระพร

มหาบพิตรสมเด็จพระสันตะปาปา

ผู้ทรงสมณคุณอันประเสริฐ

 

อาตมภาพในนามคณะสงฆ์ไทย

ขอถวายอนุโมทนาสาธุการ

ในโอกาสที่มหาบพิตร

เสด็จเยือนราชอาณาจักรไทย

และเสด็จมาทรงเยี่ยมอาตมภาพในวาระนี้

 

นับเป็นเหตุการณ์สำคัญ

ทางประวัติศาสตร์อีกครั้งหนึ่ง

ซึ่งพึงจดจารึกไว้เป็นศุภนิมิตแห่งน้ำใจไมตรี

ที่ศาสนจักรโรมันคาทอลิกกับพุทธจักรไทย

มีสืบเนื่องกันมาอย่างแน่นแฟ้น

ราบรื่น และงดงาม เป็นเวลาเนิ่นนาน

นับแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา

 

เมื่อ ๓๕ ปีล่วงมาแล้ว

ณ พระอุโบสถ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม

เฉพาะพระพักตร์พระพุทธอังคีรส

ประธานพระอุโบสถแห่งนี้

 

สมเด็จพระอุปัชฌายะของอาตมภาพ

คือสมเด็จพระสังฆราชเจ้า

กรมหลวงชินวราลงกรณได้เสด็จลง

ทรงรับสมเด็จพระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ ๒

เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์โลก

ที่ประมุขแห่งศาสนจักรโรมันคาทอลิก

เสด็จมาทรงเยี่ยมประมุขแห่งพุทธจักรไทย

ณ ราชอาณาจักรไทย

 

ภาพเหตุการณ์ในวันนั้น

ยังคงประทับอยู่

ในความทรงจำของอาตมภาพ

ผู้มีโอกาสได้เฝ้าอยู่ในการดังกล่าวด้วย

ทั้งสองพระองค์ทรงปราศรัยกัน

ทรงแสดงพระอัธยาศัยอันงามต่อกัน

บนพื้นฐานแห่งพระเมตตาจิตอย่างแท้จริง

ในฐานะนักบุญผู้ประเสริฐแห่งสองศาสนา

ซึ่งมุ่งหมายจะแผ่ความปรารถนาดีอย่างจริงใจ

ไปสู่ทุกชีวิตอย่างไม่มีประมาณ

เป็นอุดมการณ์ร่วมกัน

 

ขอถวายพระพรให้ทรงทราบว่า

ใต้ฐานพระพุทธอังคีรส

ยังเป็นที่บรรจุพระบรมอัฐิ

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

ผู้เคยเสด็จพระราชดำเนินไปเฝ้า

สมเด็จพระสันตะปาปา เลโอที่ ๑๓

เมื่อพุทธศักราช ๒๔๔๐,

 

เป็นที่บรรจุพระบรมราชสรีรางคาร

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

และพระราชสรีรางคาร

สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีพระบรมราชินี

ผู้เคยเสด็จพระราชดำเนิน

ไปเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปา ปีโอที่ ๑๑

เมื่อพุทธศักราช ๒๔๗๗

 

อีกทั้งเป็นที่บรรจุพระบรมราชสรีรางคาร

พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร

มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

ผู้เคยเสด็จพระราชดำเนินไปเฝ้า

สมเด็จพระสันตะปาปา ยอห์นที่ ๒๓

เมื่อพุทธศักราช ๒๕๐๓

และทรงเคยรับเสด็จ

สมเด็จพระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ ๒

ซึ่งเสด็จเยือนราชอาณาจักรไทย

เมื่อพุทธศักราช ๒๕๒๗

 

ณ สถานที่แห่งนี้

จึงเป็นมงคลสถาน

สำหรับการพบกันของเราทั้งสอง

ด้วยส่วนแห่งพระวรกายของทุกๆพระองค์

ยังคงประดิษฐานเป็นสักขีพยานแห่งมิตรภาพ

ซึ่งได้ทรงสร้างสรรค์ไว้นับแต่อดีตสมัย

 

หากแต่ละพระองค์

มีพระญาณวิถีใดที่จะทรงหยั่งทราบ

คงจะทรงโสมนัสพระราชหฤทัยไม่น้อย

ที่ได้ทอดพระเนตรเห็นความเจริญงอกงาม

แห่งทางพระราชไมตรี

เป็นภาพอันน่าประทับใจอีกครั้งในวันนี้

 

การเสด็จมาครั้งนี้ของมหาบพิตร

จึงไม่ใช่การมาของมิตรใหม่

หากแต่เป็นการมาเยือนของมิตรแท้

อันเก่าแก่ของคนไทย

 

ระยะทางที่ห่างไกลกัน

หาใช่อุปสรรคของ

ความสนิทสนมกลมเกลียวกัน

 

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ทรงสั่งสอนไว้ว่า

 

ผู้ไม่ประทุษร้ายมิตร

ย่อมมีผู้บูชาในที่ทั้งปวง.’

 

ผู้ไม่ประทุษร้ายมิตร

ย่อมผ่านพ้นศัตรูทั้งปวง.’

 

บัดนี้ มหาบพิตร

ทรงพระอุตสาหะตรากตรำพระวรกาย

บนหนทางแสนไกล

เสด็จเยือนราชอาณาจักรไทย

และมาทรงเยี่ยมอาตมภาพ

ด้วยน้ำพระทัยอันเปี่ยมด้วยมิตรภาพถึงที่นี้

อาตมภาพขอสนองน้ำพระทัย

อันเปี่ยมด้วยมิตรภาพนั้นๆตอบถวาย

เป็นหลายเท่าทวีคูณ

 

ด้วยอานุภาพแห่งพระเมตตาธรรม

ซึ่งมหาบพิตรทรงเจริญมั่นอยู่ในพระหฤทัย

และด้วยศุภผลแห่งกุศลเหตุ

คือความไม่ประทุษร้ายมิตร

 

ขอมหาบพิตร ทรงสถิตสถาพร

เป็นปูชนียฐานอันประเสริฐของศาสนิกบริษัท

และทรงพระเจริญในสมณคุณ

ค้ำจุนให้ทรงผ่องแผ้วผ่านพ้นภัยพิบัติทั้งปวง

สมตามพระพุทธานุศาสนี

ดังอาตมภาพอัญเชิญมาอ้าง

เป็นสัจจวาจาข้างต้นนี้ทุกประการ.

 

ขอถวายพระพร

 

ขอบพระคุณ: ภาพและข่าวจาก

สำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

21-11-2019

สนทนาประสาจิตจักรวาล 21/11/2019

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า

เหตุการณ์และปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น

ในสถานที่สำคัญบนดาวเคราะห์โลกเสรีดวงนี้

นับตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา

 

ตราบจนกระทั่งถึงวันเวลานี้นั้น

ถ้าท่านยังรับฟังสัญชาตญาณตนเองได้อยู่

ท่านจะไม่เป็นผู้ "ตกข่าว" จากจักรวาลแน่ๆ

เพราะท่านทั้งหลายจะ "ตื่นรู้" จึงไม่ตกข่าว

โดยจะตื่นรู้ว่าเหตุการณ์มากมายที่มันเกิดขึ้น

ซึ่งเราเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องใน "ข่าว" เหล่านั้น

ทุกๆเหตุการณ์มันเชื่อมโยงสัมพันธ์กันตลอด

และถ้าท่านสามารถใช้จิตกับสมองซีกขวาได้

ท่านก็จะสังเคราะห์ข้อมูลจากข่าวสารนั้นได้

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

คำว่า "ท่าน" ในที่นี้ เราหมายถึง

พี่ๆน้องๆซึ่งเป็นผู้คนที่ดำรงอยู่บนแผ่นดินนี้

เป็นแผ่นดินเดิมที่โบราณเรียกว่า #อาระเบีย

เป็นแผ่นดินที่ถูกคัดเลือกให้

เป็นสถานที่ตั้งของ #บาบิโลนใหม่

เป็นบ้านหลังสุดท้ายของชนนานาชาติ

ในปลายยุคพลังงานเก่านี้

สำหรับผู้ที่จะได้รับความรอดจากพระบิดา

เมื่อปรากฏการณ์และเหตุการณ์ต่างๆ

อันเป็นหมายสำคัญที่เกิดขึ้น

 

ตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนศกนี้เป็นต้นมา

ล้วนเป็น "ข่าวสารจากจักรวาล"

ที่ประดาฑูตสวรรค์ได้สื่อผ่านมายังโลก

เพื่อให้เรานำมาแจ้งต่อท่านทั้งหลาย

ให้สร้างแรงสั่นสะเทือนด้านบวกตอบรับ

ในทันทีที่ได้รับรู้ข่าวสารจากจักรวาล

ซึ่งเราได้ทำหน้าที่ "ผู้สื่อข่าวจักรวาล"

ด้วยการทำงานตลอด 24 ชั่วโมง

โดยงานข่าวที่เราทำมีดังนี้

 

1. ประกาศวันพิพากษาโลก

(The Judgment Days)

ด้วยมหันตภัยพิบัติที่ละเอียดชัดเจนกว่า

ที่เคยระบุไว้ในพระคัมภีร์ในอดีต

ทรงให้เรารับสื่อสำคัญจากพระองค์มาทั้งหมด

แล้วนำมาจัดพิมพ์เป็นพระคัมภีร์ฉบับแรก

ในพระนามแห่งพระผู้เป็นเจ้า

เพื่อบอกกล่าวเรื่องราวข่าวสารให้รู้ล่วงหน้า

ในแผนการพิพากษาโลกของพระองค์

เพื่อให้ยุวจิตจักรวาลทายาททุกชนชาติ

เตรียมตนเองและจิตวิญญาณเพื่อการผจญภัย

ทั้งนี้เพื่อสร้างให้เป็นเงื่อนไขในการสั่นสะเทือน

ตอบรับพระคัมภีร์ฉบับแผนปฏิบัติการชำระโลก

ที่จะเป็นแผนการจริงซึ่งพวกท่านต้องเผชิญ

ที่พวกท่านกระหายจะรู้ความจริงมานานนับพันปี

เมื่ออ่านแล้วรู้แล้วก็ให้สั่นสะเทือน "ตอบรับ"

ด้วยสติปัญญาในตนที่ทุกคนพอมีอยู่

แต่...อนิจจา

 

พี่ๆน้องๆส่วนใหญ่ไม่มีการ #สั่นไหว

ไปตามเงื่อนไขที่พระบิดาเมตตาประทานมาให้

ผ่านพระคัมภีร์ฉบับแรกของพระองค์

ในยุค "จิตจักรวาล" กันแต่อย่างใด

เหตุเพราะงมงายกับการยึดของเก่า

เหตุเพราะเบาปัญญาไม่สามารถคิดตามได้

เหตุเพราะ "ไม่เชื่อ" เราตั้งแต่แรกแล้วว่า

เราสื่อพระโอวาทจากพระองค์ได้จริงๆ

 

2. ทรงมอบหมายให้ฑูตสวรรค์ของพระองค์

สำแดงมายาแสงสีทองอมแดงดั่งแสงเพลิง

เป็นภาพของ "นกยักษ์ฟีนิกซ์" บนก้อนเมฆ

ให้ปรากฏเหนือฟ้าประเทศบราซิล

ประเทศที่มีพระรูปปั้นขนาดใหญ่ของพระเยซู

ประทับยืนอยู่บนยอดเขาสูงอย่างเด่นเป็นสง่า

พระผู้ที่ให้สัญญาว่าจะทรงย้อนกลับมา

เมื่อถึงคราที่พระบิดา "ทรงพิพากษาโลก"

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

 

นกยักษ์ #ฟีนิกซ์

เป็นนกศักดิ์สิทธิ์ในตำนานอียิปต์โบราณ

เป็นเทพแห่งดวงอาทิตย์เป็นจ้าวแห่งอัคคี

เป็นผู้ที่รู้ตัวล่วงหน้าว่าจะตายเมื่อใด

เมื่อตายแล้วทั้งตัวจะลุกเป็นไฟกลายเป็นถ่าน

แล้วจะเกิดเป็นนกตัวใหม่มีชีวิตใหม่อีกครั้ง

 

จากกองเถ้าถ่านของตัวเอง

ในตำนานยังระบุไว้ว่าน้ำตาของนกฟีนิกซ์

สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืนได้

ซึ่งหมายถึงพระจิตเดิมที่ทรงกลับมาจุติใหม่

จะทรงสละน้ำตาและเม็ดเหงื่อของพระองค์

ช่วยฉุดช่วย "แกะ" พี่ๆน้องๆจำนวนมากมาย

ที่หลงทางเพราะก้าวตามคนนำทางตาบอด

และหลงยึดติดมายาเพราะนึกว่าเป็นแก่นแท้

ให้หลุดพ้นออกไปจากอนันตจักรวาล

ภายในภพชาติสุดท้ายของทุกคน

ในท่ามกลางมหันตภัยพิบัติทุกแบบให้จงได้

การที่พระองค์ช่วยให้จิตวิญญาณหลุดพ้นได้

โดยท่านไม่ต้องกลับมาเกิดใหม่อีกชั่วนิรันดร

แปลว่าจิตวิญญาณนั้นไม่ต้องตายอีกแล้ว

สังสารวัฏเพื่อการตายแล้วเกิดใหม่ไม่สิ้นสุด

จึงมิได้เป็นของแสลงของพวกท่านอีกต่อไป

หากท่านไม่ปฏิเสธการกลับมาของพระองค์

สิ่งบอกเหตุเป็นสัญญาณว่าพระองค์กลับมาแล้ว

ก็คือภาพมายาของนกฟีนิกซ์บนเมฆฟ้า

ที่ปรากฏเหนือกรุงริโอเดอบราซิล

ในประเทศ...บราซิล นี่เอง

 

ดังนั้น

ในการสื่อพระโอวาทครั้งล่าสุดนั้น

จึงทรงมีพระบัญชาให้เรานำเอาเรื่องราวข่าวสาร

ของนกฟีนิกซ์ที่ปรากฏมายาบนก้อนเมฆที่บราซิล

มาประกาศข่าวเล่าความให้ชาวโลกรับรู้รับทราบ

พร้อมเล่าตำนานของนกศักดิ์สิทธิ์ให้โลกรู้ด้วย

เมื่อรู้แล้วก็หวังให้ทุกท่านสั่นสะเทือน "ตอบรับ"

ด้วยสติปัญญาในตนที่ทุกคนพอมีอยู่

แต่...อนิจจา

คนส่วนใหญ่ไม่มีการ #สั่นไหว ไปตามเงื่อนไข

ที่พระบิดาทรงเมตตาประทานมาให้

ผ่านเรื่องราวของนกฟีนิกซ์ฟื้นคืนชีพ

กับพระผู้สัญญาว่าจะทรงกลับมาฉุดช่วย

กับพระรูปปั้นในบราซิลของผู้ที่เคยให้สัญญาไว้

กับเมฆมายาที่ปรากฏแต่ในประเทศบราซิล

แต่อย่างใดทั้งสิ้น

 

มนุษย์ที่รับรู้รับทราบ

"ข่าวสารจากจักรวาล" เหล่านี้แล้วไม่สั่นไหว

เหตุเพราะงมงายกับการยึดติดของเก่า

เหตุเพราะเบาปัญญาจึงไม่สามารถคิดตามได้

เหตุเพราะ "ไม่เชื่อ" ตั้งแต่แรกจึงไม่คิดตาม

 

3. พระบิดาทรงเปิดบัญชรแห่งมิติ

ให้พระประมุขแห่งสงฆ์ของสองศาสนา

ได้ประกาศความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกัน

ระหว่างคริสต์ชนกับพุทธศาสนิกชน

เพื่อยืนยันตามที่เรากล่าวเอาไว้เสมอว่า

 

"ทุกศาสนาล้วนเป็นสากล

ทุกศาสดาล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน"

 

จะไปหลงยึดติดพระศาสดาองค์เดียว

แล้วก้าวล่วงศาสดาอื่นศาสนาอื่นไม่ได้

ทั้งนี้ก็เพื่อยืนยันให้พี่ๆน้องๆผู้หลงทาง

ที่เคยก้าวล่วงเราเพราะคำกล่าวข้างต้นนี้

ได้เกิดสติทางวิญญาณด้วยว่า

 

เรากล่าวความจริงเสมอ

เรากล่าวตามที่พระองค์ให้เรากล่าว

โดยใช้เงื่อนไขของการเป็นหนึ่งเดียวกัน

 

ของพระประมุขทั้งสองศาสนา

ที่ปรากฏเป็นประวัติศาสตร์แห่งโลกเช้าวันนี้

ให้เป็นสิ่งกระตุ้นต่อมคิดโดยทั่วกัน

 

หวังว่าต่อนี้ไป

คงไม่มีสาวกของต่างศาสนา

จะมีการก้าวล่วงศาสนาอื่นให้ผิดบาปอีก

เมื่อพระประมุขทรงแสดงพระไมตรีต่อกัน

ให้ได้รู้เห็นกันทั้งประเทศและทั้งโลกแล้ว

 

แต่อนิจจา...

เราก็เชื่อว่า "นัยสำคัญ" ประการที่สามนี้

ก็คงมีจำนวนเพียงน้อยนิดที่จะนึกจะฉุกคิด

เพื่อ "สั่นสะเทือน" จิตสามนึก

ตามพระประสงค์ของพระบิดาได้

4. พระบิดายังทรงมีพระบัญชาให้

ฑูตสวรรค์ของพระองค์ที่เป็นมนุษย์

ให้เสด็จมาวางศีรษะแรมคืน

บนแผ่นดินที่ทรงจะสร้าง "บาบิโลนใหม่"

นั่นคือ แผ่นดินของประเทศไทย

จึงเสด็จมาอย่างเป็นทางการตามที่ท่านรู้อยู่

 

นอกจากนั้น

ยังทรงประกอบพิธีมิสซาในแบบคริสต์

เพื่อประทานความรักจากพระบิดา

ให้แก่พี่ๆน้องๆชาวไทยผู้ศรัทธา

โดยไม่แยกศาสนาอีกต่างหากด้วย

 

เงื่อนไขเหล่านี้

เป็นรหัสแห่งพระบิดาที่ทรงสร้างขึ้น

เพื่อให้ท่านทั้งหลายสั่นสะเทือนการคิด

ด้วยจิตสามนึกของตนเองว่า

การเสด็จมาของฑูตสวรรค์ในครั้งนี้

เป็นการยืนยันว่าบาบิโลนใหม่ในไทย

เป็นหนึ่งในพระอาณาจักรแห่งพระบิดา

พระผู้เป็นเจ้าเหนือสิ่งทั้งปวงนั่นเอง

และยังให้แสดงต่อมนุษย์ทั้งหลายว่า

 

ต่อนี้ไป

พิธีมิสซาก็ควรกระทำในที่สาธารณะเปิดเผย

เพราะเป็นการประทานความรักจากพระเจ้า

ต่อบุตรมนุษย์ทุกคนของพระองค์

โดยไม่แบ่งแยกชนชาติและศาสนานั่นเอง

เพราะทุกคนมีพระผู้ให้กำเนิดพระองค์เดียวกัน

ทุกคนจึงมีพระเจ้าพระองค์เดียวกัน

เราคงมิสรุปเร็วเกินไปนะ

 

ถ้าจะกล่าวตั้งแต่ต้นมือว่า

เงื่อนไขให้เกิดการสั่นสะเทือนจิตสามนึก

เพื่อสร้างสติทางวิญญาณในข้อสุดท้ายนี้

จะมิได้รับการตอบสนองจากคนส่วนใหญ่

บนดาวโลกเสรีดวงนี้เลย

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราขอหลั่งน้ำตาและหยดเหงื่อ

เพื่อกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ตั้งแต่ย่ำรุ่งของวันนี้

ได้เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงระดับ 6.1

ในพื้นที่ประเทศลาว

ซึ่งห่างจาก อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.น่าน

ราวๆ 20 กิโลเมตร

 

แรงสั่นสะเทือนในครั้งนี้

รับรู้ได้ทั่วภาคอีสาน ภาคเหนือตอนบน

และพื้นที่ในเขตกรุงเทพมหานคร

นอกจากนั้นยังมีนัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งว่า

ภายใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา

 

โลกเกิดแผ่นดินไหวระดับ 6 ขึ้นไป 4 ครั้ง

ถ้าดูแผนที่การเกิดแผ่นดินไหวจะพบว่า

เป็นการกำหนดจุด 4 จุดเอาไว้

ตามแนววงแหวนแห่งไฟบนแผนที่โลกนั่นเอง

 

บทสรุปคือ

เป็นเพราะเจ้าสาวถือตะเกียงแต่ไม่มีน้ำมัน

การสั่นสะเทือนให้เกิดแสงสว่างจึงไม่มี

 

เมื่อคนไม่ไหวโลกก็ต้องสั่นไหวแทน

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

21-11-2019