03 ธันวาคม 2558

มีดยิ่งลับ ยิ่งคม


นักเรียนที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เนื่องจากมีความคิดคำนึงของบางท่าน
ที่แสดงออกมาถึงเราซึ่งน่าสนใจมาก
เชื่อว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่

เราจึงนำมาโพสท์ไว้ในห้องเรียนใหญ่นี้
ทั้งความคิดเห็นของผู้ส่งมา
ซึ่งเราขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่กล่าวนาม
ของเจ้าของความคิดคำนึงนี้
และส่วนที่เป็นคำกล่าวของเรา
เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้เรียนรู้

ขอขอบคุณเจ้าของความคิดคำนึงท่านนี้
มา ที่นี้
****************************************

กราบพระบิดาและท่านอาจารย์ค่ะ

หนูเคยได้รู้ว่าหลายเรื่องที่สอนๆกันอยู่แล้ว
และยังเอามาปฏิบัติตามจนเป็นวัฒนธรรมไทยๆ
โดยกล่าวอ้างว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า
จากพระไตรปิฎกนั้นไม่ถูกต้อง...
อาจเป็นการบิดเบือน
เพื่อให้ได้ดังใจ(ตามกิเลสของคน)ผู้ตีความ/ผู้แปล
แปลพระไตรปิฎกผิดโดยไม่ตั้งใจ
เพราะปัญหาทางภาษา...
เช่นเรื่องทานเนื้อสัตว์ได้/เรื่องพระต้องโกนคิ้ว...

เมื่อท่านอาจารย์เตือนเรื่องความเชื่อ
ที่ถูกสอนๆกันมาก็มีผิดบิดเบือนไป...
ทำให้ต้องมาคิดว่าจะต้องเทขยะความเชื่อ
ที่มิได้มีการพิจารณาก่อนเชื่อออกมาทิ้งก่อน...
แล้วค่อยๆใช้มหาสติคิดก่อนจะปฏิบัติอะไรอะไรออกไป...

แต่ไม่เคยคิดว่าการเลือกคบคนนั้น
มีผลต่อการปฏิบัติขนาดนี้...

หนูกลับคิดว่าการเลือกคบคน
ในขณะที่จิตปัญญาของเรายังเด็กๆ...
มิมีสติมากพอจะสามารถเอาตัวรอดจากการไฝ่ตำ่ได้...

มิได้หมายความว่าจะไม่คบคนต่างๆเลย...
แต่อาจเป็นการอยู่ห่างๆไม่จำเป็นต้องคบสนิด
เมื่อจิตสำนึกและสติปัญญาไม่แข็งแรงพอ...

เมื่อใดที่เรามีสติปัญญาและจิตสำนึกแข็งแรงพอประมาณ
ค่อยเข้าคบทุกคนเพื่อสู้กับบทเรียนต่างที่เข้ามา
และได้เรียนรู้บทเรียนนั้นๆ
โดยไม่ก้าวล่วงหรือไม่ก่อบาปต่อกัน...

ขอกราบขออภัยที่แสดงความเห็นเหล่านี้...
เพราะหนูเองยังคิดว่าตนยังมีจิตสำนึกและสติปัญญา
ไม่แข็งแรงพอจะคบคนทุกรูปแบบ...
บางแบบนั้นกิเลสร้ายแรงเหลือขอจริงๆค่ะ...
คบแล้วเหนื่อยมากค่ะ

กราบ

ANSWER:

ถ้าท่านมีมีดทำครัวอยู่เล่มหนึ่ง
ความต้องการสูงสุดของท่าน
จากมีดเล่มนี้ คือ ความคม

ถ้าหากท่านต้องใช้มีดเล่มนี้ทำครัว
ประกอบอาหารในทุกมื้อต่อๆไป
แต่ท่านพบว่ามีดในมือท่านมันทื่ออยู่

1.ท่านจะรีบลับมันเดี๋ยวนี้
เพื่อทำให้มีดคมพร้อมใช้งาน
ในการทำครัวเลย

2.หรือ เห็นว่ามีดเล่มนี้
ยังไม่พร้อมที่จะลับ
สู้ค่อยๆเลือกผักเลือกหญ้า
ที่มันไม่แข็งมาก ไม่เหนียวมาก
หรือไม่หนามาก
ชนิดที่ไม่ต้องใช้มีดคมๆหั่น
มาทำกับข้าวแทนไปก่อน

3.การไม่ยอมลับมีดให้คม
ทั้งๆที่มีหินให้ลับ

หินก็คือคนไม่ดี
หินที่หยาบมากก็คือคนที่ชั่วมาก
มีดทื่อๆก็คือจิตปัญญาของท่าน

ถ้าเอามีดลับกับหินหยาบมากๆ
มีดของท่านก็จะคมเร็ว 
ใช้แรงลับไม่มาก ประหยัดเวลาด้วย

ถ้าลับมีดกับหินหยาบน้อย
ท่านต้องใช้เวลาลับนานมาก
ต้องเปลืองแรงเยอะ
เผลอๆมันจะคมไม่ทันใช้ทำครัว
ในมื้ออาหารถัดไป

ซึ่งหมายถึงจิตปัญญาของท่าน
มันจะฉลาดคมไม่ทันใช้
ในการเผชิญบททดสอบสำคัญ
ที่มันกำลังจะมาเยือนท่าน
ในวันใดวันหนึ่งข้างหน้านั่นเอง

4.ท่านไม่สมควรกลัวหินลับมีด
มีดทำครัวจักต้องคมพร้อมใช้
ให้ทันเวลาเสมอ

มีดจะคมไว 
ต้องลับด้วยหินหยาบๆฉันใด
ท่านจะแกร่งและฉลาดได้
ก็ย่อมต้องเรียนรู้จากการคบคนชั่ว
เช่นเดียวกัน

คบคนยิ่งชั่วมาก 
จะยิ่งช่วยให้ท่านฉลาดมากขึ้น
และมีมหาสติแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น

เอเมน สาธุ
.วิสุทธิปัญญา

3-12-2015

02 ธันวาคม 2558

พระพุทธองค์ทรงให้เลือก "เดินคนเดียว" จริงหรือ?


จงอย่าจาบจ้วงพระศาสดา
ด้วยการบิดเบือนพระคำของพระองค์ให้ผู้คนหลงผิด
เพราะคิดแต่จะหาผลประโยชน์ทางศาสนพาณิชย์
เพราะคิดแต่จะล่าสาวก
จนทำให้ศาสนาตกต่ำ
จนนำความเสื่อมทางจิตสำนึกมาสู่หมู่ชนในสังคม
จนยากที่จะแก้ไขเยียวยาแล้วในทุกวันนี้

สไลด์ที่เรานำมาเป็นบทเรียน
สำหรับท่านทั้งหลายในวันนี้
เป็นที่ปรากฏเผยแพร่ในหมู่ศาสนิกทั้งหลาย
ติดต่อกันมานานหลายสัปดาห์แล้ว
มีใจความที่เป็น "ขยะ" ดังต่อไปนี้...

***
ถ้าหาคนที่มีศีลเสมอกันหรือสูงกว่า
เดินไปด้วยกันไม่ได้...

พระพุทธองค์ทรงให้เลือก 
"เดินไปคนเดียว"
เพราะเลือกคบคนอย่างไร
เราก็จะเป็นอย่างนั้น

ถ้าคบคนพาล คนโกง
หลงโลก หลงกามคุณ
ถ้าสติเราไม่พอ
อีกไม่นานเราก็จะซึมซับสิ่งเหล่านั้น
โดยไม่รู้ตัว

คนฉลาดใช้ชีวิต
จึงเลือกคบกัลยาณมิตร
ถ้าไม่มีคนมีศีลมีธรรมรอบตัวเลย
จงเลือก "เดินคนเดียว"
และมี "สติ" เป็นเพื่อน
*******
เราจะขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ที่เขาอ้างว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ดังกล่าวนั้น
ไม่เป็นความจริงพันเปอร์เซ็นต์

ที่เป็นความเท็จเป็นความไม่จริง
เพราะว่าพระพุทธองค์นั้น
ทรงมีพระสัมมาสัมโพธิญาณ
ที่เหนือกว่ามนุษย์สามัญคนใดๆจะเข้าถึงได้
จนสามารถตรัสรู้ข้อธรรมะ
ระดับอนุตรธรรมบทสำคัญ
เรื่อง "ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร" ได้เช่นนี้แล้ว
จะทรงมีพระธรรมคำสอนผิดๆในเรื่องง่ายๆ
ที่เป็นธรรมะแค่ระดับโลกียะข้างต้นนั้นได้อย่างไร
ย่อมเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน

1.ที่บิดเบือนว่า....
"ถ้าหาคนที่มีศีลเสมอกันหรือสูงกว่า
เดินไปด้วยกันไม่ได้...
พระพุทธองค์ทรงให้เลือก 
"เดินไปคนเดียว"

นักเรียนจงอย่าเชื่อคำกล่าวนี้
เพราะมันมิใช่สัจธรรมที่ถูกต้องถ่องแท้เลย

ถ้าท่านทั้งหลายเป็นมนุษย์
ท่านต้องเป็นสัตว์สังคม
หน้าที่หลักของพวกท่านคือ
ต้องเรียนรู้ที่จะเป็นหนึ่งเดียวกันกับคนอื่นๆ
ที่เขาอาจมีนิสัยสันดานแตกต่างกันกับท่านให้จงได้

ท่านจึงไม่มีอำนาจหน้าที่ใดๆ
ที่จะผลักไสคนที่ต่ำกว่าท่าน
ให้ออกไปจากสังคมของท่าน
หรือแยกตัวท่านเอง
ออกมาจากผู้คนที่ต่ำกว่าท่าน

เพราะถ้าทำตามหรือเชื่อตามคำกล่าวนั้น
มันคือการสอนมนุษย์ให้แบ่งแยกชนชั้นกัน
มันคือการสอนให้ท่านหลงตัวเอง 
สอนให้ท่านยกตัวเองเหนือผู้อื่นโดยแท้

สมมติว่าในสังคมของท่านนี้
ถ้ามีแต่คนที่มีศีลมีดีเสมอกันกับท่าน
แล้วท่านจะฝึกการยกระดับจิตปัญญา
เพื่อชำระจิตให้ใสสร้างใจให้สวย
ร่ำรวยความฉลาดทางอารมณ์และปัญญา
เพื่อแสดงความรักความเมตตากับใครล่ะ

ถ้าท่านจะเลือกคบแต่คนที่มีดีมีศีลเหนือท่าน
ท่านก็จะเป็นได้แค่เพียงผู้รับเอาแต่สิ่งดีๆจากผู้อื่น
ท่านก็จะเป็นได้แค่เพียงผู้ยื่นบทเรียนและบททดสอบ
ให้แก่คนที่เขามีดีเหนือกว่าท่านอยู่แล้วนั้น
ได้ฝึกการพัฒนาจิตปัญญาของเขา
ที่สูงอยู่แล้วให้สูงยิ่งขึ้นไปอีกเท่านั้นเอง

นี่คงจะเป็นสิ่งดีๆที่จะเหลือไว้ให้ท่าน
จากการเลือกคบแต่คนที่มีศีลเหนือกว่าแค่นั้นเอง

2.ตรงที่แอบอ้างคำสอนพระศาสดาอีกว่า
..........
"เพราะเลือกคบคนอย่างไร
เราก็จะเป็นอย่างนั้น

ถ้าคบคนพาล คนโกง
หลงโลก หลงกามคุณ
ถ้าสติเราไม่พอ
อีกไม่นานเราก็จะซึมซับสิ่งเหล่านั้น
โดยไม่รู้ตัว"

นักเรียนจงอย่าเชื่อคำกล่าวนี้
เพราะมันมิใช่สัจธรรมที่ถูกต้องถ่องแท้เช่นกัน

การที่ท่านคบคนพาลคนโกงหรือคนไม่ดี
มันน่าจะเป็นประโยชน์ต่อท่านที่รู้ตัวว่า
มีสติไม่เพียงพอมากกว่าจะเป็นโทษ
ที่เรากล่าวเช่นนี้ก็เพราะว่า

(1).ท่านรู้ตัวแล้วว่าท่านมีสติไม่พอ
ท่านจึงควรจะต้องเร่งฝึกฝนการมีสติให้มากขึ้น

(2).การคบคนไม่ดีดังกล่าวนั้น
มันจะช่วยให้ท่านมีสติ 
สำรวม ระวังตนอยู่ตลอดเวลา
เพื่อมิให้ท่านซึมซับรับเอาสิ่งไม่ดีนั้นไปตามพวกเขา
ทั้งนี้เนื่องจากท่านน่ะรู้ตัวอยู่ตั้งแต่ต้นแล้วว่า
พวกเขาเป็นคนไม่ดีไงล่ะ

นี่จึงเท่ากับว่าการคบคนไม่ดีนั้น
มันจะช่วยให้ท่านมีสติมากขึ้นโดยแท้
เพราะท่านได้ฝึกจิตฝึกสติอยู่ตลอดเวลา

ดังนั้น
การคบคนชั่วแล้วชั่วตาม
การคบคนดีแล้วดีตาม

นั่นเท่ากับว่าตัวท่านเองต่างหาก
ที่จะต้องระวังตนเองไว้ให้มากเป็นพิเศษ
มิใช่ไประแวงระวังคนรอบข้างที่เขาไม่ดี

การที่เขาเป็นคนแบบไหนที่ไม่ดี
แล้วท่านไปซึมซับรับเอาสิ่งไม่ดีของเขามานั้น
คนที่น่ากลัวที่สุด
น่าจะเป็นตัวท่านนี่เองแหละ
มิใช่คนอื่นหรอก

3.นอกจากนั้นคำสอนที่ไม่ถูกต้อง....
ที่ว่า.........

"คนฉลาดใช้ชีวิต
จึงเลือกคบกัลยาณมิตร
ถ้าไม่มีคนมีศีลมีธรรมรอบตัวเลย
จงเลือก "เดินคนเดียว"
และมี "สติ" เป็นเพื่อน"
........

เป็นคำสอนที่ท่านจะปฏิบัติตามไม่ได้เลย
เพราะถ้าท่านเป็นมนุษย์เป็น
ท่านจักต้องใช้ชีวิตร่วมกันกับใครก็ได้
ทำงานร่วมกันกับใครก็ได้
อยู่ร่วมสังคมเดียวกันกับใครก็ได้
มิใช่เลือกคบแต่คนดีๆ
แล้วปฏิเสธคนที่ไม่ดีไม่เลือกคบหา

เราใคร่บอกให้ท่านรู้ว่า
ทั้งตัวท่านเองและคนรอบข้าง
ไม่มีใครดีเลิศไปเสียทุกสิ่งอย่างหรอก
เพราะแต่ละคนจะมีทั้งดี เด่น และด้อยทั้งนั้น
หน้าที่ของแต่ละคนก็คือ
ทำตนให้เป็นหนึ่งเดียวกันกับทุกๆคนให้จงได้

(1).เรียนรู้ที่จะยอมรับความแตกต่าง
ของกันและกันทั้งด้านดีและด้านที่ไม่ดี

(2).เรียนรู้ที่จะรักกันให้ได้
แม้เขาคนนั้นจะทำตัวไม่น่ารัก

(3).เรียนรู้ที่จะให้อภัยเขาให้ได้
แม้เขาคนนั้นทำตัวไม่น่าจะให้อภัย

(4).เรียนรู้ที่จะเป็นคนดีให้มากขึ้น
จากการได้คบกับคนที่เขาไม่ดี
โดยอาศัยคนที่ไม่ดีนั่นแหละเป็นครู
สอนให้ท่านเองรู้ว่าต้องไม่เอาเยี่ยงอย่าง

ดังนั้น
การเลือกคบแต่กัลยาณมิตรถ้ามีให้เลือก
หรือถ้าไม่มีให้เลือกก็อ้างพระพุทธองค์ว่า
ทรงสอนให้ "เดินคนเดียว" นั้น
นอกจากจะเป็นคำสอนที่โง่ๆ
และเป็นการสอนให้คนไม่ฉลาดแล้ว
ยังเป็นการบังอาจป้ายสีต่อพระพุทธองค์อีกด้วย

นักเรียนที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจึงจะกล่าวต่อท่านทั้งหลายว่า
ต่อไปนี้จงศึกษาธรรมะด้วยปัญญา
แทนการใช้ศรัทธาและอารมณ์รู้สึกเถิด

จงอย่าเชื่อทันทีที่มีใครกล่าวอ้างว่า
พระศาสดาทรงตรัสสอนว่าอย่างนั้นอย่างนี้
จงอย่าเชื่อทันทีที่พบว่าผู้กล่าวนั้น
ทั้งวาจาและบุคลิกของเขาน่าศรัทธาเลื่อมใส
เพราะท่านอาจหลงทางไปนิพพานได้ทันที
เหมือนตัวอย่างคำสอนที่แอบอ้างพระศาสดา
ที่เราหยิบฉวยมาให้สติแก่ท่านนี่แหละ

หมายเหตุ:
คำกล่าวออกจะยืดยาวสักหน่อย
ค่อยๆอ่านก็แล้วกันนะ....

เอเมน สาธุ
.วิสุทธิปัญญา
2-12-2015

___________________________________
จงทำความหลงผิดให้กระจ่าง
อย่าแอบอ้างว่าพระพุทธเจ้าสอนสั่ง
ทั้งๆที่มโนกันไปเอง....
***********************************
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
คำกล่าวของพระพุทธเจ้าที่ว่า

"ถ้าหาคนที่มีศีลเสมอกันหรือสูงกว่า
เดินไปด้วยกันไม่ได้...
พระพุทธองค์ทรงให้เลือก 
"เดินไปคนเดียว"
เพราะเลือกคบคนอย่างไร
เราก็จะเป็นอย่างนั้น"

เป็นการยกเอามาอ้างแบบบิดเบือน
เพราะพระพุทธองค์มิได้ทรงกล่าวสอน
เช่นว่านั้นเลย....
สาธุคุณทั้งหลายเอ๋ย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

1.คำกล่าวที่ถูกต้อง
ที่พระพุทธเจ้าทรงกล่าวไว้จริงๆนั้น
มีความว่าดั่งนี้ต่างหากล่ะ

"ถ้าเธอหาคนที่มีศีลเสมอกันหรือสูงกว่า
เดินไปด้วยกันไม่ได้......ชั่วชีวิตนี้
เธอคงต้องเดินไปคนเดียวแล้วล่ะนะ"

2.เราใคร่ถามท่านทั้งหลายว่า
ความในเครื่องหมายคำพูดในข้อ 1.นั้น
มีตรงไหนที่ทรงตรัสสั่งสอนว่า
ให้เลือกที่จะเดินไปคนเดียว!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
????????????????

3.ท่านไม่รู้หรือว่า
คนที่ต้องเดินคนเดียวบนโลกนี้
ทั้งๆที่มีคนรอบข้างตั้งมากมายนั้น
มีสาเหตุจาก 2 ประการเท่านั้นเอง คือ

*ประการแรก
เพราะไม่มีใครต้องการจะเดินด้วย
หมายถึง ไม่มีใครคบ

*ประการที่สอง
เพราะไม่ต้องการจะเดินกับใครเลย
หมายถึง มองคนอื่นไม่มีคุณค่าแก่การคบหา

4.ท่านรู้หรือไม่ว่า.....ปกติแล้ว
การมองหาคนที่มีศีลเสมอกันไม่เจอนั้น
หมายถึงท่านมองเห็นแต่คนที่
มีศีลต่ำกว่าและสูงกว่าท่านเท่านั้นเอง
ใช่มั้ย?

5.แต่มนุษย์คนนี้นั้น......
นอกจากจะมองหาคนที่มีดีเสมอกับตนไม่เจอแล้ว
ยังมองหาคนที่มีศีลสูงกว่าตน
หรือมองหาคนที่เขาเป็นคนดีกว่าตนไม่พบอีกด้วย
แสดงว่า....นายคนนี้หลงตัวเองชัดๆ!!!

ที่เรากล่าวว่านายคนนี้หลงตัวเอง
เพราะเขาคิดว่าตนเองดีที่สุด
มีศีลสูงสุดเกินกว่ามนุษย์ทั้งโลกเลย
เขาจึงมองไม่เห็นคนที่มีศีลเสมอกันกับตน
เขาจึงมองไม่เห็นคนที่มีศีลสูงกว่าตน
กรรมเวรแท้ๆ....หนอ

6.ด้วยเหตุนี้เอง
พระพุทธองค์จึงทรงตรัสกับนายคนนี้
ซึ่งเราขออนุญาติพระพุทธองค์กล่าวแทน
เป็นภาษาชาวบ้านว่า.....

"ถ้าเธอหาคนดีเท่าเธอและดีกว่าเธอ
คบหาสมาคมด้วยไม่ได้
งั้นเธอก็เดินไปคนเดียวก็แล้วกัน
เพราะเธอมองคนอื่นๆว่าเขามีศีลธรรม
ต่ำกว่าเธอทั้งนั้นเลย"

7.ศาสนิกทั้งหลายจักต้องระวัง
การเสพธรรมะของท่านเอาไว้ด้วย

พระคำและพระธรรมจากโอษฐ์พระศาสดา
ที่ตกทอดผ่านความจำของผู้คน
ติดต่อกันมานานนับพันๆปีแล้วนั้น
ยังมีอีกมากมายหลายบทหลายตอน
ซึ่งตกอยู่ในลักษณะที่เรายกมากล่าวนี้

นี่จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่เราต้องกลับมา
กลับมาชำระพระโอวาทพระบิดา
ซึ่งถูกบิดเบือนไปจากที่เราเคยกล่าวไว้
นานสองพันกว่าปีมาแล้ว...

เอเมน สาธุ
.วิสุทธิปัญญา
4-12-2015

สามเหลี่ยมแห่งการเป็นมนุษย์


แม้ท่านจะนิพพานก่อนตายได้แล้วจริงๆ
แต่จิตเดิมแท้ของท่านนั้น
จะเดินทางกลับไปกราบพระบิดายังไม่ได้
ถ้าจิตยังขาดจุดหมายปลายทาง

ไม่ต่างจากแล่นเรือ
หากไม่ตั้งหางเสือไม่กำหนดทิศทางที่จะไป
แล้วเรือของท่านมันจะไปที่ไหนทางใดได้ล่ะ?

ดังนั้น.......
สิ่งที่ขาดไม่ได้ คือ สามเหลี่ยมแห่งการเป็นมนุษย์
มันจะต้องปรากฏอยู่ดั่งดอกบัวบาน
อยู่ในท่ามกลางจิตมนุษย์ของท่านทุกผู้คน!!!

สามเหลี่ยมแห่งการเป็นมนุษย์ของท่าน
เป็นรูปทรงเรขาคณิตลักษณะ 3 เหลี่ยม 3 มุม
มีพระบิดาทรงเป็นส่วนยอด
มีเราซึ่งเป็นผู้ที่ทรงใช้ให้มา
เพื่อเป็นสื่อกลางและทางผ่านอยู่มุมหนึ่ง
และมีตัวท่านเองหรือมนุษย์ทุกคน
ที่ขันอาสามาอยู่อีกมุมหนึ่ง

การครองสามเหลี่ยมทุกขณะจิตทำได้โดย
สำนึกรู้ว่าท่านมีพระบิดาอยู่เหนือเกล้า
สำนึกรู้ว่ามีเราเป็นผู้นำทาง
สำนึกรู้ว่ามีตัวท่านเองเป็นผู้"ยึดโยง"อยู่

ถ้าหากสำนึกรู้ใดบกพร่องหรือหายไป
สามเหลี่ยมรูปนี้จะสลายตัวไปในความว่าง
เพราะตัวท่านเองนะแหละ
ที่ทำเสียเหลี่ยมเสียมุม....

เอเมน สาธุ
.วิสุทธิปัญญา

1-12-2015

30 พฤศจิกายน 2558

จงหยิบปัญญามานิพพาน


ท่านศาสนิกชนคนประพฤติธรรมทั้งหลาย

การที่ท่านมักมีปัญหากับผู้อื่นอยู่เนืองๆนั้น
หากไม่เป็นเพราะว่าท่านเป็นผู้ริเริ่มก่อน
ด้วยการกระทำบางสิ่ง
ให้เขาเสียสมดุลในจิตใจ
ไปในทางต่ำลงแล้ว
ก็ตัวเขาเองนั่นแหละที่เป็นฝ่ายริเริ่มก่อน
จนยังผลให้ตัวท่าน
ค้ำจุนความสมดุลในจิตใจตนเองเอาไว้ไม่ได้

การเสียสมดุลในจิตใจของพวกท่านนั้น
มีหลายอาการอย่างที่คุ้นชินกันอยู่เช่น

หงุดหงิด ขุ่นข้อง หมองใจ 
โกรธ เกลียด เคียดแค้น 
อาฆาต พยาบาท

ซึมเซา เศร้าสร้อย หม่นมัว
เสียใจ เสียดาย
โหยหา อาลัย อาวรณ์

หลากหลายอาการเหล่านี้
เป็นผลจากการเสียสมดุลทางจิตใจทั้งสิ้น

สาเหตุแห่งทุกข์ใจเหล่านี้ล้วนมาจาก
ความไม่รู้ของพวกท่านเป็นหลัก

**หลักที่ 1.
เป็นเพราะท่านไม่รู้ว่า
ที่เขากระทำไม่ถูกต้องต่อตัวท่านนั้น
มันเป็นไปตามคุณสมบัติด้านลบของเขา
ซึ่งหมายถึงเป็นสันดานด้านไม่ดีของเขา
ที่เขาจะใช้แสดงออกหรือกระทำกับทุกๆคนเลย
ไม่ใช่กระทำกับท่านคนเดียวในโลกนี้หรอก

ดั่งเช่นฟักที่ต้มสุกในน้ำซุปเดือดๆนั่น
เพราะท่านชอบทานมันและอยากทานเร็วๆ
เวลาตักซดเข้าปากหากมันจะร้อนลิ้นกินยาก
ขนาดปากพองลิ้นไหม้
ท่านก็ยังไม่โทษน้ำซุปร้อนฟักร้อนชิ้นนั้น
แต่ท่านโทษตัวเองที่รีบสวาปาม
โดยไม่ทำให้มันร้อนน้อยลงเสียก่อนเสมอ
แล้วท่านก็จะจำไว้ว่าครั้งหน้าถ้าท่านจะซดอีก
ท่านจะต้องรอบคอบให้มันมากกว่านี้

อีกทั้งท่านเองก็รู้ว่า.....
ชิ้นฟักในน้ำซุปที่ต้มจนเดือดพล่านอยู่นั้น
ใครตักมันเข้าปากก็ลำบากปากลำบากลิ้นทั้งนั้น

เปรียบกับเพื่อนมนุษย์นิสัยไม่ดีคนนี้ก็เหมือนกัน
เพราะท่านคบหาสมาคมกันกับเขา
โดยไม่รอบคอบไม่ระวังตัวหรือขาดสติ
ก็ย่อมถูกเขาใช้คุณสมบัติด้านลบนิสัยที่ไม่ดี
แสดงออกหรือกระทำต่อตัวท่านเข้าให้นั่นแหละ

เมื่อไหร่ที่จิตของท่านบอกกับตนเองว่า 
"ท่านเป็นผู้ถูกกระทำ"
จิตของท่านก็จะสั่นสะเทือนไปตามจริตของมันทันที

ถ้าเป็นคนมีนิสัยฉุนเฉียวโทสะจริตรุนแรงเคยตัวอยู่
ท่านก็จะแสดงออกทางอารมณ์รุนแรงตอบโต้ทันที

ถ้าเป็นคนมีนิสัยขี้ใจน้อยอยู่
ก็จะแสดงอาการน้อยใจตอบสนองทันที

ถ้าเป็นคนมีนิสัยชอบเก็บกด
ท่านก็จะแสดงอาการสลดหดหู่ใจ 
หรือซึมเซา เศร้าหมองเข้าไปโน่นล่ะ

ในทางกลับกัน
ถ้าเป็นผู้ที่ผ่านการฝึก"มหาสติ"มาอย่างดี
ก็จะรู้จักแยกขี้หรือกากออกจากเนื้อที่มีสาระได้ไม่ยาก
ขี้หรือกากก็คืออารมณ์ไม่สมดุลก็จะถูกท่านกำจัดทิ้งไป
ท่านก็จะเลือกหยิบเอาแต่เนื้อที่มีสาระขึ้นมาแทน

หากครอบครัวจิตจักรวาลและศาสนิกทั้งหลาย
ปฏิบัติตามมรรควิถีแห่งเราเชิญชี้ดังว่านี้
เรื่อง "ยึดติดอัตตา" หรือ ไม่ยึดติดอัตตานั้น
มันจะกลายเป็นเรื่องนอกคัมภีร์ไปทันที

นี่ที่เรากล่าวมา
ยังเป็นเพียงแค่หลักที่ 1.
อันเป็นเหตุแห่งทุกข์ใจของพวกท่านเท่านั้นนะ

เอเมน สาธุ
.วิสุทธิปัญญา

30-11-2015

29 พฤศจิกายน 2558

ธรรมวิถีแแห่งจิตจักรวาล: "เรื่องของหมา กับเรื่องของคน"


ธรรมวิถีแแห่งจิตจักรวาล:

"เรื่องของหมา กับเรื่องของคน"
*******************************
เพราะมันมี ปัญหา หมาจึงเห่า
จะเห่าเรา เห่าใคร ตามใจหมา
การที่เรา ตกใจ ตื่นขึ้นมา
ปัญหาว่า จะหลับใหม่ ทำไงดี...

เอเมน
.วิสุทธิปัญญา
29-11-2015




26 พฤศจิกายน 2558

ธรรมวิถีแห่งจิตจักรวาล: ตอน ความรู้เรื่องกฎแห่งกรรม กรณี "กรรมสนองอย่างไร?"


ธรรมวิถีแห่งจิตจักรวาล:
ตอน ความรู้เรื่องกฎแห่งกรรม
กรณี "กรรมสนองอย่างไร?"
******************************
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า...

กฎแห่งกรรมนั้นไม่ต้องมีใครควบคุมมัน
ใครเป็นผู้ก่อกรรมนั้นขึ้นมา
คนผู้นั้นจักต้องรับผิดชอบในผลกรรมนั้นเสมอ
ไม่ช้าก็เร็ว....ไม่ช้าก็เร็ว.....ไม่ช้าก็เร็ว

ในมิติทางพลังงานด้านของจิตวิญญาณนั้น
เมื่อใดก็ตามที่จิตปัจจุบันของท่าน
มีอาการสั่นสะเทือนเกิดเป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดขึ้นมา
ไม่ว่าจะเป็นด้านบวกหรือด้านลบก็ตาม
มันก็จะก่อให้เกิดพลังงานกรรม
ในรูปของคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็ก
แล้วแผ่กระจายจากจิตของท่านออกมาภายนอก
ในรูปของคลื่นวงกลมเป็นระลอกๆอย่างต่อเนื่อง
ตราบเท่าที่จิตของท่าน
ยังสั่นสะเทือนเป็นอาการเช่นนั้นอยู่

ถ้าจิตของท่านเกิดการสั่นสะเทือน
เป็นอาการที่รุนแรง เช่น โกรธจัด ฉุนเฉียว วู่วาม
หนำซ้ำยังโกรธนาน เสียสมดุลทางอารมณ์นาน
มันจะก่อให้เกิด "คลื่นวงกลม" ขนาดใหญ่
เหวี่ยงออกมาเป็นระลอกไล่ตามกันมาอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งจิตที่สั่นสะเทือนเป็นโทสะ โลภะ โมหะ
จะมีลักษณะของคลื่นในแบบที่ว่านี้ทั้งสิ้น

เนื่องจากจิตเมื่อสั่นสะเทือนแล้ว
เกิดเป็นพลังงานในรูปคลื่นวงกลมขนาดใหญ่นี่เอง
คนส่วนใหญ่จึงเรียกจิตของตนเองว่า "จิตหยาบ"

เมื่อคลื่นจิตชนิดหยาบๆของท่าน
กระจายตัวออกไปจากจิต
ที่เป็นต้นกำเนิดคลื่นพลังงานกรรมนั้น
มันจะใช้เวลานานพอสมควร
กว่าจะเดินทางไปถึงสุดขอบสนามพลังงานเอกภพ
และเมื่อถึงสุดทางแล้วคลื่นนั้นก็จะพากัน
ทะยอยวกกลับตามเส้นทางเดิม
เพื่อย้อนคืนสู่ต้นกำเนิดของมันก็คือตัวท่านอีกครั้ง

เนื่องจากตัวท่านที่ดำรงอยู่บนดาวเคราะห์โลก
มีพิกัดตำแหน่งอยู่ในโซนของศูนย์กลางของเอกภพ
ดังนั้นระยะทางไปและกลับของคลื่นพลังงานกรรม
จึงเป็นสองเท่าของรัศมีหรือเท่ากับ
ความยาวของเส้นผ่านศูนย์กลางของเอกภพนั่นเอง

ดังนั้น....
สมมติว่าถ้าท่านตัดสินใจผิดคิดผิด
ด้วยอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านลบแล้ว
ผลกรรมที่เกิดขึ้นนั้นสักวันหนึ่ง
มันก็จะสะท้อนย้อนกลับคืนมาหาท่าน
เพื่อให้ท่านได้พบเจอสถานการณ์แบบเดิมๆนั้น
จะให้ท่านได้ตัดสินใจใหม่เสียให้ถูกต้อง
นั่นคือ ต้องรักได้ ให้อภัยเป็น ดังที่รู้กันอยู่แล้ว

แต่เนื่องจากเส้นผ่านศูนย์กลางของเอกภพ
มีขนาดความยาวเท่ากับ 8 ล้าน 1 แสนล้านไมล์

ด้วยเหตุนี้เอง...
กว่าคลื่นพลังงานกรรมของท่าน
มันจะย้อนกลับคืนสู่ตัวท่าน
อย่างที่เรียกว่า "กรรมตามทัน" นั้น
จึงจำต้องใช้เวลาเดินทางไปกลับ
นานข้ามภพชาติกันเลยทีเดียว

เอเมน สาธุ
.วิสุทธิปัญญา
26-11-2015

21 พฤศจิกายน 2558

ปรากฏการณ์ก๊าซโอโซนรั่ว ในชั้นบรรยากาศโลก


ขณะนี้พบว่าเกิดรูรั่วของชั้นโอโซนเหนือขั้วโลกใต้
มีขนาดใหญ่เท่ากับพื้นที่ทวีปอเมริกาเหนือ!!!

เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
มีการตรวจพบว่า

ในชั้นบรรยากาศโลก
ตรงบริเวณแถบแอนตาร์กติกหรือขั้วโลกใต้
มีช่องโหว่หรือรูรั่วของโอโซน
กินพื้นที่กว้างราวๆ 25.8 ล้านตารางกิโลเมตร
ซึ่งถือว่าเป็นรูโหว่ที่ใหญ่ที่สุดเป็นประวัติิการณ์
เพราะเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่พอๆกับ
ทวีปอเมริกาเหนือทั้งทวีปเลยทีเดียว

ปรากฏการณ์ก๊าซโอโซนรั่ว
ในชั้นบรรยากาศโลกนี้
เป็นตัวชี้วัดได้เป็นอย่างดีว่า
ดาวเคราะห์โลกทุกวันนี้
กำลังขาดแคลนก๊าซอ๊อกซิเจนอย่างหนักแล้ว

เพราะในก๊าซโอโซน 1 โมเลกุลนั้น
จะได้จากการรวมตัวกัน
ของก๊าซออกซิเจนถึง 3 อะตอม 

ถ้าโลกมีปริมาณก๊าซอ๊อกซิเจน
ที่เหลือใช้แล้วเป็นปริมาณสูงมาก
ก๊าซโอโซนที่ลอยตัวขึ้นไปในชั้นบรรยากาศ
ก็จะถูกโลกดึงดูดเหนี่ยวรั้ง
ให้ปกคลุมหุ้มห่อโลกเอาไว้
อย่างหนาแน่นไร้ช่องโหว่รูโหว่เสมอ

แต่ถ้ามีปริมาณอ๊อกซิเจนที่เหลือใช้
น้อยกว่าที่พระบิดาทรงกำหนดเอาไว้มาก
โอโซนในชั้นบรรยากาศโลกจะเบาบาง
ถ้าน้อยกว่าพิกัดสมดุลที่ทรงกำหนดเอาไว้ให้
มันก็จะฟ้องด้วยช่องโหว่หรือรูรั่วดังที่ปรากฏในขณะนี้

แต่เนื่องจากก๊าซออกซิเจน
ที่มนุษย์และสัตว์ใช้หายใจ 
พืชต้องใช้อ๊อกซิเจน
ในกระบวนการสังเคราะห์แสงร่วมกับสีเขียวที่ใบ
เพื่อการผลิตสร้างอาหารเลี้ยงตนเองนั้น

ต้องใช้พลังงานความรักบริสุทธิ์จากจิตมนุษย์
ในรูปของคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
ที่มีจำนวนพลังงานมากพอและต่อเนื่อง
ลงไปทำปฏิกริยา "Nuclear Fission"
กับอะตอมของธาตุออกซิเจนเหลวบริสุทธิ์ 100%
ซึ่งติดตั้งอยู่ภายใต้ฝ่าเท้าของทุกท่าน
ภายในแกนกลาง (Core) หรือ "แก่น" โลก 

ดังนั้น...
การที่โลกเกิดปรากฏการณ์ช็อคจักรวาล
เพราะมีรอยรั่วของก๊าซโอโซนขนาดมหึมา
ในบรรยากาศทางขั้วโลกใต้นี้
จึงเป็นตัวชี้วัดความล้มเหลวของมนุษย์โดยรวม
ที่รักไม่ได้ ให้อภัยไม่เป็น มีกิเลสตัณหาครอบงำ
จนยังผลให้จิตสำนึกแห่งการเป็นมนุษย์
ของชาวโลกส่วนใหญ่ตกต่ำจนวิกฤตนั่นเอง

หากขืนปล่อยให้โลกเกิดรูรั่วชั้นโอโซน
มีขนาดกว้างใหญ่ไพศาลมากขึ้นเรื่อยๆเช่นนี้แล้ว
ภัยอันตรายที่มนุษย์ส่วนใหญ่รู้แล้วก็คือ
มนุษย์จะไม่ปลอดภัยจากรังสีบางอย่าง
ที่ถูกส่งมาจากดวงอาทิตย์และจากแหล่งอื่นในอวกาศ

นอกจากนั้นภัยมหันต์ที่มนุษย์โลกยังไม่รู้
นั่นคือ วันหนึ่งในอีกไม่นานข้างหน้า
มนุษย์และสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย
จะต้องเผชิญกับสถานการณ์วิกฤตของก๊าซออกซิเจน
จากการมีอ๊อกซิเจนในธรรมชาติไม่เพียงพอ
ทุกคนต้องแย่งกันหายใจ แย่งกันใช้อ๊อกซิเจน

หลายคนจะเกิดอาการปัญญาทึบคิดไม่ออก หัวช้า
หลายคนจะเกิดอาการวิงเวียนศีรษะ 
หลายคนจะเกิดอาการคลื่นไส้ อยากอาเจียน
หลายคนจะเกิดอาการหาวถี่ๆ ง่วงนอนผิดปกติ
หลายคนจะมีอาการหัวใจสั่นคล้ายใจจะขาด
หลายคนจะขาดสติง่ายมีอารมณ์รุนแรงเมื่อถูกยั่วยุ

หลายคนจะเหนื่อยง่าย เหนื่อยเร็ว 
แม้ออกกำลังกายเพียงเล็กน้อย

นักกีฬาบางคนอาจช็อคหมดสติหรือหัวใจวายคาสนาม
นักกีฬาบางคนที่ต้องใช้กล้ามเนื่อน่องขา
ก็จะเกิดอาการเป็นตะคิวกระทันหัน
ฯลฯ

ที่เรากล่าวเอาไว้ตั้งยืดยาวก็เพื่อให้ท่านทั้งหลาย
คอยติดตามเฝ้าสังเกตอาการเหล่านี้กันด้วยตนเอง
เพื่อจะได้รู้ตัวล่วงหน้าก่อนใครๆว่า
ภัยร้ายอันหมายถึงชีวิตมันมาถึงตัวเมื่อไหร่
จะได้จัดการกับตนเองได้ทันท่วงที
เนื่องจากมันเป็น "ความรู้ใหม่
ที่มนุษย์โลกทั้งหลาย "ยังไม่รู้ว่าตนไม่รู้"

สมาชิกในครอบครัวจิตจักรวาล
คงต้องทำงานหนักด้วยการรักกันให้มากขึ้น
เพื่อมอบดอกผลแห่งรักให้แก่ดาวโลก
ใช้เยียวยาช่องโหว่ของโอโซน
ให้มิดชิดสนิทดังเดิมโดยเร็ว

ก๊าซโอโซนเป็นก๊าซที่
แปรสภาวะและเปลี่ยนคุณสมบัติ
มาจากก๊าซอ๊อกซิเจนในระบบโลกเอง

โดยมีประโยชน์อีกด้านหนึ่งซึ่งท่านต้องรู้ไว้
นั่นคือ บรรยากาศชั้นโอโซนที่หุ้มห่อโลกไว้นี้
จะทำหน้าที่เสมือนเป็นถุงลมขนาดใหญ่
ที่จะคอยกักกั้นก๊าซออกซิเจนเอาไว้ในระบบโลก
มิให้หลุดลอยออกไปนอกระบบง่ายๆอย่างไร้ประโยชน์

เราจึงขอกล่าวความจริงเหล่านี้
ให้ท่านรับรู้ไว้ด้วยรักและปรารถนาดี
ผู้ใดไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่
จงรอวันพิสูจน์เถิด...อีกไม่นานหรอก

เอเมน สาธุ
.วิสุทธิปัญญา
21-11-2015

19 พฤศจิกายน 2558

ธรรมวิถีแห่งจิตจักรวาล: ตอน ความรู้เรื่องกฎแห่งกรรม กรณี "รับรู้ ไม่รับเอา"



ธรรมวิถีแห่งจิตจักรวาล:
ตอน ความรู้เรื่องกฎแห่งกรรม
กรณี "รับรู้ ไม่รับเอา"
******************************
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
1 ใน 3 ของมหาสตินั้น คือ การมีสติ
และการมีสติก็คือ 
"เมื่อรับรู้ แล้วไม่รับเอา"

ซึ่งการรับรู้แล้วไม่รับเอานี่แหละ
ที่จะช่วยให้ท่าน
อยู่เหนืออารมณ์หยาบๆรายวันได้
เพราะไม่ตกเป็นทาสของการยั่วยุ

การก่อเวรเกี่ยวกรรมกับผู้อื่นในชีวิตประจำวันนั้น
ล้วนเกิดจากการสั่นสะเทือนในจิตใจตนเอง
เป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านลบต่อผู้อื่นทั้งสิ้น
ซึ่งเราได้พยายามอธิบายความจริงเชิงอภิปรัชญา
ให้ท่านทั้งหลายได้เรียนรู้และระมัดระวังกันตลอดมา

หน้าที่ของพวกท่านที่จะทำตนเอง
ให้อยู่เหนือกฎแห่งกรรมได้อย่างหนึ่งก็คือ
จะต้องไม่ตกเป็นทาสการยั่วยุของผู้อื่น
โดยยอมให้ตนเองเสียสมดุลทางจิตใจง่ายเกินไป

มรรควิถีแห่งจิตจักรวาลนั้น
เราได้แนะเน้นให้ท่านทั้งหลาย
ฝึกเป็นผู้ "มีสติ" ให้เข้มแข็งไว้
โดยไม่ให้ตกเป็นทาสของการยั่วยุ
ด้วยการ "รับรู้ แล้วไม่รับเอา"

การรับรู้แล้วไม่รับเอา 
หมายถึง.....

1.เมื่อมีใครกระทำไม่ถูกต้องต่อตัวท่าน
เช่น พูดไม่ดี หรือทำไม่ถูกต้องต่อท่าน
ท่านก็จักต้องไม่รับเอามันมาเป็นเงื่อนไข
ที่จะทำให้จิตใจของท่านเสียสมดุลไป
จนเกิดการสั่นสะเทือนทางอารมณ์รู้สึกเป็นลบ
แล้วนำไปสู่การนึกลบ คิดลบ กระทำลบ
ตอบสนองเขาคนนั้นกลับไปเด็ดขาด

2.การไม่รับเอา หมายความว่า 
ถ้าท่านได้รับรู้แล้วว่าเขาพูดอะไร ทำอะไรต่อท่าน
ก็ขอให้ท่านจงอย่านำเอาสิ่งนั้นมาเป็นเงื่อนไข
ทำลายความสมดุลในจิตใจของท่านเอง

คำพูดหยาบคาย คำกล่าวร้ายๆแรงๆของเขา
หรือการกระทำบางสิ่งที่เกินเลยต่อท่านไป
แม้มันล้วนชวนให้ท่านเสียสมดุลทางอารมณ์
ท่านก็จักต้องไม่ควรใส่ใจ
ในสิ่งเหลวไหลไร้สาระของเขาเหล่านั้น

3.หน้าที่ของท่านก็คือ 
เมื่อได้สัมผัสรับรู้ดูเห็นการกระทำของเขาแล้ว
จักต้องคัดแยกแจกแจงด้วยสติปัญญาในทันทีว่า
อะไร คือ "สาระ" อะไร คือ "ขยะ"

ถ้าเป็นสาระรับรู้แล้วก็ให้รับเอาไว้เพราะมีประโยชน์
แต่ถ้าเป็นขยะเมื่อรับรู้แล้วก็ควรเขวี้ยงทิ้งไป
อย่าไปใส่ใจให้เสียเวลาหรือเสียอารมณ์
เพราะมันเป็นสิ่งไร้ประโยชน์หรือไร้ค่านั่นเอง

4.กรณีที่มีใครกระทำไม่ถูกต้องต่อตัวท่าน
แทนที่ท่านจะโกรธมันคนนั้นมากๆ
ก็ให้ท่านค้นหา "สาระ" ของเขาให้พบว่า

เขาทำไม่ดีกับท่านทำไม
อะไรเป็นเหตุให้เขาทำไม่ดีต่อตัวท่าน
ท่านควรจะตอบสนองการกระทำของเขาอย่างไรดี
จึงจะไม่มีปัญหาต่อเนื่อง เป็นต้น

อันคำพูดไม่เพราะหู
อันกิริยาท่าทางยียวนกวนประสาท
สิ่งเหล่านี้ล้วน "ไร้สาระ" สำหรับท่าน
หากท่านไปใส่ใจรับเอามา
มันก็จะเป็นปัญหาทางอารมณ์ในจิตใจท่านทันที
ซึ่งมันมิได้มีสาระประโยชน์อันใดเลย

ซึ่งการปฏิบัติตนในการคัดแยก
ระหว่างสาระกับสิ่งไร้สาระดังว่านี้
มันเป็นการใช้หลักของ "ไก่โมเดล" ดีๆนี่เอง

ลองสังเกตวิธีการดำเนินชีวิตของไก่ดูสิ
ไก่จะใช้สองเท้าคุ้ยเขี่ยดินทราย
คัดแยกสิ่งที่ไร้สาระประโยชน์ออกไป
โดยใส่ใจค้นหาแต่เมล็ดข้าวหรือชิ้นอาหาร
อันเป็นสาระประโยชน์สำหรับตน
ซึ่งเจือปนอยู่กับดินทรายที่ไร้สาระเท่านั้น

โดยที่ไก่ไม่เคยเสียอารมณ์
ไปกับการเสียแรงเสียเวลาในการคุ้ยเขี่ย
เพื่อค้นหาสาระที่มีปริมาณน้อยกว่าสิ่งไร้สาระเลย

5.ดังนั้น...
เมื่อชายหนุ่มเบอร์ 2 ในภาพประกอบ
ได้สั่นสะเทือนจิตใจด้านลบ
จนก่อให้เกิดมวลพลังงานกรรมด้านลบขึ้น
แล้วเหวี่ยงมันออกมาภายนอกร่างกาย
อย่างรุนแรงและต่อเนื่อง
โดยที่เป้าหมายของเขาคือ สาวเบอร์ 1 นั้น

เพราะว่าสาวเบอร์ 1 เธอครองมหาสติได้เข้มแข็ง
สภาวะจิตของเธอจึงสั่นสะเทือนเป็นบวก
ด้วยความสงบและสมดุลอยู่ในตนเอง

อีกทั้งเธอก็ยังฉลาดพอที่จะเลือกรับรู้ว่า
หนุ่มเบอร์ 2 นั้นมีอะไรที่เป็นสาระอันควรใส่ใจได้บ้าง
โดยที่เธอจะต้องมองข้ามพฤติกรรมขยะอันไร้สาระ

จำพวกความเกรี้ยวกราด 
ความก้าวร้าว
ความสามหาว 
ความไม่เอาไหน
และอื่นๆ
ซึ่งเปรียบได้ดั่งเม็ดกรวดเม็ดทราย
ที่ไร้สาระสำหรับ "ไก่
เพราะมิใช่อาหารของไก่โดยแท้

6.การที่ท่านอยู่ในสังคมคนหมู่มากนั้น
โอกาสที่คนรอบข้างทั้งใกล้ไกล
จะหยิบยื่นขยะห่อสาระเอาไว้
มาให้ท่านได้ชื่นชมหรือทดสอบนั้น
มันมิใช่เรื่องแปลกอะไรเลย

แต่มันแปลกก็ตรงที่ว่า
อันทุกท่านน่ะล้วนปรารถนา
ความมีสาระในชีวิตด้วยกันทั้งนั้น

แต่ในการดำเนินชีวิตกันจริงๆ
ท่านก็กลับไปคว้าเอาสิ่งไร้สาระของผู้อื่น
มาทำลายความสมดุลในจิตใจของตนแทน
จนก่อเวรเกี่ยวกรรมสร้างภพชาติใหม่
อย่างมิรู้ว่าจะสิ้นสุดยุติกันที่ตรงไหนได้

เอเมน สาธุ
.วิสุทธิปัญญา

19-11-2015

ทุเรียน/มังคุด



ธรรมวิถีแห่งจิตจักรวาล
************************
ทุเรียน/มังคุด
นี่แน่ะ...ท่านผู้ประเสริฐทั้งหลาย
การที่ท่านเป็นสัตว์สังคม
ท่านจึงต้องร่วมมือกันเท่านั้น
จึงจะประสบผลสำเร็จในการเป็นมนุษย์
บนดาวเคราะห์โลก
ซึ่งเป็นดาวแห่งทางเลือกเสรีนี้ได้
ในอดีตกาลที่ผ่านมาและทุกๆภพชาตินั้น
การที่ท่านทั้งหลายมิอาจนำพาจิตวิญญาณตนเอง
ย้อนกลับคืนสู่แดนสุญญตา
อันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของจิตวิญญาณ
ที่ท่านได้จากมานานนับหลายหมื่นปีแล้วได้นั้น
ก็เพราะเหตุว่า....พวกท่าน
ไม่สามารถเข้าถึงความเป็นหนึ่งเดียวกัน
เพราะรักกันไม่ได้ ให้กันไม่เป็น
ทุกวันนี้การที่ดาวเคราะห์โลก
เริ่มเสียสมดุลมากขึ้นก็เพราะมนุษย์โลก
ไม่สามารถสั่นสะเทือนจิตสำนึกด้านบวกร่วมกัน
เพื่อผลิตสร้างพลังงานรวมจากจิตสำนึกด้านบวก
ในระดับที่โลกต้องการอย่างเพียงพอได้
ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ผิดธรรมชาติ
จึงทวีความรุนแรงขึ้นทุกรูปแบบและถี่ขึ้นเรื่อยๆ
สาเหตุที่เป็นเช่นว่านี้ก็เพราะโลกไร้รัก
ที่โลกไร้รักก็เพราะมนุษย์โลกขาดรัก
ที่มนุษย์โลกขาดรักก็เพราะรักไม่เป็น
ที่มนุษย์โลกรักกันไม่เป็น
ก็เพราะมองไม่เห็นความน่ารักของคนอื่น
ก็เพราะมองไม่เห็นคุณค่าของคนอื่น
เนื่องจากมนุษย์เข้าถึงความน่ารัก
และความมีคุณค่าของคนอื่นไม่ได้
เราจึงขอกล่าวความจริง
ต่อท่านทั้งหลายว่า
ภายในหนามแหลมๆ
และเปลือกแข็งของผลทุเรียนนั้น
มันมีเนื้อทุเรียนรสชาติดี
อร่อยลิ้น และหอมหวานซ่อนอยู่ข้างในใช่มั้ย
ท่านจึงมองข้ามผ่านความยากลำบาก
ในการปอกเปลือกแซะพู
เพื่อทานเนื้อทุเรียนที่เร้นอยู่ข้างใน
โดยยอมให้หนามมันบาดมือของท่านได้บ้าง
อีกทั้งต้องยอมเสียแรงแกะพูที่แข็งแกร่งออกด้วย
มังคุดก็เป็นราชินีแห่งผลไม้
แม้ว่าเปลือกจะแข็งยากที่จะปอกด้วยมือ
แถมยังมียางเหนียวเลอะติดมือล้างไม่ออก
แต่ท่านก็ยังบากบั่นที่จะผ่านเปลือกของมัน
เพื่อเข้าให้ถึงกลีบขาวๆของเนื้อมังคุด
ที่มีรสชาติเยี่ยมซึ่งเร้นอยู่ข้างในจนได้
โดยไม่คิดว่ามันเป็นปัญหาใดๆสำหรับท่านเลย
หากท่านไม่อาจข้ามผ่านและฟันฝ่า
เปลือกนอกที่หนา แข็ง และหนามแหลมคมไปได้
ท่านก็จะไม่มีวันเข้าถึงคุณค่าอันยิ่งใหญ่
ของราชาและราชินีผลไม้สองชนิดนี้ได้เลย
การจะเข้าถึงคุณค่าแท้จริงของมนุษย์ได้นั้น
ท่านจึงต้องข้ามผ่านความไม่น่ารักของเขาให้ได้
ท่านจึงต้องข้ามผ่านความมากเรื่องของเขาให้ได้
ท่านจึงต้องข้ามผ่านความน่ารังเกียจของเขาให้ได้
ถ้ารังเกียจเปลือกทุเรียนก็จะไม่ได้กินทุเรียน
ถ้ารังเกียจเปลือกและยางของมังคุด
ท่านก็จะไม่ได้กินเนื้อมังคุดแน่นอน
นี่แหละ...เป็นหน้าที่ของท่านแต่ละคน
ที่เราจะช่วยจุดประกายให้ล่ะนะ
เอเมน สาธุ
.วิสุทธิปัญญา
19-11-2015

18 พฤศจิกายน 2558

อุกกาบาตตกไซบีเรียใกล้จีน


อุกกาบาตตกไซบีเรียใกล้จีน

เมื่อค่ำวันที่ 11 พฤศจิกายน 2558 นี้
ชาวบ้านในเมืองซาเบย์คัลสกี 
บริเวณชายแดนไซบีเรียและจีน
ได้แลเห็นดวงไฟสีเขียวอมน้ำเงินดวงหนึ่ง
เคลื่อนที่ผ่านฟากฟ้าไปอย่างรวดเร็ว

นี่เป็นกระบวนการทดสอบ
โครงข่ายสนามแม่เหล็กโลกอีกครั้งหนึ่งแถบเอเซีย
ว่ามีความแข็งแรง (Strong) อยู่ในระดับใด
เพื่อเตรียมปฏิบัติการทางเท็คนิกที่เหมาะสม
ของช่างเท็คนิกชุดอื่นในขั้นต่อไป

อนึ่ง ก้อนอุกกาบาตชิ้นนี้
ถูกขับเคลื่อนมาจากนอกระบบสุริยะ
เป็นอุกกาบาตที่มาจากแหล่งเดียวกัน
กับที่เคยตกในประเทศไทยเมื่อไม่นานมานี้

เอเมน สาธุ
.วิสุทธิปัญญา
18-11-2015

ธรรมวิถีแห่งจิตจักรวาล: ความรู้เรื่องของ "กฎแห่งกรรม" ยุคพลังงานใหม่


ธรรมวิถีแห่งจิตจักรวาล:
ความรู้เรื่องของ "กฎแห่งกรรม" ยุคพลังงานใหม่
************************************************
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
เรื่องของกฎแห่งกรรมที่จะกล่าวต่อไปนี้นั้น
ท่านทั้งหลายควรรับทราบไว้เป็นอย่างยิ่ง

เพราะเรามีคำตอบในเชิง Meta-physics (อภิปรัชญา)
ต่อคำถามยอดฮิทในหมู่มนุษย์โลกเสรีที่ว่า....

"การเกี่ยวกรรมกับผู้อื่นนั้น
มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?"

1.การเกี่ยวกรรม หมายถึง
การที่คนอย่างน้อยสองคนขึ้นไป
ก่อ "กรรมสัมพันธ์กัน" เกิดขึ้น
โดยมีคนใดคนหนึ่งเป็นผู้สร้างเงื่อนไขลบ
ด้วยการแสดงออกหรือกระทำไม่ถูกต้อง
ต่ออีกคนหนึ่งก่อน
(ในภาพประกอบนี้ผู้เริ่มก่อน คือ เบอร์ 2)
ทั้งนี้ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม

2.เมื่อผู้ถูกกระทำหรือได้รับผลกระทบ คือ เบอร์ 1
สัมผัสรู้ดูเห็นหรือได้ยินได้ฟังเข้า
ก็จะเกิดอาการเสียสมดุลทางจิตใจขึ้นมาทันที
เพราะสาวเบอร์ 1 เป็นคนอ่อนไหวต่อการยั่วยุง่าย
เป็นคนที่ไม่มีมหาสติเป็นคุณสมบัติ

เธอจะสั่นสะเทือนจิตใจอย่างรุนแรง
เกิดเป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านลบต่อการถูกยั่วยุนั้น
ด้วยอาการโกรธ เกลียด เคียด แค้น และอื่นๆ
โดยที่จิตใจเธอจะสั่นสะเทือนเป็นด้านลบ
ต่อหนุ่มเบอร์ 2 เกือบจะทันทีนั้นเช่นกัน

3.แม้ในทางโลก
สาวเบอร์ 1 อาจเก็บงำอำพราง
พฤติกรรมไม่พอใจของเธอเอาไว้ได้
หรืออดกลั้นความโกรธเอาไว้ไม่ไหว
แล้วแสดงออกหรือกระทำด้านลบ
ตอบโต้หนุ่มเบอร์ 2 เข้าให้บ้างก็ตาม

กระบวนการที่เรากล่าวมาทั้งหมดนี้
ในมิติทางพลังงานด้านจิตใจของคนทั้งคู่
มันได้เกิด "กรรมสัมพันธ์" ขึ้นมาแล้ว
หรืออาจเรียกเป็นภาษาชาวบ้านว่า
"การเกี่ยวกรรม" เกิดขึ้นแล้วนั่นเอง

4.ในศาสตร์ด้านอภิปรัชญาขององค์จิตจักรวาล
เราสามารถอธิบายได้ด้วยมายาสมมติดังภาพ

กล่าวคือ หนุ่มเบอร์ 2 ได้สั่นสะเทือนจิตใจตนเอง
จนเกิดกลุ่มมวลคลื่นพลังงานกรรมด้านลบขึ้นมา
โดยมีเป้าหมายที่จิตจดจ่ออยู่คือสาวเบอร์ 1

พร้อมๆกับการกระทำพฤติกรรมด้านลบบางอย่าง
ในมิติที่สาวเบอร์ 1 สามารถสัมผัสรู้ดูเห็นได้
ด้วยกลไกอายตนะภายนอกทั้ง 5
ทั้งนี้ไม่ว่าจะตั้งใจหรือมิได้ตั้งใจก็ตาม

ทันใดนั้นคลื่นพลังงานกรรมของเขาอันเกิดจากจิต
ซึ่งอยู่ในรูปของคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็ก
ที่มีคุณสมบัติทางไฟฟ้าเป็นลบที่โลกไม่ต้องการ
ก็จะถูกเหวี่ยงออกมาภายนอกร่างกายเขา
โดยเป้าหมายอยู่ที่สาวเบอร์ 1 ด้วยเช่นเดียวกัน

5.ปรากฏว่าสาวเบอร์ 1
เมื่อได้รับรู้ว่าตนถูกหนุ่มเบอร์ 2
กระทำพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ต่อตัวเธอเข้า
สภาวะจิตของเธอเมื่อถูกยั่วยุเข้า
ก็จะเกิดอาการเสียสมดุลทันที
จนสั่นสะเทือนเป็นอารมณ์ขยะรายวันขึ้นมา

จิตของเธอก็จะผลิตสร้างมวลพลังงานกรรม
เป็นคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กด้านลบที่รุนแรง
แล้วเหวี่ยงมันออกมาอย่างต่อเนื่อง
ตราบเท่าที่สภาวะจิตเธอขณะนั้นยังเสียสมดุลอยู่

ส่วนปรากฏการณ์ในด้านมิติทางพลังงาน
ซึ่งเป็นมิติคู่ขนานกับมิติโลกทางกายภาพ
ก็จะปรากฏเป็นมวลของคลื่นพลังงานกรรมด้านลบ
เหวี่ยงกระจายตัวออกมาจากสาวเบอร์ 1 ทุกทิศทาง
โดยริ้วคลื่นแต่ละระลอกที่ถูกเหวี่ยงออกมานั้น
จะพากันทะยอยพุ่งตรงไปยังหนุ่มเบอร์ 2 ทันที

6.ถ้าพินิจจากภาพจะเห็นว่า
คลื่นพลังงานกรรมของสาวเบอร์ 1 นั้น
เป็นคลื่นที่มีความรุนแรงมาก

เมื่อมีการปะทะกันกับ
คลื่นพลังงานกรรมของหนุ่มเบอร์ 2 เข้า
จึงยังผลให้สภาวะจิตของหนุ่มเบอร์ 2
เกิดอาการเสียสมดุลทางด้านลบตามไปด้วย

ขณะที่ระลอกคลื่นพลังงานกรรมที่เกิดขึ้นนี้
เมื่อมีการปฏิสัมพันธ์กันระหว่างเบอร์ 1 กับ 2 แล้ว
ระลอกคลื่นที่เกิดขึ้นก็จะเคลื่อนตัวต่อไป
จนถึงสุดขอบเขตของจักรวาล คือ เอกภพ
เมื่อสุดเขตแล้วก็จะวกกลับคืนมาหาเจ้าของมันต่อไป

ซึ่งเจ้าของคลื่นพลังงานกรรมด้านลบ
ที่ย้อนกลับคืนมาดังว่านี้ก็คือ
ทั้งเบอร์ 1 และเบอร์ 2
จักต้องร่วมกันรับผิดชอบมันทั้งคู่

ใครคนใดคนหนึ่งจะมาโทษเถียงกัน
ด้วยการคิดแบบจิตมนุษย์ว่า
ใครหาเรื่องใครก่อน....มิได้
ใครทำร้ายใครก่อน....ก็มิได้

7.นี่ถ้า.....
เบอร์ 2 ไม่กระทำผิดบาปต่อเบอร์ 1 ก่อน
ผลกรรมที่จักต้องมาเกี่ยวกรรมดังว่านี้ก็ไม่เกิดขึ้น

นี่ถ้า...
เบอร์ 1 สามารถรักได้แม้เบอร์ 2 จะทำตัวไม่น่ารักต่อเธอ
เบอร์ 1 สามารถให้อภัยเบอร์ 2 ได้แม้ว่าเขาไม่น่าให้อภัย
ผลกรรมที่จักต้องมาเกี่ยวกรรมกันก็จะไม่เกิดขึ้น

8.ท่านเห็นว่าการรักได้ ให้เป็น ไม่ก้าวล่วงกัน
ระหว่างท่านทั้งหลายนั้นสำคัญมั้ยล่ะ?

ถ้าจะทำได้ก็ต้องครองมหาสติไว้ให้ได้
ต้องฝึกฝนการมีมหาสติให้ชำนาญไว้ใช่มั้ยล่ะ?

9.คลื่นพลังงานกรรมหมู่ของทั้งสองคน
เมื่อมันย้อนคืนมาถึงทั้งคู่ในภพชาติต่อไปนั้น
มันจะนำเอาเหตุการณ์ เรื่องราว
หรือสถานการณ์แบบเดิมๆที่เกิดขึ้นในภพชาตินี้
มาให้ทั้งคู่ได้ทดสอบจิตปัญญาว่า

เบอร์ 2 จะประมาทหรือขาดสติ
โดยทำอะไรให้เป็นเงื่อนไขด้านลบ
ต่อ เบอร์ 1 เหมือนภพชาติที่ผ่านมาอีกหรือเปล่า

ถ้าเบอร์ 2 กระทำผิดบาปอีกก็ถือว่า "สอบตก"
ต้องเรียนซ้ำชั้น คือ มีภพชาติหน้าต่อไปอีก

ในขณะเดียวกัน เบอร์ 1 ก็ต้องสอบให้ผ่านว่า
ถ้าเบอร์ 2 กระทำยั่วยุอีก
ตนจะรักได้ ให้เป็น
และใช้ปัญญากระทำตอบได้หรือไม่

ถ้ารักไม่ได้ ให้อภัยไม่เป็น ขาดมหาสติ
การเกี่ยวกรรมนี้ก็ยังจะคงอยู่ต่อไป
แปลว่าคนทั้งคู่ยังจะต้องมีชาติหน้าต่อไปอีกนั่นเอง

เอเมน สาธุ
.วิสุทธิปัญญา

18-11-2015

16 พฤศจิกายน 2558

เคล็ดลับวิธีตัดกรรม กรณีที่ถูกผู้อื่นยั่วยุ


นี่แน่ะท่านทั้งหลาย...

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
การที่ท่านล้มเหลวในการเผชิญบททดสอบ
เมื่อคนรอบข้างใกล้ตัวหยิบยื่นมาให้

เพราะท่านมี "จริต" เคยตัวในการตอบสนอง
เงื่อนไขไม่พึงประสงค์เมื่อถูกยั่วยุ
ในลักษณะของการอยากเอาชนะ 
ลักษณะของการอยากต่อสู้ 
ลักษณะของการอยากปกป้องตนเอง

โดยที่ท่านมิได้ใช้สติปัญญาต่อไปว่า
ต่อสู้กับเขาด้วยอารมณ์ด้านลบแล้ว
ท่านจะชนะเขาสมใจอยากแน่หรือไม่

หากชนะเขาได้แล้ว
ท่านจะได้ดิบได้ดี
มีกำไรชีวิตอันใดเพิ่มขึ้นหรือเปล่า
ท่านจะมีมิตรแท้เพิ่มขึ้นหรือเปล่า

เราจึงขอฝากกลวิธีตัดกรรม
ในคลิปที่นำเสนอมานี้เพื่อท่าน
ได้ใช้ท่องจำและฝึกทำให้ขึ้นใจเถิด
ผลกรรมจะได้ลดลงจนเหลือไม่เกิน 30%
สมกับการที่จะเป็นปลาผู้ถูก "คัดไว้"
ในปฏิบัติการชำระโลกของพระบิดา

เอเมน สาธุ
.วิสุทธิปัญญา

16-11-2015

15 พฤศจิกายน 2558

ธรรมวิถีแห่งจิตจักรวาล ตอน จงอย่าเป็นลิงหวงเถาวัลย์


ธรรมวิถีแห่งจิตจักรวาล:

นี่แน่ะท่านทั้งหลาย....
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

จงอย่าเป็นลิงหวงเถาวัลย์
โดยเหวี่ยงตนเองจากต้นไม้เดิมที่มีผลไม้สุก
แต่ถูกตนเองเก็บกินหมดแล้ว
ไปหาต้นไม้ต้นใหม่ที่มีผลสุกงอมหอมหวานรออยู่

เมื่อไปถึงต้นไม้ต้นใหม่
กลับไม่ยอมไขว่คว้ากิ่งไม้ต้นใหม่นั้น
โดยยังคงเกาะมั่นยึดมั่นอยู่กับเถาวัลย์เส้นเดิมแล้ว
เจ้าลิงตัวนั้นก็จะถูกเถาวัลย์เหนี่ยวรั้ง
พากลับหลังคืนไปยังต้นไม้ต้นเดิม
ที่ไม่มีผลไม้สุกเหลือให้เป็นอาหารอีก

แต่ในชีวิตจริงของลิงทุกตัว
แม้พวกเขาจะใช้เพียงแค่สัญชาตญาณของสัตว์
ซึ่งไม่สามารถใช้จิตปัญญาชั้นสูงแบบมนุษย์ได้
ก็ยังไม่เคยพบว่า
จะมีลิงหวงเถาวัลย์เลยสักตัว!!

เอเมน สาธุ
.วิสุทธิปัญญา

15-11-2015

06 พฤศจิกายน 2558

ธรรมวิถีจิตจักรวาล


ธรรมวิถีจิตจักรวาล
*******************
จงทำดี กับคนที่เคยดีกับท่านให้ครบทุกคน
จงทำดี กับทุกคนที่เขายังไม่เคยทำดีกับท่านมาก่อน
จงทำดี กับทุกคนที่เขาทำไม่ดีกับท่าน
จงทำดี กับบางคนที่เขาทำไม่ดีกับท่าน
ซึ่งเขาเคยดีกับท่านมาก่อนแล้ว

การเลือกทำดีกับบางคน
การเลือกทำดีในบางเวลา

บริบทเยี่ยงนี้
ยังจะได้เรียกว่าท่านเป็นคนดีไม่ได้

เอเมน สาธุ
.วิสุทธิปัญญา
6=11-2015




03 พฤศจิกายน 2558

02 พฤศจิกายน 2558

Meteorite Falling Down in BKK


เวลาประมาณ 2 ทุ่ม 39 นาที เมื่อครู่นี้เอง
ขณะกำลังขับรถผ่านไฟแดง 
แถวๆ .นางั่ว .เมือง .เพชรบูรณ์
สังเกตเห็นท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีฟ้าสว่างวาบ
ราวๆ 5 วินาที ซึ่งสว่างกว่าฟ้าแลบปกติที่เคยเห็น
สำคัญคือสว่างไปทั่วทั้งท้องฟ้าเลย
เสียดายที่ไม่สามารถถ่ายภาพได้ทัน
เพราะขับรถอยู่.....

เราสื่อพระโอวาทจากพระบิดาไว้
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (1 พฤศจิกายน 2558) 
ศูนย์สิริกิติ์ว่า
ถ้าประเทศไทย คนไทยรักกันไม่ได้
ให้พลังบวกแก่โลกไม่ได้
ก็เสียทีที่พระศาสดาพระองค์ใหม่
จะเสด็จมาจุติบนพื้นที่ประเทศนี้

แล้วท่านทั้งหลายจะต้องให้อุกาบาตตกลงมา
เหมือนตกที่กาญจนบุรีครั้งที่ผ่านมาอีกสักกี่ครั้ง
เพื่อทดสอบว่าโครงข่ายสนามแม่เหล็กโลก
เหนือพื้นที่ประเทศไทยน่ะแข็งแรงพอ
พอที่จะปลอดภัยจากเศษทรากอุกกาบาต
ในปฏิบัติการชำระโลกครั้งที่สี่นี้ได้

ไม่นึกว่า...พูดไว้แค่วันเดียว
ยังไม่พ้น 24 ชั่วโมงเลย
คำกล่าวของเราก็เป็นจริง
กรุงเทพฯ ประเทศไทยก็โดนทดสอบอีกครั้ง!

นี่เป็นครั้งที่สองแล้วนะ....-

ขนาดใหญ่กว่าเดิมอีกด้วย

ไหม้ไม่หมด ตกกระแทกพื้นด้วย
ค้นหาดีๆจะพบทรากสะเก็ดชิ้นนี้แน่ๆ

เอเมน สาธุ
.วิสุทธิปัญญา
2-11-2015

29 ตุลาคม 2558

คำสอน 29/10/2015

 

แม้จิตหยาบ
จะนิพพานกิเลสตัณหา
จนหมดสิ้นได้แล้ว
แต่จิตหยาบของท่าน
ก็ยังจักต้องดับการมีอยู่จริง
ของบางสิ่งให้หมดสิ้นต่อไปอีก
จนเหลือแต่ความรู้ ความคิด
กับความรักบริสุทธิ์
เป็นคุณสมบัติอยู่เท่านั้น

สภาวะจิตสุญญตาจึงจะเกิด

14 ตุลาคม 2558

05 ตุลาคม 2558

23 กันยายน 2558

VDO. "อะไรกำลังเกิดขึ้นกับโลก"


"อะไรกำลังเกิดขึ้นกับโลก Part 1:"

"อะไรกำลังเกิดขึ้นกับโลก Part 2:"


โดย อนุตรธรรมาจารย์ปริญญา ตันสกุล



21 กันยายน 2558

คำสอน 21/09/2015

 

คนดวงดี

1.ดวงตาดี
2.ดวงใจดี
3.ดวงปัญญาดี

มี 3 ดวงนี้ไว้
ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงดวง

13 กันยายน 2558

VDO. ( บันทึกเสียง)การสื่อถ่ายทอดพระโอวาทจากองค์จิตจักรวาล ครั้งที่ 223


บันทึกการสื่อพระโอวาทในระบบจิตสู่จิตจากองค์จิตจักรวาล

โดย อนุตรธรรมาจารย์ปริญญา ตันสกุล

 

02 กันยายน 2558

จริตเป็นพฤติกรรมของจิต





เราได้กล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายมาแล้วว่า
ดวงจิตธรรมญาณผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของท่าน
ซึ่งรู้จักพระนามกันทั่วไปว่า "พระจิต" นั้น
ได้แบ่งภาคตนเองออกมา
เป็น "จิตมนุษย์" หรือจิตหยาบ

เพื่อมอบอำนาจให้จิตหยาบ
ทำหน้าที่แทนตนเอง
ในการขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรม
รูปธรรมมนุษย์
ด้วยการกระทำผ่านจิตสำนึกหรือ "จิตตปัญญา"
โดยอาศัยพระวิญญาณทั้ง 7 แห่งพระเจ้า
เป็นพลังอำนาจในการขับเคลื่อน
อันประกอบด้วย

1.พระวิญญาณแห่งการรู้สึก
2.พระวิญญาณแห่งอารมณ์
3.พระวิญญาณแห่งการนึก
4.พระวิญญาณแห่งการคิด
5.พระวิญญาณแห่งการจดจำ
เรื่องราวและอารมณ์

6.พระวิญญาณแห่งการแสดงออก
หรือกระทำทางกายภาพ

7.พระวิญญาณแห่งสัญชาตญาณ
ในการดำรงชีวิต
ซึ่งพระจิตเป็นผู้รับหน้าที่
ในการกำกับควบคุมเอง

ดังนั้น...ในชีวิตประจำวัน
ท่านทั้งหลายจึงต้องเรียนรู้ให้ได้ว่า
จะสั่นสะเทือน จิตตปัญญา ของตนกันอย่างไร
จึงจะสามารถเข้าถึงแรงสั่นสะเทือนของ
พระวิญญาณทั้ง 7 แห่งพระเจ้า
ดังกล่าวนี้ได้

เพื่อที่จะใช้พลังอำนาจแห่งพระเจ้า
หมุนธรรมจักรในชีวิตประจำวัน

ด้วยการสั่นสะเทือนอายตนะภายนอกทั้งห้า
เมื่อได้สัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งเร้าภายนอก
แล้วถ่ายทอดคลื่นการรับรู้ไปสู่จิตภายใน
และจิตภายในก็จะสั่นสะเทือน
เป็นคลื่นความถี่ด้านบวกทั้งเจ็ดที่เรียกกันว่า

"พระวิญญาณทั้ง 7 แห่งพระเจ้า"

ซึ่งท่านทั้งหลายจะใช้พระวิญญาณ (คลื่นพลังจิต) นี้
ขับเคลื่อนออกมาเป็นพฤติกรรมภายนอกในบั้นปลาย

สมดังคำกล่าวที่ว่า
"จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว" 
อย่างแท้จริง

เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายอีกว่า
เมื่อใดที่จิตหยาบสั่นสะเทือนเป็นด้านลบ
เมื่อนั้นจิตหยาบของท่าน
ก็จะไม่อาจเข้าถึงพระวิญญาณแห่งพระเจ้าได้
จิตก็จะผลิตสร้าง มวลพลังงานด้านลบ ขึ้นมาแทน
แล้วก็จะแสดงพฤติกรรมภายนอก
เป็นการแสดงออกหรือกระทำด้านลบออกมาด้วย
นี่จึงเป็นการ "หมุนกรรมจักร" โดยแท้

สำหรับจิตหยาบที่สั่นสะเทือนแล้ว
แต่ไม่สามารถยกระดับจนเข้าถึง
พระวิญญาณทั้งเจ็ดแห่งพระเจ้าได้นั้น
เราจะเรียกอาการต่างๆของจิตหยาบนั้นว่า "จริต"
ซึ่งจริตก็คือพฤติกรรมของจิตนั่นเอง

ดังนั้น...
อารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านลบทั้งหลาย
ที่มนุษย์แต่ละคนสั่นสะเทือนมันในชีวิตประจำวัน
ก็ล้วนจัดว่าเป็น "จริต" ของคนๆนั้นทั้งสิ้น

จริตในแบบที่มนุษย์แต่ละคน
สั่นสะเทือนมันทางด้านลบอยู่เป็นประจำ
เมื่อถูกกระตุ้นหรือปลุกเร้าจากสิ่งเร้า
จนกลายเป็นคุณสมบัติของคนๆนั้นไปแล้ว
เราจะเรียกจริตดังกล่าวนั้นว่า "พฤตินิสัย"

พฤตินิสัยซึ่งเป็นจริตด้านลบ
ที่มนุษย์โลกเสรีส่วนมากจะมีปัญหาอยู่กับมัน
จนไม่อาจหมุนธรรมจักรในชีวิตประจำวัน
เพื่อยกระดับจิตหยาบขึ้นเป็นหนึ่งเดียวกัน
กับจิตวิญญาณของตนเองได้

จึงทำหน้าที่ตามพันธะสัญญา 6 กันไม่สำเร็จ
ทั้งยังก่อเวรเกี่ยวกรรมสร้างสังสารวัฏขึ้นมาอีก

ที่บวชมานานก็ยังนิพพานไม่ได้
ที่ผ่านการเกิดมาแล้วหลายภพชาติ
ก็ยังคงหลุดพ้นกันไม่ได้
 
พฤติกรรมที่นำหน้าด้วยคำว่า "ขี้" นี่แหละ
คือพฤตินิสัยขยะที่ก่อปัญหาให้ชาวโลกมาช้านาน
ตัวอย่างเช่น....

ขี้บ่น ขี้โวยวาย
ขี้โมโห ขี้ใจน้อย ขี้กังวล
ขี้งก ขี้หวง ขี้หึง ขี้งอน
ขี้สงสัย ขี้ระแวง ขี้อิจฉา
ขี้เกียจ ขี้โกง ขี้ลืม

พฤติกรรมทางกาย และวาจา
ที่ถูกขับเคลื่อนด้วยจริตเหล่านี้
จะเป็นพฤติกรรมด้านลบล้วนๆ

ถ้าแต่ละวันท่านประพฤติกันเยี่ยงนี้แล้ว
เท่ากับว่าท่านล้มเหลวในการเป็นมนุษย์
เพราะเข้าถึงอำนาจด้านบวกสูงสุดในตนเองไม่ได้

อีกทั้งท่านก็ล้มเหลวทางจิตวิญญาณด้วย
เพราะปฏิบัติภารกิจทางจิตวิญญาณไม่ได้

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
2-09-2015

01 กันยายน 2558

พระวิญญาณทั้งเจ็ดแห่งพระเจ้า


พระวิญญาณทั้งเจ็ดแห่งพระเจ้า
คือ อะไร?




พระจิต ก็คือ รูปธรรมทางพลังงาน
ที่มีความสมดุลอยู่ในตนเอง
โดยมีรูปทรงเรขาคณิตเป็น 6 เหลี่ยมมุม

 

อันเกิดจากสามเหลี่ยมด้านเท่าสองรูปขนาดเท่ากัน
วางซ้อนทับกันอยู่ภายในวงกลมวงเดียวกัน
โดยมุมทั้งสามไม่ซ้อนทับกันเลย
ซึ่งจะมีการเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองอยู่ตลอดเวลา
เพื่อให้มุมทั้งหกซ้อนทับกันจนเป็นหนึ่งเดียว

ดวงจิตธรรมญาณที่เร้นอยู่ในรูปธรรมมนุษย์
จะมีพิกัดที่ตั้งอยู่ตรง ต่อมพิทูอิทารี หรือต่อมใต้สมอง
แต่จะเคลื่อนที่ไปทั่วทุกเซลอวัยวะร่างกาย
อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา

พระจิตหรือดวงจิตธรรมญาณที่ว่านี้
คือผู้อาสาพระบิดาลงมาเกิดเป็นมนุษย์
ด้วยการเข้ามาปฏิสนธิกับกายหยาบ
ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยโลหิตในครรภ์ของมารดา
เพื่อการเจริญเติบโตสู่การเป็นมนุษย์ต่อไป

ในขณะที่กำลังเจริญวัยเป็นทารกอยู่นั้น
พระจิตหรือดวงจิตธรรมญาณนั้นๆ
ก็จะแบ่งภาคพลังงานของตัวเอง
ออกมาเป็น "จิตหยาบ"
เพื่อมอบหมายให้จิตหยาบ
แสดงบทบาทของการเป็น คนสองมิติ แทนตนเอง
ขณะดำเนินชีวิตเป็นมนุษย์ในภพชาตินั้นๆ

เมื่อพระจิตหรือดวงจิตธรรมญาณ
เป็นผู้ที่มาจากพระเจ้าหรือพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ดังนั้นจิตหยาบหรือจิตมนุษย์
ซึ่งถูกแบ่งภาคออกมาจากจิตวิญญาณ
ก็ย่อมมาจากพระเจ้า
หรือพระบิดาแห่งจิตวิญญาณเช่นกัน


ด้วยเหตุนี้เอง
เราจึงสามารถที่จะกล่าวไว้โดยสรุปว่า
ทั้งจิตหยาบและจิตวิญญาณ
ต่างจึงเสมือนหนึ่งเป็นพระเจ้า
ที่สถิตย์อยู่ภายในรูปธรรมมนุษย์โดยแท้


ในขณะที่เป็นมนุษย์นั้น
จิตหยาบหรือจิตมนุษย์ซึ่งเป็นเสมอดั่งพระเจ้า
จะสามารถสั่นสะเทือนตนเองได้ถึง 7 ความถี่
เราจึงเรียกคลื่นพลังงานทั้ง 7 ย่านความถี่นี้ว่า
"พระวิญญาณทั้งเจ็ดแห่งพระเจ้า"

พระวิญญาณทั้งเจ็ดแห่งพระเจ้า
จะประกอบด้วยอาการของจิต 7 อย่างดังนี้ คือ

1.พระวิญญาณแห่งการรู้สึก
(คลื่นการรู้สึก)
2.พระวิญญาณแห่งอารมณ์ต่างๆ
(คลื่นอารมณ์)
3.พระวิญญาณแห่งการนึก
(คลื่นการนึก)
4.พระวิญญาณแห่งการคิด
(คลื่นการคิด)
5.พระวิญญาณแห่งการจดจำเรื่องราวและอารมณ์
(คลื่นการบันทึกและการจดจำไว้)
6.พระวิญญาณแห่งการแสดงออก
หรือการกระทำทางอวัยวะร่างกาย

(คลื่นแห่งการกระทำ)
7.พระวิญญาณแห่งสัญชาตญาณเพื่อการดำรงชีวิต
(คลื่นแห่งสัญชาตญาณ)

เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
พวกท่านที่เป็นมนุษย์ทุกคน
ต่างล้วนมีพระวิญญาณทั้ง 7 แห่งพระเจ้า
ที่สั่นสะเทือนอยู่ข้างในจนตลอดชีวิตด้วยกันทั้งสิ้น
โดยท่านจะต้องเข้าให้ถึงที่สุดของความถี่ด้านบวก
ในทุกครั้งที่ั่สั่นสะเทือนจิตหยาบเสมอ

*ที่สุดของพระวิญญาณแห่งการรู้สึก
ก็คือ ความเวทนาสงสาร
ก็คือ ความเมตตา
ก็คือ ความกรุณา
ก็คือ ความมีมุทิตา
ก็คือ ความมีอุเบกขา

*ที่สุดของพระวิญญาณแห่งอารมณ์
ก็คือ ความรักในแบบต่างๆ เช่น
การอดทน
การอดกลั้น
การให้อภัย

*ที่สุดของพระวิญญาณแห่งการคิด
ก็คือ สามารถกดปุ่มใช้ปัญญาญาณ
อันเกิดจากการสั่นสะเทือนสมองซีกขวา
นำสมองซีกซ้ายของท่านได้

ที่เรากล่าวมาเป็นอาทิเหล่านี้
มนุษย์ทุกคนมีหน้าที่จะต้องเข้าถึงกันให้ได้
เพื่อยกระดับจิตหยาบให้สั่นสะเทือนด้านบวก
จนเป็นหนึ่งเดียวกันกับจิตวิญญาณของท่านเอง
ด้วยการเข้าถึงพระวิญญาณทั้งเจ็ดแห่งพระเจ้า
ดังได้เปิดเผยมาให้รู้ตั้งแต่ต้นให้จงได้
เพื่อมิให้เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา

31-08-2015