01 มีนาคม 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล 01/03/2021

สนทนาประสาจิตจักรวาล

01/03/2021



พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า

ความฉลาดทางปัญญาของสมอง
เป็นคุณสมบัติที่สำคัญของท่านทั้งหลายจริงๆ

ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขปัญหาส่วนตน
ตามบททดสอบในชะตากรรมหรือชะตาชีวิต
หากขาดทักษะความสามารถในการใช้สติปัญญา
ชีวิตท่านก็จักเป็นไปตามยถากรรม
เปรียบเหมือนดั่งขยะที่ล่องลอยไปตามสายน้ำ
เพราะไม่มีเครื่องมือจัดการปัญหา
เพื่อนำพาตนเองออกไปจากปัญหานั้นๆได้
หรือจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาใดที่เผชิญอยู่
อันเป็นเหตุแห่งทุกข์ของตนเองได้ เป็นต้น

นอกจากนั้น
หากท่านขาดทักษะในการใช้ปัญญา
มันจะยังผลให้ความฉลาดดำเนินชีวิต
ความฉลาดในการตัดสินใจ
ความฉลาดในการมองโลกและมองผู้อื่น
ความฉลาดด้านการเรียนรู้
พลอยอาภัพอับจนอีกต่างหากด้วย

ตัวอย่างเช่น
ความฉลาดด้านการเรียนรู้ตำราหรือพระคัมภีร์
ที่ถูกบันทึกไว้โดยศิษย์สาวกของพระศาสดา
จากการรับฟังและจากการเล่าสืบต่อกันมา
แล้วนำมาบันทึกรวบรวมกันไว้ในภายหลัง
นอกจากท่านต้องอ่านด้วยปัญญาแล้ว
ยังต้องพิจารณาด้วยเหตุและผลอีกต่างหากด้วย

สาเหตุที่ท่านต้องอ่านด้วยปัญญา
เพราะว่าความในพระคัมภีร์นั้น
พระศาสดาท่านกล่าวสอนไว้เป็นอุปมาอุปมัย
ถ้าอ่านแล้วไม่คิดพิจารณาเพื่อทำความเข้าใจ
ท่านก็จะไม่เข้าใจหรือไม่ก็อาจเข้าใจผิดได้

จนแม้กระทั่งการฟังคำกล่าวของ คนนำทาง
ที่อ้างว่าเอาธรรมะพระศาสดาจากคัมภีร์หรือตำรา
นำมาอบรมสั่งสอนท่านทั้งหลายก็เช่นกัน
นอกจากเราเตือนท่านแล้วว่าพวกเขามิใช่ศาสดา
ท่านจึงต้องใช้ปัญญารับฟังรับรู้เอาไว้ให้มาก
เพราะพวกเขาแค่ใช้ปัญญาส่วนตัวของเขา
กับความเชื่อส่วนตัวที่เขาเชื่อตามสอนตามกันมา
แล้วนำมันมากล่าวสอนต่อจนถึงหูของท่าน
ซึ่งข้อธรรมะนั้นๆอาจมีเบี่ยงเบนบิดเบือนได้

เราจึงขอย้ำเตือนว่า
ในการเรียนรู้สิ่งใดก็ตาม
ในการรับรู้สิ่งใดก็ตาม
ในการรับเอาสิ่งใดก็ตาม
ในการตัดสินใจเลือกรับเอาสิ่งใดก็ตาม

จงอย่าใช้ความรู้สึกที่เป็นกิเลส
จงอย่าใช้พวกมากลากไปเพราะถูกจูงใจ
จงอย่าใช้ความเชื่อสืบต่อกันมาเพราะงมงาย
จงอย่าใช้คนจำนวนมากเข้าว่าเพราะหลงผิด
จงอย่าใช้ศรัทธาที่มีต่อคัมภีร์ของพระศาสดา
เพราะพระศาสดามิได้ทรงเขียนพระคัมภีร์เอง

จงอย่าใช้ความศรัทธาที่มีต่อองค์พระศาสดา
ที่ประดาคนนำทางมักจะนำพระองค์มาอ้างอิง
เพื่อมุ่งหมายให้ท่านเชื่อตามอย่างว่าง่าย
โดยปิดมิติในการคิดและการใช้ปัญญาของท่าน
เพราะอ้างว่าจะเป็นการก้าวล่วงพระศาสดา

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

การจะอ่านพระคัมภีร์ให้รู้ความ
และการฟังธรรมที่คนนำทางสั่งสอนท่านนั้น
ท่านจึงควรมอบความไว้วางใจ
ให้กับความสามารถทางปัญญาของสมอง
ไว้เป็นลำดับแรกและลำดับท้ายสุดเถิด
ท่านจะได้ไม่ถูกหลอกลวงให้หลงทาง
ท่านจะไม่งมงายไปกับความไม่ถูกต้อง

หากจะเป็นไปได้
หน้าที่ของท่านที่ควรกระทำเพื่อตนเองก็คือ
จงแบ่งเวลาค้นหาความฉลาดทางปัญญา
ที่มีอยู่ในตนเองให้พบให้เร็วที่สุด
แล้วพยายามยกระดับมันให้สูงขึ้นเรื่อยๆ

จงเลิกนิสัยเชื่อตามคนอื่นอย่างว่าง่าย
จงเลิกนิสัยลอกเลียนแบบคนอื่น
จงเลิกนิสัยหลงตัวเองว่าตนน่ะเก่งแล้ว
จงเลิกนิสัยหลงตัวเองว่าตนน่ะดีแล้ว
จงเลิกนิสัยชอบวานให้คนอื่นคิดแทน
เพราะนิสัยเหล่านี้มันทำให้ท่านโง่มากขึ้น
และมีความฉลาดน้อยลงนั่นเอง

โดยเฉพาะท่านทั้งหลายจักต้องเข้าถึง
ความสามารถในการใช้สมองทั้งสองซีก
เพื่อการบรรลุสัจธรรมความจริงที่จริงแท้
ในมิติโลกทางกายภาพด้วยพลังสติปัญญา
และความจริงในมิติของจิตวิญญาณ
ด้วยพลังปัญญาญาณของสมองซีกขวาให้ได้

ท่านลองพิจารณาคำสอนของพระบุตรเอก
ที่ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์นับพันปีมาแล้ว
ที่ทรงกล่าวเอาไว้ตอนหนึ่งว่า

ถ้าใครก้าวตามพระองค์มา
พระองค์จะช่วยให้คนตายกลับฟื้นคืนชีพได้

ความทั้งสองบรรทัดนี้
ท่านเข้าใจว่าอย่างไร
คนนำทาง (ตาบอด) สอนท่านว่าอะไรล่ะ

มีเพียงคำตอบเดียวเท่านั้นนั่นคือ
ความเชื่อว่าพระศาสดาคือผู้วิเศษ
ที่สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืนนั่นเอง
แม้ความคิดแบบจิตมนุษย์จะยกย่องว่า
ทรงเป็นพระศาสดาที่เหนือกว่าศาสดาใดๆ
ตรงที่ทรงมีฤทธิอำนาจอันวิเศษเหนือใคร
เพื่อหมายจะให้มีสาวกมาสวามิภักดิ์มากๆ

แต่พวกท่านต้องรู้ว่า
แท้แล้วความคิดความเชื่อเช่นนั้น
รังแต่จะนำความเสื่อมมาสู่พระองค์เท่านั้น
เพราะผู้คนจะเฝ้าตั้งตาชูคอรอคอย
การกลับมาอีกครั้งของพระองค์อย่างจดจ่อ
ด้วยหวังว่าจะทรงช่วยให้ตนตายแล้วฟื้นได้
ทั้งๆที่ "สัจธรรม" ก็คือความจริงเท่านั้น
แต่การช่วยให้คนตายกลับฟื้นคืนชีพได้นี้
ในความเป็นจริงแล้วมันเป็นไปได้แน่หรือ
มันชวนให้งมงายกับความอุตริมากไปหรือเปล่า

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

แท้จริงแล้วการช่วยคนตายให้ฟื้นคืนชีพได้นี้
ทรงหมายความว่าถ้าใครปฏิบัติตามพระโอวาท
ที่ทรงสื่อมาจากพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
อันหมายถึงพระผู้เป็นเจ้าหรือพระเจ้าแล้ว
จะสามารถหยุดการมีภพชาติหรือวัฏสงสารได้
แปลความว่าจิตวิญญาณผู้นั้นจะไม่ตายอีก

การหยุดการตายแล้วเกิดใหม่ของจิตวิญญาณได้
แปลความว่าจิตวิญญาณนั้นสามารถฟื้นคืนชีพได้
การคืนชีพได้หมายถึงจิตวิญญาณนั้น
เมื่อทิ้งกายสังขารไปจากการเป็นมนุษย์แล้ว
จิตวิญญาณนั้นจะไม่มีเหตุให้ต้องมาเกิดใหม่อีก
นั่นคือหลุดพ้นนิพพานออกไปจากอนันตจักรวาล
เพื่อกลับบ้านเกิดของจิตวิญญาณในแดนสุญตา
ตามที่เรากล่าวให้ท่านได้รู้กันมานานแล้วนั่นเอง

นี่คือความจริงที่พวกท่านต้องใช้สมองทั้งสองซีก
ทำการถอดรหัสพระโอวาทออกมาให้ได้
จงอย่านำพระศาสดาที่ท่านยอมรับและศรัทธา
มาทำให้พระองค์ทรงเสมอเป็นแค่เจ้าลัทธิเลย
เพราะนิสัยมนุษย์โลกมักเป็นคนชอบ "งมง่าย"
ก็จะพากันหลงทางไปกันใหญ่
ด้วยการขาดพลังอำนาจทางปัญญาที่ท่านมีอยู่

จงรีบหาครูที่จะสอนท่านให้ฉลาดเถิด
อย่าริอ่านแสวงหาแต่ความรู้ความรวยอย่างเดียว
ความรู้ที่อุตริที่ช่วยให้นิพพานไม่ได้จงงดได้แล้ว
เพราะเวลาสำหรับท่านทั้งหลายเหลือไม่มาก
เนื่องจากพระองค์ทรงพิพากษาโลกแล้ว
ท่านทั้งหลายกับโลกจะถูกเปลี่ยนแปลง

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
1/03/2021

สนทนาประสาจิตจักวาล 01/03/2021

สนทนาประสาจิตจักวาล

01/03/2021



พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า

ไม่ว่าท่านจะพูดจาภาษาอะไร
ไม่ว่าท่านจะเป็นคนชาติไหน ศาสนาใด
ไม่ว่าท่านจะประพฤติตนเป็นคนชอบธรรมแบบใด
ท่านทั้งหลายจักต้องอาศัยสัจธรรมในพระคัมภีร์
ของพระศาสดาที่ท่านยอมรับนับถือ
เป็นคู่มือประจำตัวของท่านด้วยกันทั้งสิ้น

แต่เนื่องจากท่านทั้งหลาย
เลือกที่จะเป็น นักสู้เพื่อการรู้แจ้ง
ด้วยการครองตนเป็นฆราวาสเป็นชาวบ้าน
จึงมีเวลาศึกษาเรียนรู้สัจธรรมในพระคัมภีร์
ที่เป็นคำสอนของพระศาสดากันค่อนข้างน้อย
จึงต้องอาศัย คนนำทาง ผู้อาสาสืบทอดศาสนา
ผู้มีเวลาเรียนรู้หลักธรรมมากกว่าพวกท่าน
ช่วยเป็นครูผู้สอนและช่วยเป็นคนนำทางให้

เราจึงจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ไว้ว่า
"คนนำทาง" ผู้เป็นครูสอนศาสนาแก่ท่านนั้น
พวกเขาทั้งหลายมิใช่องค์พระศาสดา
จึงมิใช่เจ้าของคำสอนคำกล่าวใดๆในพระคัมภีร์

ดังนั้น
คำสอนคำกล่าวใดๆที่คนนำทางกล่าวต่อท่าน
แม้พวกเขาจะอ้างว่าอัญเชิญมาจากพระคัมภีร์
ท่านทั้งหลายก็จงอย่าเชื่อตามพวกเขาทันที
โดยไม่ใช้สติปัญญาของท่านคิดตามให้เข้าใจก่อน
เนื่องจากพวกเขาอ่านพระคัมภีร์แล้วตีความ
ด้วยความสามารถทางปัญญาส่วนตัวที่มีอยู่
จึงมีโอกาสตีความข้อธรรมะในพระคัมภีร์ผิดได้

นอกจากนั้น
กลุ่มคนนำทางทั้งหลายในยุคหลังๆนี้
ก็จะมีคำสอนคำกล่าวที่เป็นมรดกตกทอดกันมา
ในลักษณะของมรดกบาปเพราะเป็นคำสอนผิดๆ
ผสมผสานปนเปกันอยู่ไม่น้อย

องค์จิตจักรวาลผู้เป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ทรงเรียกคนนำทางผู้อาสาสืบทอดศาสนา
ที่แปลความในพระคัมภีร์ผิดพลาดจากความจริง
ไม่ว่าจะเป็นเพราะบกพร่องในการใช้สติปัญญา
จึงเข้าใจคำสอนพระศาสดาไม่ถูกต้องตรงจริง
หรือจะเป็นพวกท่องจำตามที่สอนกันมารุ่นสู่รุ่น
โดยมิได้ใช้สติปัญญาของตน
ขบคิดพิจารณาก่อนว่า คนนำทางตาบอด

ถ้าท่านซึ่งเป็นผู้ไม่รู้ไม่เข้าใจสัจธรรม
อันเปรียบได้ดั่ง "คนตาบอด" มองไม่เห็นทาง
หากไปหลงเดินตามหลังคนนำทางตาบอดเข้า
พวกเขาก็จะพาท่านหลงทางที่จะไปสถานเดียว
เช่น พาพวกท่านหลงทางนิพพาน
หรือพาพวกท่านเข้าใจธรรมะในพระคัมภีร์ผิดๆ
จนยังผลให้พระศาสดาทรงได้รับความเสื่อม
และอาจจะยังผลให้พี่ๆน้องๆศาสนิกชนคนทั้งโลก
เข้าใจคำสอนของพระศาสดาผิดจนเชื่อผิด
เหตุเพราะเกิดการเข้าใจผิดกันนั่นเอง
ซึ่งปัญหาเหล่านี้โลกยุคปัจจุบันมันได้เกิดขึ้นแล้ว

ตัวอย่างที่ 1.
พระศาสดาทรงตรัสว่า
"คบคนพาล พาลจะพาไปหาผิด
คบบัณฑิต บันฑิตจะพาไปหาผล"

คนนำทางตาบอดแปลความแล้ว
ก็นำมากล่าวสอนต่อท่านทั้งหลายว่า

อย่าคบคนพาลหรือคนชั่ว
เพราะคนชั่วจะทำร้ายท่านหรือพาท่านชั่วตามได้
แต่ให้คบบัณฑิตซึ่งเป็นคนชอบธรรมหรือคนดี
เพราะคนดีจะไม่ทำร้ายท่าน
และคนดีจะพาท่านเป็นคนดีตามพวกเขาไปด้วย
ซึ่งเป็นการแปลความข้อธรรมะนี้ผิดพลาด

ความหมายที่แท้จริงที่พระศาสดาทรงสั่งสอนไว้
หมายความแค่ว่าถ้าท่านคบกับคนชั่ว
ท่านก็จะได้เรียนรู้แต่เรื่องชั่วๆเท่านั้น
เพราะคนชั่วจะเป็นครูสอนแต่เรื่องชั่วๆ

ถ้าท่านคบกับบัณฑิตที่เป็นคนดีและเป็นปราชญ์
ท่านก็จะได้เรียนรู้แต่สิ่งดีๆเช่นเดียวกัน
เพราะบัณฑิตเป็นทั้งผู้รอบรู้และเป็นคนดี

ดังนั้น
ท่านทั้งหลายจึงต้องคบหาทั้งคนชั่วและคนดีไว้
เพื่อให้ท่านมีครูผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านดีและด้านชั่ว
จึงจะทำให้ท่านฉลาดต่อการเป็นมนุษย์
สามารถดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมอย่างสันติสุขได้

พระศาสดามิได้ต้องการให้พวกท่าน
เลือกคบแต่คนดีๆผู้ที่เป็นคนชอบธรรม
แล้วให้ปฏิเสธการปฏิสัมพันธ์กับคนชั่ว
พระศาสดาผู้ทรงกล่าวคำสอนไว้
มิได้ระบุตรงไหนเลยว่าอย่าคบคนชั่ว

เพราะคนส่วนใหญ่เชื่อตามคนนำทางตาบอด
จึงยังผลให้คนดีๆส่วนใหญ่โง่กว่าคนชั่ว
เพราะไม่เคยคบคนชั่วมาก่อน
จึงไม่รู้ว่าคนชั่วเป็นภัยอันตรายเช่นไรบ้าง
คนดีๆจึงถูกคนชั่วปอกลอกหลอกลวงทุจริต
เพียงเพราะไม่รู้เท่าทันคนชั่วนั่นแหละ
ซึ่งคนดีมิได้ฉลาดน้อยกว่าคนชั่วแต่อย่างใด

ตัวอย่างที่ 2
ในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า
พระศาสดาทรงรักษาคนป่วยด้วยโรคเรื้อน
ซึ่งสมัยนั้นวิชาโลกมิอาจรักษาเยียวยาได้
แต่พระศาสดาเป็นผู้ทรงฤทธิ์
จึงสามารถรักษาคนป่วยโรคเรื้อนให้หายได้

คนนำทางตาบอดถอดความหมาย
ตามข้อความนี้ในพระคัมภีร์โดยเชื่อว่า

พระศาสดาสามารถรักษาคนป่วยโรคเรื้อน
ให้หายขาดได้ด้วยพระอำนาจฤทธิ์จริงๆ
จนยังผลให้ศาสนิกชนทั้งหลายมองว่า
พระศาสดาพระองค์นี้เป็น "ผู้วิเศษ" เหนือมนุษย์
จึงยังผลให้ผู้คนทั้งหลายเชื่อและศรัทธา
ในความเป็นผู้วิเศษของพระองค์อย่างงมงาย
แทนที่จะเชื่อและศรัทธาในสัจธรรมคำสอน
ด้วยจิตตปัญญาหรือจิตสามนึกของตนเอง

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

คำกล่าวในพระคัมภีร์บทที่ว่านี้นั้น
แท้จริงแล้วทรงหมายความว่า

พระศาสดาทรงมีพระปรีชาญาณเป็นเลิศ
โดยทรงสามารถสื่อสอนให้คนชั่วๆ
ที่เคยทำตนให้คนรอบข้างรังเกียจเดียดฉัน
จนพากันเมินหน้าหนีไม่คบหาไม่มาเข้าใกล้
คล้ายดั่งรังเกียจคนเป็นโรคเรื้อน
ให้สามารถเปลี่ยนแปลงตนเป็นคนดีได้
ให้ประพฤติตนเป็นคนชอบธรรมได้
จนยังผลให้คนที่เคยห่างหายไปจากตน
กลับมาคบหาสมาคมดังเดิมได้อีก
แสดงว่าคนเคยชั่วที่ทำตัวน่ารังเกียจ
เหมือนดั่งคนเป็นโรคเรื้อนนั้นหายขาดแล้ว
จึงมีแต่คนเข้ามาคบหาเหมือนเดิมนั่นเอง

ตัวอย่างเล็กๆน้อยๆเหล่านี้
คงพอจะช่วยให้ท่านทั้งหลายได้รู้ว่า
ความฉลาดทางปัญญาในตนเองเท่านั้น
ที่จะช่วยท่านให้เข้าถึงสัจธรรมความจริงได้
จงอย่าเชื่อคนนำทางทันทีโดยไม่ได้คิดพิจารณา
เพราะเขาอาจเป็น "คนนำทางตาบอด"
ผู้บกพร่องในความสามารถด้านการใช้ปัญญา
ที่จะชักพาท่านให้หลงทางได้

จงระลึกไว้เสมอว่า
ไม่มีพระศาสดาพระองค์ใดหรอก
ที่ไม่มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์
แต่พระองค์จะมิทรงแสดงให้ประจักษ์
เพราะมันมีแต่จะชักพาให้พวกท่าน "งมงาย"
อันเป็นภัยเป็นอุปสรรคบนเส้นทางนิพพาน
เพื่อการหลุดพ้นของจิตวิญญาณพวกท่าน

พระศาสดาทุกพระองค์
จึงทรงแสดงแต่ ปัญญาปาฏิหาริย์ เท่านั้น
โดยทรงสั่งสอนพวกท่านด้วยการอุปมาอุปมัย
มิได้กล่าวสอนอะไรตรงๆ
เพราะต้องการติดอาวุธทางปัญญาแก่ท่าน
ซึ่งทรงช่วยให้พวกท่านฉลาดยิ่งขึ้นโดยแท้

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
1/03/2021

27 กุมภาพันธ์ 2564

VDO. จิตจักรวาลอ่านโลก EP.323: (9/9) อริยะบุคคลบนเส้นทางนิพพาน


 

 บันทึกการสื่อพระโอวาทในระบบจิตสู่จิตจากองค์จิตจักรวาล

โดย อนุตรธรรมาจารย์ปริญญา ตันสกุล

VDO. จิตจักรวาลอ่านโลก EP.323: (8/9) อริยะบุคคลบนเส้นทางนิพพาน


 

 บันทึกการสื่อพระโอวาทในระบบจิตสู่จิตจากองค์จิตจักรวาล

โดย อนุตรธรรมาจารย์ปริญญา ตันสกุล

VDO. จิตจักรวาลอ่านโลก EP.323: (7/9) อริยะบุคคลบนเส้นทางนิพพาน


 

 บันทึกการสื่อพระโอวาทในระบบจิตสู่จิตจากองค์จิตจักรวาล

โดย อนุตรธรรมาจารย์ปริญญา ตันสกุล

VDO. จิตจักรวาลอ่านโลก EP.323: (6/9) อริยะบุคคลบนเส้นทางนิพพาน


 

 บันทึกการสื่อพระโอวาทในระบบจิตสู่จิตจากองค์จิตจักรวาล

โดย อนุตรธรรมาจารย์ปริญญา ตันสกุล

VDO. จิตจักรวาลอ่านโลก EP.323: (5/9) อริยะบุคคลบนเส้นทางนิพพาน


 

 บันทึกการสื่อพระโอวาทในระบบจิตสู่จิตจากองค์จิตจักรวาล

โดย อนุตรธรรมาจารย์ปริญญา ตันสกุล

VDO. จิตจักรวาลอ่านโลก EP.323: (4/9) อริยะบุคคลบนเส้นทางนิพพาน


 
 บันทึกการสื่อพระโอวาทในระบบจิตสู่จิตจากองค์จิตจักรวาล

โดย อนุตรธรรมาจารย์ปริญญา ตันสกุล

VDO. จิตจักรวาลอ่านโลก EP.323: (3/9) อริยะบุคคลบนเส้นทางนิพพาน


 

 บันทึกการสื่อพระโอวาทในระบบจิตสู่จิตจากองค์จิตจักรวาล

โดย อนุตรธรรมาจารย์ปริญญา ตันสกุล

VDO. จิตจักรวาลอ่านโลก EP.323: (2/9) อริยะบุคคลบนเส้นทางนิพพาน


 

 บันทึกการสื่อพระโอวาทในระบบจิตสู่จิตจากองค์จิตจักรวาล

โดย อนุตรธรรมาจารย์ปริญญา ตันสกุล

VDO. จิตจักรวาลอ่านโลก EP.323: (1/9) อริยะบุคคลบนเส้นทางนิพพาน


 

 บันทึกการสื่อพระโอวาทในระบบจิตสู่จิตจากองค์จิตจักรวาล

โดย อนุตรธรรมาจารย์ปริญญา ตันสกุล

26 กุมภาพันธ์ 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล 26/02/2021

สนทนาประสาจิตจักรวาล

26/02/2021


พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า

พวกผู้ที่มาก่อนจะได้กลับทีหลัง
พวกผู้มาทีหลังจะได้กลับก่อนนั้น
เป็นเช่นไร

ประดาพวกผู้ที่มาก่อน
หมายถึง ผู้แรกเข้ามา
ยังพระอาณาจักรแห่งพระบิดา
จะเป็นปุถุชนที่ยังดำเนินชีวิตตาม แรงจูงใจ
โดยจะมีสิ่งจูงใจภายนอกเป็นเงื่อนไข
ในการขับเคลื่อนพฤติกรรม

โดยสิ่งจูงใจภายนอกที่เป็นเงื่อนไข
ให้ประดาพวกผู้ที่มาก่อนสั่นสะเทือนตนเอง
มุ่งหน้าเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ของพระองค์นั้น
มักจะเป็นเพราะ "สิ่งจูงใจ" นั้นๆ
ทำให้เกิด "ตัณหา" คือความอยากไม่อยาก
ดังต่อไปนี้ คือ

1. ความกลัวตายจากภัยพิบัติ
2. ความอยากรู้อยากเห็น
3. ความเป็นผู้วิเศษเหนือมนุษย์ของผู้สื่อ


โดยพวกผู้ที่แรกเข้ามาสู่อาณาจักรของพระองค์
จะนำเอาสิ่งต่างๆที่เราจะกล่าวไว้ดังต่อไปนี้
มาเป็นเงื่อนไขกระตุ้นแรงจูงใจของตนเอง
ซึ่งพอจะสรุปไว้เป็นสังเขปได้ดังต่อไปนี้ คือ

1.ข่าวสารด้านมหันตภัยพิบัติ
ภัยร้ายทั้งหลายที่มนุษย์กับโลกต้องเผชิญ
จากกรณีที่โลกเสียสมดุล
เหตุเพราะจิตสามนึกมนุษย์โดยรวมตกต่ำ
จึงทำให้พวกเขาอยากรู้เรื่องภัยพิบัติกันมาก
เพราะเชื่อว่า "ถ้ารู้" ตนก็จะสามารถรอดตายได้

2. ข่าวสารด้านมหันตภัยพิบัติ
ภัยร้ายทั้งหลายที่มนุษย์กับโลกต้องเผชิญ
ตามแผนปฏิบัติการเพื่อการชำระโลก
ในการเปลี่ยนมนุษย์กับโลกสู่ยุคพลังงานใหม่

โดยมีทั้งเรื่องราวของประดาฑูตสวรรค์
ที่มีทั้งการ "เป่าแตร" และ "เทขัน"
มีทั้งเรื่องราวของ "บ่อย่ำองุ่น" และ "บึงไฟ"
ทำให้เกิดความกลัวตายและอยากรู้อยากเห็น
ความรู้ใหม่ด้านภัยพิบัติกันมากยิ่งขึ้นไปอีก

3.เรื่องราวของภัยพิบัติทั้งสองประเภท
ที่จะยังผลให้มีคนตายหมู่จำนวนมากๆ
รวมทั้งจะยังผลให้แผ่นดินหายเพราะถูกน้ำท่วม
เกาะแก่งน้อยใหญ่จะจมหายไปใต้มหาสมุทร
และขุนเขาอันสูงใหญ่จะสูญหายไปจากแผนที่

นี่เป็นความกลัวตายและอยากรู้ขั้นสูงสุด
ชนิดที่จะไม่ยอมตกข่าวโดยเด็ดขาด
พร้อมกับหวังจะได้คำตอบว่า
ตนจะมีชีวิตรอดปลอดภัยได้อย่างไร
ตั้งบ้านเรือนอยู่ตรงไหนจึงจะปลอดภัยที่สุด
ที่บ้านของตนจะโดนน้ำท่วมจมมิดหรือไม่
ตนจะเป็นปลาที่ถูกคัดไว้หรือถูกคัดทิ้ง
ฯลฯ

4.ความมหัศจรรย์ของพระบุตรเอก
ซึ่งพวกตนแม้จะยังไม่รู้ว่าเราเป็นใคร
และยังไม่รู้ว่าองค์จิตจักรวาล
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณของเราเป็นใคร

แต่พวกเขาผู้มาก่อนทั้งหลายเหล่านี้
จะกระตุ้นตนเองด้วยการมองเราว่าเป็นผู้วิเศษ
เพราะสามารถล่วงรู้เรื่องมหันตภัยพิบัติ
ที่จะเกิดขึ้นกับโลกและมนุษย์ได้อย่างละเอียด
เพราะเราเป็นผู้กล่าวความจริงนี้แต่เพียงผู้เดียว
ซึ่งความจริงด้านภัยพิบัติบางเรื่องที่เรากล่าวถึง
ก็ได้ทะยอยเกิดขึ้นจริงตามที่กล่าวมาเป็นลำดับ
ให้เป็นเครื่องพิสูจน์อย่างเป็นรูปธรรมตลอดมาว่า
เราเป็นผู้ที่กล่าวความจริงต่อมนุษย์เสมอ

5.เพราะพวกมากลากมา
เนื่องจากประดาพวกแรกที่เข้ามา
ซึ่งมีเหตุทั้ง 4 ประการเป็นเงื่อนไขจูงใจนี้
นับวันจะมีผู้คนเข้ามาติดตามอย่างต่อเนื่อง
ทวีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

มีการสื่อพระโอวาทที่ไหน
จะมีผู้คนเฝ้าติดตามเข้ามาฟังอย่างล้นหลาม
จะมีการนำความไปร่ำลือไปบอกต่อกันจนอึงมี่

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

ประดาพวกผู้ที่เข้ามาสู่อาณาจักรพระบิดา
เป็นพวกแรกๆที่เรากล่าวถึงอยู่นี้
คือพวกผู้ที่มุ่งในความเป็นผู้วิเศษของเรา
เพื่อหวังว่าจะให้ฉุดช่วยตนให้ "รอดชีวิต" ได้
เหมือนกับการหวังพึ่งพาผู้วิเศษคนอื่นๆ

นอกจากนั้นพวกเขาทั้งหลายเหล่านี้
ยังต้องการจะรู้ว่าหากเกิดภัยพิบัติ
พวกตนจะมีชีวิตรอดปลอดภัยหรือไม่
ภัยพิบัติอะไร แบบไหน จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่
พิกัดไหนบนแผ่นดินนี้ที่จะอยู่อย่างปลอดภัย
ที่มิใช่พื้นที่สีแดงที่จะหายไปจากแผนที่โลก

ทั้งๆที่ในการสื่อพระโอวาทของเรา
พวกเขาน่าจะเรียนรู้ว่าองค์จิตจักรวาล
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณที่ทรงพระเมตตา
สื่อพระโอวาทและข่าวสารผ่านเรามาเป็นใคร

พวกเขาน่าจะเรียนรู้ว่า
ทำไมโลกจึงต้องเกิดภัยพิบัติ
ทำไมจึงต้องมีปฏิบัติการชำระโลก
แต่กลับถามแค่ว่าจะเกิดภัยพิบัติขึ้นจริงหรือ
การสื่อพระโอวาทของเราจริงหรือเท็จ
ตนเองจะมีชีวิตรอดปลอดภัยหรือไม่
ตนจะอยู่ตรงไหนจึงจะรอดปลอดภัย เป็นต้น

5.ความเชื่อมั่นในพระเจ้า
ผู้คนเหล่านี้เป็นผู้เคร่งครัดในพระศาสนา
เป็นผู้ซื่อสัตย์ต่อพระวจนะในพระคัมภีร์
เป็นผู้มีความเชื่อและศรัทธากันมายาวนานว่า
พระบุตรเอกผู้เป็นอดีตพระศาสดา
ผู้ที่จะทรงเสด็จกลับมายังโลกอีกครั้ง
จะเป็น "พระผู้ช่วยให้รอด" ปลอดภัยแน่นอน
พวกแรกๆนี้จึงไม่หวั่นไหวในภัยพิบัติทั้งสิ้น
เพราะความเชื่อที่สืบทอดกันมาดังกล่าว

โดยไม่รู้ว่าแท้แล้วความรอดของพวกท่าน
มันมิได้ขึ้นอยู่กับพระเมตตาของพระเจ้า
มันขึ้นอยู่กับจิตสามนึกของพวกท่านต่างหาก

การเฝ้ารอผจญภัยด้วยความเชื่อในพระองค์
โดยไม่เตรียมตนเองและจิตวิญญาณ
เพื่อการตั้งรับเอาไว้ล่วงหน้าแต่อย่างใดเลย
มันจะเป็นทั้งความงมงายและไม่เอาไหนโดยแท้

จงดูความจริงเอาเถิดท่าน
แม้พ่อแม่จะรักลูกเช่นท่านสุดจิตสุดใจ
พ่อแม่ก็มิอาจปกป้องตัวลูกได้
หากลูกใช้ชีวิตอย่างประมาทและขาดสติ
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณของพวกท่าน
ทรงปฏิบัติต่อบุตรมนุษย์แบบนั้นเช่นกัน
มิได้มีใครหรือผู้ใดเป็น "เด็กเส้น" หรอกท่าน

เพราะประดาคนพวกแรกนี้
ส่วนหนึ่งเข้ามาสู่อาณาจักรพระบิดา
เพราะตกเป็นทาสของอำนาจกิเลสตัณหา
เมื่อต้องเผชิญบททดสอบจิตสามนึก
เช่น ภัยพิบัติรุนแรงนานๆเกิดที เกิดเฉพาะที่
โดยยังไม่มีภัยอะไรน่ากลัวตามที่เรากล่าว
ซึ่งตนเองต่างเฝ้ารอภัยร้ายนั้นกันมาอย่างจดจ่อ
เมื่อผ่านไปนานปีเข้าจึงเลิกกลัวเลิกเชื่อ
ก็พิพากษาตนเองด้วยการออกไปจากอาณาจักร
เพราะฟันธงเองว่าเรื่องภัยพิบัติทั้งหมดที่เรากล่าว
เป็นเรื่องโกหกหลอกลวงทั้งเพนั่นเอง

นอกจากนั้น
พวกผู้เข้ามาในอาณาจักรพระเจ้าในยุคแรกๆ
เมื่อได้รับรู้รับฟังพระโอวาทจากพระบุตรเอก
ที่พระองค์ทรงเมตตาสื่อผ่านเรามา
ต่างก็พากันปฏิเสธที่จะใส่ใจรับฟังรับรู้รับเอา
ด้วยเหตุผลจำเพาะตนก็คือ

1.ไม่หวั่นเกรงภัยพิบัติใดๆจึงไม่ใส่ใจ
และปฏิเสธในข่าวสารทั้งหลายที่เรากล่าว
เพราะเชื่อมั่นหัวชนฝาด้วยวางใจในพระองค์ว่า
พระองค์จะกลับมาฉุดช่วยตนให้รอดอยู่แล้ว

2.ไม่เชื่อในคำกล่าวของเราว่าจริง
เพราะยังรอคอยพระผู้ที่จะกลับมาช่วย
โดยไม่ยอมศึกษาพิจารณาว่า "เรา" เป็นใคร
พระผู้จะกลับมาช่วยจะมาแบบไหน อย่างไร
พระองค์เสด็จมาวางพระเศียรบนโลกนี้หรือยัง
หรือจะรอคอยพระองค์จนถึงเมื่อไหร่ เป็นต้น

พวกแรกในกลุ่มนี้
จึงเป็นพวกผู้ที่ยึดติดในตัวตนของพระศาสดา
มากกว่าการใช้ปัญญานั่นเอง

ท่านจึงสามารถสรุปกันได้เองว่า
คนพวกแรกที่ได้รับโอกาสเข้ามาหาพระบิดา
ได้เข้ามาสู่พระอาณาจักรแห่งจิตจักรวาลแล้ว
ใยจึงต้องกลับบ้าน คือ หลุดพ้นออกไป
จากอนันตจักรวาลอันไพศาลนี้เป็นคนสุดท้าย

เพราะคนเหล่านี้เป็นผู้คนที่
ใช้ชีวิตดำเนินอยู่นอกอาณาจักรพระบิดา
มีทั้งเคยเข้ามาแล้วสอบตกจึงออกไป
และพวกที่เคยรับรู้พระโอวาทแต่ปฏิเสธไป
เพราะยึดติดความเชื่อในตัวตนพระศาสดา
และยึดติดตัวอักษรในพระคัมภีร์
โดยบกพร่องในการใช้สติปัญญานั่นเอง

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า

ประดาพวกผู้ที่มาทีหลังที่จะได้กลับก่อน
คนพวกนี้เป็นใครและทำไมจึงจะได้กลับก่อน

ผู้คนพวกที่มาเข้าสู่พระอาณาจักรจิตจักรวาล
อันเป็นแผ่นดินของพระเจ้าบนโลกเสรี
เป็นยุวชนยุคสุดท้ายปลายยุคพลังงานเก่านี้
ก็คือ กลุ่มยุวจิตจักรวาลทายาท นั่นเอง
คนพวกนี้แหละที่จะได้กลับบ้านแดนจิตจักรวาล
ในสภาวะนิพพานก่อนตายเพื่อหลุดพ้นกลับบ้าน
ทันทีที่จบสิ้นอายุขัยของเครื่องยนต์แห่งกรรม
ก่อนวันสิ้นยุคพลังงานเก่าช่วง 56 วัน 8 ราตรี

พวกผู้มาทีหลังแต่จะได้กลับก่อน
เพราะมีคุณสมบัติตามที่จะถูกคัดไว้ก็คือ

1.เป็นผู้ยอมรับข่าวสารด้านภัยพิบัติที่เรากล่าว
2.เป็นผู้ยอมรับความรู้ใหม่ที่เป็นอนุตรธรรม
3.เป็นผู้เชื่อมั่นในพระบิดาศรัทธาเรา
4.เป็นผู้ก้าวตามมรรควิถีจิตจักรวาลอย่างมั่นคง
5.เป็นผู้ใฝ่นิพพานทุกสิ่งเพื่อการหลุดพ้น
6.เป็นผู้เข้าถึงภารกิจทางจิตวิญญาณได้สำเร็จ
7.เป็นผู้ปฏิบัติตามพันธสัญญา 6 ครบถ้วน
8.เป็นผู้เข้าถึงอำนาจแห่งพระเจ้าคือความรักได้
9.เป็นผู้เข้าถึงอำนาจทางปัญญาในตนเองได้

คุณสมบัติทั้ง 9 ประการนี่ไงล่ะท่าน
ซึ่งคนพวกแรกที่เคยเข้ามาสู่อาณาจักรนี้
ไม่มีคุณสมบัติเช่นว่านี้เลย
จะเป็นคุณสมบัติที่เกื้อกูลหนุนส่งให้
พวกผู้ที่เข้ามาสู่พระบิดาพวกสุดท้าย
จะได้หลุดพ้นกลับบ้านก่อนพวกแรก

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
26/02/2021

20 กุมภาพันธ์ 2564

VDO. EP.322 ชาวบ้านนิพพานได้



EP.322: (1/9) ชาวบ้านนิพพานได้


EP.322: (2/9) ชาวบ้านนิพพานได้


EP.322: (3/9) ชาวบ้านนิพพานได้


EP.322: (4/9) ชาวบ้านนิพพานได้


EP.322: (5/9) ชาวบ้านนิพพานได้


EP.322: (6/9) ชาวบ้านนิพพานได้


EP.322: (7/9) ชาวบ้านนิพพานได้


EP.322: (8/9) ชาวบ้านนิพพานได้


EP.322: (9/9) ชาวบ้านนิพพานได้


 บันทึกการสื่อพระโอวาทในระบบจิตสู่จิตจากองค์จิตจักรวาล

โดย อนุตรธรรมาจารย์ปริญญา ตันสกุล



 




16 กุมภาพันธ์ 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล 16/02/2021

สนทนาประสาจิตจักรวาล

16/02/2021



พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า
ในความเป็นมนุษย์ของท่านนั้น คือ คนสองมิติ

โดยมิติแรกจะเป็นมิติของตัวตนแก่นแท้
ซึ่งเป็น ตัวตนที่แท้จริง ของท่านเอง
คือรูปธรรมทางพลังงานที่เรียกว่า จิตวิญญาณ
ผู้ขันอาสา องค์จิตจักรวาล เข้ามาเกิดเป็นมนุษย์

กับมิติที่สองจะเป็นมิติของ จิตหยาบ
ซึ่งเป็น ตัวแทน ของตัวตนที่แท้จริงของท่าน
คือ "กลุ่มพลังงาน" จำนวน 189 กลุ่ม
ที่จิตวิญญาณของท่านแบ่งภาคตนเองออกมา
ให้ทำหน้าที่แทนในการเป็นคนสองมิติ
โดยขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
ทำหน้าที่ทั้งทางโลกและด้านจิตวิญญาณ
ตามภารกิจที่แก่นแท้ขันอาสาพระบิดา
เข้ามาปฏิบัติในระบบโลกภายในอนันตจักรวาลนี้

ดังนั้น
ในการเป็นคนสองมิติของท่านทั้งหลายนี้
พวกท่านจึงเป็นผู้มี สองภาค ในตนเองทุกคน
โดยภาคแรกก็คือภาคของแก่นแท้ที่เป็นจิตวิญญาณ
กับภาคที่สองก็คือภาคของกายหยาบที่เป็นจิตหยาบ
ซึ่งทั้งจิตหยาบและจิตวิญญาณมันก็คือตัวท่านนั่นเอง

ด้วยเหตุนี้เอง
การเป็นผู้มี 2 ภาคดังกล่าวนี้นั้น
ถ้าหากท่านไม่รู้ว่าตนเองเป็นใคร มาจากไหน
ไม่รู้ว่าท่านมาเกิดเป็นมนุษย์กันทำไม
มาเกิดแล้วท่านมีหน้าที่ต้องทำอะไรบ้าง
ซึ่งเป็นสัจธรรมความจริงระดับ อนุตรธรรม แล้ว
การขันอาสามาเกิดเป็นมนุษย์ของท่านก็จะล้มเหลว
ซึ่งมันทำให้ "เสียชาติเกิด" มาแล้วในทุกภพชาติ

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจึงจะกล่าวความจริงระดับอนุตรธรรมให้ท่านรู้ว่า

1.จิตวิญญาณของท่าน
ซึ่งเป็นรูปธรรมทางพลังงานคือตัวตนที่แท้จริง
ผู้ขันอาสาพระบิดาหรือพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์

2.จิตหยาบของท่าน
เป็นกลุ่มพลังงานที่เรียกว่า "วิญญาณ"
ซึ่งจิตวิญญาณเป็นผู้แบ่งภาคออกมา
ให้ช่วยทำหน้าที่แทนขณะเป็นมนุษย์
"จิตหยาบ" จึงมิใช่ "จิตวิญญาณ"
แต่ทั้งจิตหยาบและจิตวิญญาณ
ก็คือ ตัวตน ของท่านทั้งสิ้นนั่นแหละ

3.ในการเป็นมนุษย์ของท่านทั้งหลายนี้
พวกท่านจึงเป็นคนที่มี "สองภาค" ในตนเอง
โดยมีจิตหยาบเป็นผู้นำในการทำหน้าที่
สั่นสะเทือนตนเองและเครื่องยนต์แห่งกรรม
ตามความต้องการของจิตวิญญาณให้ลุล่วง

4.จิตวิญญาณผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของท่าน
เป็นผู้ขันอาสาพระผู้เป็นเจ้าคือองค์จิตจักรวาล
เข้ามาจุติเป็นมนุษย์ในระบบโลกเสรีนี้
เพื่อใช้ความเป็นคนสองมิติมอบความรักให้โลก
และทำหน้าที่ตาม "พันธสัญญา 6" ให้ครบถ้วน

ดังนั้น
จิตวิญญาณที่เป็นแก่นแท้ของพวกท่าน
มิได้มาเกิดเพื่อ "รับใช้" พระเจ้าหรือรับใช้ใครทั้งนั้น
แต่ขันอาสากันมาเองเพื่อทำหน้าที่อันท้าทาย
ในการใช้เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
ผลิตสร้างความรักเพื่อให้อันแสนบริสุทธิ์
ในรูปของคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวกมอบให้โลก
เพื่อช่วยให้โลกเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองต่อเนื่องได้
ซึ่งเป็นการใช้ความรักความเมตตาค้ำจุนระบบโลก
ให้มีความสมดุลตลอดกาลนิรันดร์นั่นเอง

5.จิตหยาบซึ่งเป็นตัวแทนของจิตวิญญาณ
เป็นผู้มีหน้าที่ "รับใช้" จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่าน
ในการขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
ให้สั่นสะเทือนด้วยจิตสามนึกด้านบวก
เพื่อเป็นผู้ชอบธรรมก่อกรรมดีในมิติโลกทางกายภาพ
และผลิตสร้างความรักด้านบวกในมิติทางพลังงาน
แทนจิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านทั้งสองมิติ

ดังนั้น
จิตวิญญาณของท่านจึงเป็นผู้รับใช้ตนเอง
เพราะเป็นผู้ขันอาสาพระบิดาเข้ามาทำภารกิจ
ขณะที่จิตหยาบของท่านคือผู้รับใช้จิตวิญญาณ
ในการทำภารกิจของจิตวิญญาณให้สำเร็จลุล่วง

6.หมายความว่า
ภารกิจของจิตวิญญาณที่ถือติดตัวมาเกิดเป็นมนุษย์
จะประสบผลสำเร็จไม่ได้ถ้าจิตหยาบไม่เอาไหน
หรือไม่ใส่ใจจะให้ความช่วยเหลือนั่นเอง

"จิตหยาบ" คือตัวท่านจึงต้องรู้ว่า
ตนมีหน้าที่ต้องทำเพื่อจิตวิญญาณอย่างไรบ้าง
โดยเฉพาะการรักษาสัจจะใน "พันธสัญญา 6"
ที่จิตวิญญาณคือตัวท่านในภาคแรกที่เป็นมนุษย์
ได้ให้สัจจะไว้กับพระเจ้าว่าจะเข้ามาทำให้ลุล่วง

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

จงอย่าเชื่อคนนำทางตาบอดที่บอกท่านว่า
ถ้าท่านรักพระเจ้า เชื่อในพระเจ้า ศรัทธาพระเจ้า
ให้ทำตามพระโอวาทพระเจ้าให้ทำตามพระคัมภีร์
เพราะนั่นมันมิใช่เหตุผลที่ถูกต้องถ่องแท้

แต่ที่ตัวท่านเองทั้งสองภาค
คือจิตหยาบซึ่งเป็นภาคของกายหยาบ
กับตัวท่านเองที่เป็นจิตวิญญาณ
ซึ่งเป็นภาคของตัวตนแก่นแท้
จักต้องทำต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้

เพราะว่า มันเป็นหน้าที่ ของท่านต่างหาก
เป็นหน้าที่ที่ต้องทำด้วย จิตสามนึกที่ถูกต้อง
โดยตอบตนเองได้ว่าทำไมต้องทำ
พวกท่านไม่ทำไม่ได้หรือ
ซึ่งเป็นการยอมรับในหน้าที่ด้วยจิตปัญญา
มิใช่การก้มหน้าก้มตาทำตามพระคัมภีร์
หรือทำเพราะอ้างว่ารักศรัทธาในพระองค์
ในขณะที่หลายคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า
พระองค์เป็นใคร ใครคือพระเจ้า

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านมาจากพระเจ้า
เข้ามาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อทำหน้าที่สำคัญคือ
ใช้ความรัก "ค้ำจุน" สมดุลโลกและอนันตจักรวาล
โดยมี "จิตหยาบ" ทำหน้าที่แทนขณะเป็นมนุษย์

พวกท่านจึงควรเรียนรู้
เพื่อจะทำหน้าที่ช่วยโลกและอนันตจักรวาล
ให้บรรลุภารกิจของจิตวิญญาณให้ได้
ก่อนวันสุดท้ายที่พระบิดาจะเปลี่ยนโลก
จากยุคพลังงานเก่าเข้าสู่ยุคพลังงานใหม่
นั่นคือวันเวลาสุดท้ายที่จิตวิญญาณของท่าน
จะถูกจิตหยาบส่งคืนกลับบ้านแดนสุญตา
กลับไปกราบพระบาทพระบิดาอย่างสง่างาม

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
16/02/2021

10 กุมภาพันธ์ 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล 10/02/2021

 สนทนาประสาจิตจักรวาล

10/02/2021



พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

เพราะ จิตหยาบ คือตัวท่านเองนั้น
เป็นตัวแทนของ จิตวิญญาณ ผู้เป็นแก่นแท้
ซึ่งขันอาสามาเกิดเป็นมนุษย์บนโลกเสรีนี้
เพื่อทำหน้าที่สำคัญของพระผู้เป็นเจ้า
ในบทบาทของ คนสองมิติ นี่แหละ
จิตหยาบจึงต้อง ยกระดับแรงสั่นสะเทือน ตนเอง
ให้เข้าถึงการเป็นหนึ่งเดียวกันกับจิตวิญญาณ
ในย่านความถี่สูงสุดทางด้านบวกให้จงได้

เพราะจิตวิญญาณแก่นแท้ของท่าน
ที่เร้นตนเองอยู่ข้างในนั้น
สั่นสะเทือนตนเองอยู่ในย่านความถี่ด้านบวก
เป็นคุณสมบัติเฉพาะตนตลอดเวลาอยู่แล้ว

ดังนั้น
ถ้าจะสั่นสะเทือนให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้
จิตหยาบก็คือตัวท่านขณะเป็นคนสองมิติอยู่นี้
จะต้องยกระดับแรงสั่นสะเทือนตนเองด้านบวก
ให้เข้าถึงแรงสั่นสะเทือนของแก่นแท้ให้ได้

เพื่อให้จิตหยาบเองสามารถทำหน้าที่
เป็นตัวแทนจิตวิญญาณขับเคลื่อนกายสังขาร
ในการปฏิบัติภารกิจของจิตวิญญาณทั้งสองมิติ
คือมิติโลกทางกายภาพกับมิติของจิตวิญญาณ
เสมือนว่าจิตวิญญาณเป็นผู้กระทำด้วยตนเองได้

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

หน้าที่ของท่านโดย "จิตหยาบ" ทุกๆวัน
จึงต้องสั่นสะเทือนจิตสามนึกด้านบวก
เพื่อเข้าถึงแก่นแท้คือจิตวิญญาณของท่านให้ได้
ซึ่งจะสั่นสะเทือนจิตสามนึกเป็นด้านลบไม่ได้
ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีข้อแม้ ไม่มีข้ออ้างใดๆทั้งสิ้น
เพราะมันจะทำให้จิตวิญญาณเสียชาติเกิดทันที
เนื่องจากมาเกิดแล้วทำภารกิจของตนไม่ได้
เพราะจิตหยาบมิให้ความร่วมมือนั่นเอง

จงอย่าได้สงสัยเลยว่าจิตหยาบอย่างท่าน
จะช่วยสนับสนุนงานของจิตวิญญาณได้อย่างไร
เพียงแค่ท่าน "ครอง" ลูกแก้วสองดวงไว้ให้มั่นคง
ที่พระบิดาประทานให้พวกท่านผ่านเรามา
คือ มหาสติ กับ ปณิธานแห่งนิพพาน เท่านั้น

โดยท่านต้องรักคนที่ทำตัวไม่น่ารักต่อท่านให้ได้
ให้อภัยคนที่ทำตัวไม่น่าให้อภัยต่อท่านให้ได้
รักเพื่อให้ใครก็ได้อย่างไม่มีเงื่อนไขว่าจะเป็นใคร
รักเพื่อให้ใครก็ได้โดยไม่คาดหวังสิ่งใดตอบแทน

ดังตัวอย่างที่เราเคยกล่าวอ้างต่อท่านมาแล้วว่า
จงรักลูกหลานของคนข้างบ้าน
ให้เหมือนกับการรักลูกหลานของตัวท่านเอง

จงรักศัตรูและรักพวกผู้กระทำข่มเหงท่าน
ด้วยการอธิษฐานขอพระพรให้พวกเขา
เพื่อสำแดงว่าตัวท่านเป็นบุตรแห่งพระบิดา
ผู้ทรงสถิตอยู่ในแดนสุญตานอกอนันตจักรวาล
จึงรักพวกเขาได้อย่างไม่มีเงื่อนไข
เพราะพระองค์ประทานดวงอาทิตย์ให้โลก
เพื่อให้ความร้อนแรงและแสงสว่าง
อันเป็นตัวแทนแห่งความรักที่บริสุทธิ์
ทั้งแก่คนชอบธรรมและคนอธรรมเสมอกัน
ทรงให้ฝนตกแก่คนดีและไม่ดีเสมอภาคกัน

หน้าที่ของท่านทั้งหลาย
จึงต้องตอบตนเองให้ได้ว่า

1.จะรักคนที่ไม่น่ารักต่อท่านได้อย่างไร
2.จะให้อภัยแก่คนที่ทำตัวไม่น่าอภัยได้อย่างไร
3.จะรักคนข้างบ้านให้เท่ากับคนในบ้านได้อย่างไร
4.จะทำดีกับคนที่เขาทำไม่ดีกับท่านได้อย่างไร
5.จะให้ยืมเงินแก่คนที่ไม่อาจใช้คืนท่านได้อย่างไร
6.เมื่อช่วยเหลือเขาแล้วท่านจะลืมมันได้อย่างไร
7.ท่านจะมองโลกและทุกสิ่งในด้านบวกได้อย่างไร
ไม่ว่าสิ่งนั้นเรื่องนั้นมันจะดีหรือร้ายก็ตาม

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

คำแนะนำทั้ง 7 ประการที่เรากล่าวมา
เป็นกุญแจที่จิตหยาบจะต้องใช้ไขรหัส
เพื่อเปิดมิติของจิตหยาบให้เข้าถึงจิตวิญญาณ
ผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของตนเองให้จงได้
เป็นปฏิบัติการง่ายๆและเป็นธรรมชาติ
โดยไม่ต้องใช้วิชาลี้ลับหลุดโลกอะไรเลย
เพียงใช้สมองก้อนเดียวที่ทุกท่านมีก็เอาอยู่
ไม่จำเป็นต้องมีภูมิรู้สูงระดับด้อกเตอร์ก็ทำได้

เราจะเป็นกำลังใจให้ท่านทั้งหลาย
ประสบความเร็จในการเป็น "คนสองมิติ"
สู่การเป็นมนุษย์ที่สมดุล
ด้วยการดำเนิน ทางสายกลาง
ตามมรรควิถีจิตจักรวาลไปถึง "ด่านนภาลัย"
ภายในภพชาตินี้ได้โดยทั่วหน้ากัน

กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
10/02/2021


สนทนาประสาจิตจักรวาล 10/02/2021

สนทนาประสาจิตจักรวาล

10/02/2021



พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า

ถ้าองค์ จิตจักรวาลดวงใหญ่
ทรงเป็นพระบิดาแห่ง จิตวิญญาณ
ผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณตัวตนแก่นแท้ของท่าน
พระองค์ทรงมีคุณสมบัติอย่างไร
บุตรของพระองค์คือจิตวิญญาณของท่าน
จักต้องมีคุณสมบัติเดียวกันกับผู้ให้กำเนิดด้วย

ต้นมะพร้าวย่อมให้ดอกออกผลเป็นต้นมะพร้าว
ต้นองุ่นย่อมผลิดอกออกช่อเป็นผลองุ่น
ต้นไม้ชนิดใดก็จะให้ดอกออกผลเป็นชนิดนั้นเสมอ

พวกท่านแม้จะเป็นแค่จิตหยาบ
ซึ่งเป็นตัวแทนของจิตวิญญาณ
ผู้มาจากพระผู้สร้างหรือองค์จิตจักรวาลก็เช่นกัน
พระบิดาทรงมีบุคลิกลักษณะและคุณสมบัติใด
ท่านจึงต้องสำแดงตามพระองค์เช่นนั้นด้วย

ตัวอย่างเช่น
พระบิดาทรงรักทุกสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง
ทั้งกาแล็กซี่และดวงดาวต่างๆในอนันตจักรวาล
ที่พระองค์ทรงกำหนดสร้างขึ้นไว้ตลอดมา
แม้มันจะนานกว่า 8 ล้าน 1 แสนล้านปีมาแล้ว
ไม่ว่าทุกสรรพสิ่งเหล่านั้นจะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต
จะมีความหลากหลายทางชีวภาพมากน้อยก็ตาม

พระบิดาทรงรักพวกท่าน
ซึ่งเป็นลูกแกะของพระองค์ทุกตัวเท่าเทียมกัน
ไม่ว่าแกะตัวนั้นจะเป็นแกะดำในหมู่แกะขาว
ไม่ว่าแกะตัวนั้นจะเป็นแกะโง่หรือแกะฉลาด
ไม่ว่าแกะตัวนั้นจะมีมิจฉาทิฐิดื้อรั้นต่อพระองค์
โดยพยายามจะปีนรั้วกลับเข้าคอกให้ได้

ไม่ว่าแกะตัวนั้นจะทำตนไม่เอาถ่าน
เป็นลูกแกะผู้เกียจคร้านไม่เอาไหน
เป็นลูกแกะที่ก้าวตามหลังคนนำทางตาบอด
ด้วยการปฏิเสธพระบิดาของตนเอง
จนหลงทางกลับบ้านมานานหลายภพชาติแล้ว
พระองค์ก็ยังทรงรักลูกแกะเหล่านี้จนสุดใจ

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

ผู้ประพฤติปฏิบัติตามมรรควิถีจิตจักรวาล
จึงเป็นผู้ที่ทรงคุณธรรมความดีงาม
ซึ่งโดดเด่นเป็นธรรมชาติเป็นที่สุด

เพราะพวกท่านจะรักคนที่ไม่รักท่านก็ได้
พวกท่านจะทำดีกับคนที่ทำชั่วกับท่านก็ได้
พวกท่านจะอวยพรให้แก่คนที่แช่งด่าท่านก็ได้
จะอธิษฐานเผื่อคนที่อาฆาตมาดร้ายท่านก็ได้
จะให้ยืมแม้คนที่ท่านรู้ว่าจะไม่ได้คืนก็ได้

พฤติกรรมเหล่านี้
เป็นเครื่องชี้คุณงามความดีของท่าน
ที่คนอธรรมหรือคนชั่วทำตามแบบท่านไม่ได้
ซึ่งเป็นการก้าวตามมรรควิถีจิตจักรวาล
เส้นทางดำเนินกลับไปกราบพระบาทพระบิดา
ผ่านทาง ด่านนภาลัย หรือประตูคอกแกะ
ออกไปสู่ภายนอก อนันตจักรวาล อันไพศาล
โดยไม่มีหน้าที่ต้องกลับมาเกิดใหม่อีกชั่วนิรันดร์

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
10/02/2021

สนทนาประสาจิตจักวาล 10/02/2021

สนทนาประสาจิตจักวาล

10/02/2021



พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

เพราะ จิตหยาบ คือตัวท่านเองนั้น
เป็นตัวแทนของ จิตวิญญาณ ผู้เป็นแก่นแท้
ซึ่งขันอาสามาเกิดเป็นมนุษย์บนโลกเสรีนี้
เพื่อทำหน้าที่สำคัญของพระผู้เป็นเจ้า
ในบทบาทของ คนสองมิติ นี่แหละ
จิตหยาบจึงต้อง ยกระดับแรงสั่นสะเทือน ตนเอง
ให้เข้าถึงการเป็นหนึ่งเดียวกันกับจิตวิญญาณ
ในย่านความถี่สูงสุดทางด้านบวกให้จงได้

เพราะจิตวิญญาณแก่นแท้ของท่าน
ที่เร้นตนเองอยู่ข้างในนั้น
สั่นสะเทือนตนเองอยู่ในย่านความถี่ด้านบวก
เป็นคุณสมบัติเฉพาะตนตลอดเวลาอยู่แล้ว

ดังนั้น
ถ้าจะสั่นสะเทือนให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้
จิตหยาบก็คือตัวท่านขณะเป็นคนสองมิติอยู่นี้
จะต้องยกระดับแรงสั่นสะเทือนตนเองด้านบวก
ให้เข้าถึงแรงสั่นสะเทือนของแก่นแท้ให้ได้

เพื่อให้จิตหยาบเองสามารถทำหน้าที่
เป็นตัวแทนจิตวิญญาณขับเคลื่อนกายสังขาร
ในการปฏิบัติภารกิจของจิตวิญญาณทั้งสองมิติ
คือมิติโลกทางกายภาพกับมิติของจิตวิญญาณ
เสมือนว่าจิตวิญญาณเป็นผู้กระทำด้วยตนเองได้

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

หน้าที่ของท่านโดย "จิตหยาบ" ทุกๆวัน
จึงต้องสั่นสะเทือนจิตสามนึกด้านบวก
เพื่อเข้าถึงแก่นแท้คือจิตวิญญาณของท่านให้ได้
ซึ่งจะสั่นสะเทือนจิตสามนึกเป็นด้านลบไม่ได้
ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีข้อแม้ ไม่มีข้ออ้างใดๆทั้งสิ้น
เพราะมันจะทำให้จิตวิญญาณเสียชาติเกิดทันที
เนื่องจากมาเกิดแล้วทำภารกิจของตนไม่ได้
เพราะจิตหยาบมิให้ความร่วมมือนั่นเอง

จงอย่าได้สงสัยเลยว่าจิตหยาบอย่างท่าน
จะช่วยสนับสนุนงานของจิตวิญญาณได้อย่างไร
เพียงแค่ท่าน "ครอง" ลูกแก้วสองดวงไว้ให้มั่นคง
ที่พระบิดาประทานให้พวกท่านผ่านเรามา
คือ มหาสติ กับ ปณิธานแห่งนิพพาน เท่านั้น

โดยท่านต้องรักคนที่ทำตัวไม่น่ารักต่อท่านให้ได้
ให้อภัยคนที่ทำตัวไม่น่าให้อภัยต่อท่านให้ได้
รักเพื่อให้ใครก็ได้อย่างไม่มีเงื่อนไขว่าจะเป็นใคร
รักเพื่อให้ใครก็ได้โดยไม่คาดหวังสิ่งใดตอบแทน

ดังตัวอย่างที่เราเคยกล่าวอ้างต่อท่านมาแล้วว่า
จงรักลูกหลานของคนข้างบ้าน
ให้เหมือนกับการรักลูกหลานของตัวท่านเอง

จงรักศัตรูและรักพวกผู้กระทำข่มเหงท่าน
ด้วยการอธิษฐานขอพระพรให้พวกเขา
เพื่อสำแดงว่าตัวท่านเป็นบุตรแห่งพระบิดา
ผู้ทรงสถิตอยู่ในแดนสุญตานอกอนันตจักรวาล
จึงรักพวกเขาได้อย่างไม่มีเงื่อนไข
เพราะพระองค์ประทานดวงอาทิตย์ให้โลก
เพื่อให้ความร้อนแรงและแสงสว่าง
อันเป็นตัวแทนแห่งความรักที่บริสุทธิ์
ทั้งแก่คนชอบธรรมและคนอธรรมเสมอกัน
ทรงให้ฝนตกแก่คนดีและไม่ดีเสมอภาคกัน

หน้าที่ของท่านทั้งหลาย
จึงต้องตอบตนเองให้ได้ว่า

1.จะรักคนที่ไม่น่ารักต่อท่านได้อย่างไร
2.จะให้อภัยแก่คนที่ทำตัวไม่น่าอภัยได้อย่างไร
3.จะรักคนข้างบ้านให้เท่ากับคนในบ้านได้อย่างไร
4.จะทำดีกับคนที่เขาทำไม่ดีกับท่านได้อย่างไร
5.จะให้ยืมเงินแก่คนที่ไม่อาจใช้คืนท่านได้อย่างไร
6.เมื่อช่วยเหลือเขาแล้วท่านจะลืมมันได้อย่างไร
7.ท่านจะมองโลกและทุกสิ่งในด้านบวกได้อย่างไร
ไม่ว่าสิ่งนั้นเรื่องนั้นมันจะดีหรือร้ายก็ตาม

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

คำแนะนำทั้ง 7 ประการที่เรากล่าวมา
เป็นกุญแจที่จิตหยาบจะต้องใช้ไขรหัส
เพื่อเปิดมิติของจิตหยาบให้เข้าถึงจิตวิญญาณ
ผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของตนเองให้จงได้
เป็นปฏิบัติการง่ายๆและเป็นธรรมชาติ
โดยไม่ต้องใช้วิชาลี้ลับหลุดโลกอะไรเลย
เพียงใช้สมองก้อนเดียวที่ทุกท่านมีก็เอาอยู่
ไม่จำเป็นต้องมีภูมิรู้สูงระดับด้อกเตอร์ก็ทำได้

เราจะเป็นกำลังใจให้ท่านทั้งหลาย
ประสบความเร็จในการเป็น "คนสองมิติ"
สู่การเป็นมนุษย์ที่สมดุล
ด้วยการดำเนิน ทางสายกลาง
ตามมรรควิถีจิตจักรวาลไปถึง "ด่านนภาลัย"
ภายในภพชาตินี้ได้โดยทั่วหน้ากัน

กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
10/02/2021

09 กุมภาพันธ์ 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล 09/02/2021

สนทนาประสาจิตจักรวาล

09/02/2021



พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า
พวกท่าน ถืออดอาหาร
โดยใช้เวลาวันละนานๆ
และถืออดหลายวันติดต่อกันทำไมเพื่ออะไร

คำตอบแรก
การถืออดอาหารมิใช่การทำเพื่อให้คนอื่นเห็น
มิใช่การสร้างประเด็นเพื่อให้คนอื่นเขาสรรเสริญ
เพราะการปฏิบัติเช่นว่านั้น
พวกท่านมิได้ต้องการบำเหน็จจากพวกเขา
แต่เป็นพระบิดาผู้ประทับอยู่ในแดนสุญตา
นอกอนันตจักรวาลที่ทรงทอดพระเนตรเห็น
จะประทานบำเหน็จนั้นให้แก่ท่าน

ดังนั้น
เมื่อใดที่ท่านถืออดอาหาร
ท่านจึงไม่ต้องตีหน้าเศร้าบอกกล่าวให้ใครรูั
ไม่ต้องทำตัวซอมซ่อซูบเซียวให้ใครเห็น
แต่ให้เอาน้ำล้างหน้าอย่าปล่อยให้มันยู่ยี่
หวีผมให้เรียบร้อยแลดูดีไม่ปล่อยให้หัวยุ่ง

เพราะกิจกรรมของท่าน
พระบิดาผู้ทรงสถิตในที่ลับคือแดนสุญตา
ทอดพระเนตรเห็นและจะประทานบำเหน็จนั้น
ให้แก่ท่านด้วยพระหัตถ์ของพระองค์อยู่แล้ว
บำเหน็จใดในโลกที่ท่านมอบให้กันไว้
เมื่อจิตวิญญาณตายไปก็เอาติดตัวไปไม่ได้
แต่บำเหน็จของพระองค์ที่ทรงประทานให้ท่าน
จากการเป็นคนชอบธรรมต่างหากล่ะ
จะเป็นสมบัติล้ำค่าของจิตวิญญาณของท่าน
ที่มันจะไม่มีวันเสื่อมสลายใครก็แย่งท่านไปมิได้

คำตอบที่สอง
การถืออดอาหารของท่าน
เป็นวิธีการฝึกฝนตนเองให้มีสติทางวิญญาณว่า
อย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตัวท่านว่า
จะเอาอะไรกิน จะเอาอะไรดื่ม จะนุ่งห่มอะไร
จนวันๆหนึ่งไม่เป็นอันทำอะไรมากไปกว่านั้น
นอกจากได้แต่แสวงหาสิ่งเหล่านี้เท่านั้น
จนละเลยความต้องการทางจิตวิญญาณไป

ในกาลอดีตที่ผ่านมานับพันปี
เราก็เคยกล่าวความจริงต่อท่านไว้แล้วว่า
ให้ดูแบบจากเหล่าวิหคนกกาทั้งหลายนั้น
พวกมันมิได้หว่านไถมิได้มีการเก็บเกี่ยว
เพราะพวกมันไม่มียุ้งฉางอะไร
วันๆจึงได้แต่โบยบินไปเรื่อยๆ
เมื่อพบเจอเมล็ดธัญพืชขึ้นอยู่ที่ไหน
หน้าที่ของนกเหล่านั้นก็คือ "การเก็บกิน"
โดยพวกมันไม่ต้องดิ้นรนที่จะ "เกี่ยวเก็บ"
เพราะพระบิดาทรงเลี้ยงชีวิตพวกเขาไว้
กินอิ่มท้องแล้วก็โบยบินจากไป
โดยไม่คิดโลภไม่คิดกักตุนส่วนที่เหลือนั้น
เผื่อวันหน้าจะมีนกท้องหิวตัวอื่นๆ
ที่บินผ่านมาทางนั้นจะได้เก็บกินกันต่อได้

พวกนกทั้งหลาย
จึงไม่มีการวิตกกังวลว่า
ตนจะกินอะไรต่อไป ตนจะเอาอะไรดื่ม
โดยพวกเขามีหน้าที่รักษาชีวิตตนเองไว้เท่านั้น
นั่นแสดงว่าการรอดชีวิตสำคัญกว่าสิ่งใด
เพราะพระบิดาจะทรงเติมเต็มทุกสิ่งอย่างเต็มล้น
ให้แก่ลูกแกะของพระองค์และคณานกอยู่แล้ว

แต่ท่านทั้งหลายเป็นสัตว์ประเสริฐกว่านก
จะมัวมุ่งแสวงหามุ่งสั่งสมทรัพย์ศฤงคารสมบัติ
ด้วยความโลภ ความโกรธ ความงมงายลุ่มหลง
จนลืมแสวงหาแผ่นดินเกิดของจิตวิญญาณ
ซึ่งเป็นแผ่นดินของพระบิดาที่ท่านจากมามิได้

เพราะพระบิดาก็ทรงเลี้ยงดูพวกท่านเหมือนนก
ด้วยการประทานบำเหน็จให้แก่กายสังขาร
สำหรับท่านทั้งหลายไว้บนโลกจนเต็มล้นอยู่แล้ว
เพราะทรงทราบดีว่าพวกท่านต้องการสิ่งเหล่านี้
การฝึก "ถืออดอาหาร" เอาไว้บ้าง
ก็เพื่อสร้างสติทางวิญญาณในประเด็นนี้
จะยังผลให้กิเลสตัณหาราคะถูกชำระทิ้งเสียบ้าง

การมุ่งแต่จะแสวงหาสิ่งเหล่านี้มาสั่งสม
จนวันนี้ท่านมีเหลือกิน เหลือใช้ เหลือเก็บ
เพื่อพรุ่งนี้ทรัพย์สิ่งที่เหลือต้องโยนทิ้งลงเตาไฟ
เพราะตัวท่านตายแล้วก็ไม่ได้กินไม่ได้ใช้มัน
แสวงหาจนวันตายมันก็ไร้ค่ายิ่งนัก

คำตอบที่สาม
ถ้าท่านถือศีลอดอาหาร
มันจะทำให้ท่านมีเวลาในชีวิตมากขึ้นทันที
โดยมีเวลาว่างจากการ "แสวงหา" อาหารทางโลก
เพื่อเลี้ยงดูปรนเปรอกายสังขาร
ซึ่งกินจนอิ่มแล้วเหลือกินเหลือเก็บเหลือใช้
แต่จิตวิญญาณของท่านก็ยังต้องตาย

ท่านทั้งหลายจะได้มีเวลา
หันมาแสวงหาอาหารทางจิตวิญญาณ
ซึ่งประทานมาให้โดยพระผู้เป็นเจ้า
ที่พวกท่านกินแล้วจิตวิญญาณจะไม่ต้องตาย
หมายถึงจิตวิญญาณไม่ต้องมาเกิดใหม่
เพราะหลุดพ้นนิพพานออกไป
จากโลกและอนันตจักรวาลได้อย่างสง่างาม

จนป่านนี้แล้ว
โลกถึงกาลสิ้นยุคแล้ว
พระบิดาทรงพิพากษาโลกแล้ว
ท่าน "พร้อม" นำพาจิตวิญญาณของท่าน
หลุดพ้นออกไปจากระบบโลก
นิพพานไปจากอนันตจักรวาลอันไพศาล
เพื่อกลับบ้านไปกราบพระบาทพระบิดา
แล้วหรือยังล่ะ...ทำไมจึงยังไม่พร้อม???

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
9/02/2021