03 พฤศจิกายน 2562

สนทนาประสาจิตจักรวาล 3/11/2019

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

ความหมายของคำว่า #นิพพาน

ที่คนนำทางตาบอดทั้งหลายชี้นำท่านว่า

หมายถึงการตายไปจากโลกนี้แล้ว

จิตวิญญาณจะไม่กลับมาเกิดบนโลกนี้อีก

ไม่ว่าจะเกิดเป็นคนหรือเกิดเป็นสัตว์ก็ตาม

 

คำสอนของพวกเขาหมายถึง

เมื่อตายแล้วสามารถดับการมีสังสารวัฏ

คือหยุดการเวียนว่ายตายเกิดบนโลกนี้ได้

แสดงว่าตนสามารถ "นิพพาน" ได้แล้วนั้น

เป็นคำสอนที่ไม่ถูกต้องไม่ตรงความจริง

ซึ่งท่านต้องใช้วิจารณญาณก่อนเชื่อตาม

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

 

คำว่า "นิพพาน"

หมายถึงการดับอย่างสิ้นเชิง

ดับแล้วไม่ติดขึ้นมาใหม่อีก

ดับแล้วไม่อุบัติขึ้นมาใหม่อีก

เป็นการดับการเกิดดับอย่างสิ้นเชิง

 

ภาษาชาวบ้านเรียกว่า "ดับแล้วดับเลย"

หมายถึง "ดับสิ้น" หรือ "ดับสูญ" นั่นเอง

 

ตัวอย่างเช่น

ถ้าท่านใช้ชีวิตประจำวันในชาตินี้

โดยไม่ก่อกรรมใหม่เพิ่มขึ้น

ทั้งสามารถแก้ไขกรรมเก่าได้หมดสิ้นด้วย

 

นี่แสดงว่ากรรมของท่านเป็นศูนย์แล้ว

ตลอดเวลาแห่งชีวิตที่เหลืออยู่

 

ณ บัดนั้นท่านก็จะได้ชื่อว่า

เป็นผู้ #นิพพานกรรม ได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว

 

ตัวอย่างเช่น

ถ้าท่านสามารถอยู่เหนือ "ความโกรธ" ได้

ไม่ว่าใครจะยั่วยุท่านอย่างไร

ด้วยเงื่อนไขด้านลบที่คนทั่วไป

ต้องไม่สบอารมณ์แน่นอน

แต่ท่านสามารถวางเฉยได้ทุกครั้งครา

ไม่รู้จักกับคำว่า "โกรธ" อีกชั่วชีวิตนี้

 

ณ บัดนั้นท่านก็จะได้ชื่อว่า

เป็นผู้ #นิพพานโกรธ ได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว

 

ทั้งสองตัวอย่างที่เรากล่าวมานี้

เพื่อแสดงให้ท่านเข้าใจอย่างเป็นรูปธรรม

ในความหมายของคำว่า "นิพพาน"

ทางด้านจิตวิญญาณว่ามันก็มิต่างกัน

 

นั่นคือเมื่อท่านตายไปจากการเป็นมนุษย์แล้ว

แม้จะไม่ย้อนกลับมาเกิดบนโลกมนุษย์อีกได้

แต่จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่าน

ก็จะไปเกิดอยู่ในภพภูมิอื่นใดอีกไม่ได้เช่นกัน

 

ถ้ายังไปผุดไปโผล่อยู่ในภพภูมิอื่นอยู่

แสดงว่าจิตวิญญาณนั้นยังนิพพานไม่จริง

มันเป็นแค่นิพพานเทียมเท็จโดยแท้

 

ตัวอย่างเช่น

เมื่อใครตายไปจากการเป็นมนุษย์แล้ว

จิตวิญญาณนั้นต้องถูกส่งไปลงนรกอเวจี

เพราะก่อกรรมทำผิดบาปเอาไว้มาก

จนต้องถูกจองจำชำระบาปอยู่ในนั้นนานมาก

ทำให้โอกาสย้อนกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่

ต้องรอคิวคอยเวลากันยาวนานมากๆ

จึงทำให้นายคนนี้หายตัวไปจากโลกภูมิ

เพราะไปตกอยู่ใน "นรกภูมิ" แทน

 

ถ้าความจริงเป็นดังเช่นที่ว่านี้แล้ว

จะถือว่านายคนนี้ "นิพพาน" ได้เช่นนั้นหรือ?

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

กรณีที่จิตวิญญาณหายไปจากโลก

ไม่กลับมาเกิดอีกเป็นเวลายาวนานมาก

เหมือนว่าจะดับสังสารวัฏได้แล้ว

ซึ่งคนนำทางตาบอดเชื่อว่านิพพานแล้ว

 

ทั้งๆที่แท้จริงนั้นพวกเขาเองก็รู้ดีอยู่แล้วว่า

ที่จิตวิญญาณไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์

เพราะหลุดลอยไปเกิดเป็นเทพเทวดาแทน

ซึ่งภพภูมิเทพเทวดานี้พระบิดาก็มิได้สร้าง

แต่เป็นภพภูมิที่จิตมนุษย์ปรุงแต่งขึ้นมาเอง

ปรุงจากความ "งมงาย" เพราะไม่รู้แจ้งแท้ๆ

 

จากความจริงที่เราอ้างอิงเอาไว้ข้างต้นนั้น

ถ้าจิตวิญญาณตายไปจากการเป็นมนุษย์

แล้วยังหลุดลอยไปเกิดเป็นเทพเป็นพรหม

ติดค้างกันอยู่บนสวรรค์มายา

โดยยังมีขันธ์ 5 เหลืออยู่ครบ

จะดันทุรังว่าการลอยไปแขวนอยู่บนนั้น

หมายความว่านิพพานแล้วจะได้หรือ

 

เพราะคนนำทางตาบอด

เชื่อว่าเส้นทางนิพพานคือการ "หลุดลอย"

ไปเกิดเป็นเทพเทวดาหรือว่าพรหมอยู่บนนั้น

พอไปแขวนบนนั้นแล้วก็ยังแบ่งระดับชั้นกันอีก

แสดงว่าพวกเขาก็ยังคงมีอัตตายังมีอีโก้อยู่

มันจึงมิได้แตกต่างไปจากการเป็นมนุษย์

ที่ยังมากมีด้วยอุปกิเลสตัณหาแต่อย่างใด

ในเมื่อสภาวะจิตพวกเขายังไม่พิสุทธิ์ใส

สภาวะจิตยังห่างไกลสุญตา

จึงยังไม่สามารถนิพพานแท้จริงได้

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

 

คนนำทางตาบอดเมื่อจะครองเพศสมณะ

จะต้องละทิ้งอาสวกิเลสทางโลกหมดสิ้น

แต่กลับมาติดบ่วงอาสวกิเลสทางธรรมแทน

เช่น ติดอัตตา ติดยศ ติดชนชั้น ติดพิธีกรรม

แม้ว่าจะมีการถือศีลครองธรรมบำเพ็ญบุญ

เพื่อปิดโอกาสการก่อกรรมใหม่เพิ่มได้ดีมาก

แต่กรรมเก่าที่จิตวิญญาณถือติดตัวมาเกิดด้วย

กลับไม่ได้รับการดูแลแก้ไขไม่ใส่ใจที่จะรู้

 

เพราะจิตมุ่งมั่นที่จะไม่กลับมาเกิดอีก

เพราะผลกรรมที่ติดตัวค้างคาอยู่เหลือน้อย

เพราะจิตติดภาพการเป็นเทพพรหมที่ชมชอบ

ด้วยเงื่อนไขสำคัญทั้งสามประการที่ว่านี้

จึงเป็นเหตุให้เมื่อสิ้นอายุขัย

จิตวิญญาณต้องหลุดลอยไปเกิดอยู่บนนั้น

หลุดลอยไปตามเส้นทางที่จิตนั้นฝันใฝ่

 

ผู้ที่หลุดลอยไปจุติอยู่บนสวรรค์มายา

ก็ไม่สามารถกลับลงมาบอกใครต่อใครได้ว่า

อย่าตามพวกเขาไปทางนั้นเพราะมันผิดทาง

เมื่อไปติดอยู่ตรงนั้นแล้วก็ไม่รู้จะไปไหนต่อ

จะกลับลงมาเกิดเป็นมนุษย์อีกก็ยากแสน

คนนำทางตาบอดที่ยังมีชีวิตอยู่จึงไม่รู้ความ

ก็ยังคงก้มหน้าก้มตาพานำไปทางนั้นอยู่ต่อไป

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

เราได้กล่าวความจริงอีกด้านหนึ่งเพื่อให้รู้ว่า

ปลายทางที่คนนำทางตาบอดเขาพาเดินนั้น

จะไปจบกันที่สวรรค์มายาซึ่งพระบิดามิได้สร้าง

แต่เป็นการ "หลุดลอย" ไปแขวนค้างอยู่บนนั้น

ซึ่งเป็นการหลงทางนิพพานนั่นเอง

 

เมื่อรู้ว่าคนนำทางตาบอดพาหลงทางแล้ว

เราจึงแนะนำท่านให้ลืมตาหันกลับมานำตนเอง

ดำเนินไปตามวิถีแห่งจิตจักรวาลแทน

เพราะพระพุทธองค์ก็เคยสอนไว้

ให้ท่านทั้งหลายต้องพึ่งพาตนเองเท่านั้น

การเชื่อตามแล้วก้าวตามผู้อื่นอย่างว่าง่าย

ไม่ว่าผู้อื่นนั้นจะเป็นใครก็ตาม

โดยท่านมิได้คิดพิจารณาด้วยตนเองก่อน

มันคือความงมงายที่ทำให้หลงผิดหลงทาง

เหมือนอย่างที่ผ่านมาในอดีตนั่นแหละ

 

ส่วนใหญ่ท่านผู้ก้าวตามคนนำทางตาบอด

จะอาศัยเกาะชายเสื้อผ้าอาภรณ์ผู้นำทาง

ซึ่งเป็นผู้ทรงศีลและเป็นนักปฏิบัติตัวยง

โดยหมายว่าจะได้รับถ่ายทอดพลังบุญกุศล

สู่จิตวิญญาณแห่งตนเพื่อมรรคผลนิพพานด้วย

 

ทั้งๆที่สัจธรรมความจริงนั้น

กรรมดีกรรมชั่วเป็นของตัวเอง

ใครทำใครได้ ทำแทนกันไม่ได้

 

แท้แล้วบุญกุศลที่เกิดขึ้นในชีวิตท่าน

มาจากการศรัทธาต่อผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

มาจากการถือศีลครองธรรมของท่านเอง

มาจากการทำบุญสุนทานหรือการให้

มาจากจิตใจสงบเย็นเป็นสุข

มาจากความดีงามในชีวิตที่ท่านประพฤติตน

จนคนทั่วไปยอมรับนับถือและสรรเสริญ

ฯลฯ

 

บทบาทการดำเนินชีวิตของท่านเองเท่านั้น

ที่ทำให้ท่านก้าวหน้าทางจิตวิญญาณมาได้

มิใช่พลังอำนาจที่รับถ่ายทอดกันมา

จากคนนำทางตาบอดแต่อย่างใดทั้งสิ้น

พี่ๆน้องๆเหล่านั้นท่านเองก็ยังคงลำบากอยู่

 

นอกจากนั้น

การที่ท่านทั้งหลายเชื่อกันว่า

 

การนั่งหลับตาส่องจิตตนเองอยู่คนเดียว

เพื่อฝึกการบังคับควบคุมจิตตนเอง

เพื่อเรียนรู้นิสัยทางจิตของตนเอง

ที่พวกท่านเรียกว่าปฏิบัติ "กรรมฐาน"

ตามแบบอย่างคนนำทางตาบอดเขาทำกัน

มันสามารถช่วยจิตวิญญาณให้นิพพานได้

มันก็เป็นความเชื่อที่ผิดๆอีกเช่นกัน

 

แท้แล้วประโยชน์อันพึงได้สำหรับฆราวาส

ผู้เคร่งครัดปฏิบัติกรรมฐานตามเขาก็คือ

 

1. สามารถควบคุมจิตตนเองให้อยู่ในโอวาท

อันหมายถึงทำให้เป็นผู้ครองสติได้

โดยไม่ลื่นไหลไปตามสิ่งเร้าทั้งนอกทั้งใน

จนเป็นเหตุให้ก่อกรรมทำผิดบาปได้ง่ายนัก

 

2. สามารถใช้สติปัญญาของสมอง

ได้อย่างคล่องแคล่วเต็มพลัง

เพราะสภาวะจิตว่างจากกิเลสตัณหา

ว่างจากอารมณ์ขยะทั้งปวง

ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ได้มาจากในข้อ 1.นั้น

 

3. สามารถช่วยให้จิตได้พักผ่อนบ้าง

พักผ่อนจากการทำงานตลอดวันมิได้หยุดพัก

โดยเฉพาะจิตที่ทำงานหนักมาก

จากการสั่นสะเทือนไปในทางต่ำ

เป็นกิเลสตัณหาราคะอารมณ์ขยะตลอดวัน

 

จิตที่ว่างจากสิ่งเหล่านี้

จะกลับมามีชีวิตชีวามีพลังอำนาจดุจเดิม

 

มันจะช่วยให้ท่านมีสุขภาพจิตดีขึ้น

มันจะช่วยให้ท่านมีสุขภาพกายดีขึ้น

มันจะช่วยให้ท่านฉลาดทางอารมณ์มากขึ้น

มันจะช่วยให้ท่านฉลาดทางปัญญามากขึ้น

มันจะช่วยให้ท่านมีกัลยาณมิตรมากขึ้น

มันจะช่วยให้ท่านมีสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิตมากขึ้น

ฯลฯ

 

อานิสงส์จากสิ่งดีๆ3 ประการที่กล่าวมา

ถ้าท่านเคร่งครัดปฏิบัติตนตามที่เรากล่าว

จะช่วยให้ท่านทั้งหลายใกล้นิพพานมากขึ้น

แต่จงอย่าเชื่อว่าการนั่งหลับตาสมาธิ

แล้วมันจะช่วยให้ท่านเป็นผู้วิเศษกว่าใครได้

มันจะช่วยให้ท่านถึงนิพพานได้

 

ในเมื่อคนนำทางของท่านเอง

ถือศีลเคร่งครัดปฏิบัติธรรมเคร่งเครียด

ก็ยังหลงทางไปนิพพานกันอยู่จนบัดนี้

ท่านทั้งหลายผู้อ่อนศีลอ่อนธรรมกว่าเยอะ

จะก้าวตามเขาไปจะไหวหรือ

 

ดังนั้น

ท่านทั้งหลายต้องกลับมาถามตัวเองบ้างว่า

 

1. จิตวิญญาณของท่านเป็นใคร มาจากไหน

2. จิตวิญญาณของท่านมาเกิดเป็นคนทำไม

3. จิตวิญญาณของท่านมีหน้าที่ต้องทำสิ่งใด

4. จิตวิญญาณของท่านต้องไม่ทำสิ่งใดบ้าง

 

5. จิตวิญญาณของท่าน

เลือกก้าวตามคนนำทางตาบอดตลอดมา

จนเกิดความเสียหายมาหลายภพชาติแล้ว

เช่น จำบ้านเกิดของจิตวิญญาณไม่ได้

โดยไม่รู้ว่าตนเองมาจากไหน ใครให้มาเกิด

จึงไม่เคยคิดที่จะกลับบ้าน

คิดแต่จะตายไปจากโลกอย่างเดียว

เพียงเพื่อจะพ้นทุกข์ไปจากโลกนี้เท่านั้น

 

เพราะจำพันธะสัญญา 6 ประการ

ที่ให้ไว้ต่อพระบิดาแห่งจิตวิญญาณไม่ได้

เมื่อจำไม่ได้ก็เลยผิดสัจจะกันมาตลอด

เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์แล้วไม่ทำหน้าที่

แล้วจะให้ท่านนิพพานจริงๆได้อย่างไร

 

เพราะจำบทละครที่ตนเองเขียนมา

เพื่อแสดงร่วมกันกับคนในครอบครัว

ที่เรียกว่า "พันธะสัญญากรรม"

หรือ "ชะตาชีวิต" ไม่ได้

 

จึงไม่รู้ว่าการแสดงออกหรือกระทำต่อกัน

ไม่ว่าด้านดีสุดขีดหรือด้านร้ายสุดชั่ว

มันล้วนเป็นบททดสอบจิตสามนึก

ที่ร่วมขีดเขียนกันขึ้นมาก่อนมาเกิดชาติแรก

 

เพื่อสั่นสะเทือนจิตสามนึกต่อกันด้านบวก

เพื่อใช้พลังความรักที่เกิดขึ้นมอบให้โลก

เพื่อช่วยให้โลกหมุนรอบตัวเองได้ต่อเนื่อง

จะยังผลให้ดาวโลกดวงนี้สมดุล

ตามพระคำของศาสดาที่ว่า

#เมตตาธรรมค้ำจุนโลก ได้อย่างเป็นรูปธรรม

แต่พวกท่านก็พากันล้มเหลวอีกเพราะไม่รู้

 

1. ที่พวกท่านไม่รู้

เพราะคนนำทางตาบอดก็ไม่รู้

 

2. ที่พวกท่านไม่รู้

เพราะท่านปฏิเสธพระบุตรเอก

ซึ่งเป็นพระศาสดาที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า

โดยไม่ยอมพิจารณาว่า

 

พระบุตรเอกคือใคร

พระบิดามีพระบัญชาให้ลงมาจุติเป็นมนุษย์

ในปลายยุคพลังงานเก่าที่กำลังกลียุคทำไม

ท่านจะได้รับประโยชน์อะไร

จากการรับฟังพระบุตรเอกบ้าง เป็นต้น

 

3. เพราะท่านเชื่อว่า "มหาคุรุ"

มีเพียงคนเดียว

คือคนที่ท่านยึดถือจนยึดติดเท่านั้น

 

4. เพราะท่านเชื่อว่า "มหาคัมภีร์"

มีเพียงเล่มเดียว

คือเล่มที่ท่านติดยึดจนยึดติดเท่านั้น

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

 

เวลาที่จะให้ท่านได้มีสติทางวิญญาณ

มันเหลือน้อยลงทุกที

ซึ่งมันสวนทางกันกับเวลาที่จะเกิดมหันตภัย

ตามแผนปฏิบัติการชำระโลก

เพื่อเปลี่ยนโลกสู่ยุคพลังงานใหม่

 

จงอย่ามัวหลับตาปิดหู

ก้าวตามคนนำทางตาบอดอยู่อีกเลย

จงเปิดตาของท่านขึ้นสัมผัสกับแสงสว่าง

เพื่อหันมาต่อสู้กับความรู้แจ้งโดยไว

เรามาช่วยจุดตะเกียงให้ท่านแล้ว

จงเร่งรีบเติมน้ำมันใส่ตะเกียงของท่านเถิด

อย่าทำตัวเหมือนกลัวแสงสว่างอีกเลย

 

เราขอยืนยันว่าเรากลับมาเพื่อช่วยท่าน

เรากลับมาเพื่อแกะท่านออกไปจากโลก

เราจะพาท่านผ่านประตูมิติกลับเข้าคอก

กลับไปหาเจ้าของแกะผู้ทรงเป็นเจ้าของคอก

ซึ่งอยู่นอกทุ่งเลี้ยงแกะคืออนันตจักรวาล

 

ใครไม่อยากถูกแขวนอยู่บนสวรรค์มายา

ใครที่ปรารถนาจะกลับบ้าน

ใครมีตามีหูมีเท้าก็จงก้าวตามเรามาเถิด

ประตูนิพพานเพื่อการหลุดพ้น

พร้อมจะเปิดออกสำหรับท่านทั้งหลาย

มานาน.........แล้ว

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

3-11-2019