05 เมษายน 2559

เรื่องของ "ฌาน" และ "ญาณ"



เรื่องของ "ฌาน" และ "ญาณ"
*****************************
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

บนเส้นทางนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง
ของฆราวาสผู้ใฝ่นิพพานนั้น
ท่านสามารถสร้าง "ฌาน" และ "ญาณ"
ให้ก้าวหน้าสู่ขั้นสูงสุดโดยมิต้องผ่าน
การปฏิบัติกรรมฐานทั้งวันคืนก็ได้
เพียงแค่ท่าน "ฉลาด" ดำเนินชีวิตเท่านั้น

โดยท่านจะต้องรู้ความจริงก่อนว่า
ทั้งฌานและญาณล้วนเป็นเครื่องมือสำคัญ
สำหรับผู้ใฝ่การหลุดพ้นทุกคนจักต้องใช้
มิใช่เฉพาะแต่นักบวช
ผู้ปลีกวิเวกไปจากทางโลกแล้วดอกนะท่าน

เพราะ "ฌาน" เป็นพลังอำนาจทางจิต
ที่เป็นเครื่องมือเพียงชิ้นเดียว
ที่จะช่วยให้ท่านเข้าถึง
พลังอำนาจทางปัญญาของสมอง
ที่เรียกว่า "ญาณ" 
หรือคำเต็มว่า "ปัญญาญาณ" ได้

พวกนักบวชเขาใช้กลวิธีสมถกรรมฐาน
ค่อยๆเพียรยกระดับการสั่นสะเทือนจิตตนเอง
ให้เข้าถึงการสั่นสะเทือนสูงขึ้นเรื่อยๆให้ได้
ด้วยวิธีการ "กำหนดจิต" หรือ กำกับจิต
ให้อยู่ภายใต้การกำกับควบคุมของตนให้ได้
ถ้ากำกับมันให้นิ่งสงบได้มากเท่าใด
แสดงว่าขณะนั้นจิตกำลังสั่นสะเทือน
เป็นคลื่นความถี่สูงมากเท่านั้น

จิตที่สั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่สูงมาก
จะเป็นจิตที่อยู่ในสภาวะสงบเป็นอันมาก
ซึ่งระดับความสงบมากนี่แหละที่เรียกว่า "ฌาน"
ถ้าสงบมากกว่าระดับฌานก็สูงกว่า

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
ความจำเป็นของท่านต่อการเข้าถึง
ทั้ง "ฌาน" และ "ญาณ"
ถ้าปรารถนาการหลุดพ้นแท้จริงนั้น
ก็เพราะสาเหตุว่า

1.ฌาน ซึ่งเป็นพลังอำนาจทางจิตนั้น
เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการขับเคลื่อน
กระบวนการสื่อสารสัมพันธ์ทางจิต
อันเป็นภาษาสากล
ระหว่างตัวท่านกับสรรพสิ่งใดๆในจักรวาล

ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการด้านการคิดรู้
กระบวนการด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูล
กระบวนการถ่ายทอดพลังงานความรัก
จนแม้กระทั่งการเดินทางของจิตวิญญาณ
ในมิติที่สูงกว่ามิติโลกทางกายภาพ
ล้วนต้องใช้พลังอำนาจของจิต
เพื่อการขับเคลื่อนทั้งสิ้น

ดังนั้น
จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่าน
จะมีพลังอำนาจทางจิตวิญญาณได้
ก็ต่อเมื่อจิตหยาบของท่าน
สามารถเข้าถึงจิตที่เป็นสมถะ
ในสภาวะที่เรียกว่า "จิตสงบ" เท่านั้น

ซึ่งท่านฆราวาสทั้งหลายผู้มีเวลาน้อย
เพราะยังมีครอบครอบครัวยังมีสังคม
ที่ท่านจักต้องรับผิดชอบกันอยู่
จะสามารถสร้าง "ฌาน" ให้เกิดในตน
โดยมิต้องใช้วิธีของนักบวชก็ได้
เพียงแค่ท่านถือลูกแก้วสองดวง
ที่องค์จิตจักรวาลทรงประทานมาให้
ด้วยการปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
ขณะดำเนินชีวิตประจำวันเท่านั้นเอง

ลูกแก้วสองดวงที่ว่านี้ก็คือ
ดวงแรก หมายถึง ท่านต้องมีมหาสติ
นั่นคือ รู้สติ มีสติ และใช้สติ

ดวงที่สอง หมายถึง 
ท่านต้องมีปณิธานแห่งนิพพานชัดเจน
นั่นคือ รักได้ ให้เป็น ไม่ก้าวล่วงใคร
และใช้จิตตปัญญาดำเนินชีวิต
คือ คิดก่อนพูดหรือกระทำ
ตาม "ปริญญาโมเดล" ว่าด้วย 6 ถูก

อันประกอบด้วย...
ถูกคน ถูกวิธี ถูกที่ 
ถูกเวลา ถูกต้อง และถูกใจ
หากผิดข้อใดข้อหนึ่งในหกถูกนี้
ท่านจักต้องสงบระงับ
การแสดงออกหรือกระทำใดๆนั้นเสียทันที
มิเช่นนั้นจะเป็นการก่อกรรมใหม่ขึ้นมาได้

2.ญาณ ก็เป็นพลังอำนาจของสมอง
ที่แสดงออกมาในรูปของความฉลาด
ซึ่งต้องอาศัย "พลังของฌาน"
ช่วยสั่นสะเทือนเซลสมองของท่าน
ให้มันสั่นสะเทือนตาม
เพื่อสร้างพลังอำนาจทางปัญญาสูงสุด
ที่เรียกว่า "ญาณ" นั่นเอง

ดังนั้น
ถ้าท่านสามารถเข้าถึงระดับฌานสูงๆได้
มันจะทำให้ท่านฉลาดมากขึ้น
เพราะมีญาณสูงขึ้นโดยแท้

การยึดมั่นในการครอง "มหาสติ"
กับการยึดมั่นใน "ปณิธานแห่งนิพพาน"
ในการดำเนินชีวิตประจำวันของท่าน
มันจะช่วยให้ท่าน "จิตใสใจสวย" ขึ้นเรื่อยๆ
อันหมายถึงท่านจะมีสภาวะจิตสงบ
เข้าสู่โหมด "สุญตา" ได้มากขึ้นเรื่อยๆ
ด้วยกระบวนการทางธรรมะ
ที่เป็นวิถีแห่งธรรมชาติโดยแท้

เราจึงจะกล่าวความจริงว่า
ถ้าท่านยอมรับว่าธรรมะคือธรรมชาติแล้ว
การยกระดับจิตตปัญญา
ให้เกิดฌานกับญาณในชีวิตประจำวัน
ซึ่งเราเรียกว่า "ธรรมชาติสมาธิ" นี้
จึงเป็นมรรควิถีธรรมชาติที่แท้จริง

คนมีฌาน คือ ผู้ที่จิตวิญญาณพร้อมหลุดพ้น
เพราะมีพลังอำนาจเหลือเฟือที่จะดีดตนเอง
ออกไปจากแรงดึงดูดของเอกภพทั้งระบบ
กลับคืนบ้านเกิดเมืองนอนทางจิตวิญญาณ
ที่เรียกว่าแดนสุญตาหรือแดนนิพพาน
ดินแดนของผู้อิ่มเอิบอยู่กับความว่างเปล่าได้

นอกจากนั้นพลังของฌาน
ที่ช่วยให้เกิดพลังของปัญญาญาณได้
ก็จะยังผลให้ท่านฉลาดคิด 
ฉลาดตัดสินใจในบททดสอบต่างๆ
และฉลาดในการเรียนรู้โลก
ซึ่งมันจะช่วยให้ท่านสามารถที่จะ
ไม่ก่อกรรมใหม่ให้เกิดกรรมเวร
ที่มันจะสะท้อนกลับมาเป็น "เวรกรรม"
ให้ท่านต้องมารับผิดชอบในชาติหน้าอีก

อีกทั้งมันยังจะช่วยให้ท่าน
แก้ไขผลกรรมเก่าๆที่เคยก่อไว้ได้ด้วย
เพราะว่าท่านฉลาดดำเนินชีวิต
ด้วย "ญาณ" หรือ ปัญญาญาณ
ได้อย่างถูกต้องเหมาะสมดีงาม
อันหมายถึงการ "หลุดพ้น" 
หรือว่านิพพานได้อย่างสิ้นเชิงนั่นแหละ

เพราะจิตที่สงบ คือ จิตสุญตานั้น
ต้องเกิดจาก "จิตสามนึก" หรือ จิตสำนึก
ที่เข้าถึงสภาวะแห่งจิตใสใจสวยได้
จนเป็นคุณสมบัติทางจิตของท่านไป
กับจิตวิญญาณที่มีผลกรรมต่ำกว่า 30% 
เพราะไม่ก่อกรรมใหม่
และแก้ไขกรรมเก่าในชีวิตประจำวันได้

ทั้งสองประการที่กล่าวไว้นี้
นับเป็นคุณสมบัติหลักและสำคัญ
ที่จิตหยาบของท่าน
จักต้องให้รางวัลแก่แก่นแท้
หากปรารถนาจะนิพพานอย่างแท้จริง

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
5-4-2016

04 เมษายน 2559

ข่าวสารการชำระโลกจากจิตจักรวาล


เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
หลายปีที่ผ่านมานี้

มีทั้งคนคุ้นหน้าคุ้นตาและแปลกหน้า
ได้พากันออกมากล่าวขานกัน
ถึงเรื่องราวที่เกี่ยวกับภัยพิบัติ
ที่น่าสะพรึงกลัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ
พร้อมทั้งระบุวันที่เวลาที่จะเกิดและสถานที่
เอาไว้ชัดเจนแบบฟันธงอีกด้วย
แต่ท้ายที่สุดแล้ว...มันก็มิได้มีอะไรเกิดขึ้น
คือ ทำนายทายผิดนั่นเอง

แต่ในขณะเดียวกัน
ทั่งโลกรวมทั้งประเทศไทยเองด้วย
ก็มีแนวโน้มของการเกิดภัยพิบัติ
ในรูปแบบต่างๆและแปลกๆเพิ่มขึ้นจริงๆด้วย

สถานที่ไม่เคยเกิดแผ่นดินไหว
ก็ชักจะเริ่มสั่นไหวถี่ขึ้นแรงขึ้น
สถานที่เคยเกิดแผ่นดินไหวแล้ว
ก็ยังมีการไหวซ้ำๆอีก

สถานที่ไม่เคยเกิดพายุทอร์นาโด
ก็กลับมีปรากฏการณ์เกิดขึ้น
ทั้งๆที่เป็นพิกัดนอกเขตทอร์นาโด

สถานที่ซึ่งไม่เคยมี
คลื่นอากาศหนาวเย็นจัดพัดผ่าน
ก็ปรากฏว่ามีอากาศหนาวจัดอย่างไม่เคยเป็น

สถานที่ไม่เคยมีน้ำท่วม
ก็ปรากฏว่าเกิดอุทกภัยแบบเฉียบพลัน
สถานที่ไม่เคยมีหิมะตก
ก็เกิดหิมะตกลงมาอย่างหนัก
โดยเฉพาะประเทศในดินแดนแห่งทะเลทราย
ที่เป็นประเทศในเขตร้อน

ปรากฏการณ์เหล่านี้เอง
ที่ยั่วยวนให้นักทำนายหรือผู้พยากรณ์
ออกมากล่าวขานกันอยู่เป็นระยะๆ

แต่เราจะบอกความจริง
ซึ่งเป็นความลับเบื้องหลังมิติโลกว่า
ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นบนโลกเสรีนี้
ทั้งที่ผ่านมา จนปัจจุบัน และในกาลอนาคต
มันมิใช่ภัยที่เกิดจากธรรมชาติปกติ

ภัยธรรมชาติที่ไม่ปกติก็คือ
ภัยที่เกิดจากการเสียสมดุลของระบบโลก
อันเกิดจากจิตสาม(สำ)นึกมนุษย์บกพร่อง
ทั้งในมิติโลกทางกายภาพ
เช่น การทำลายทรัพยากรธรรมชาติ
และในมิติทางพลังงานด้านของจิตวิญญาณ
เช่น รักกันไม่ได้ ให้กันไม่เป็น
ดำเนินชีวิตด้วยกิเลสตัณหา เป็นต้น

โดยที่วินาทีใดก็ตาม
ถ้าโลกเสรีนี้เกิดการเสียสมดุลไป
ในมิติใดมิติหนึ่งแม้เพียงเล็กน้อย
ภัยพิบัติอันเกิดจากดินน้ำลมไฟ
มันจะก่อตัวสำแดงปรากฏการณ์
ขึ้นมา ณ บัดเดี๋ยวนั้นเสมอ

นอกจากนั้นภัยพิบัติหนักเบาแต่ละแบบ
ยังเกิดจากการกระทำของช่างเท็คนิก
ในแผนปฏิบัติการปรับสมดุลของดาวโลก
เพื่อยกระดับโลกสู่ยุคพลังงานใหม่
ด้วยวิธีการชำระส่วนเกิน
ที่เป็นขยะรกโลกออกไปเสียจากระบบ

ด้วยเหตุนี้เอง...
คำทำนายของพวกเขา
จึงไม่เคยมีความแม่นยำแม้เพียงสักครั้ง
เพราะความศักดิ์สิทธิ์หรือการเป็นผู้วิเศษ
จะไม่มีวันเข้าถึงความจริงที่เกี่ยวกับ
วันเวลาและพิกัดที่จะเกิดภัยพิบัติได้เลย
เนื่องจากไม่มีผู้ใด
จะสามารถล่วงรู้ล่วงหน้าได้เลย

ที่รู้ล่วงหน้าไม่ได้ก็เพราะว่า
จิตสำนึกมนุษย์ทั้งโลกจะบกพร่อง
จนทำให้โลกเกิดการเสียสมดุลไป
ในวินาทีใดวินาทีหนึ่งนั้น
ไม่มีใครบอกได้หรอก
แม้กลไกเท็คโนโลยีของมนุษย์โลก
ก็ไม่มีความสามารถที่จะบอกล่วงหน้าได้

นอกจากนั้น...
จะไม่มีใครรู้ล่วงหน้าได้อีกเช่นกันว่า
แผนปฏิบัติการชำระโลกของช่างเท็คนิก
จะปฏิบัติการแบบไหน
จะปฏิบัติการตรงพิกัดพื้นที่ไหน
จะปฏิบัติการในวันเวลาใด
จะปฏิบัติการในระดับรุนแรงขนาดไหน

มันจะไม่มีผู้ใดล่วงรู้ในแผนปฏิบัติการเลย
แม้แต่ทีมช่างเท็คนิกเอง
เพราะพวกเขาจะลงมือปฏิบัติการกัน
ในแบบกระทันหันเสมอ

ผู้ใดที่แม้จะมีหูทิพย์ ตาทิพย์
ก็มิอาจบอกได้หรอกว่า

จะเกิดแผ่นดินไหว 
จะเกิดภูเขาไฟระเบิด
จะเกิดคลื่นยักษ์สึนามิ
จะมีอุกกาบาตพุ่งชน
ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร

เหตุผลเดียว คือ "ความลับของฟ้า"
จึงเป็นที่มาของความไม่รู้

ดังนั้น...
ท่านทั้งหลายเมื่อรู้ความจริงดั่งนี้แล้ว
ต่อไปก็จงอย่าได้เชื่อข่าวลือ
อย่าได้หวั่นไหวไปกับคำทำนายนั้นๆ
เพราะมันมิใช่หน้าที่ของพวกเขา
พวกเขาจะไม่มีวันแม่นยำได้หรอก

ความลับและความจริงของฟ้า
จะทรงสื่อผ่านมาทางเรา
ในรูปของข่าวสาร
ให้ได้เปิดเผยกัน
ตามกาลเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น
เพราะมันเป็นหนึ่งในภารกิจของเรา
มิใช่ภารกิจของใครอื่น

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
4-4-2016

31 มีนาคม 2559

ความรู้เรื่องกฎแห่งกรรม: 13


เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ถ้าท่านเกิดมาชาตินี้
มีผู้คนมากมายนับหน้าถือตา
เป็นผู้ที่บุคคลอื่นล้วนให้เกียรติ
เป็นผู้ที่มีหน้ามีตาในสังคม

ไม่ว่าท่านจะมีตำแหน่งที่มีเกียรติในสังคม
หรือเป็นเพียงบุคคลธรรมดาๆ
ท่านก็มักจะเป็นผู้หนึ่ง
ที่จะได้รับความเชื่อถือและนับถือ
ของคนหมู่มากเสมอ

นั่นย่อมถอดรหัสกรรมได้ว่า
ในภพชาติที่ผ่านมานั้น
ท่านเป็นผู้หนึ่งที่มีอุปนิสัยดี
จนเป็นที่รักของคนหมู่มาก

พฤตินิสัยอันโดดเด่นของท่านก็คือ
ท่านเป็นคนที่ไม่อิจฉาตาร้อนใคร
เมื่อเห็นว่าใครมีดีกว่าท่าน ได้ดีกว่าท่าน
ท่านก็จะรู้สึกยินดีไปกับเขาด้วยเสมอ

ในชีวิตของท่านจึงมักแสดงความยินดี
ในความสำเร็จของผู้อื่นอยู่เนืองๆ

เวรกรรมด้านบวกอันเป็นผลกรรมจากอดีต
จึงส่งผลมาถึงชาตินี้

ด้วยการค้ำจุนให้ท่านเป็นผู้มีเกียรติ
เป็นที่ยอมรับนับถือของคนหมู่มาก

ท่านจะไม่มีใครดูหมิ่นเหยียดหยาม
ท่านจะไม่มีใครคอยปัดแข้งปัดขา
ท่านจะไม่มีใครอิจฉาตาร้อนหรือหมั่นไส้
ไม่ว่าท่านจะทำดีจนเพลินแล้วเด่นเกินใคร

บนเส้นทางชีวิตของท่าน
มันจะเต็มไปด้วยความราบรื่น
เพราะปราศจากคนอื่นๆเป็นอุปสรรค

รู้แล้วเช่นนี้....
นิสัยขี้อิจฉาตาร้อน
นิสัยชอบดูหมิ่นเหยียดหยามคนอื่นน่ะ
เลิกเสียทีดีมั้ย?

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
31-3-2016

30 มีนาคม 2559

หลงเงามายานึกว่าเป็นแก่นแท้


พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

เนื่องเพราะ "คน" เป็นจำนวนมากมาย
กำลังวิกฤตด้านจิตสำนึกเพิ่มมากขึ้น
ดาวโลกเสรีดวงนี้จึงเกิดอาการวิกฤต
รุนแรงขึ้นเรื่อยๆด้วยเช่นเดียวกัน

สมดั่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเอาไว้แล้วว่า
"เรา คือ โลก โลก คือ เรา"
เราหมายถึงมนุษย์โลกทุกคนนี่แหละ
ถ้าเราเป็นกันและกันตามที่กล่าว
ย่อมแสดงว่า "เรากับโลก" เป็นหนึ่งเดียวกัน
หากเรากับโลกเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว
ถ้ามีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียสมดุล
อีกฝ่ายหนึ่งก็จะเสียสมดุลตามเสมอ

ดังนั้น
ถ้ามนุษย์โลกส่วนมาก
เกิดอาการป่วยทางจิตสำนึก
จนกลายเป็นมนุษย์ที่ไม่สมดุล คือ

1.สภาวะจิตไม่ใส ใจไม่สวย
เพราะอำนาจกิเลสตัณหาครอบงำ

2.หมุนธรรมจักรในตนเองไม่สำเร็จ
เพราะแทรกแซงกระบวนการขันธ์ 5
ในตนเองไม่เป็น

จึงทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับโลก
ตามเงื่อนไขในพันธะสัญญา 6 ไม่ได้

3.ยังจำไม่ได้ว่าจิตวิญญาณตนเองเป็นใคร
มาจากไหน มาเกิดเป็นมนุษย์ทำไม
ใครให้มา มาแล้วมีหน้าที่ต้องทำอะไรบ้าง

ทั้งๆที่ได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์
ยาวนานถึงหกหมื่นปีเศษผ่านมาแล้ว

ทั้งๆที่มีพระศาสดาเข้ามาฉุดช่วย
เป็นจำนวนมากมายถึง 24 พระองค์เข้าไปแล้ว
คนส่วนใหญ่ก็ยังมิอาจเกิดสติทางวิญญาณได้

ด้วยเหตุนี้เอง...
โลกจึงวิกฤตรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ขณะที่ปฏิบัติการทางเท็คนิกเพื่อการชำระโลก
จากกรณี "เปลี่ยนยุค" ก็เริ่มเพิ่มความถี่แล้ว

สาเหตุที่ผู้คนเหลวไหลใน 3 ประการ
เป็นเพราะว่า....

1.วันๆได้แต่ถามหาความรู้มากกว่าหาปัญญา

2.สนใจสนองความต้องการของตัวเอง
มากกว่าใส่ใจในความต้องการของผู้อื่น

3.ลืมไปว่าตนเองยังมีจิตวิญญาณอยู่ข้างใน
จึงแสวงหาและสะสมทรัพย์กับอาหารกาย
โดยไม่แสวงหาและสะสมทรัพย์กับอาหาร
เพื่อจิตวิญญาณของตนได้ใช้เมื่อตายไป

4.ไม่รู้ว่าตนเองกับโลกที่เหยียบยืน
มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันทางจิตวิญญาณ
และทางด้านกายภาพชนิดที่ขาดกันไม่ได้

5.ไม่มีใครสอนให้รู้สำนึกว่า
จิตสาม(สำ)นึก คือ อะไร
คนส่วนใหญ่จึงทำชั่วได้ง่ายเพราะไม่รู้ว่าชั่ว

ผู้นำประเทศต้องนำที่เรากล่าวไปขบคิด
แล้วเร่งหาวิธีการที่จะแก้ไขเยียวยา
จิตสาม(สำ)นึกของผู้คนบนแผ่นดินนี้
แผ่นดินที่พระศาสดาพระองค์ใหม่
จะเสด็จลงมาจุติกันได้แล้ว
เพราะมันควรเป็นนโยบายเร่งด่วน
พอกับๆรถไฟฟ้าเร่งด่วนนั่นแหละ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
30-3-2016

ความรู้เรื่องกฎแห่งกรรม: 12


เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ถ้าท่านเกิดมาชาตินี้มีสุขภาพแข็งแรง
มีพลานามัยสมบูรณ์ดี
เพียบพร้อมด้วยอาการสามสิบสอง
ไม่บกพร่องด้านอายตนะและอวัยวะร่างกาย

ท่านเป็นผู้มีภูมิต้านทานโรคสูง
ไม่เจ็บไม่ไข้ ไม่เป็นโรคติดเชื้ออะไรง่ายๆ
เงินทองที่หามาได้เท่าใด 
ไม่ต้องนำไปจ่ายหนี้ค่ายาค่าหมอ
เหมือนดังเช่นคนที่สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง
อ่อนแอ มีโรคาพยาธิรบกวนอยู่เป็นประจำแล้ว

นี่ก็เป็นเวรกรรมด้านบวก
อันเนื่องจากการก่อ "กรรมเวร" ด้านดีเอาไว้
ในภพชาติที่ผ่านมานั่นเอง

ถึงแม้ว่าท่านจะก่อกรรมดีมามาก
แต่ถ้าหากยังนิพพานไม่สำเร็จ
กรรรมดีนั้นๆก็จักยังต้องตอบสนองท่านอยู่
ไม่ว่ากรรมเวรด้านดีที่ก่อไว้
อาจบางทีมันเป็นเพียงแค่กรรมเล็กๆน้อยๆ
ที่เป็นกิจวัตรปฏิบัติในชีวิตประจำวันก็ตาม

ท่านจึงต้องรู้ว่า
การมีสุขภาพพลานามัยดี แข็งแรง
มีอายตนะอวัยวะครบถ้วนสมบูรณ์พร้อม
มีอายุขัยยืนยาวของท่านนั้น

การหมั่นดูแลสุขภาพเป็นอย่างดีในชาตินี้
มันมีผลเกื้อกูลต่อสุขภาพพลานามัยที่ดีของท่าน
ในอัตราไม่เกิน 10-20% เท่านั้นเอง
กว่า 80% มันมาจาก "รางวัล"
ซึ่งจิตวิญญาณของท่านถือติดตัวมาด้วยต่างหาก

กรรมเวรที่ท่านกระทำดีไว้
ในชาติที่ผ่านมาที่ว่านี้ก็คือ

1.การไม่เบียดเบียนเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆ
โดยไม่ทำให้ใครต้องเดือดร้อนเพราะท่าน
โดยไม่ทำลายความสมดุลในชีวิตของใคร
ไม่ว่าจะเจตนาหรือไม่เจตนา
ไม่ว่าท่านจะทำไปโดยรู้ตัวไม่รู้ตัวก็ตาม

2.การไม่เบียดเบียนสัตว์โลกทั้งปวง
โดยไม่ทรมานสัตว์ให้ได้รับทุกขเวทนา
เพียงเพื่อเห็นเป็นเกมส์กีฬา

โดยไม่นำสัตว์มากักขังให้ไร้อิสระภาพ
เพียงเพื่อความสุขของตนเอง

โดยไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
หรือเป็นเหตุให้คนอื่นฆ่า
ด้วยการตัดรอนอายุขัยของสัตว์
เพื่อนำเอาเลือดเนื้อของสัตว์นั้นๆ
มากินเป็นอาหารกันอย่างเมามัน
เพียงเพื่อความสุขทางปากของตนเอง

เราจึงขอกล่าวต่อท่านทั้งหลายว่า
กรรมดีที่ท่านละเว้นในสองประการนี้
นอกจากท่านจะมีสุขภาพพลานามัยดีแล้ว
มันจะทำให้ท่านมีอายุขัยยืนยาว
โดยไม่ต้องเปลืองอาหารเสริมอีกด้วย

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา

30-3-2016

28 มีนาคม 2559

พระบุตรเอกผู้สนองพระบัญชาแห่งฟ้า


*กลับมาเกิด ตามบัญชา ว่ายากแยะ
แต่ต้อนแกะ หลงฝูง ยุ่งยากกว่า
แกะบางตัว ชั่วเกิน จะเชิญมา
แถมทำท่า ท้าทาย เลวร้ายจัง

*แกะบางตัว เห็นเรา วิ่งเข้าขู่
ทำอวดรู้ วางโต แถมโอหัง
กล่าวจาบจ้วง ล่วงเกิน ทำเมินฟัง
มิได้ตั้ง ใจคิด พินิจความ

*แกะหลายตัว หูตึง เกือบครึ่งฝูง
พอลากจูง กล่าวซ้ำ ทำงุ่มง่าม 
จะสอนมาก สอนนิด ไม่คิดตาม
จึงมองข้าม ธรรมรส อย่างหมดไฟ

*แกะกลุ่มน้อย คล้อยตาม ด้วยความคิด
รู้ถูกผิด เท็จจริง สิ่งเก่าใหม่
มีสติ มากล้น รู้สนใจ
รู้จักใช้ ปัญญา อย่างน่าชม      

*ภารกิจ แห่งฟ้า บัญชาลูก  
มาสร้างปลูก เมล็ดพันธุ์ อันสวยสม
สร้างสวรรค์ บนดิน ถิ่นภิรมย์
ที่เคยล่ม กลับคืน มาตื่นตา

*จะพากเพียร เรียนรู้ เพื่อสู้-สร้าง
ในท่ามกลาง ท้องนที ที่เหว่ว้า
เพราะพวกเขา จำไม่ได้ ว่าใครมา
จึงเฉยชา เยือกเย็น แม้เห็นเรา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา

28-3-2016

27 มีนาคม 2559

คำสอน 27/03/2016

 

วิถีแห่งจิตจักรวาล

สอนให้คิด คือ ผู้เป็นครู
สอนให้รู้ คือ ผู้ถ่ายทอด
สอนให้รอด คือ ผู้นำทาง
สอนให้วาง คือ ผู้สมดุล

สอนให้เชื่อ คือ เจ้าลัทธิ
สอนให้อุตริ คือ ชวนงมงาย

มรดกบาป จากพ่อแม่


เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

แม้กรรมดีกรรมชั่ว เป็นของตัวเอง 
ใครทำใครได้ก็จริง
แต่ก็มีข้อยกเว้นว่าพ่อแม่ลูก
จะอยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์นี้

เพราะดวงจิตธรรมญาณ
ของผู้ที่เป็นพ่อแม่ลูกกันนั้น
จะมีความคล้ายคลึงกัน
ด้านคุณสมบัติทางจิตวิญญาณ
หรือมีความคล้ายคลึงกันด้านบุคลิก

หมายความว่า 
ถ้าพ่อแม่สั่นสะเทือนจิตสาม(สำ)นึก
เป็นแบบใดแล้วก่อให้เกิดผลกรรมแบบใดขึ้นมา
มันจะส่งผลให้จิตวิญญาณของลูก
เกิดการสั่นสะเทือนไปตามนั้นด้วยเสมอ
ทั้งๆที่จิตวิญญาณของลูก
มิได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย
แต่ก็ถือเป็นผู้เกี่ยวกรรม
ทำผิดบาปนั้นไปด้วยแล้ว

ถ้าพ่อแม่ก่อกรรมดี 
ลูกๆก็จะได้รับผลกรรมดีนั้นตามไปด้วย
เช่น พ่อแม่ให้ธรรมทานแก่ผู้อื่น 
ให้ปัญญาแก่ผู้อื่นเป็นทานอยู่เนืองๆ
มันจะส่งผลให้บุตรของพ่อแม่นั้น
เป็นเด็กฉลาดและเป็นเด็กดี
รู้จักละอายต่อบาปได้เอง
โดยพ่อแม่ไม่ต้องปากเปียกปากแฉะเลย

ถ้าพ่อแม่ก่อกรรมชั่ว ลูกๆของตัว
ก็จะได้รับผลกรรมด้านชั่วนั้นตามไปด้วย
เช่น ถ้าพ่อแม่เป็นชาวนา 
ใช้บ่วงแร้วดักลิง
ที่ชอบมากินข้าวเปลือกในนา
ให้เสียหายเอาไว้ได้

จึงใช้มีดตัดนิ้วมือลิงตัวนั้นทิ้ง
ด้วยความโกรธแค้น
แล้วปล่อยลิงเข้าป่าไป
ให้ได้รับทุกข์ทรมาน

ลิงบางตัวที่ถูกจับได้
ก็จะใช้มีดผ่าปากสองข้างของลิง
จนปากฉีกโลหิตไหลนอง
ได้รับความเจ็บปวด
แล้วปล่อยตัวเข้าป่าไป เจ้าลิงตัวนั้นได้รับทุกข์ทรมานมาก

แม้วันหนึ่งข้างหน้าลิงที่ถูกตัดนิ้วมือจะหายเจ็บ
แต่ก็พิการไปตลอดชีวิต

แม้วันหนึ่งข้างหน้าลิงที่ถูกกรีดผ่าปาก
มันจะหายจากบาดแผลเหล่านั้น
แต่มันก็จะเจ็บแค้นฝังใจ
เพราะเจ็บปากกินอาหารไม่ได้ไปหลายวัน
ต้องอดหยากหิวโหย

เวรกรรมนี้มันจะส่งผลให้ครอบครัวนี้
ถ้ามีบุตรหลานเมื่อไหร่
จักต้องมีใครบางคนปากแหว่ง 
หรือบุตรหลานบางคนนิ้วกุดแน่นอน
เพราะผลกรรมด้านลบ
มันเป็นของมันแบบนี้เสมอ


ใครเป็นพ่อแม่
จึงควรก่อกรรมดีเอาไว้ให้มาก
ผลกรรมดีๆจะสะท้อนกลับไปสู่
บุตรหลานของท่านได้บ้าง

หากวันๆเป็นพ่อแม่คนแล้ว
ยังก่อกรรมทำชั่วอยู่อีก
ระวังผลกรรมนั้นจะกลายเป็นมรดกบาป
ตกทอดไปถึงลูกหลานที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ได้นะ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา

27-3-2016

วิถีแห่งจิตจักรวาล


เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ครูบาอาจารย์ที่มีอยู่จริงก็หลายประเภท
ที่ชวนงมงายก็มีอยู่มาก

นิยามเหล่านี้
จะช่วยให้นักเรียนง่ายขึ้นในการแยกแยะ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา

27-3-2016

24 มีนาคม 2559

ความรู้เรื่องกฎแห่งกรรม: 11


จิตจักรวาลอ่านกรรม
*********************
เราได้กล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลาย
ในเรื่องกฎแห่งกรรม 
แบบที่ 1,2,3,4,5,6,7,8,9 และ 10 ไปแล้ว

เรายังมีความรู้เรื่อง "กรรม"
อันอาจเป็นประโยชน์ต่อท่าน
ในมุมมองของกรรมปัจจุบัน
ที่มันจะส่งผลต่อชาติหน้าได้
ด้วยความรู้เรื่องกฎแห่งกรรม แบบที่ 11
กล่าวคือ....

ถ้าชาตินี้ท่านบุญมีมากมาย
จนได้รับโอกาสดีให้มาเกิดเป็นเจ้านาย
เป็นผู้บังคับบัญชา เป็นหัวหน้างาน
เป็นผู้นำ เป็นผู้มีอำนาจ

แต่แสดงบทบาทของท่านไม่ถูกต้อง
ด้วยการปฏิบัติต่อลูกน้องหรือบริวาร
ในลักษณะต่างๆดังต่อไปนี้

1.กระทำการกดขี่
2.กระทำการข่มเหง
3.กระทำการเอารัดเอาเปรียบ
4.กระทำการทารุณจิตใจ

ถ้าท่านมีภพชาติหน้า
บทเรียนและบททดสอบที่ท่านผู้นั้น
จักต้องเผชิญมันอย่างแน่นอนก็คือ

ท่านจะมีรูปลักษณ์สังขารที่ไม่สมดุล
จนแลดูอัปลักษณ์กว่าคนทั่วไป
แม้ว่าท่านจะมีอาการครบสามสิบสองก็ตาม
มันจะอัปลักษณ์จนแลดูน่าเกลียด
แม้แต่ตัวเองก็จะรู้สึกเช่นนั้นเช่นกัน

สาเหตุที่ท่านผู้นั้น
ต้องเผชิญกับเวรกรรมในลักษณะเช่นนี้
ก็เพราะจะได้เป็นเงื่อนไขให้
เกิดการสั่นสะเทือนทางจิตตปัญญา
เพื่อให้เรียนรู้ว่า "กรรมเวร" ที่ก่อไว้
กับข้าทาส บริวาร บริพาร หรือลูกน้องนั้น

มันเป็น "พฤติกรรมอันน่ารังเกียจ"
มันเป็นพฤติกรรมด้านลบที่ลูกน้องไม่รัก
มันเป็นพฤติกรรมที่ทำให้ลูกน้องหนีหน้า
มันเป็นพฤติกรรมที่ทำให้ตัวท่านไม่น่ารัก
มันเป็นพฤติกรรมที่บ่าวไพร่ลูกน้องเกลียด

การที่ท่านปฏิบัติต่อบ่าวไพร่ทั้งหลาย
ด้วยกรรมทั้ง 4 ประการในแบบใดๆก็ตาม
จนเป็นนิสัยเคยชินเคยตัวแล้ว
มันจะยังผลให้บ่าวไพร่ของท่าน
มีทัศนคติเป็นลบต่อตัวท่าน
จนเกิดความเคยชินไปเช่นเดียวกัน

ดังนั้น
เพราะตัวท่านเป็นผู้กระทำให้บ่าวไพร่
รังเกียจ เกลียด ไม่รัก และหนีหน้า
มันจึงประหนึ่งว่ากายสังขารของท่าน
มีรูปลักษณ์อันน่ารังเกียจหรืออัปลักษณ์
จนพวกเขาไม่อยากและไม่กล้าเข้าใกล้

การปฏิบัติตนไม่เหมาะสมต่อบ่าวไพร่
ด้วยการกระทำอยู่เนืองนิจจนติดเป็นนิสัย
จึงเสมือนหนึ่งว่าท่านน่ะได้ใส่รหัสพิเศษ
บันทึกไว้ในจิตวิญญาณของท่านเอง
ตั้งแต่ชาติที่ผ่านมาแล้วว่า

ท่านมีความปรารถนาอย่างแรงกล้า
เพื่อจะมีรูปกายอันอัปลักษณ์
ที่ผู้คนทั้งหลายจักต้องรังเกียจโดยแท้
เพราะเมอร์คขะบาห์ของท่าน
ผู้ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือทางจิตวิญญาณ
ที่เราเรียกว่า "จิตใต้สำนึก" (ไม่ใช่จิตสำนึก)
มีคุณสมบัติสำคัญที่มนุษย์ไม่รู้ว่าไม่รู้

นั่นคือ 
จิตใต้สำนึกคิดเองไม่เป็น
จิตใต้สำนึกแยกแยะถูกผิดดีชั่วไม่ได้

จิตใต้สำนึกของท่านจะไม่เข้าใจหรอกว่า
การที่จิตของท่านสั่นสะเทือนขึ้นมานั้น
มันเป็นการพอใจใฝ่หาสิ่งนั้นเรื่องนั้น
หรือว่าเป็นการปฏิเสธสิ่งนั้นเรื่องนั้นกันแน่

อันจิตใต้สำนึกที่ว่านี้
เขามีหน้าที่เป็นเครื่องมือของ "จิตสำนึก"
โดยเขาจะคอยตอบสนองความต้องการ
ด้วยการเหนี่ยวรั้งสิ่งนั้นเรื่องนั้นมาให้ท่าน
แม้ว่าท่านมิได้ปรารถนามันเลย
แท้แล้วท่านปฏิเสธมันต่างหาก

ดังนั้น
ในกรณีที่ท่านกระทำตน
น่าเกลียดหรือน่ารังเกียจต่อบ่าวไพร่บริพาร
จนตลอดภพชาติที่ผ่านมา
มันจะยังผลให้ "จิตใต้สำนึก" ของท่าน
บรรจงใส่รหัสความอัปลักษณ์ของสังขารเอาไว้ให้
เพื่อให้จิตวิญญาณถือติดตัวมาเกิด
ในภพชาติปัจจุบันตามแบบที่ท่านกำหนด
อย่างไม่มีผิดเพี้ยนเลย

หากชาตินี้ท่านใดเผชิญกับเวรกรรมนี้
ก็จงเร่งมีสำนึกให้ถูกต้องเสีย
กรรมเวรที่เคยก่อไว้
ก็จะได้กลายเป็นโมฆะกรรมไป
เส้นทางสายนิพพานก็จะใช้เวลาสั้นลง

แต่ถ้าหากจะป้องกันตนเองไว้
เผื่อชาติหน้าอาจต้องมาเกิดเป็นมนุษย์อีก
ก็ให้ท่านจงเลิกนิสัยที่ไม่ดี
เพราะกดขี่ข่มเหงบ่าวไพร่ลูกน้องเสีย
จงอย่าเคยตัวกับการกระทำไม่ถูกต้อง
ควรทำตัวให้ลูกน้องรักเพราะนายน่ารัก
เสียตั้งแต่บัดนี้ชาตินี้จะดีกว่า

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
23-3-2016

21 มีนาคม 2559

วิถีจิตจักรวาลมีคำตอบ: ลดภาวะโลกร้อน



ผลลัพธ์บั้นปลายที่เกิดขึ้น
ล้วนเกิดจากเหตุทั้งสิ้น

เหตุเบื้องต้น...
มันจึงนำไปสู่ผลเบื้องปลายเสมอ

แต่ถ้าสาเหตุมีมากกว่าหนึ่งแล้ว
ท่านก็จงอย่ามองแต่เหตุเบื้องปลาย
ที่ทำให้เกิดผลเบื้องปลายอยู่เพียงเหตุเดียว

เป็นต้นว่าขณะนี้โลกกำลังวิกฤต
อันเกิดจาก "ภาวะโลกร้อน"
ผลเบื้องปลาย คือ อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น
สูงจนน้ำแข็งขั้วโลกละลาย
สูงจนภูมิอากาศของโลกเริ่มวิปริต
สูงจนระบบนิเวศน์ของโลกเปลี่ยนไป
สูงจนเกิดภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

มนุษย์พบสาเหตุว่า
สถานการณ์เบื้องปลายทั้งหลายนี้
ล้วนเกิดจากภาวะโลกร้อนทั้งสิ้น

มนุษย์จึงค้นหาคำตอบจนรู้ว่าโลกร้อนน่ะ
มี "สาเหตุ" มาจากสภาวะเรือนกระจก
สภาวะเรือนกระจกเกิดจากก๊าซมวลหนัก
จำพวก HC ก๊าซไฮโดรคาร์บอน
กับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ CO2
ลอยขึ้นไปห่อหุ้มปกคลุมบรรยากาศโลกไว้
อย่างหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อคิดหาสาเหตุที่ทำให้เกิด
สภาวะเรือนกระจกได้เท่านี้
เขาจึงพยายามหาวิธี "ลด" 
การผลิตก๊าซพวกนี้
ด้วยการรณรงค์กันยกใหญ่หลายๆวิธี

ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ 
"การดับไฟฟ้า" บางดวง
ร่วมกันพร้อมกันทั้งโลก

เพื่อลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าให้น้อยลง
จะได้ลดก๊าซพิษเหล่านั้น
อันเกิดจากการใช้เชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า
ให้น้อยลงตามไปด้วย

โดยเมื่อวานนี้ประเทศไทย
ก็สามารถลดการใช้ไฟฟ้าได้ถึง 
2 หมื่นกว่าเม็กกะวัตต์ภายใน 1 ชั่วโมง

ซึ่งการคิดแบบนี้เป็นการคิดไม่สุด
เพราะเอาเหตุเบื้องปลายมาเป็นตัวตั้ง
แต่ไม่ยอมคิดต่อไปอีกว่า
ก๊าซหนักทั้งสองชนิดที่เป็นปัญหานี้
ทำไมจึงลอยขึ้นไปค้างเติ่งต่องแต่ง
อยู่ตรงชั้นบรรยากาศที่ตรงนั้น
จนกลายเป็นเรือนกระจกห่อหุ้มโลกไว้

ทำไมจึงไม่คิดหาสาเหตุต่อไปอีกว่า
ใยก๊าซพวกนี้มันจึงไม่ลอยสูงขึ้นไปอีก
ธรรมชาติของก๊าซมันต้องลอยใช่มั้ย?
แต่มันลอยไปค้างอยู่ตรงนั้นเพราะอะไร
มันลอยขึ้นไปรอคอยอะไรอยู่กระนั้นหรือ

มนุษย์จึงถูกนิยามว่าชอบอวดรู้
ทั้งๆที่รู้ไม่จริง 

มนุษย์จึงถูกนิยามว่าอวดฉลาด
ทั้งๆที่ฉลาดไม่จริง 
เพราะคิดไม่สุดทาง

เราช่วยนำทางความคิดไว้ให้เท่านี้แล้วกัน
ตราบใดผู้อวดรู้มิหันมาฟังเรา
แม้กล่าวไปเช่นไร
ก็หามีประโยชน์อันใดไม่

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
20-3-2016

ความรู้เรื่อง "สติปลอม"



ความรู้เรื่อง "สติปลอม"
***********************
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ท่านจะล่วงทุกข์ใดที่อยู่ในจิตใจได้
ก็ด้วยปัญญาอันเกิดจากสมองของตนเอง

ท่านจะล่วงทุกข์ใดที่เกิดแต่กายได้
ก็ด้วยปัญญาอันเกิดจากสมองของท่าน
เช่นเดียวกันนั่นเอง

หากตราบใดที่ท่าน
ยังห้าม "ทุกข์" มิให้เกิดแต่จิตและกายได้
อันว่า "ปัญญา" นี้ก็จักเป็นของสำคัญยิ่ง
ที่พวกท่านจักต้องเร่งแสวงหามันก่อน

โดยท่านต้องเร่งค้นหาปัญญาในตนเองให้พบ
ก่อนจะเที่ยวเร่ร่อนเสาะหาแต่ "ความรู้"
ด้วยการแสวงหาสารพัด "ครู" ไปทั่วโลกหล้า
ทั้งๆที่สติปัญญาของท่านยังไม่พร้อม
จึงต้องถูก "ครูปลอม" ลวงล่อให้หลงทาง
ให้หลงสรรเสริญเดินตามอย่างว่าง่าย
ด้วยการงมงายเพราะ "ความไม่รู้" นี่แหละ

ที่ไม่รู้ว่า "ครูปลอม" ก็เพราะด้อยปัญญา
ที่ด้อยปัญญาก็เพราะเกิดมาไม่รู้คิด
คงรู้แต่เชื่อ แต่ชอบ แต่ชัง และชินเท่านั้น

อันปัญญาซึ่งเกิดจากสมองของท่านนั้น
มันเป็นความเฉลียวฉลาด (Intelligence)
ที่ท่านต้องสั่นสะเทือนมันขึ้นมาเอง
ไปหาเอาจากภายนอกไม่ได้
ไปเที่ยวหยิบยืมของใครเขามาก็ไม่ได้
นอกจากจะวานให้คนอื่นช่วยคิดแทน

แต่ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
ความฉลาดทางปัญญาของสมองน่ะ
มันต้องสร้างด้วยอะไรบ้าง
มันต้องสั่นสะเทือนด้วยอะไร
มันต้องสั่นสะเทือนอย่างไร
ท่านจึงจะบรรลุ "ความฉลาด" ที่ต้องการได้

หากท่านยังไม่รู้คำตอบใน 3 ข้อนี้
ท่านก็เข้าถึงความฉลาดทางปัญญาไม่ได้

ความทุกข์ทั้งหลายทั้งกายใจก็จักคงอยู่
การมีภพชาติหรือมีสังสารวัฏก็จักคงอยู่
การหลงใน "ครูปลอม" ก็จักคงอยู่

นี่แน่ะ....
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านฟัง
โดยเฉพาะจำพวกที่ทำตัวแบบ "กูรู้แล้ว!"
ในเรื่องความฉลาดหรือโง่ในแต่ละคน
ที่มันไม่ทัดเทียมเท่ากันว่า

ตามหลักจริงนั้น
มันมักเกิดจากข้อบกพร่องต่อไปนี้
(รู้แล้วแก้ไขตนเองเสีย พัฒนาตนเสีย)

1.เข้าถึง "มหาสติ" ตามวิถีจิตจักรวาลไม่ได้
2.เข้าถึง "มหาสติ" ได้บ้างแต่ก็เป็นบางที
3.เข้าไม่ถึงอำนาจในการใช้ "อายตนะ 6" 
4.เข้าถึง "มหาสติ" ไม่ได้แต่ใช้ "สติปลอม" อยู่

ในที่นี้เราจะกล่าวเฉพาะเพียง "สติปลอม"
เพื่อจะบอกให้ท่านรู้ว่า....

ในกระบวนการใช้ปัญญา (การคิด) นั้น
สมองจะต้องสั่นสะเทือนกลุ่มเซลประสาท
เพื่อสร้างสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่เข้มข้นขึ้น
ค่าความเข้มสนามแม่เหล็กไฟฟ้านี่แหละ
จะเป็นตัวชี้วัดค่า "ความฉลาดทางปัญญา"
ซึ่งสมองต้องอาศัยแรงสั่นสะเทือนของจิต
อันเกิดจาก "สามนึก" หรือ จิตสามนึก
คือ นึกได้ นึกเอา และ นึกเอง
เป็นเครื่องช่วยให้เซลประสาทสมอง
เกิดการสั่นสะเทือนไปตามพลังของจิต
ที่กำลังสั่นสะเทือนเป็นนึกทั้ง 3 นึกนี่แหละ

ถ้านึกดี ในภาวะจิตสงบ
แรงสั่นสะเทือนของจิตที่ไปกระตุ้นสมอง
ก็จะสั่นสะเทือนสูงขึ้นทางด้านบวก

ถ้านึกลบ นึกชั่ว ในภาวะจิตไม่สงบ
แรงสั่นสะเทือนของจิตที่ไปกระตุ้นสมอง
ก็จะสั่นสะเทือนสูงไปทางด้านลบ

แต่ที่เป็นความมหัศจรรย์อันน่าสนใจ
ของสมองมนุษย์ก็ตรงที่ว่า
ไม่ว่าท่านจะนึกดีหรือนึกชั่วก็ตาม
ไม่ว่าท่านจะนึกผิดหรือนึกถูกก็ตาม
สมองของท่านมันจะยอมเป็นเครื่องมือ
ให้จิตสามนึกของท่านอยู่เสมอ

นั่นคือ...
ถ้าจิตนึกดี สมองก็คิดดีให้
ถ้าจิตนึกบวก สมองก็คิดบวกให้
ถ้าจิตนึกด้านบวก สมองก็คิดด้านบวกให้

ถ้าจิตนึกชั่ว สมองก็คิดชั่วให้
ถ้าจิตนึกลบ สมองก็คิดลบให้
ถ้าจิตนึกด้านลบ สมองก็จะคิดด้านลบให้

โดยมีข้อแม้ว่า...
จิตจะนึกเพื่อให้สมองคิดตามได้
คนๆนั้นจักต้อง "รู้สติ" เท่านั้น!!!!

การเป็นผู้รู้สติเท่านั้นที่จะทำให้ท่าน
เข้าถึงความสามารถในการใช้ "จิต3นึก" ได้
ถ้าท่านไม่รู้สติ เช่น เมาเหล้า เมายา
สลบไสล ต้องนะจังงัง งงงวย หรือหลับ
ท่านก็จะไม่สามารถสร้างความฉลาดได้

แต่ให้ท่านระวังจิตของท่าน
ทั้งสามนึกนี้เอาไว้ให้ดี
เพราะว่า...มันสามารถจะนึกลบ นึกชั่ว
จนไปสั่นสะเทือนสมองให้คิดลบคิดชั่ว
ตามพลังอำนาจของจิตได้เสมอ

เนื่องจากพวกท่านชอบพูดและเชื่อว่า
"สติมาปัญญาเกิด" อันหมายความว่า
ถ้าท่านกำลังคิดได้คิดเป็นอยู่ในขณะนั้น
ไม่ว่าจะคิดลบ คิดชั่ว
ก็เหมาเอาเองว่ากำลังคิดอย่างรู้สติแล้ว
ซึ่งแท้จริงแล้วมันเป็น "สติปลอม" ต่างหาก

"สติปลอม" 
หมายถึง การรู้สติไม่จริงของจิตสามนึก
ที่จะสั่นสะเทือนตนเองเพื่อกระตุ้นสมอง
ให้สั่นสะเทือนตามเพื่อให้เกิดการคิด
ในสิ่งที่จิตกำหนดให้มันคิดนั่นแหละ

แต่เป็นการนึกที่ไม่ถูกต้อง
เป็นการนึกในด้านที่ผิดบาป
เพราะรู้ผิด เข้าใจผิด เห็นผิด รู้น้อย
หรือเกิดจากนิสัยทางจิตบกพร่อง เป็นต้น

คนที่หลงตัวเองว่าฉลาด
หากยังใช้ "สติปลอม" อยู่
มักจะแสดงความอวดฉลาดแต่เรื่องโง่ๆ
มักจะแสดงความอวดรู้แต่เรื่องชั่วๆ
ให้เราแลเห็นอยู่เสมอมา....

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
20-3-2016

17 มีนาคม 2559

ครูตะปาดน้อยสีเหลืองทอง



ครูตะปาดน้อยสีเหลืองทอง
****************************
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า

*เนื่องเพราะคุณ "ตะปาดน้อย" นี้
อดีตชาติเคยเป็นนักบวชอยู่นาน
พอมาชาตินี้รหัสจิตของท่าน
จึงติดการห่มกายไว้ด้วยสีเหลืองอร่าม

*เนื่องเพราะท่านเคยโปรดวิเวก
ด้วยการเจริญกรรมฐานภาวนา
อยู่แต่ภายในหลืบถ้ำ

ถ้ำที่มีบึงน้ำใสไหลหยดอย่างสดชื่น
ถ้ำอันรื่นรมย์ด้วยเสียงน้ำกับสายลมพริ้ว
ถ้ำที่มีแต่ความมืดสนิทเพราะลึกเร้น
อีกทั้งเป็นถ้ำซึ่งท่านได้ละสังขารไว้ที่ในนั้น

พอได้โอกาสกลับมาสู่การเกิดใหม่
จึงต้องตกชั้นต่ำลงไป
เพื่อจะได้เรียนรู้ให้เข้าใจ
ในความผิดพลาดบางสิ่งของตนเอง
ด้วยบทบาทของ "ตะปาดน้อยสีเหลืองทอง"

*เนื่องเพราะรหัสจิต
ยังยึดติดอาภรณ์พันกาย
โดยจดจำสีเหลืองทองเอาไว้อยู่
พอมาเกิดเป็นตัวตะปาดน้อย
ผิวกายจึงเห็นเด่นเป็นสีเหลืองทอง
ซึ่งแตกต่างไปจากตะปาดตัวอื่นๆ
ที่มีกายสีขาวคล้ำหรือเทาดำกันทั้งนั้น

*เนื่องเพราะท่าน
เป็นผู้ชอบจำศีล........

เมื่อตกชั้นต่ำลงมาภารกิจของท่าน
จึงต้องฝากไว้กับการเป็น "ตะปาด"
เนื่องเพราะธรรมชาติของตะปาด
เขาก็เป็นสัตว์จำศีลเหมือนกัน

*เนื่องเพราะท่าน
คืนวันเอาแต่หลับตา......

เสมือนปรารถนาให้ตาดีๆนั้นมืดบอด
โดย "ตั้งใจ" ปิดกั้นการรับรู้และเรียนรู้
ของกลไกอันแสนวิเศษมหัศจรรย์
ที่พระบิดาทรงรังสรรค์เอาไว้
ให้บุตรมนุษย์ทุกคนใช้มองโลก
แต่ท่านกลับมองไม่เห็นคุณค่า

ดังนั้น
เพื่อให้บทเรียนนี้แก่ท่าน
ตะปาดนั้นจึงต้องมีตา "โปน"
เพื่อให้จ้องมองทุกสิ่งรอบตัวไว้
อย่างไม่กระพริบตาอยู่ตลอดเวลา
เสมือนไม่มีเปลือกตาจะให้กระพริบ
จักได้รู้คุณค่าของนัยน์ตา
ที่พระบิดาทรงเมตตาประทานเอาไว้ให้
อันเป็นการแก้ไขรหัสผิดๆจากอดีต

*เนื่องเพราะท่าน
เอาแต่นั่งหลับตาเก็บมือเก็บเท้าไว้...

เสมือนหนึ่งว่ามือเท้านั้นเกะกะ
เสมือนหนึ่งว่ามือเท้านั้นไร้ประโยชน์
ทั้งๆที่สองมือสองเท้าของมนุษย์
ซึ่งพระบิดาทรงสร้างไว้ให้นั้นชอบแล้ว

ดังนั้น
เพื่อให้บทเรียนนี้แก่ท่าน
ตะปาดนั้นจึงต้องมี "แขนขา" ยาวเหยียด
ซึ่งยาวกว่ากบเขียดที่เป็นพรรคพวกกัน
เพื่อที่จะได้ไม่สามารถ 
"เก็บมือ-เก็บเท้า" ได้ง่ายๆ
เสมือนหนึ่งไม่มีประโยชน์ดั่งเช่นในอดีตอีก

*เนื่องเพราะท่าน
วันๆเก็บมือเก็บเท้าเอาไว้
โดยอยู่ในอาการสงบนิ่ง
เสมือนสองมือสองเท้าไม่มีความหมาย

ดังนั้น
เจ้าตะปาดน้อยผิวสีเหลืองทอง
จึงต้องมีสองแขนสองขาที่ยาวเป็นพิเศษ
และต้องใช้งานมันอยู่ตลอดเวลา
ไม่ว่าจะยามหลับหรือยามตื่น
โดยไม่มีโอกาสงอมืองอเท้าได้อีกแล้ว

ตะปาดจึงมีฝ่าเท้าที่เป็นสุญญากาศ
เอาไว้ใช้ยึดเกาะผนัง กำแพง
แม้กระทั่งผนังในโถส้วมกระเบื้องเคลือบ
ซึ่งตะปาดตัวนี้หลงผิดคิดว่าเป็นถ้ำ
การกำหนดให้ต้องยึดเกาะไว้ตลอดเวลา
ก็เพื่อให้เรียนรู้คุณค่าและเห็นประโยชน์
ในการใช้มือใช้เท้าโดยแท้

*เนื่องเพราะท่าน
วันๆอิ่มเอิบอยู่ในกรรมฐาน
จึงปล่อยให้เครื่องยนต์แห่งกรรมนั้นทานน้อย

ชาตินี้จึงถูกส่งให้มาอยู่ในโถ
ซึ่งเขาใช้ปล่อยทิ้งก้อนปฏิกูล
เพื่อให้เรียนรู้ว่าอาหารทุกอย่างนั้นมีคุณค่า
การปฏิเสธอาหารด้วยการทานแต่น้อย
จึงเสมือนหนึ่งไม่รู้ว่าอาหารมีประโยชน์

ตะปาดตัวนี้จึงต้องมีชีวิตอยู่
ภายในโถที่มนุษย์ใช้หย่อนก้อนปฏิกูล
เพื่อให้จดจำไว้ว่าอาหารที่ไร้คุณค่านั้น
มันมีคุณสมบัติและรูปลักษณ์แบบใด
เพื่อจะได้เรียนรู้ว่าอาหารที่มีคุณค่านั้น
มันแตกต่างจากก้อนปฏิกูลที่ตรงไหน

*เนื่องเพราะท่าน
พยายามทำให้จมูกที่รับกลิ่นว่างงาน
ทั้งๆที่จมูกยังได้รับกลิ่นนั้นอยู่
แต่กลับทำเป็นไม่รู้กลิ่นนั้น
เพียงเพราะหวั่นกลัวจิตตก

ดังนั้น
การที่ต้องมามีสองรูจมูกบานๆ
แล้วลงไปใช้ชีวิตอยู่ภายในโถ
อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย
ที่มีแต่กลิ่นของก้อนปฏิกูลนั้น
ก็เพื่้อต้องการปลุกเร้าให้ "จมูก" ไม่ว่าง
ด้วยสิ่งเร้าจมูกที่เป็นกลิ่นเหม็นรุนแรง
นั่นล่ะนะ

*เนื่องเพราะท่าน
วันๆไม่ยอมพบและไม่คบใคร
จึงต้องลงมาหลงมิติ
อยู่แต่ในโถปลดทุกข์นี้แต่เพียงผู้เดียว

จะไล่อย่างไรก็ไม่ยอมออกไป
เมื่อถูกไล่จนต้องออกไปจากโถแล้ว
อีกไม่นานก็กลับลงไปใช้ชีวิตอยู่ดังเดิม

*เนื่องเพราะท่าน
วันๆไม่ยอมอาบแสงแดดเหมือนคนอื่น
ได้แต่คอยหลบคอยหลับอยู่แต่ในถ้ำมืด

เมื่อมาสวมบทบาทตะปาดน้อย
จึงต้องคอยใส่ใจในผิวกายของตัวเอง
โดยจะปล่อยให้ผิวหนังแห้งไม่ได้
เพราะต้องตายแน่นอน

ดังนั้น
ผิวแห้งเมื่อไหร่ก็จะโดดลงไปในน้ำ
ดำผุดดำว่ายอยู่ในน้ำปฏิกูลนั่น
จนเมื่อผิวเปียกชุ่มชื้น
จึงจะกลับขึ้นมาใหม่เพื่อใช้ชีวิตอยู่
ภายในถ้ำโถหย่อนปฏิกูลเหม็นนั้นต่อไป

หมายเหตุ:

1.เรากล่าวถึงเฉพาะ
เจ้าตะปาดน้อยตัวนี้เท่านั้น

2.เรากล่าวสอนเรื่องนี้
ต่อศิษย์จิตจักรวาลเท่านั้น

3.ท่านอื่นโปรดใช้สติปัญญาพิจารณา
หากท่านไม่เห็นด้วยหรือไม่เชื่อ
โปรดกรุณาอย่าก้าวล่วงหรือลบหลู่เรา

4.เราสื่อจากพระบิดา
มากล่าวต่อท่านเพื่อบอกให้ท่านรู้ 

เราชวนชี้ให้ท่านดู
เพื่อให้เรียนรู้ให้ศึกษา

เราฝึกให้ท่านใช้สติปัญญาพิจารณา
เพื่อค้นหาความจริงที่จริงแท้

5.เชิญท่านทั้งหลายแผ่เมตตา
และสำนึกขอบคุณ
ต่อครู "ตะปาด" ตัวนี้ด้วย

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
16-3-2016

15 มีนาคม 2559

"ใคร" คือ ผู้กล่าวความจริง ในพระนามแห่งพระเจ้า



บทเรียนเรื่องการเรียนรู้
***********************

"ใคร" คือ ผู้กล่าวความจริง
ในพระนามแห่งพระเจ้า

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

เพียงแค่ท่านตั้งใจรับในสิ่งที่ท่านรู้
จนต่อเมื่อท่านได้รู้แล้ว 
ท่านจักต้องพร้อมที่จะรับเพื่อฟัง

เมื่อท่านได้รับฟังแล้ว 
ท่านก็ต้องคิดไปตามที่รับฟังอยู่นั้นให้เข้าใจ
ว่าพระโอวาทหรือพระคำมีมาว่าอย่างไร
โดยต้องไม่ "คิดต้าน" ก่อนที่ท่านจะเข้าใจ

เพราะการรับรู้รับฟังโดยไม่คิดตามทันที
เพื่อให้เกิดการรู้การเข้าใจ
แต่คิดต้านในทันทีทันใดนั้น
มันเป็นวิธี "งมงาย" 
ที่คนส่วนใหญ่เขาเป็นกัน

วิถีคนฉลาด คือ ชอบคิดและช่างคิด
คิดเพื่อค้นหาเหตุผล
คิดเพื่อค้นหาคำตอบที่ถูกต้องถ่องแท้

วิถีคนงมงาย คือ คนที่ชอบถามหา
ทั้งความถูกใจไม่ถูกใจ
มากกว่าจะถามหาความถูกต้อง
คนพวกนี้คือผู้ที่เน้นการค้นหา
ความเชื่อกับไม่เชื่อ
เอาจากความรู้สึกข้างในของตัวเอง
มากกว่าจะเพียรพยายาม
ค้นหาความจริงจากสิ่งนั้นๆ

กระบวนการทั้งหมด 
ตามวิถีคนฉลาดที่เรากล่าวมา
มันคือ "การเรียนรู้" 
จากการอ่านและฟังนั่นเอง

ดังนั้น....
หากท่านฉลาดเรียนรู้ในแก่นสารสาระได้
ตามที่เรากล่าวมาข้างต้นนั้นแล้ว
ท่านจึงค่อยย้อนกลับมาถามหาความจริง
ในอีกด้านหนึ่งว่า....

พระบิดาผู้สูงส่งพระองค์นั้นเป็นใคร
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณมนุษย์ทุกคนเป็นใคร
พระเยซูพระองค์นั้นเป็นใคร

ใคร...คือ ผู้ที่กล่าวความจริง
ในพระนามแห่งพระเจ้า

ผู้ที่กล่าวในพระนามแห่งพระเจ้า
ท่านผู้นั้น......เป็นใคร

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
15-3-2016

10 มีนาคม 2559

เครื่องสำอางศักดิ์สิทธิ์จากจิตจักรวาล


รับอรุณแห่งแสงแรก...ของวันใหม่
ด้วยเครื่องสำอางแห่งจิตวิญญาณ
ผลิตภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์จากจิตจักรวาล

น้ำยาชำระจิตตปัญญา
"มหาสติ"

ท่านจะสามารถแทรกแซงขันธ์ 5 ได้
ท่านจะเข้าถึงสภาวะจิตใสพิสุทธิ์ได้
ท่านจะเข้าถึงความสงบแท้จริงได้
ท่านจะเข้าถึงปัญญาภิวัฒน์ขั้นอริยะปัญญาได้

ท่านจะเข้าถึงธรรมชาติสมาธิได้ตลอดวัน
โดยไม่ต้องปลีกวิเวก
โดยไม่ต้องแสร้งปิดอายตนะ
โดยไม่ต้องเดินถ่างขาแบบเก่า
โดยไม่ต้องเสแสร้งแบบ "ไม่อะไร กับอะไร"

ท่านจะเข้าถึงสภาวะจิตสุญตาได้
ถ้าใช้เป็นประจำไปตลอดชีวิต

โปรดระวังสติปลอม
รีบนำมาใช้ด่วน...ก่อนหมดโอกาสที่จะได้ใช้

กำหนดสร้างสูตร โดย:
องค์จิตจักรวาล
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณของท่าน

นำมาฝากท่านฟรี โดย:
.วิสุทธิปัญญา
10-3-2016

ผลิตภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์จาก "จิตจักรวาล"



ผลิตภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์จาก "จิตจักรวาล"

1.น้ำยา "มหาสติ"
น้ำยาชำระจิตให้ใสดุจดั่งแก้วมรกต

ใช้ชำระตลอดวัน ชำระได้ทุกวัน
จิตคุณจะผ่องใสจนใครๆต้องอิจฉา
สติปัญญาคุณจะล้ำเลิศเกินคาดคิด

คนทั้งโลก...จักเป็นมิตรของคุณ

2.โลชั่น "LOVE"
ครีมโลชั่นลักษณะเจล

เป็นโลชั่นบำรุงจิตวิญญาณ
ให้สดชื่นแจ่มใส 

พร้อมจะรักใครก็ได้
แม้ใครคนนั้นจะไม่น่ารัก

ทาได้ตลอดวัน 
ยิ่งทายิ่งสวย

ผลิตภัณฑ์ทั้งสองชนิด
เป็นเครื่องสำอางค์สำหรับจิตวิญญาณ
ของผู้ปรารถนาการชำระจิตให้ใส
ต้องการชำระใจให้สวย

หมั่นใช้ทุกวันตลอดชาตินี้
มีโอกาสหลุดพ้นแน่นอน

ผลิตภัณฑ์ดีๆเช่นนี้
ไม่มีวางจำหน่ายในท้องตลาด
มอบให้ฟรี...ไม่มีหมดเขต

อ่านรายละเอียดวิธีใช้เครื่องสำอางค์นี้
ในห้องเรียน "ป.วิสุทธิปัญญา" 
ตลอด 24 ชั่วโมง

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
9-3-2016

09 มีนาคม 2559

ความรู้เรื่องกฎแห่งกรรม: 10


จิตจักรวาลอ่านกรรม
*********************
เราได้กล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลาย
ในเรื่องกฎแห่งกรรม 
แบบที่ 1,2,3,4,5,6,7,8 และ 9ไปแล้ว

เรายังมีความรู้เรื่อง "กรรมดี"
อันอาจเป็นประโยชน์ต่อท่าน
ในมุมมองด้านบวกของกรรมปัจจุบัน
ที่มันจะส่งผลต่อชาติหน้าได้
ด้วยความรู้เรื่องกฎแห่งกรรม แบบที่ 10

เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า
คนส่วนใหญ่โดยเฉพาะสตรี
ไม่มีใคร "ไม่อยาก" มีผิวเนียนสวย
ไม่มีใคร "อยาก" มีผิวแห้งหยาบกระด้าง

สาวๆจึงต้องสิ้นเปลืองเงินทอง
ไปกับเครื่องสำอางประทินผิวกันยกใหญ่
หมดเงินหมดทองกันไม่รู้เท่าไหร่
เพื่อให้ผิวงามผ่องหน้าตาใสผ่อง

แต่ไม่เคยคิดรู้บ้างเลยว่า
สาเหตุที่ตนผิวไม่สวยกายไม่งามนั้น
มันมาจากสาเหตุใดกันแน่

เพราะพ่อแม่ต้นพันธุ์มียีนส์บกพร่อง
ลูกเลยมีปัญหาด้านผิวพรรณ
เช่นนั้นหรือ......

เคยเห็นไหมที่พ่อแม่ขี้ริ้วขี้เหร่
แต่ลูกสาวกลับผิวขาวสวยหน้าตาดี
จนได้เป็นเทพีบนเวทีประกวดนางงามน่ะ

เพราะว่ามีโภชนาการที่บกพร่อง
จนทำให้ผิวพรรณขาดวิตามินหรือ
จึงทานอาหารเสริมกันยกใหญ่
ทำตัวเป็นเด็กอนามัยในการรับประทาน
ผลลัพธ์ออกมาผิวพรรณก็ยังแห้งเหี่ยว
ไม่เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลอยู่อย่างเดิม

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ไว้ด้วยว่า
ถ้าพยายามจัดการกับผิวพรรณตนเองแล้ว
แต่ก็ยังไม่ได้ผลดีอย่างที่ต้องการ
นั่นล่ะ...มันคือ "เวรกรรม"
ที่แก่นแท้ของท่านถือติดตัวมาจากชาติอดีต
เพื่อจะใช้เป็นบทเรียนด้วยการมีสำนึก
ในสิ่งที่ผิดบาปของท่านให้จงได้ว่า
ชาติที่ผ่านท่านก่อกรรมเวรอันใดมา

เราจึงขอกล่าวความจริงให้รู้ว่า
พฤติกรรมผิดบาปต่อไปนี้แหละ
คือสิ่งที่ท่านได้ก่อไว้กำไว้
จนส่งผลให้ผิวพรรณกับผิวหน้า
ไม่สวย ไม่ผ่องใส ไม่เรียบ ไม่เนียน
ผิวแห้ง หยาบกร้าน คล้ำหม่น เป็นต้น

นั่นเพราะท่านเป็นผู้ที่ขาดการ "แต่งจิตใจ"
จนยังผลให้จิตไม่ใส ใจไม่สวย
ท่านได้แต่แต่งหน้าตากับร่างกาย
หมายจะให้หน้าสวย ผิวดี และหุ่นงาม
แต่ท่านกลับมองข้ามการ "แต่งใจ" 
ชาติที่ผ่านมาจึงสวยได้แต่รูปลักษณ์

เมื่อชาติที่แล้วท่านมิได้แต่งจิตใจไว้
มาชาตินี้จิตเป็นนายกายเป็นบ่าวอยู่
จิตจึงปรุงแต่งผิวพรรณหน้าตาของท่าน
ไปตามรหัสที่จิตวิญญาณถือมาด้วย

เพราะเหตุนี้เอง...
ผิวพรรณหน้าตาท่านจึงผ่องใสสะสวย
ในแบบที่ท่านต้องการไม่ได้

ท่านจึงควรรู้ว่าจิตมนุษย์ในชาตินี้นั้น
ท่านจำต้อง "ชำระ" หรือ "ปรุงแต่ง" มันด้วย
โดยต้องชำระจิตให้ใสชำระใจให้สวยเข้าไว้

ด้วยเครื่องสำอางค์ยี่ห้อ "จิตจักรวาล"
โดยใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อการชำระจิต
ที่ชื่อว่า "มหาสติ"
คู่กันกับครีมบำรุงใจที่ชื่อว่า "ความรัก"

ผลิตภัณฑ์ทั้งสองนี้
พระบิดาทรงเมตตา
ประทานมาให้มนุษย์โลกฟรีๆ
โดยทรงบัญชาให้เราถือมา
ฝากพวกท่านตั้งนานแล้ว

พวกท่านไม่ต้องซื้อไม่ต้องแสวงหา
ใช้ก็ง่ายไม่ลำบากอะไร
ใครได้นำมาใช้ก็สบายใจ
เพราะไม่มีผลร้ายข้างเคียง

ยิ่งใช้เป็นประจำไปนานวัน
ผิวพรรณผิวหน้าก็จะยิ่งมีสง่าราศี
จะแลดูเปล่งปลั่งดั่งทองนพคุณ
จะเป็นหนุ่มยาวสาวนานเลยเชียว

รู้อย่างนี้แล้ว....
จงหันมาแต่งจิตใจกันได้แล้ว
เผื่อผิดพลาดยังมิอาจหลุดพ้นในชาตินี้
ชาติหน้าเกิดใหม่จะได้มีผิวกายที่งดงาม
โดยไม่ต้องวุ่นวายกับเครื่องสำอางค์
ไม่ต้องขัดผิวเปลี่ยนสีผิวประทินผิว
ให้สิ้นเปลืองเงินทองเหมือนชาตินี้

ท่านทั้งหลายรู้หรือไม่ว่า
จิตที่หมกมุ่นอยู่กับกิเลสตัณหาราคะ
กับอารมณ์หยาบๆรายวันนี่แหละ
เป็นคลื่นการสั่นสะเทือนของจิตที่หยาบ
ซึ่งเป็นเป็นคลื่นความถี่ในย่านต่ำๆ

คนที่เต็มไปด้วยความโลภ
คนที่มีนิสัยคดโกง ฉ้อฉล เอาเปรียบ
คนที่เจ้าอารมณ์ ขี้โมโห ฉุนเฉียว
คนที่มีอารมณ์อ่อนไหวง่าย
ผู้คนแบบนี้นี่แหละ
จิตวิญญาณของเขา
จะสะสมคุณสมบัติด้านลบนี้ไว้

เมื่อกลับสู่การเกิดในชาติใหม่
จิตวิญญาณก็จะสั่นสะเทือน
เพื่อการสร้างเซลอวัยวะของกายหยาบ
ด้วยคลื่นพลังงานหยาบๆระดับต่ำๆเท่านั้น

จึงยังผลให้เซลอวัยวะร่างกาย
แลดูเหี่ยวย่น หยาบกระด้าง
กระดำกระด่าง ผิวไม่เรียบ
ผิวพรรณโดยรวมจึงไม่เปล่งปลั่งสดใส
ล้วนแต่เป็นไปตามรหัสแห่งมโนกรรม
ในย่านความถี่ต่ำล้วนๆเลยทีเดียว

แม้แต่ชาตินี้ก็เถอะ
หากท่านพบใครผิวขาวสวย
พบใครผิวเนียนหน้าตาผ่องใส
พบใครใบหน้าหวานละมัย
โดยมิได้ใช้เครื่องสำอางค์ประทินล่ะก็
ทั้งบุรุษละสตรีท่านนี้
จิตใสใจสวยพอตัวเลยล่ะท่าน

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
9-3-2016