ผลลัพธ์บั้นปลายที่เกิดขึ้น
ล้วนเกิดจากเหตุทั้งสิ้น
เหตุเบื้องต้น...
มันจึงนำไปสู่ผลเบื้องปลายเสมอ
แต่ถ้าสาเหตุมีมากกว่าหนึ่งแล้ว
ท่านก็จงอย่ามองแต่เหตุเบื้องปลาย
ที่ทำให้เกิดผลเบื้องปลายอยู่เพียงเหตุเดียว
เป็นต้นว่าขณะนี้โลกกำลังวิกฤต
อันเกิดจาก "ภาวะโลกร้อน"
ผลเบื้องปลาย คือ อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น
สูงจนน้ำแข็งขั้วโลกละลาย
สูงจนภูมิอากาศของโลกเริ่มวิปริต
สูงจนระบบนิเวศน์ของโลกเปลี่ยนไป
สูงจนเกิดภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
มนุษย์พบสาเหตุว่า
สถานการณ์เบื้องปลายทั้งหลายนี้
ล้วนเกิดจากภาวะโลกร้อนทั้งสิ้น
มนุษย์จึงค้นหาคำตอบจนรู้ว่าโลกร้อนน่ะ
มี "สาเหตุ" มาจากสภาวะเรือนกระจก
สภาวะเรือนกระจกเกิดจากก๊าซมวลหนัก
จำพวก HC ก๊าซไฮโดรคาร์บอน
กับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ CO2
ลอยขึ้นไปห่อหุ้มปกคลุมบรรยากาศโลกไว้
อย่างหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อคิดหาสาเหตุที่ทำให้เกิด
สภาวะเรือนกระจกได้เท่านี้
เขาจึงพยายามหาวิธี "ลด"
การผลิตก๊าซพวกนี้
ด้วยการรณรงค์กันยกใหญ่หลายๆวิธี
ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ
"การดับไฟฟ้า" บางดวง
ร่วมกันพร้อมกันทั้งโลก
เพื่อลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าให้น้อยลง
จะได้ลดก๊าซพิษเหล่านั้น
อันเกิดจากการใช้เชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า
ให้น้อยลงตามไปด้วย
โดยเมื่อวานนี้ประเทศไทย
ก็สามารถลดการใช้ไฟฟ้าได้ถึง
2 หมื่นกว่าเม็กกะวัตต์ภายใน 1 ชั่วโมง
ซึ่งการคิดแบบนี้เป็นการคิดไม่สุด
เพราะเอาเหตุเบื้องปลายมาเป็นตัวตั้ง
แต่ไม่ยอมคิดต่อไปอีกว่า
ก๊าซหนักทั้งสองชนิดที่เป็นปัญหานี้
ทำไมจึงลอยขึ้นไปค้างเติ่งต่องแต่ง
อยู่ตรงชั้นบรรยากาศที่ตรงนั้น
จนกลายเป็นเรือนกระจกห่อหุ้มโลกไว้
ทำไมจึงไม่คิดหาสาเหตุต่อไปอีกว่า
ใยก๊าซพวกนี้มันจึงไม่ลอยสูงขึ้นไปอีก
ธรรมชาติของก๊าซมันต้องลอยใช่มั้ย?
แต่มันลอยไปค้างอยู่ตรงนั้นเพราะอะไร
มันลอยขึ้นไปรอคอยอะไรอยู่กระนั้นหรือ
มนุษย์จึงถูกนิยามว่าชอบอวดรู้
ทั้งๆที่รู้ไม่จริง
มนุษย์จึงถูกนิยามว่าอวดฉลาด
ทั้งๆที่ฉลาดไม่จริง
เพราะคิดไม่สุดทาง
เราช่วยนำทางความคิดไว้ให้เท่านี้แล้วกัน
ตราบใดผู้อวดรู้มิหันมาฟังเรา
แม้กล่าวไปเช่นไร
ก็หามีประโยชน์อันใดไม่
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
20-3-2016