ธรรมวิถีแห่งจิตจักรวาล:
ตอน ความรู้เรื่องกฎแห่งกรรม
กรณี "รับรู้ ไม่รับเอา"
******************************
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
1 ใน 3 ของมหาสตินั้น คือ การมีสติ
และการมีสติก็คือ
"เมื่อรับรู้ แล้วไม่รับเอา"
ซึ่งการรับรู้แล้วไม่รับเอานี่แหละ
ที่จะช่วยให้ท่าน
อยู่เหนืออารมณ์หยาบๆรายวันได้
เพราะไม่ตกเป็นทาสของการยั่วยุ
การก่อเวรเกี่ยวกรรมกับผู้อื่นในชีวิตประจำวันนั้น
ล้วนเกิดจากการสั่นสะเทือนในจิตใจตนเอง
เป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านลบต่อผู้อื่นทั้งสิ้น
ซึ่งเราได้พยายามอธิบายความจริงเชิงอภิปรัชญา
ให้ท่านทั้งหลายได้เรียนรู้และระมัดระวังกันตลอดมา
หน้าที่ของพวกท่านที่จะทำตนเอง
ให้อยู่เหนือกฎแห่งกรรมได้อย่างหนึ่งก็คือ
จะต้องไม่ตกเป็นทาสการยั่วยุของผู้อื่น
โดยยอมให้ตนเองเสียสมดุลทางจิตใจง่ายเกินไป
มรรควิถีแห่งจิตจักรวาลนั้น
เราได้แนะเน้นให้ท่านทั้งหลาย
ฝึกเป็นผู้ "มีสติ" ให้เข้มแข็งไว้
โดยไม่ให้ตกเป็นทาสของการยั่วยุ
ด้วยการ "รับรู้ แล้วไม่รับเอา"
การรับรู้แล้วไม่รับเอา
หมายถึง.....
1.เมื่อมีใครกระทำไม่ถูกต้องต่อตัวท่าน
เช่น พูดไม่ดี หรือทำไม่ถูกต้องต่อท่าน
ท่านก็จักต้องไม่รับเอามันมาเป็นเงื่อนไข
ที่จะทำให้จิตใจของท่านเสียสมดุลไป
จนเกิดการสั่นสะเทือนทางอารมณ์รู้สึกเป็นลบ
แล้วนำไปสู่การนึกลบ คิดลบ กระทำลบ
ตอบสนองเขาคนนั้นกลับไปเด็ดขาด
2.การไม่รับเอา หมายความว่า
ถ้าท่านได้รับรู้แล้วว่าเขาพูดอะไร ทำอะไรต่อท่าน
ก็ขอให้ท่านจงอย่านำเอาสิ่งนั้นมาเป็นเงื่อนไข
ทำลายความสมดุลในจิตใจของท่านเอง
คำพูดหยาบคาย คำกล่าวร้ายๆแรงๆของเขา
หรือการกระทำบางสิ่งที่เกินเลยต่อท่านไป
แม้มันล้วนชวนให้ท่านเสียสมดุลทางอารมณ์
ท่านก็จักต้องไม่ควรใส่ใจ
ในสิ่งเหลวไหลไร้สาระของเขาเหล่านั้น
3.หน้าที่ของท่านก็คือ
เมื่อได้สัมผัสรับรู้ดูเห็นการกระทำของเขาแล้ว
จักต้องคัดแยกแจกแจงด้วยสติปัญญาในทันทีว่า
อะไร คือ "สาระ" อะไร คือ "ขยะ"
ถ้าเป็นสาระรับรู้แล้วก็ให้รับเอาไว้เพราะมีประโยชน์
แต่ถ้าเป็นขยะเมื่อรับรู้แล้วก็ควรเขวี้ยงทิ้งไป
อย่าไปใส่ใจให้เสียเวลาหรือเสียอารมณ์
เพราะมันเป็นสิ่งไร้ประโยชน์หรือไร้ค่านั่นเอง
4.กรณีที่มีใครกระทำไม่ถูกต้องต่อตัวท่าน
แทนที่ท่านจะโกรธมันคนนั้นมากๆ
ก็ให้ท่านค้นหา "สาระ" ของเขาให้พบว่า
เขาทำไม่ดีกับท่านทำไม
อะไรเป็นเหตุให้เขาทำไม่ดีต่อตัวท่าน
ท่านควรจะตอบสนองการกระทำของเขาอย่างไรดี
จึงจะไม่มีปัญหาต่อเนื่อง เป็นต้น
อันคำพูดไม่เพราะหู
อันกิริยาท่าทางยียวนกวนประสาท
สิ่งเหล่านี้ล้วน "ไร้สาระ" สำหรับท่าน
หากท่านไปใส่ใจรับเอามา
มันก็จะเป็นปัญหาทางอารมณ์ในจิตใจท่านทันที
ซึ่งมันมิได้มีสาระประโยชน์อันใดเลย
ซึ่งการปฏิบัติตนในการคัดแยก
ระหว่างสาระกับสิ่งไร้สาระดังว่านี้
มันเป็นการใช้หลักของ "ไก่โมเดล" ดีๆนี่เอง
ลองสังเกตวิธีการดำเนินชีวิตของไก่ดูสิ
ไก่จะใช้สองเท้าคุ้ยเขี่ยดินทราย
คัดแยกสิ่งที่ไร้สาระประโยชน์ออกไป
โดยใส่ใจค้นหาแต่เมล็ดข้าวหรือชิ้นอาหาร
อันเป็นสาระประโยชน์สำหรับตน
ซึ่งเจือปนอยู่กับดินทรายที่ไร้สาระเท่านั้น
โดยที่ไก่ไม่เคยเสียอารมณ์
ไปกับการเสียแรงเสียเวลาในการคุ้ยเขี่ย
เพื่อค้นหาสาระที่มีปริมาณน้อยกว่าสิ่งไร้สาระเลย
5.ดังนั้น...
เมื่อชายหนุ่มเบอร์ 2 ในภาพประกอบ
ได้สั่นสะเทือนจิตใจด้านลบ
จนก่อให้เกิดมวลพลังงานกรรมด้านลบขึ้น
แล้วเหวี่ยงมันออกมาภายนอกร่างกาย
อย่างรุนแรงและต่อเนื่อง
โดยที่เป้าหมายของเขาคือ สาวเบอร์ 1 นั้น
เพราะว่าสาวเบอร์ 1 เธอครองมหาสติได้เข้มแข็ง
สภาวะจิตของเธอจึงสั่นสะเทือนเป็นบวก
ด้วยความสงบและสมดุลอยู่ในตนเอง
อีกทั้งเธอก็ยังฉลาดพอที่จะเลือกรับรู้ว่า
หนุ่มเบอร์ 2 นั้นมีอะไรที่เป็นสาระอันควรใส่ใจได้บ้าง
โดยที่เธอจะต้องมองข้ามพฤติกรรมขยะอันไร้สาระ
จำพวกความเกรี้ยวกราด
ความก้าวร้าว
ความสามหาว
ความไม่เอาไหน
และอื่นๆ
ซึ่งเปรียบได้ดั่งเม็ดกรวดเม็ดทราย
ที่ไร้สาระสำหรับ "ไก่"
เพราะมิใช่อาหารของไก่โดยแท้
6.การที่ท่านอยู่ในสังคมคนหมู่มากนั้น
โอกาสที่คนรอบข้างทั้งใกล้ไกล
จะหยิบยื่นขยะห่อสาระเอาไว้
มาให้ท่านได้ชื่นชมหรือทดสอบนั้น
มันมิใช่เรื่องแปลกอะไรเลย
แต่มันแปลกก็ตรงที่ว่า
อันทุกท่านน่ะล้วนปรารถนา
ความมีสาระในชีวิตด้วยกันทั้งนั้น
แต่ในการดำเนินชีวิตกันจริงๆ
ท่านก็กลับไปคว้าเอาสิ่งไร้สาระของผู้อื่น
มาทำลายความสมดุลในจิตใจของตนแทน
จนก่อเวรเกี่ยวกรรมสร้างภพชาติใหม่
อย่างมิรู้ว่าจะสิ้นสุดยุติกันที่ตรงไหนได้
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
19-11-2015