03 พฤศจิกายน 2562

สนทนาประสาจิตจักรวาล 3/11/2019

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

ความหมายของคำว่า #นิพพาน

ที่คนนำทางตาบอดทั้งหลายชี้นำท่านว่า

หมายถึงการตายไปจากโลกนี้แล้ว

จิตวิญญาณจะไม่กลับมาเกิดบนโลกนี้อีก

ไม่ว่าจะเกิดเป็นคนหรือเกิดเป็นสัตว์ก็ตาม

 

คำสอนของพวกเขาหมายถึง

เมื่อตายแล้วสามารถดับการมีสังสารวัฏ

คือหยุดการเวียนว่ายตายเกิดบนโลกนี้ได้

แสดงว่าตนสามารถ "นิพพาน" ได้แล้วนั้น

เป็นคำสอนที่ไม่ถูกต้องไม่ตรงความจริง

ซึ่งท่านต้องใช้วิจารณญาณก่อนเชื่อตาม

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

 

คำว่า "นิพพาน"

หมายถึงการดับอย่างสิ้นเชิง

ดับแล้วไม่ติดขึ้นมาใหม่อีก

ดับแล้วไม่อุบัติขึ้นมาใหม่อีก

เป็นการดับการเกิดดับอย่างสิ้นเชิง

 

ภาษาชาวบ้านเรียกว่า "ดับแล้วดับเลย"

หมายถึง "ดับสิ้น" หรือ "ดับสูญ" นั่นเอง

 

ตัวอย่างเช่น

ถ้าท่านใช้ชีวิตประจำวันในชาตินี้

โดยไม่ก่อกรรมใหม่เพิ่มขึ้น

ทั้งสามารถแก้ไขกรรมเก่าได้หมดสิ้นด้วย

 

นี่แสดงว่ากรรมของท่านเป็นศูนย์แล้ว

ตลอดเวลาแห่งชีวิตที่เหลืออยู่

 

ณ บัดนั้นท่านก็จะได้ชื่อว่า

เป็นผู้ #นิพพานกรรม ได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว

 

ตัวอย่างเช่น

ถ้าท่านสามารถอยู่เหนือ "ความโกรธ" ได้

ไม่ว่าใครจะยั่วยุท่านอย่างไร

ด้วยเงื่อนไขด้านลบที่คนทั่วไป

ต้องไม่สบอารมณ์แน่นอน

แต่ท่านสามารถวางเฉยได้ทุกครั้งครา

ไม่รู้จักกับคำว่า "โกรธ" อีกชั่วชีวิตนี้

 

ณ บัดนั้นท่านก็จะได้ชื่อว่า

เป็นผู้ #นิพพานโกรธ ได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว

 

ทั้งสองตัวอย่างที่เรากล่าวมานี้

เพื่อแสดงให้ท่านเข้าใจอย่างเป็นรูปธรรม

ในความหมายของคำว่า "นิพพาน"

ทางด้านจิตวิญญาณว่ามันก็มิต่างกัน

 

นั่นคือเมื่อท่านตายไปจากการเป็นมนุษย์แล้ว

แม้จะไม่ย้อนกลับมาเกิดบนโลกมนุษย์อีกได้

แต่จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่าน

ก็จะไปเกิดอยู่ในภพภูมิอื่นใดอีกไม่ได้เช่นกัน

 

ถ้ายังไปผุดไปโผล่อยู่ในภพภูมิอื่นอยู่

แสดงว่าจิตวิญญาณนั้นยังนิพพานไม่จริง

มันเป็นแค่นิพพานเทียมเท็จโดยแท้

 

ตัวอย่างเช่น

เมื่อใครตายไปจากการเป็นมนุษย์แล้ว

จิตวิญญาณนั้นต้องถูกส่งไปลงนรกอเวจี

เพราะก่อกรรมทำผิดบาปเอาไว้มาก

จนต้องถูกจองจำชำระบาปอยู่ในนั้นนานมาก

ทำให้โอกาสย้อนกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่

ต้องรอคิวคอยเวลากันยาวนานมากๆ

จึงทำให้นายคนนี้หายตัวไปจากโลกภูมิ

เพราะไปตกอยู่ใน "นรกภูมิ" แทน

 

ถ้าความจริงเป็นดังเช่นที่ว่านี้แล้ว

จะถือว่านายคนนี้ "นิพพาน" ได้เช่นนั้นหรือ?

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

กรณีที่จิตวิญญาณหายไปจากโลก

ไม่กลับมาเกิดอีกเป็นเวลายาวนานมาก

เหมือนว่าจะดับสังสารวัฏได้แล้ว

ซึ่งคนนำทางตาบอดเชื่อว่านิพพานแล้ว

 

ทั้งๆที่แท้จริงนั้นพวกเขาเองก็รู้ดีอยู่แล้วว่า

ที่จิตวิญญาณไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์

เพราะหลุดลอยไปเกิดเป็นเทพเทวดาแทน

ซึ่งภพภูมิเทพเทวดานี้พระบิดาก็มิได้สร้าง

แต่เป็นภพภูมิที่จิตมนุษย์ปรุงแต่งขึ้นมาเอง

ปรุงจากความ "งมงาย" เพราะไม่รู้แจ้งแท้ๆ

 

จากความจริงที่เราอ้างอิงเอาไว้ข้างต้นนั้น

ถ้าจิตวิญญาณตายไปจากการเป็นมนุษย์

แล้วยังหลุดลอยไปเกิดเป็นเทพเป็นพรหม

ติดค้างกันอยู่บนสวรรค์มายา

โดยยังมีขันธ์ 5 เหลืออยู่ครบ

จะดันทุรังว่าการลอยไปแขวนอยู่บนนั้น

หมายความว่านิพพานแล้วจะได้หรือ

 

เพราะคนนำทางตาบอด

เชื่อว่าเส้นทางนิพพานคือการ "หลุดลอย"

ไปเกิดเป็นเทพเทวดาหรือว่าพรหมอยู่บนนั้น

พอไปแขวนบนนั้นแล้วก็ยังแบ่งระดับชั้นกันอีก

แสดงว่าพวกเขาก็ยังคงมีอัตตายังมีอีโก้อยู่

มันจึงมิได้แตกต่างไปจากการเป็นมนุษย์

ที่ยังมากมีด้วยอุปกิเลสตัณหาแต่อย่างใด

ในเมื่อสภาวะจิตพวกเขายังไม่พิสุทธิ์ใส

สภาวะจิตยังห่างไกลสุญตา

จึงยังไม่สามารถนิพพานแท้จริงได้

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

 

คนนำทางตาบอดเมื่อจะครองเพศสมณะ

จะต้องละทิ้งอาสวกิเลสทางโลกหมดสิ้น

แต่กลับมาติดบ่วงอาสวกิเลสทางธรรมแทน

เช่น ติดอัตตา ติดยศ ติดชนชั้น ติดพิธีกรรม

แม้ว่าจะมีการถือศีลครองธรรมบำเพ็ญบุญ

เพื่อปิดโอกาสการก่อกรรมใหม่เพิ่มได้ดีมาก

แต่กรรมเก่าที่จิตวิญญาณถือติดตัวมาเกิดด้วย

กลับไม่ได้รับการดูแลแก้ไขไม่ใส่ใจที่จะรู้

 

เพราะจิตมุ่งมั่นที่จะไม่กลับมาเกิดอีก

เพราะผลกรรมที่ติดตัวค้างคาอยู่เหลือน้อย

เพราะจิตติดภาพการเป็นเทพพรหมที่ชมชอบ

ด้วยเงื่อนไขสำคัญทั้งสามประการที่ว่านี้

จึงเป็นเหตุให้เมื่อสิ้นอายุขัย

จิตวิญญาณต้องหลุดลอยไปเกิดอยู่บนนั้น

หลุดลอยไปตามเส้นทางที่จิตนั้นฝันใฝ่

 

ผู้ที่หลุดลอยไปจุติอยู่บนสวรรค์มายา

ก็ไม่สามารถกลับลงมาบอกใครต่อใครได้ว่า

อย่าตามพวกเขาไปทางนั้นเพราะมันผิดทาง

เมื่อไปติดอยู่ตรงนั้นแล้วก็ไม่รู้จะไปไหนต่อ

จะกลับลงมาเกิดเป็นมนุษย์อีกก็ยากแสน

คนนำทางตาบอดที่ยังมีชีวิตอยู่จึงไม่รู้ความ

ก็ยังคงก้มหน้าก้มตาพานำไปทางนั้นอยู่ต่อไป

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

เราได้กล่าวความจริงอีกด้านหนึ่งเพื่อให้รู้ว่า

ปลายทางที่คนนำทางตาบอดเขาพาเดินนั้น

จะไปจบกันที่สวรรค์มายาซึ่งพระบิดามิได้สร้าง

แต่เป็นการ "หลุดลอย" ไปแขวนค้างอยู่บนนั้น

ซึ่งเป็นการหลงทางนิพพานนั่นเอง

 

เมื่อรู้ว่าคนนำทางตาบอดพาหลงทางแล้ว

เราจึงแนะนำท่านให้ลืมตาหันกลับมานำตนเอง

ดำเนินไปตามวิถีแห่งจิตจักรวาลแทน

เพราะพระพุทธองค์ก็เคยสอนไว้

ให้ท่านทั้งหลายต้องพึ่งพาตนเองเท่านั้น

การเชื่อตามแล้วก้าวตามผู้อื่นอย่างว่าง่าย

ไม่ว่าผู้อื่นนั้นจะเป็นใครก็ตาม

โดยท่านมิได้คิดพิจารณาด้วยตนเองก่อน

มันคือความงมงายที่ทำให้หลงผิดหลงทาง

เหมือนอย่างที่ผ่านมาในอดีตนั่นแหละ

 

ส่วนใหญ่ท่านผู้ก้าวตามคนนำทางตาบอด

จะอาศัยเกาะชายเสื้อผ้าอาภรณ์ผู้นำทาง

ซึ่งเป็นผู้ทรงศีลและเป็นนักปฏิบัติตัวยง

โดยหมายว่าจะได้รับถ่ายทอดพลังบุญกุศล

สู่จิตวิญญาณแห่งตนเพื่อมรรคผลนิพพานด้วย

 

ทั้งๆที่สัจธรรมความจริงนั้น

กรรมดีกรรมชั่วเป็นของตัวเอง

ใครทำใครได้ ทำแทนกันไม่ได้

 

แท้แล้วบุญกุศลที่เกิดขึ้นในชีวิตท่าน

มาจากการศรัทธาต่อผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

มาจากการถือศีลครองธรรมของท่านเอง

มาจากการทำบุญสุนทานหรือการให้

มาจากจิตใจสงบเย็นเป็นสุข

มาจากความดีงามในชีวิตที่ท่านประพฤติตน

จนคนทั่วไปยอมรับนับถือและสรรเสริญ

ฯลฯ

 

บทบาทการดำเนินชีวิตของท่านเองเท่านั้น

ที่ทำให้ท่านก้าวหน้าทางจิตวิญญาณมาได้

มิใช่พลังอำนาจที่รับถ่ายทอดกันมา

จากคนนำทางตาบอดแต่อย่างใดทั้งสิ้น

พี่ๆน้องๆเหล่านั้นท่านเองก็ยังคงลำบากอยู่

 

นอกจากนั้น

การที่ท่านทั้งหลายเชื่อกันว่า

 

การนั่งหลับตาส่องจิตตนเองอยู่คนเดียว

เพื่อฝึกการบังคับควบคุมจิตตนเอง

เพื่อเรียนรู้นิสัยทางจิตของตนเอง

ที่พวกท่านเรียกว่าปฏิบัติ "กรรมฐาน"

ตามแบบอย่างคนนำทางตาบอดเขาทำกัน

มันสามารถช่วยจิตวิญญาณให้นิพพานได้

มันก็เป็นความเชื่อที่ผิดๆอีกเช่นกัน

 

แท้แล้วประโยชน์อันพึงได้สำหรับฆราวาส

ผู้เคร่งครัดปฏิบัติกรรมฐานตามเขาก็คือ

 

1. สามารถควบคุมจิตตนเองให้อยู่ในโอวาท

อันหมายถึงทำให้เป็นผู้ครองสติได้

โดยไม่ลื่นไหลไปตามสิ่งเร้าทั้งนอกทั้งใน

จนเป็นเหตุให้ก่อกรรมทำผิดบาปได้ง่ายนัก

 

2. สามารถใช้สติปัญญาของสมอง

ได้อย่างคล่องแคล่วเต็มพลัง

เพราะสภาวะจิตว่างจากกิเลสตัณหา

ว่างจากอารมณ์ขยะทั้งปวง

ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ได้มาจากในข้อ 1.นั้น

 

3. สามารถช่วยให้จิตได้พักผ่อนบ้าง

พักผ่อนจากการทำงานตลอดวันมิได้หยุดพัก

โดยเฉพาะจิตที่ทำงานหนักมาก

จากการสั่นสะเทือนไปในทางต่ำ

เป็นกิเลสตัณหาราคะอารมณ์ขยะตลอดวัน

 

จิตที่ว่างจากสิ่งเหล่านี้

จะกลับมามีชีวิตชีวามีพลังอำนาจดุจเดิม

 

มันจะช่วยให้ท่านมีสุขภาพจิตดีขึ้น

มันจะช่วยให้ท่านมีสุขภาพกายดีขึ้น

มันจะช่วยให้ท่านฉลาดทางอารมณ์มากขึ้น

มันจะช่วยให้ท่านฉลาดทางปัญญามากขึ้น

มันจะช่วยให้ท่านมีกัลยาณมิตรมากขึ้น

มันจะช่วยให้ท่านมีสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิตมากขึ้น

ฯลฯ

 

อานิสงส์จากสิ่งดีๆ3 ประการที่กล่าวมา

ถ้าท่านเคร่งครัดปฏิบัติตนตามที่เรากล่าว

จะช่วยให้ท่านทั้งหลายใกล้นิพพานมากขึ้น

แต่จงอย่าเชื่อว่าการนั่งหลับตาสมาธิ

แล้วมันจะช่วยให้ท่านเป็นผู้วิเศษกว่าใครได้

มันจะช่วยให้ท่านถึงนิพพานได้

 

ในเมื่อคนนำทางของท่านเอง

ถือศีลเคร่งครัดปฏิบัติธรรมเคร่งเครียด

ก็ยังหลงทางไปนิพพานกันอยู่จนบัดนี้

ท่านทั้งหลายผู้อ่อนศีลอ่อนธรรมกว่าเยอะ

จะก้าวตามเขาไปจะไหวหรือ

 

ดังนั้น

ท่านทั้งหลายต้องกลับมาถามตัวเองบ้างว่า

 

1. จิตวิญญาณของท่านเป็นใคร มาจากไหน

2. จิตวิญญาณของท่านมาเกิดเป็นคนทำไม

3. จิตวิญญาณของท่านมีหน้าที่ต้องทำสิ่งใด

4. จิตวิญญาณของท่านต้องไม่ทำสิ่งใดบ้าง

 

5. จิตวิญญาณของท่าน

เลือกก้าวตามคนนำทางตาบอดตลอดมา

จนเกิดความเสียหายมาหลายภพชาติแล้ว

เช่น จำบ้านเกิดของจิตวิญญาณไม่ได้

โดยไม่รู้ว่าตนเองมาจากไหน ใครให้มาเกิด

จึงไม่เคยคิดที่จะกลับบ้าน

คิดแต่จะตายไปจากโลกอย่างเดียว

เพียงเพื่อจะพ้นทุกข์ไปจากโลกนี้เท่านั้น

 

เพราะจำพันธะสัญญา 6 ประการ

ที่ให้ไว้ต่อพระบิดาแห่งจิตวิญญาณไม่ได้

เมื่อจำไม่ได้ก็เลยผิดสัจจะกันมาตลอด

เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์แล้วไม่ทำหน้าที่

แล้วจะให้ท่านนิพพานจริงๆได้อย่างไร

 

เพราะจำบทละครที่ตนเองเขียนมา

เพื่อแสดงร่วมกันกับคนในครอบครัว

ที่เรียกว่า "พันธะสัญญากรรม"

หรือ "ชะตาชีวิต" ไม่ได้

 

จึงไม่รู้ว่าการแสดงออกหรือกระทำต่อกัน

ไม่ว่าด้านดีสุดขีดหรือด้านร้ายสุดชั่ว

มันล้วนเป็นบททดสอบจิตสามนึก

ที่ร่วมขีดเขียนกันขึ้นมาก่อนมาเกิดชาติแรก

 

เพื่อสั่นสะเทือนจิตสามนึกต่อกันด้านบวก

เพื่อใช้พลังความรักที่เกิดขึ้นมอบให้โลก

เพื่อช่วยให้โลกหมุนรอบตัวเองได้ต่อเนื่อง

จะยังผลให้ดาวโลกดวงนี้สมดุล

ตามพระคำของศาสดาที่ว่า

#เมตตาธรรมค้ำจุนโลก ได้อย่างเป็นรูปธรรม

แต่พวกท่านก็พากันล้มเหลวอีกเพราะไม่รู้

 

1. ที่พวกท่านไม่รู้

เพราะคนนำทางตาบอดก็ไม่รู้

 

2. ที่พวกท่านไม่รู้

เพราะท่านปฏิเสธพระบุตรเอก

ซึ่งเป็นพระศาสดาที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า

โดยไม่ยอมพิจารณาว่า

 

พระบุตรเอกคือใคร

พระบิดามีพระบัญชาให้ลงมาจุติเป็นมนุษย์

ในปลายยุคพลังงานเก่าที่กำลังกลียุคทำไม

ท่านจะได้รับประโยชน์อะไร

จากการรับฟังพระบุตรเอกบ้าง เป็นต้น

 

3. เพราะท่านเชื่อว่า "มหาคุรุ"

มีเพียงคนเดียว

คือคนที่ท่านยึดถือจนยึดติดเท่านั้น

 

4. เพราะท่านเชื่อว่า "มหาคัมภีร์"

มีเพียงเล่มเดียว

คือเล่มที่ท่านติดยึดจนยึดติดเท่านั้น

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

 

เวลาที่จะให้ท่านได้มีสติทางวิญญาณ

มันเหลือน้อยลงทุกที

ซึ่งมันสวนทางกันกับเวลาที่จะเกิดมหันตภัย

ตามแผนปฏิบัติการชำระโลก

เพื่อเปลี่ยนโลกสู่ยุคพลังงานใหม่

 

จงอย่ามัวหลับตาปิดหู

ก้าวตามคนนำทางตาบอดอยู่อีกเลย

จงเปิดตาของท่านขึ้นสัมผัสกับแสงสว่าง

เพื่อหันมาต่อสู้กับความรู้แจ้งโดยไว

เรามาช่วยจุดตะเกียงให้ท่านแล้ว

จงเร่งรีบเติมน้ำมันใส่ตะเกียงของท่านเถิด

อย่าทำตัวเหมือนกลัวแสงสว่างอีกเลย

 

เราขอยืนยันว่าเรากลับมาเพื่อช่วยท่าน

เรากลับมาเพื่อแกะท่านออกไปจากโลก

เราจะพาท่านผ่านประตูมิติกลับเข้าคอก

กลับไปหาเจ้าของแกะผู้ทรงเป็นเจ้าของคอก

ซึ่งอยู่นอกทุ่งเลี้ยงแกะคืออนันตจักรวาล

 

ใครไม่อยากถูกแขวนอยู่บนสวรรค์มายา

ใครที่ปรารถนาจะกลับบ้าน

ใครมีตามีหูมีเท้าก็จงก้าวตามเรามาเถิด

ประตูนิพพานเพื่อการหลุดพ้น

พร้อมจะเปิดออกสำหรับท่านทั้งหลาย

มานาน.........แล้ว

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

3-11-2019





 

สนทนาประสาจิตจักรวาล 3/11/2019

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

มรรควิถีที่คนนำทางตาบอด

พากันสร้างทางเบี่ยงออกไปจากโลก

เพราะเชื่อว่าถ้าดับการเวียนว่ายตายเกิด

ในการมีสังสารวัฏบนโลกเสรีนี้ได้

พวกเขาหมายถึง #นิพพาน แล้วนั้น

มันจะเป็นความจริงไปไม่ได้

เพราะเหตุว่า

 

1. จิตวิญญาณที่จะได้ชื่อว่านิพพานได้

เมื่อจบสิ้นอายุขัยในการเป็นมนุษย์แล้วนั้น

จะต้องไม่มีปรากฏว่าไปตกหล่นที่ใดอีก

ภายในอนันตจักรวาลอันไพศาลนี้

กล่าวคือ

 

ต้องไม่มีการ "หลุดลง"

คือ ไปตกอยู่ที่แดน #นรก

 

ต้องไม่มีการ "หลุดลอย"

คือ ไปแขวนอยู่บน "สวรรค์มายา"

 

ต้องไม่มีการ "หลุดหล่น"

คือ มาตกอยู่ที่แดน #โลก

 

ถ้ายังพบได้ว่าจิตวิญญาณของใคร

ไปดำรงอยู่ในสามแดนที่เรากล่าวนี้

มันคือนิพพานเทียมเท็จทั้งสิ้น

 

2. จิตวิญญาณที่จะได้ชื่อว่านิพพานแล้ว

ต้องเป็นจิตวิญญาณที่มีผลกรรมเป็นศูนย์

หมายความว่าต้องไม่มีกรรมเป็นกำเนิดอีก

 

ถ้าคนนำทางตาบอดทั้งหลาย

ยังหลงอัตตา หลงธรรม

หลงทำและหลงทางกันอยู่อย่างทุกวันนี้

และยังมี "กรรมเก่า" ที่ถือติดตัวมาจากอดีต

โดยไม่ได้ชำระไม่ได้แก้ไข

ไม่ได้แก้กรรมที่เกี่ยวกันมากับใครๆ

เพราะทิ้งสังคมไปปลีกวิเวก

เหตุแห่งการเกิดใหม่ก็ยังต้องมีอยู่ต่อไป

แม้ว่าจะยังมีการเปลี่ยนย้ายจากแดนโลก

ไปเกิดในภพภูมิใหม่คือสวรรค์มายาก็ตาม

 

3. จิตวิญญาณที่จะได้ชื่อว่านิพพานแล้ว

แม้จะมีกรรมซึ่งเป็นสัมภาระทางจิตวิญญาณ

ติดตัวอยู่น้อยมากแล้วก็ตาม

 

แต่ถ้ามีน้ำหนักจิตวิญญาณเกินกว่ากำหนด

หมายถึงหนักกว่าเมื่อแรกมาเกิดเป็นคน

โดยมีน้ำหนักตัวเกิน 30 มิลลิกรัมขึ้นไป

รูปธรรมจิตวิญญาณนั้นก็เริ่มมีปัญหาแล้ว

 

เพราะน้ำหนักสรรพสิ่งที่เกิน 30 มิลลิกรัม

จะถูกโลกดึงดูดเหนี่ยวรั้งเอาไว้ดั่งเมฆา

ถ้ายิ่งแรงดีดตนเองหนีแรงดึงดูดมีน้อย

เพราะสร้างบารมีเพื่อเพิ่มพลังในตนไม่เป็น

หรือเจาะพลังทางจิตวิญญาณมาใช้จนรั่ว

จิตวิญญาณรูปธรรมนั้นก็ไปต่อไม่ได้

จึงได้แต่หลุดลอยค้างฟ้าบ้าง

หลุดลงบ้างหรือหลุดหล่นมาบนโลกบ้าง

 

ดังนั้น

จิตวิญญาณของประดาคนนำทางตาบอด

ซึ่งส่วนมากยังมีน้ำหนักมวลจิตวิญญาณ

เกินพิกัดตามที่กล่าวไว้นั้นกันอยู่ทั้งสิ้น

เพราะยังมีกรรมเก่าที่มิได้ชำระติดตัวอยู่

เมื่อจบสิ้นอายุขัยตายไปแล้ว

จิตวิญญาณจึงมิอาจกลับมาเกิดเป็นคนได้

เนื่องจากมีน้ำหนักมวลเบาดั่งก้อนเมฆ

จึงต้องลอยแขวนอยู่ในบรรยากาศ

 

รูปธรรมใดมีกรรมเหลือน้อยสุด

ก็จะลอยไปค้างอยู่บนสวรรค์ชั้นสูงกว่าใครอื่น

รูปธรรมใดมีกรรมเหลือมากกว่าจนมากสุด

ก็จะลอยค้างอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าจนถึงต่ำสุด

 

นี่ไง...สวรรค์มายา

จึงมีเทพ เทวดา พรหม อยู่กันหลายชั้น

ผู้ที่มีจิตวิญญาณบริสุทธิ์มากกว่าใครอื่น

ก็จะมีระดับชั้นสูงกว่ารูปธรรมอื่นๆ

 

4. จิตวิญญาณที่จะได้ชื่อว่านิพพานแล้ว

จะต้องรู้ว่าประตูมิติหรือทางผ่านเข้าออก

ระหว่างอนันตจักรวาลกับแดนสุญตา

ซึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของจิตวิญญาณ

ตั้งอยู่ตรงไหนพิกัดใด

 

โดยที่จิตวิญญาณนั้นหรือว่ามนุษย์คนนั้น

ไม่สามารถที่จะรู้เองได้ว่าประตูมิติอยู่ที่ไหน

นอกจากศาสดาที่เป็น #พระบุตรเอก เท่านั้น

 

ถ้าคนนำทางตาบอดและผู้ตามตาบอด

ไม่ยอมรับฟังอนุตรธรรมจากพระบุตรเอก

เมื่อสิ้นอายุขัยตายไปแล้ว

แม้ว่าจะมีคุณสมบัติพร้อมที่จะนิพพานได้แล้ว

ก็จะไม่สามารถ "หลุดพ้น" ออกไปได้อยู่ดี

เนื่องจาก #อนันตจักรวาล ที่ท่านเข้ามาเกิด

มีประตูมิติผ่านเข้าออกดั่งประตูคอกแกะ

พระบิดาสร้างไว้ให้เพียงแค่ประตูเดียวเท่านั้น

 

ถ้าใครไม่รู้จักประตูเข้าออก

ถ้าใครจำประตูเข้าออกไม่ได้

ถ้าใครพยายามจะปีนรั้วออกไป

คนเหล่านี้จะไม่มีวัน "หลุดพ้น" ผ่านออกไปได้

ซึ่งความทุกข์ของเทพเทวดาชั้นสูง

ผู้สามารถลอยขึ้นสูงจนสุดติดเพดานแล้ว

แต่ยังมิอาจหลุดพ้นไปจากอนันตจักรวาลได้

ก็เพราะมีมิจฉาทิฐิอวดดีอวดดื้อขาดการถ่อมใจ

ปฏิเสธอนุตรธรรมที่ศาสดาอันเกิดจากโลก

มิได้ทรงสั่งสอนไว้เพราะเป็นใบไม้นอกกำมือ

ซึ่งเกินขีดความสามารถที่พระองค์จะกำได้

 

5. จิตวิญญาณที่จะได้ชื่อว่านิพพานแล้ว

ต้องหลุดพ้นผ่านประตูมิติของอนันตจักรวาล

ออกไปยังจักรวาลภายนอกที่เป็นแดนสุญตา

เพื่อกลับบ้านเกิดเมืองนอนแท้จริงของตนได้

 

โดยจะต้องกลับสู่มหาวิหารพระบิดา

เพื่อกลับคืนสู่การเป็นหนึ่งเดียวกัน

กับตัวตนภาคแรกที่สูงส่งของตนเอง

ผู้แบ่งภาคออกมาเป็นจิตวิญญาณของท่าน

เพื่อส่งท่านข้ามมิติเข้ามาเกิดเป็นมนุษย์โลก

 

เมื่อรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวแล้ว

ก็จะเข้าเฝ้าเพื่อกราบพระบาทพระบิดาต่อไป

เป็นอันสิ้นสุดภารกิจทางจิตวิญญาณ

 

จากนั้นพระบิดาจะประทานรางวัลให้

ด้วยการติดตั้งแถบสีเอาไว้ให้หนึ่งแถบ

เพื่อสำแดงมายาให้เป็นที่รู้กันทั่วไปว่า

รูปธรรมจิตจักรวาลดวงเล็กดวงนั้น

ผ่านการเกิดเป็นมนุษย์มาแล้วหนึ่งครั้ง

จะรู้ว่าผ่านมาแล้วกี่ครั้งก็นับจำนวนแถบเอา

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

ศาสตร์แห่งนิพพานคือการหลุดพ้น

ตามที่เรากล่าวมาทั้งหมดนี้

ล้วนเป็นความจริงที่คนนำทางตาบอดไม่รู้

ซึ่งยังผลให้ท่านทั้งหลายกลับบ้านไม่ได้

 

ถ้ายังไม่ยอมละทิฐิขาดการถ่อมใจ

ถ้ายังก้าวล่วงกล่าวร้ายเรากับพระบิดาต่อไป

จิตวิญญาณของท่านผู้นั้นจักไร้อนาคต

หมดโอกาสที่จะได้กลับบ้านแบบสมบูรณ์

เพราะถ้าจิตวิญญาณไม่ถูกจองจำ

ก็จะถูกทำลายให้แตกระเบิดดั่งเสียงฟ้าผ่า

จนแตกสลายกลายเป็นคลื่นพลังงาน

ไร้ความเป็นจิตวิญญาณที่สมดุลตลอดไป

จิตจักรวาลดวงเล็กของตนในแดนสุญตา

ก็จะกลายเป็นจิตจักรวาลผู้กำพร้าชั่วนิรันดร

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

3-11-2019

02 พฤศจิกายน 2562

สนทนาประสาจิตจักรวาล 2/11/2019

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

บนมรรควิถีจิตจักรวาลเพื่อการหลุดพ้น

ในบทบาทของ #นักสู้เพื่อการรู้แจ้ง

สำหรับผู้ที่เป็นฆราวาสญาติธรรมนั้น

ท่านสามารถนำพาจิตวิญญาณของท่าน

หลุดพ้นออกไปจากอนันตจักรวาล

เพื่อกลับคืนบ้านเกิดในแดนสุญตาได้

ภายในภพชาติเดียวเท่านั้น

 

เพียงแต่ท่านทั้งหลายต้องรู้ว่า

การกระทำใดๆในมิติโลกทางกายภาพ

มันจะมีผลต่อการกระทำในมิติของแก่นแท้ด้วย

เพราะทั้งสองมิตินั้นมันคู่ขนานกันอยู่

ดังคำกล่าวที่ว่า "จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว"

ที่ท่านคุ้นชินกันอยู่นั่นเอง

 

เนื่องจากว่าในการเป็นคนสองมิตินั้น

องค์จิตจักรวาล พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ

ได้ทรงกำหนดให้พฤติกรรมภายนอก

ทั้งกายกรรมและวจีกรรม

ถูกขับเคลื่อนออกมาจากพฤติกรรมภายใน

อันเกิดจากการสั่นสะเทือนทางจิตทั้งสิ้น

 

ดังนั้น

เมื่อใดที่ท่านแสดงพฤติกรรมภายนอก

ให้ปรากฏในมิติโลกทางกายภาพ

เป็นการแสดงออกหรือกระทำใดๆก็ตาม

ในขณะเดียวกันนั้น

ท่านก็ได้กระทำแบบเดียวกัน

ในมิติของจิตวิญญาณด้านของแก่นแท้

ควบคู่กันไปด้วยแล้ว

 

ที่ผ่านมาเราจึงกล่าวต่อท่านทั้งหลายว่า

เป็นฆราวาสก็สามารถหลุดพ้นหรือนิพพานได้

เป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็สามารถหลุดพ้นได้

โดยไม่ว่าท่านจะสมมติว่าตนเองเป็นใคร

ท่านก็สามารถจะนิพพานหรือหลุดพ้นได้

ภายในภพชาติเดียวเท่านั้น

ขอเพียงท่านมีปณิธานแห่งการหลุดพ้นเท่านั้น

 

เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า

การใช้ชีวิตทุกวันคืนกับทุกคนในครอบครัว

การต้องใช้ชีวิตอยู่กับคนหมู่มากในสังคม

การต้องทำงานร่วมกันกับเพื่อนร่วมงาน

นอกจากมีเป้าหมายด้านความมั่งคั่งและมั่นคง

ในชีวิตส่วนตัวและครอบครัวของท่านแล้ว

ท่านยังสามารถบรรลุเป้าหมายของจิตวิญญาณ

คู่ขนานกันไปกับความสำเร็จทางโลกได้ด้วย

 

เพียงท่านเรียนรู้ที่จะเป็นสัตว์สังคม

โดยใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับทุกคนในครอบครัว

อย่างลงตัว มีความรัก มีความสุขและอบอุ่น

นี่เท่ากับว่าท่านก็เป็นมนุษย์ที่สมดุลได้แล้ว

 

เพียงท่านเรียนรู้ที่จะเป็นสัตว์สังคม

โดยใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับคนหมู่มากในสังคม

อย่างมีความสุขสงบและเรียบร้อยได้

ทั้งๆที่แต่ละคนนั้นมีธรรมชาติที่แตกต่างกัน

เพราะท่านสามารถยอมรับและปรับตัว

เข้าหาบุคคลแวดล้อมในสังคมได้อย่างลงตัว

นี่เท่ากับว่าท่านเป็นสัตว์สังคมที่แท้จริงแล้ว

 

เพียงท่านเรียนรู้ที่จะเป็นสัตว์สังคม

โดยใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับเพื่อนร่วมงาน

ในระดับที่สามารถทำงานร่วมกันเป็นผลสำเร็จ

โดยที่ตัวท่านและเพื่อนทุกคนล้วนมีความสุข

ไม่มีการขัดแย้งหรือทะเลาะเบาะแว้งกัน

ไม่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน

มีแต่การร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจกัน

นี่ก็เท่ากับว่าท่านเป็นคนที่มีคุณภาพได้แล้ว

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

การที่ท่านสามารถเข้าถึง

การเป็นมนุษย์ที่สมดุลในครอบครัวได้

เข้าถึงการเป็นสัตว์สังคมที่แท้จริงได้

เข้าถึงการเป็นคนคุณภาพในที่ทำงานได้

 

อย่างน้อยท่านต้องใช้พลัง 3 ประการ

ดังต่อไปนี้ คือ

 

1. #พลังความรัก

เพื่อเหนี่ยวรั้งตนเองเอาไว้กับผู้อื่น

เพื่อเหนี่ยวรั้งผู้อื่นเอาไว้กับตนเอง

เพื่อเปลี่ยนสิ่งร้ายๆให้กลายเป็นดี

 

2. #พลังความฉลาด รวม 3 ด้าน คือ

ความฉลาดทางปัญญาของสมอง

ความฉลาดทางจิต

ความฉลาดทางสังคม

 

เพื่อการคิดแก้ปัญหาและตัดสินใจที่ถูกต้อง

เพื่อการนึกบวกคิดบวกมองบวก

เพื่อการสร้างสันติสุขกับคนรอบข้าง

 

3. #พลังความกล้าหาญ

เพื่อการกล้าริเริ่มสร้างสรรค์

เพื่อการกล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออก

เพื่อการกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง

เพื่อการกล้าที่จะรับผิดชอบ

 

พลังอำนาจอย่างน้อยทั้งสามประการ

ที่เรานำมากล่าวต่อท่านทั้งหลายนี้

เป็นพลังอำนาจอันเกิดจาก #ธรรมะปฏิบัติ

มันมิได้เกิดขึ้นมาเองโดยมิได้ทำอะไรเลย

ซึ่งท่านสามารถ "ปฏิบัติ" ในชีวิตประจำวัน

จนเกิดความเชี่ยวชาญได้ไม่ยากเย็น

 

ตัวอย่างเช่น

เรียนรู้ที่จะรักคนในครอบครัวตัวเองให้ได้

ด้วยการอดทน อดกลั้น ให้อภัย

ครั้งแล้วครั้งเล่าที่พวกเขาทำผิดอยู่ซ้ำซาก

การอดทน อดกลั้น และให้อภัย

ก็คือการปฏิบัติธรรมของท่าน

บนเส้นทางสู่สวรรค์นิรันดรนั่นเอง

 

ตัวอย่างเช่น

เรียนรู้ที่จะใช้ปัญญาของสมองสองซีกได้

ก็ต้องสร้างกระบวนการคิดรู้ให้เป็น

กระบวนการคิดรู้จะเกิดได้ก็ต้องมีสติ

มีสติเพื่อที่จะรู้ตนเองว่า

ท่านจะคิดอะไร ท่านกำลังคิดอะไร

คิดบวกหรือคิดลบ คิดดีหรือคิดชั่ว

ท่านเป็นทาสอารมณ์ขยะอยู่รึเปล่า เป็นต้น

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

ที่เรากล่าวมาทั้งหมดนี้

ก็เพื่อจะเป็นตัวอย่างให้ท่านได้รู้เห็นกันว่า

การใช้ชีวิตประจำวันอยู่ในสังคม

ไม่ต้องเข้าป่าหาความสงัดวิเวก

ท่านก็สามารถสร้างความสุขสงบในชีวิต

เรียนรู้ที่จะยกระดับจิตพัฒนาปัญญา

นำพาจิตวิญญาณแก่นแท้ของท่าน

สู่การหลุดพ้นกลับบ้านแดนสุญตาได้

ขณะที่ก้าวไปในโลกกว้าง

 

ท่านไม่ต้องละทิ้งครอบครัว และสังคม

ทำตัวให้กลมกลืนไม่ฝืนธรรมชาติ

โดยไม่ต้องถามหาคำตอบด้วยซ้ำไปว่า

สัจธรรมที่ท่านนำมาใช้ในชีวิตนั้น

เป็นสัจธรรมของใคร

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

2-11-2019

01 พฤศจิกายน 2562

สนทนาประสาจิตจักรวาล 1/11/2019

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า

 

การที่นักพรตหรือนักบวช

ไม่สามารถใช้เมตตาธรรมค้ำจุนโลก

ตามที่พระศาสดาทรงกล่าวสอนไว้ได้

ไม่สามารถเข้าถึงนิพพานแท้

คือหลุดพ้นออกไปจากอนันตจักรวาลได้

เป็นเพราะเหตุว่า

 

1. ไม่ว่างที่จะทำเพื่อโลก

เพราะวันๆใช้เวลาไปกับการพิจารณาทุกข์

เพื่อยังประโยชน์สุขต่อตนเองเท่านั้น

 

เนื่องจากพวกเขาเห็นทุกข์เป็นเรื่องใหญ่

โดยไปจับความเอาตอนที่เจ้าชายสิทธัตถะ

ทรงเสด็จออกจากวังด้วยเหตุแห่งทุกข์

จนกระทั่งพระองค์ทรงค้นพบ "อริยสัจ 3"

หลักการแก้ปัญหาอันเป็นที่มาแห่งทุกข์

กับ "มรรค 8" ซึ่งเป็นหลักการดำเนินชีวิต

ด้วยการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบต่อผู้อื่น

 

พวกเขาไปเสียเวลากับการพิจารณาทุกข์

ทั้งๆที่ความทุกข์หรือตัวทุกข์นั้นเป็นมายา

อันเกิดจากอาการไม่สงบของจิตเท่านั้น

ตัวอย่างเช่น

 

ความวิตกกังวลก็เป็นทุกข์

ความเกลียดกลัวก็เป็นทุกข์

ความเบื่อหน่ายรำคาญก็เป็นทุกข์

ความเศร้าโศกเสียใจก็เป็นทุกข์

ความเสียดายก็เป็นทุกข์

ความระแวงก็เป็นทุกข์

ความห่วงใยก็เป็นทุกข์

ความโกรธเคืองก็เป็นทุกข์

ฯลฯ

 

2. ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า

ความไม่สงบในจิตจากอาการต่างๆ

ที่ท่านเองไม่พึงประสงค์ตามตัวอย่างนั้น

มันล้วนเป็นทุกข์ที่เกิดขึ้นข้างในทั้งสิ้น

ถ้าท่านสามารถควบคุมจิตให้สงบระงับได้

ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดๆก็ตาม

สิ่งที่เรียกว่าความทุกข์ทั้งหมดนั้น

มันก็จะไม่มีวันเกิดขึ้นได้

 

หมายความว่า

ถ้าท่านสามารถควบคุมจิตตนเองได้

โดยไม่ยอมตกเป็นทาสของสิ่งเร้า

สภาวะจิตของท่านย่อมนิ่งสงบ

เมื่อจิตนิ่งสงบได้จิตก็ไม่เสียสมดุล

เมื่อจิตไม่เสียสมดุลความทุกข์ก็ไม่เกิด

 

หลักการง่ายๆที่จะเอาชนะใจตนเอง

ไม่ให้ตกเป็นทาสของสิ่งเร้า

จนเกิดอาการจิตตกให้เสียความรู้สึก

หรือจิตตกจนเกิดอาการเสียอารมณ์

นั่นคือท่านต้องควบคุมจิตเอาไว้ให้ได้

วิธีควบคุมจิตมิให้ลื่นไหลไปตามสิ่งยั่วยุ

ก็คือท่านต้อง #ครองมหาสติ ไว้ให้มั่น

 

3. ถ้าท่านปฏิบัติตามที่เรากล่าวไว้ข้างต้นนั้น

ท่านนักบวชก็ไม่จำเป็นต้องมานั่งพิจารณา

อาการของจิตแต่ละอย่างที่เกิดขึ้น

แล้วคอยสกดระงับมันไว้ให้มันสงบเลย

ซึ่งมันก็มิใช่เรื่องง่ายนักและผิดธรรมชาติด้วย

ทำให้เสียเวลาทำในสิ่งต้องทำอีกต่างหาก

 

น่าเสียดายที่ท่านนักบวชเลือกปลีกวิเวก

นิยมปิดอายตนะภายนอกเอาไว้ทั้งหมด

ไม่ยอมให้สิ่งเร้าภายนอกผ่านเข้าไปข้างใน

เพราะกลัวว่าจิตจะสั่นไหวไปตามสิ่งเร้า

จนทำให้ควบคุมมันได้ยากนั่นเอง

วิธีการบริหารจิตของท่านนักบวช

จึงใช้วิธีปฏิบัติการทางเท็คนิก

มิใช่ปฏิบัติตามวิธีที่เป็นธรรมชาติ

ซึ่งเป็นความพลาดอีกอย่างหนึ่งที่พึงขบคิด

เมื่อท่านใช้วิธีการผิดพลาดในเรื่องนี้

นอกจากมันจะไม่ได้ผลแล้ว

ยังนำไปสู่ความผิดพลาดในเรื่องอื่นอีกด้วย

 

4. ความผิดพลาดในเรื่องอื่นที่เรากล่าวนี้

ก็คือการบกพร่องต่อหน้าที่ทางจิตวิญญาณ

ในการหมุนธรรมจักรเพื่อช่วยให้โลกหมุน

ตามที่พระศาสดาของท่านกล่าวเอาไว้ว่า

"เมตตาธรรมค้ำจุนโลก" นั่นเอง

 

ท่านนักบวชทั้งหลายจึงไม่รู้ว่า

เมตตาธรรมค้ำจุนโลกได้อย่างไร

จะค้ำจุนโลกเพื่ออะไร

 

จะหมุนธรรมจักร

โดยนั่งหลับตาปิดอายตนะได้หรือไม่

 

เพราะวันๆมัวแต่มุ่งกระทำเพื่อตนเอง

ด้วยการวุ่นวายแต่เรื่องการดับทุกข์

แล้วพยายามสร้างทางเบี่ยงไปสวรรค์มายา

เพื่อไม่ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก

เพราะเชื่อผิดว่าเส้นทางนั้นคือ "นิพพาน"

 

คนนำทางตาบอดล้วนเป็นเช่นนี้

คนก้าวตามคนนำทางตาบอดล้วนเชื่อเช่นนี้

ตลอดหกหมื่นปีที่ผ่านมา

เส้นทางสายน้ำนมสู่ด่านนภาลัย

จึงวังเวงและเงียบเหงายิ่งนัก

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

1-11-2019