04 มกราคม 2558

สมการพลังจิตมหัศจรรย์


สมการพลังจิตมหัศจรรย์


เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

หนึ่งใน พันธะสัญญา 6
ซึ่งดวงจิตธรรมญาณของท่านทั้งหลาย
ได้ให้สัจจะไว้ต่อองค์จิตจักรวาล
ผู้ทรงเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณของท่าน
ก็คือ........

การมาเกิดเป็นคน
เพื่อคนตนเองให้เป็นมนุษย์
แล้วร่วมกันทำหน้าที่
เป็นเพื่อนร่วมงานกับดาวเคราะห์โลก

นักเรียนที่รักแห่งเราทั้งหลาย
พวกท่านล้วนเป็นสรรพสิ่งหนึ่ง
ซึ่งพระบิดาทรงกำหนดสร้างขึ้นมา
ที่น่าทึ่งยิ่งกว่าสิ่งใดๆ
ในมหาอาณาจักรอันไพศาลของพระองค์

เพราะพวกท่านถูกกำหนดสร้าง
ให้เป็น คนสองมิติ คือ
มี กายหยาบ อันเป็นสรรพสิ่งในมิติทางกายภาพ
ที่มีโครงสร้างละเอียดอ่อนซับซ้อน
จนน่าทึ่งที่สุดในจักรวาล
โดยพระองค์ให้กำหนดสร้างขึ้นไว้บนโลกเสรีนี้
ด้วยโลหิตในครรภ์มารดา

กับ จิตวิญญาณ อันเป็นอีกสรรพสิ่งในมิติทางพลังงาน
ที่น่าทึ่งและมหัศจรรย์อีกเช่นกัน
ซึ่งเป็นรูปธรรมที่เดินทางข้ามมิติมาจาก แดนสุญญตา
โดยทั้งสองสรรพสิ่งนี้จักต้องทำงานร่วมกัน
ในบทบาทของมนุษย์แห่งดาวโลกเสรีนี้

ดังนั้น.....
พวกท่านจึงล้วนมี 2 ภาคในตนเองไปโดยปริยาย
กล่าวคือ....

ทุกท่านก็จะมีตัวตนภาคแรกที่สูงส่ง
ซึ่งเป็นรูปธรรมทางพลังงาน
อันมีพระนามว่า "จิตจักรวาลดวงเล็ก"
หรือกล่าวนามสั้นๆว่า "พระบุตร"
ที่ยังคงดำรงตนเองอยู่กับพระบิดาในแดนสุญญตา
ซึ่งเป็นที่ผู้แบ่งภาคตนเองออกมาเป็นภาคที่สอง
เพื่อข้ามมิติเข้ามาสู่การเกิดเป็นมนุษย์บนโลกเสรีนี้
โดยท่านทั้งหลายเรียกนามว่า "จิตวิญญาณ"
หรืออาจกล่าวนามสั้นๆได้ว่า "พระจิต"

ด้วยเหตุนี้เอง
เมื่อพวกท่านได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นคนสองมิติแล้ว
จิตมนุษย์ผู้ดูแลรับผิดชอบกายหยาบ
จึงต้องมีหน้าที่ยกระดับ
การสั่นสะเทือนตนเองให้สูงขึ้น
จนสั่นสะเทือนเป็นหนึ่งเดียวกันกับแก่นแท้
คือจิตวิญญาณของตนให้สำเร็จก่อน
มิเช่นนั้นแล้วท่านก็จะทำหน้าที่
เป็นเพื่อนร่วมงานกับโลกตามพันธะสัญญาไม่ได้

พวกท่านเมื่อแรกเกิดมาลืมตาดูโลก
พระบิดาจึงทรงกำหนดนามเรียกขานว่า "คน"
ทั้งนี้เพื่อสร้างสติทางวิญญาณ
ให้พวกท่านได้สำนึกรู้ว่า

ตั้งแต่เด็กจนโตใหญ่ท่านจะต้องหาหนทาง
คนตนเองในสองมิติ
ระหว่างจิตหยาบและกายหยาบ
กับจิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้ของท่าน
ให้เป็นหนึ่งเดียวกันให้สำเร็จให้จงได้เร็วที่สุด
หากท่านทำสำเร็จได้เมื่อใด
เมื่อนั้นท่านจึงจะถูกเรียกว่า "มนุษย์" ได้อย่างเต็มคำ

เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ถ้าท่านจะประสบความสำเร็จ
ในการคนตนเองให้เป็นมนุษย์ได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว
สิ่งที่ท่านจะต้องกระทำต่อตนเองและผู้อื่น
มีดังต่อไปนี้ คือ

1.ต้องเรียนรู้ที่จะรักตนเองและผู้อื่นให้ได้

แม้ว่าใครคนนั้นจะทำตัวไม่น่ารักต่อท่านก็ตาม
เช่น สงสาร เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

2.ต้องเรียนรู้ที่จะให้สิ่งดีๆมีคุณค่า
ทั้งต่อตนเองและผู้อื่นให้ได้

แม้ว่าบางครั้งตนเองและผู้อื่นทำตัวไม่น่าที่จะให้ก็ตาม
เช่น อดทน อดกลั้น ให้อภัย ให้โอกาส ให้เวลา
ให้ทรัพย์สินสิ่งของ และอื่นๆ
โดยไม่มีเงื่อนไขในการให้ โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน

3.ต้องเรียนรู้ที่จะคิด
ด้วยความฉลาดของสมองสองซีก

ซึ่งเป็นพลังอำนาจทางปัญญาในตนเอง
เพื่อการตัดสินใจแสดงออกหรือกระทำสิ่งใดๆ
ต่อตนเองและผู้อื่นให้เป็นธรรมชาติของตนให้จงได้
เช่น คิดก่อนคิด คิดก่อนพูด และคิดก่อนทำ เป็นต้น

ดยหลีกเลี่ยงละเลิกที่จะขับเคลื่อนการกระทำ
ด้วยกิเลส ตัณหา อารมณ์
นิสัยเคยชิน และสันดานเคยตัว
อันเป็นคุณสมบัติหยาบๆของจิตหยาบ

หากท่านทั้งหลาย
ปฏิบัติตามสามประการนี้ต่อตนเองได้
ท่านก็สามารถคนตนเองให้เป็นมนุษย์สำเร็จแล้ว

ถ้าหากท่านแสดงออกต่อเพื่อนมนุษย์คนอื่น
ด้วยการกระทำทั้งสามประการนี้แล้ว
เป็นเงื่อนไขด้านบวกที่จะช่วยให้ผู้อื่น
สามารถสั่นสะเทือนจิตหยาบของเขา
เป็นหนึ่งเดียวกันกับจิตวิญญาณของเขาได้
เช่นเดียวกับท่านแล้วละก็

เท่ากับว่าทั้งท่านและตัวเขาคนนั้น
กำลังร่วมกัน "ปฏิบัติการรัก" จากจิตชั้นสูง
โดยมันจะก่อให้เกิดพลังร่วมแห่งรักอันศักดิ์สิทธิ์
ตามสมการพลังงานร่วมแห่งรัก
จากจิตสำนึกด้านบวกของท่านกับผู้อื่น
เราเรียกว่าสมการ "ซัมเบต้า"
ตามที่เรานำมาแสดงไว้ในสไลด์ข้างล่างนี้แล้ว

สมการดังกล่าวนี้ถอดรหัสได้ว่า....

ผลรวมทางพลังงานความรัก
ของมนุษย์จำนวนเอ็กซ์คนที่กำลังรักกัน
มีค่าเท่ากับ 3 เท่า
ของจำนวนคนที่รักกันอยู่ในขณะนั้น ยกกำลังสอง

แล้วคูณด้วยผลรวมของพลังงานความรัก
ของแต่ละคนรวมทั้งสิ้น เอ็กซ์คน
ที่สามารถผลิตสร้างมันออกมาได้ในขณะนั้น

โดยผลรวมของพลังงานร่วมที่ได้นี้
จะมีหน่วยวัดค่าเป็น "เม็กกะเฮิร์ท"
ซึ่งอยู่ในรูปของคลื่นพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กระบบหนึ่ง
ที่เป็นชนิดเดียวกันกับคลื่นสนามแม่เหล็กโลกนั่นแหละ

ท่านทั้งหลายจะเห็นได้ว่า
ภารกิจของท่านถ้ามาถึงขั้นตอนนี้ได้

แสดงว่าท่านได้คนตนเองจนเป็นมนุษย์เป็นผลสำเร็จแล้ว
ทั้งยังทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงาน
กับดาวเคราะห์โลกนี้ได้แล้วด้วย

การเป็นเพื่อนร่วมงานกับโลกก็คือ
พวกท่านต้องผลิตสร้างพลังงานร่วมแห่งรัก
ตามสมการพลังงานที่เราเปิดเผยไว้นี้
เพื่อมอบพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กในรูปพลังจิต
ให้โลกนำไปใช้สร้างจิตสำนึกของโลกอีกทอดหนึ่ง

พลังความรักของพวกท่านที่เป็นพลังร่วม
ในรูปของคลี่นไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
มันจะถูกเหนี่ยวรั้งลงไปยังแกนโลกหรือจิตของโลก
เพื่อไปก่อให้เกิดกระบวนการ Nuclear Fission
ซึ่งมันจะทำให้แกนโลกบิดตัวอย่างต่อเนื่อง
จนทำให้โลกเหวี่ยงหมุนได้อย่างต่อเนื่อง
ด้วยอัตราเร็วคงที่ตลอดกาล

ตอนนี้ท่านเข้าใจหรือยังว่า
ทำไมมนุษย์กับโลกต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน

ทำไมถ้าจิตสำนึกมนุษย์ตกต่ำโลกก็จะเสียสมดุล
จนเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติรุนแรงเมื่อนั้น

ทำไมมนุษย์จึงต้องมีศีลธรรม
ทำไมพระศาสดาทุกพระองค์จึงสอนให้มนุษย์รักกัน
ทำไมเมตตาธรรมจึงค้ำจุนโลกได้

อนิจจัง....อนิจจา.....
ในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา พวกท่านส่วนใหญ่ในระบบโลก
มิได้ประพฤติดังเช่นที่เรากล่าวความจริงมาทั้งหมดนี้
ดาวเคราะห์โลกจึงเสียสมดุล
ภัยพิบัติร้ายแรงจึงเกิดขึ้นไปทั่ว
ทุกคนมีชีวิตอยู่กับการเสี่ยงตายตลอดเวลา
จนจิตวิญญาณของท่านผวาหาความสงบสุขมิได้

เราจึงต้องกลับมา...
กลับมาหาพวกท่านตามสัญญา
หมายนำพาพวกท่านคืนสู่บ้านเกิดเมืองนอน
ยังแดนสุญญตา....

ในภพชาติสุดท้ายแห่งการปิดยุคนี้

ท่านจะมากับเรามั้ย....
ท่านจะไปกราบพระบิดากับเราหรือเปล่า
ตะเกียงของท่านเติมน้ำมันแล้วหรือยัง

เอเมน....สาธุ.....


ป.วิสุทธิปัญญา

4-1-2015

ร่างกายมนุษย์สุดมหัศจรรย์กว่าที่คิด


ร่างกายมนุษย์สุดมหัศจรรย์กว่าที่คิด

เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์บนโลกเสรี
เป็นสรรพสิ่งหนึ่งซึ่งมีความพิเศษสุดเหนือสรรพสิ่งอื่นใด
ที่องค์จิตจักรวาลได้ทรงกำหนดสร้างขึ้นไว้
ในสนามพลังงานอันไพศาลที่เรียกว่า "เอกภพ" นี้

ความพิเศษสุดยิ่งกว่าสรรพสิ่งอื่น
มีหลายประการดังนี้

1.เป็นสรรพสิ่งหนึ่งที่มี 2 มิติอยู่ในตนเอง

อันประกอบด้วยกายหยาบที่เป็นเปลือกนอกของแก่นแท้
ซึ่งเราจะเรียกว่าสรรพสิ่ง "ในมิติโลกทางกายภาพ"
โดยที่สรรพสิ่งทางกายภาพซึ่งเป็นเปลือกนอกนี้
พระบิดาได้ทรงรวบรวมเอาความหลากหลายทางชีวภาพ
ของสรรพสิ่งมีชีวิตที่พระองค์ทรงกำหนดสร้างขึ้นไว้ก่อนแล้ว
มารวมกันไว้ในกายหยาบที่เป็นร่างกายมนุษย์ของท่านนี่เอง

ดังท่านจะเห็นได้ว่ากลไกหลายอย่าง
ที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นเซลอวัยวะร่างกายมนุษย์
จะเป็นกลไกที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของมันเองได้
โดยที่ตัวท่านมิพักต้องออกคำสั่งหรือเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเลย
ซึ่งกลไกเหล่านี้ท่านทั้งหลายเรียกกันว่า "กลไกอัตโนมัติ"

นอกจากเปลือกนอกที่เป็นกายสังขารแล้ว
สรรพสิ่งที่ถูกห่อหุ้มอุ้มโอบเอาไว้ข้างในก็คือ จิตวิญญาณ
ซึ่งเป็นตัวตนแก่นแท้ของท่านทั้งหลายนั่นเอง

จิตวิญญาณ จะเป็นรูปธรรมทางพลังงาน
ซึ่งมีความสมดุลในตนเอง

โดยเป็นรูปธรรมที่ขันอาสาพระบิดาลงมาสู่การเกิดเป็นมนุษย์
เพื่อเข้ามาทำหน้าที่ตามพันธะสัญญา 6
ทั้งในมิติโลกด้านกายภาพ และในมิติโลกด้านพลังงาน
พระบิดาจึงต้องทรงกำหนดให้กายสังขารมนุษย์
สามารถที่จะสั่นสะเทือนเพื่อให้เกิดการกระทำต่างๆได้
ในสองมิติในเวลาเดียวกัน

ดังนั้น.....
มนุษย์แต่ละคนจึงต้องมี "จิตหยาบ หรือ จิตมนุษย์"
คอยสั่นสะเทือนแทนจิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้ของตน
เพื่อให้เกิดกรรม หรือ การกระทำ "ในมิติทางพลังงาน" ด้วย
ในขณะที่มนุษย์มีการกระทำใดๆในมิติทางกายภาพอยู่นั้น

เราเรียกการกระทำใดๆในมิติทางพลังงาน
ด้านของจิตวิญญาณ โดยจิตหยาบดังกล่าวนี้ว่า.....
"การสั่นสะเทือนในมิติคู่ขนาน"

2.สามารถเติบโตได้อย่างไม่มีวันตาย

มนุษย์กับต้นพืชพันธุ์ไม้ใหญ่ยืนต้นทั้งหลายนั้น
มีความเหมือนกันอยู่ 2 อย่างก็คือ
ต่างล้วนเป็นสรรพสิ่งหนึ่ง
ซึ่งสามารถที่จะเจริญเติบโตได้เรื่อยๆแบบโตวันโตคืน
โดยเมื่อแรกเกิดจะโตไว พอเติบใหญ่ก็จะโตช้าลง
และสามารถซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของตนเองได้ด้วย

ต้นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ในป่าดงดิบทั้งหลาย
จะเป็นตัวอย่างที่ดีที่ชัดเจนที่สุด
ที่สามารถใช้อ้างอิงในสิ่งที่เรากล่าวมานั้นได้

จะต่างกันเพียงมนุษย์ล้วนเติบตาย
มากกว่าจะเจริญเติบโตไปได้เรื่อยๆ คือ มีอายุขัย

การที่มนุษย์มีอายุขัยแห่งการมาเกิดนี่เอง
จึงยังผลให้มนุษย์ต้องมี "ภพชาติ"
และเพราะการต้องมีภพชาตินี่แหละ
มนุษย์กับต้นไม้ใหญ่จึงมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ท่านทั้งหลายน่าจะต้องรีบถามตนเอง
เพื่อค้นหาคำตอบกันให้ได้ว่า
ทำไมมนุษย์ต้องตาย
ทำไมจึงไม่เติบโตได้เรื่อยๆ
เหมือนการเจริญเติบโตของต้นไม้ใหญ่ด้วยเล่า

3.มีจิตสำนึกเป็นของตนเอง
และใช้จิตสำนึกดำรงชีวิต

สรรพสิ่งมีชีวิตอื่นๆรวมทั้งต้นไม้ทั้งหลาย
สามารถดำรงชีวิตตนเองกันอยู่ได้
ด้วยกลไกของแก่นแท้ คือ สัญชาตญาณ เท่านั้น

แต่สำหรับสรรพสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์
มีใช้ทั้ง.........
สัญชาตญาณแบบสัตว์และมีทั้งจิตสำนึก 
ที่สัตว์ไม่มี.....

อันความจริงทั้งสามประการที่เรากล่าวถึงนี้
เป็นแค่เพียงบางด้านที่จะแสดงให้เห็นถึง
ความมหัศจรรย์ของสรรพสิ่งที่เรียกว่า

เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์

นอกจากสิ่งมหัศจรรย์ดังกล่าวข้างต้นแล้ว
เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
ก็ยังมีความลับบางสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในระดับเซล
นั่นคือ กลไกกำหนดอายุขัย ของท่านเอง
เราเรียกกลไกนี้ว่า "ชุดเส้นใยเกลียวแม่เหล็ก"
หรือ เรียกอย่างเป็นทางการว่า DIGITALIS
( * โปรดดูภาพประกอบจากสไลด์)

ชุดกลไกรูปเกือกม้า
ที่มีหน้าตาเหมือนหนวดแมลงสาปดังภาพนี้
มีอยู่ในเซลอวัยวะร่างกายของเครื่องยนต์แห่งกรรมของท่าน
โดยจะติดตั้งเอาไว้ที่ นิวคลิโอไทด์ คู่ซ้าย ในทุกๆเซล
ในแต่ละเซลก็จะมีกลไกนี้ 1 ชุด
ในแต่ละชุดก็จะมีจำนวนขดเกลียว
ซึ่งพันที่ขาสองข้างไว้นั้นจำนวนข้างละเท่าๆกัน

ในหนึ่งขดเกลียวจะถูกกำหนดให้มีอายุขัยเท่ากับ 6 ปีบริบูรณ์
ถ้าอายุขัยเหลือเศษเพราะมิได้เป็นจำนวนเท่าของ 3
ก็จะสามารถทดรอบโดยคิดเป็นสัดส่วนได้

ชุดเส้นใยเกลียวแม่เหล็กนี้
นอกจากจะเป็นตัวกำหนดอายุขัยของแต่ละคนแล้ว
ยังทำหน้าที่ผลิตสร้างกระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนำ
ให้เกิดขึ้นภายในรูปธรรมมนุษย์ของท่านด้วย
เพื่อให้มีพลังงานไฟฟ้าหล่อเลี้ยงเซลอวัยวะร่างกาย
ให้สามารถทำงานได้ในสองมิติอย่างมีสมรรถภาพ

ดังนั้น.....
คนที่จะมีอวัยวะร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ดี
จึงจักต้องมีกลไกดิจิตัลลิสในระบบเซลทั่วทั้งร่างกาย
ที่สมดุลและมีสมรรถนะอย่างเต็มพลังในการทำหน้าที่ของมันด้วย

นอกจากนั้น....
การที่มนุษย์ทุกคนมีพลังจิตหรือพลังงานจิต
ที่สามารถเหวี่ยงออกมาภายนอกร่างกาย

ในรูปของคลื่นพลังงานความรักความเมตตา
ในรูปของคลื่นพลังงานความคิด
ในรูปของคลื่นพลังงานทางอารมณ์ด้านบวกด้านลบ
ในรูปของคลื่นการสื่อสารภาษาจิตที่เป็นภาษาสากล
เพื่อการติดต่อสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับผู้อื่นหรือสรรพสิ่งอื่น
ภายในจักรวาลอันไพศาลนี้ได้นั้น

จักต้องอาศัย สมรรถนะขั้นสูงสุดของชุดกลไกดิจิตัลลิส
ทั้งระบบทั่วร่างกายของท่านด้วย
คุณสมบัติสำคัญที่เกื้อกูลอย่างยิ่ง คือ

1).ท่านต้องเป็นคนจิตใสใจสวย

2).ท่านต้องไม่เจ็บป่วยบ่อยๆ

3).ท่านต้องไม่อยู่ในสถานที่ๆไม่เหมาะสม เช่น

ไม่อยู่ในบริเวณชุมชนแออัดที่มีผู้คนเยอะๆ
ไม่อยู่ในสถานบันเทิงเริงรมย์หรือแหล่งอบายมุข
ไม่อยู่ในบริเวณสถานที่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หรือทรมานสัตว์

ไม่อยู่ในบริเวณใกล้ๆเครื่องกำเนิดไฟฟ้า คอมเพรสเซอร์
มอเตอร์ ไดนาโม หม้อแปลงไฟฟ้าแรงสูง ใต้สายไฟฟ้าแรงสูง

ไม่ใช้เครื่องไดร์เป่าผมครั้งละนานๆเกินไป เป็นต้น

4).ท่านต้องไม่ฆ่าสัตว์ ทรมานสัตว์ ให้เขาโกรธแค้นอาฆาต

ท่านจะต้องไม่เป็นคนชั่ว
ทำตัวพาลเกเรให้ใครอื่นสาปแช่ง

เพราะพวกเขาจะเหวี่ยงพลังจิตด้านลบออกมา
แล้วชุดดิจิตัลลิสของท่านก็จะรับเอาพลังลบนั้นไว้
จะยังผลให้พลังงานชีวิตในร่างกายท่านเสียสมดุลไป
อันเกิดจากสมรรถนะของดิจิตัลลิสลดต่ำลง
จากพลังลบที่รับมาจากสัตว์หรือมนุษย์
ที่ถูกท่านรังแกหรือทำร้ายนั่นแหละ

ถ้าท่านเป็นคนชั่ว ทำตัวไม่ดีเป็นอาจินต์
ลองตรองดูก็ได้ว่าอายุขัยจริงของท่าน
มันจะถูกบั่นทอนลงได้มั้ย......

พลังจิตของท่านจะลดต่ำลง
จนไม่สามารถให้พลังบวกค้ำจุนโลกได้
ตามพันธะสัญญาที่จิตวิญญาณของท่าน
ถือมาเกิดเป็นมนุษย์ด้วยมั้ย......

ท่านคงตอบได้โดยมิต้องเดาหรอกนะ

ดังนั้น
การใช้พลังจิตด้านลบทำร้ายคนอื่นหรือผู้อื่น
จึงมิต่างจากการยื่นอาวุธร้ายทำลายตัวเองโดยแท้

เอเมน.....สาธุ.......

ป.วิสุทธิปัญญา
4-1-2015





วิถีจิตจักรวาล


มรรควิถีจิตจักรวาล
..............................
เพื่อให้ท่านที่ปรารถนาการหลุดพ้นในภพชาติเดียว
ก่อนปฏิบัติการเปลี่ยนยุคของดาวโลกเสรีสิ้นสุดลง
มีบริบทในการดำเนินชีวิตที่ชัดเจนขึ้น
เราจึงจะกล่าวความจริงให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า
ท่านทั้งหลายจักต้องสร้างพฤตินิสัย
ทั้งจิตและกายให้เป็นธรรมชาติไว้ดังนี้

1.ท่านต้องบำเพ็ญทานเป็นนิจ
..............................................
การบำเพ็ญทาน คือ 
การรักและการให้ด้วยจิตและกายเป็นประจำ
รักใครก็ได้....รักได้โดยไม่มีเงื่อนไขที่จะรัก
ให้ใครก็ได้....ให้ได้โดยไม่มีเงื่อนไขที่จะให้
แต่จะเป็นการรักและการให้
ที่จะช่วยให้ท่านมีความสุขที่ได้รักหรือได้ให้นั้น

การมีจิตเมตตา กรุณา มุทิตา ปรารถนาดี
การมีจิตอดทน อดกลั้น ให้อภัย
การเสียสละให้ การแบ่งปันให้ การแลกเปลี่ยนให้
พฤติกรรมทางจิตและกายทั้งหลายเหล่านี้
ล้วนเป็นพฤติกรรมแห่งรักและวิธีการให้
ที่ท่านทั้งหลายสามารถแสดงออกมาในชีวิตประจำวัน
ต่อเพื่อนร่วมสังคม เพื่อนร่วมชาติ เพื่อนร่วมโลก
เพื่อนร่วมงาน และเพื่อนร่วมชีวิตได้เสมอ

2.ท่านต้องครองศีลเอาไว้ตลอดเวลา
.........................................................
การครองศีลไว้ตลอดเวลา คือ
การไม่ประพฤติตนก้าวล่วงใครๆ
ไม่ว่าด้วย กาย วาจา หู ตา และจิตใจโดยเด็ดขาด

ต้องไม่เหยียบเท้าหรือกระทำการก้าวล่วงใคร
จนเป็นเหตุให้เขาโกรธแค้นหรือจิตเสียสมดุล

ต้องไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเพราะท่านเป็นต้นเหตุ
ต้องไม่พูดจาว่าร้ายผู้อื่นทั้งต่อหน้า
และต้องไม่นินทาผู้อื่นลับหลัง
ทั้งนี้แม้ว่าตัวเขาคนนั้นจะเลวจริงหรือไม่ก็ตาม

ต้องไม่สอดรู้เรื่องราวส่วนตัวอันเป็นความลับของผู้อื่น
ต้องไม่เชื่อคำยุแยงยุแหย่ของคนอื่นเสียจนจิตตก
ต้องไม่นึกลบหรือมองผู้อื่นในแง่ร้ายอยู่ด้านเดียว

โดยทั้งหมดที่กล่าวมานั้น
ท่านจะต้องละเว้นการกระทำทันทีนับแต่นี้ไป

ไม่ว่าเขาจะเป็นสามีหรือภรรยาของท่าน
ไม่ว่าเขาจะเป็นบุตรบริวารของท่าน
ไม่ว่าเขาจะเป็นครูบาอาจารย์ หรือเป็นผู้มีพระคุณของท่าน
ไม่ว่าเขาจะเป็นเพื่อนร่วมงานร่วมสังคมของท่าน
ไม่ว่าเขาจะคุ้นเคยกับท่านหรือเป็นคนแปลกหน้า
ไม่ว่าเขาจะเป็นมิตรหรือเป็นศัตรูของท่าน
ไม่ว่าเขาจะเป็นผู้สูงส่งหรือจะต่ำต้อยกว่าท่าน
ไม่ว่าท่านจะมองเห็นเขาหรือมองไม่เห็น

พฤติกรรมการก้าวล่วงผู้อื่นเหล่านี้

ท่านจักต้องไม่กระทำโดยประมาท
คือรู้แล้วว่าไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม ไม่ดีงาม
แต่ท่านก็ยังฝืนที่จะกระทำมัน.....

ท่านจักต้องไม่กระทำเพราะขาดสติ
เป็นต้นว่ากระทำไปตามอารมณ์ไม่ดีของท่านเอง
หรือกระทำไปตามสันดานเคยตัวของท่านเอง
โดยไม่คิดพิจารณาให้รอบคอบ
ก่อนที่ท่านจะตัดสินใจพูดหรือกระทำมันออกไป เป็นต้น

3.ท่านต้องภาวนาตลอดเวลา
.............................................
คำว่า "ภาวนา" ในที่นี้เราหมายถึง
การครุ่นคิด-ใคร่ครวญ-การทบทวนซ้ำ
ในสิ่งใดเรื่องใดที่ท่านได้สัมผัสรู้ดูเห็น
เพื่อประโยชน์แห่งการเรียนรู้มันให้ลึกซึ้งถ่องแท้
และหรือเพื่อประโยชน์ในการตัดสินใจ
ตอบสนองเงื่อนไขนั้นๆได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
โดยต้องไม่ไปก้าวล่วงใครอื่นให้เขาเสียสมดุล

ท่านจักต้องบำเพ็ญตนเป็นนักคิดผู้องอาจ
คือ คิดบวก และคิดด้านบวก
คือ คิดมากๆ แต่ไม่คิดมาก
คือ รู้วิธีที่จะคิดด้วยปัญญาของสมองตนเอง
คือ ไม่ดีแต่จะนึกแล้วพูดแล้วทำ
โดยไม่ฝึกที่จะนึกแล้วนำสิ่งที่นึกนั้นมาขบคิด
ก่อนตัดสินใจแสดงออกไปตามที่คิดดีแล้วนั่น

4.ท่านต้องมีสมาธิขณะภาวนา
...............................................
ขณะที่ท่านกำลังใช้สติปัญญาพิจารณา
ท่านจักต้องมีสมาธิในการคิดด้วย

ความเฉลียวฉลาดทางปัญญาสูงๆ
ที่จะใช้เพื่อการคิดด้วยสมองของท่านนั้น
มันจักต้องได้มาจากสภาวะจิตที่มีพลังอำนาจสูงๆ

คนที่มีพลังอำนาจจิตสูงๆ คือ คนที่มีจิตใสใจสวย
โดยคนที่จิตใสใจสวย คือ 
คนที่จิตสั่นสะเทือนเป็นความรัก 
เป็นการให้อยู่เนืองนิจ

คือ คนที่มีศีล อันหมายถึง 
คนที่ไม่คิดก้าวล่วงใครในชีวิตเลย

ถ้าท่านเป็นผู้มีคุณสมบัติใน 4 บรรทัดข้างบนนั้น
พลังอำนาจจิตที่จะไปสั่นสะเทือนสมองเพื่อการคิด
ก็จะมีพลังอำนาจสูงมากไปตามนั้น

ถ้าท่านปรารถนาจะคิดพิจารณาสิ่งนั้นเรื่องนั้น
ให้ลึกซึ้งมากขึ้น แยบยลมากขึ้น
ให้เข้าถึงคำตอบในปัญหาที่ซับซ้อนยุ่งยากได้ดีขึ้น
ท่านก็จะต้องมีธรรมชาติสมาธิ หรือ "มหาสติ"
เป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญเป็นตัวช่วยด้วย

เราได้กล่าวความจริงให้ท่านรู้ทั้งหมดแล้วว่า
ถ้าปรารถนาจะหลุดพ้นในชาติเดียวนี้
ท่านจักต้องมุ่งมั่นปฏิบัติในสิ่งที่เรากล่าวไว้
อย่าได้ขาดตกบกพร่องหรือว่างเว้นเลย

เพราะเพียงท่านรักษา 4 ประการนี้เอาไว้ได้
ท่านจะเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่.....

1).สามารถหมุนธรรมจักรได้สำเร็จ
2).ไม่ก่อกรรมใหม่เพิ่มให้จิตวิญญาณท่านต้องเดือดร้อน
3).แก้ไขกรรมเก่าจากอดีตชาติให้ลุล่วงได้ในชีวิตประจำวัน

ขอให้ทุกท่านก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ
สู่การหลุดพ้นในภพชาตินี้โดยทั่วกัน

เอเมน....สาธุ.......

.วิสุทธิปัญญา

3-1-2015

03 มกราคม 2558

พันธะสัญญา 6



นี่เป็นพันธะสัญญา 6 ที่จิตวิญญาณมนุษย์
ได้ให้เป็นสัจจะไว้ต่อพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ก่อนได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์แห่งโลกเสรี
ในภพชาติแรกแห่งการเกิด

เอเมน....สาธุ......

ป.วิสุทธิปัญญา
3-1-2015

คำสอน 3/01/2015

 

ตื่นเถิดเธอมนุษย์จ๋า
เรามาแล้ว...

เชิญคนดีมาต่อแถว
...สู่สวรรค์

คำสอน 3/01/2015

 

ด่านนภาลัย
อรูปพรหม
อาตมันพรหม
พรหม
เทวดา
เทพ

บันไดสู่นิพพานของนักรบแห่งแสงสว่าง
เส้นทางบุญนิยม เทวนิยม จิตนิยม

คำสอน 3/01/2015

 

ปณิธาน
แห่งนิพพาน

รู้จักรัก-รู้จักให้ = ทาน
ไม่ก้าวล่วงใคร = ศีล
รู้จักใช้ปัญญา = ภาวนา
มีจิตมุ่งมั่น = สมาธิ

คำสอน 3/01/2015

 

เพื่อให้ตัวเธอได้รับโอกาสมาเกิดเป็นมนุษย์
เธอจึงให้พันธะสัญญาต่อองค์จิตจักรวาล
ไว้ 6 ประการว่า...

พันธะสัญญา 6

1.จะมาเป็นเพื่อนร่วมงานกับดาวเคราะห์โลก
2.จะคนตนเองให้เป็นมนุษย์
3.จะไม่เบียดเบียนกันเอง
4.จะสืบทอดเผ่าพันธ์มนุษย์ไว้
5.จะเป็นเงื่อนไขด้านบวกของผู้อื่น
6.จะย้อนคืนกลับสู่แดนสุญตา

02 มกราคม 2558

คำสอน 2/01/2015

 

ทุกศาสนา
ล้วนเป็น
สากล

ทุกศาสดา
ล้วนเป็น
หนึ่งเดียว

01 มกราคม 2558

เรามาจากพระบิดา



เราขอกล่าวตามความจริงว่า
เรามาจากพระบิดา
พระองค์ทรงใช้เรามา

มา...เพื่อมอบความรักจากพระองค์ให้กับท่าน
มา...เพื่อแจ้งข่าวสารการชำระโลก
มา...เพื่อการเปลี่ยนโลกสู่ยุคพลังงานใหม่
มา...เพื่อนำพาแก่นแท้ของท่านกลับบ้าน
มา...เพื่อการพิพากษาโลก

เรามิได้มาเพื่อสร้างลัทธิใหม่/ศาสนาใหม่
แต่เรามาเพื่อประกาศว่า 
ทุกศาสนาล้วนเป็นสากลและเป็นหนึ่งเดียวกัน

เรามิได้มาสร้างสำนักใดๆบนโลกใบนี้
แต่เรามาสร้างสำนึกใหม่ให้กับท่าน
นั่นคือ สำนึกแห่งการเป็นหนึ่งเดียวกัน

เอเมน....สาธุ......

ป.วิสุทธิปัญญา
4-1-2015

30 ธันวาคม 2557

หลุดลอย


นักเรียนที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านทั้งหลายได้รู้อีกว่า
.........................................................................
ผู้คนใดที่มีวิถีแห่งการประพฤติตนดังต่อไปนี้
จิตวิญญาณของพวกเขา ก็จะมีจุดสิ้นสุดอยู่ที่ทางตัน.....
ที่หนทางตันเพราะมันไปต่อไม่ได้
หากจะไปต่อได้...
ต้องใช้พลังภายในกันอีกเยอะ
ต้องเปลืองกาลเวลาพัฒนาตนเองกันอีกแยะ
วิถีแห่งการปฏิบัติที่มิอาจหลุดพ้นในทันที
เมื่อจบสิ้นอายุขัยในภพชาตินี้
จักแบ่งได้เป็น 4 จำพวกด้วยกัน คือ

1.ผู้ฝักใฝ่บุญนิยม:
...........................................
เป็นผู้ประกอบกิจบุญเกื้อหนุนไทยทาน
เพียรสร้างฐานบารมีอยู่เนืองนิจ
เพราะคนเหล่านี้ถูกจูงให้เชื่อว่า
การทำบุญสุนทานอยู่เบื้องล่างนั้น
จักเป็นการสร้างสวรรค์วิมานไว้เบื้องบน
เมื่อตัวตายไปในภพชาตินี้
จิตวิญญาณจักได้มีที่สถิตย์อยู่บนภพภูมิสวรรค์
จักได้มีวิมานอันวิจิตรเป็นของตนเอง
พวกเขาเชื่อว่าหากใครหมั่นประกอบกิจดังว่านี้
ผู้ใดที่สั่งสมบารมีเอาไว้มากกว่า
จิตวิญญาณของเขาก็จะ "หลุดลอย"
ขึ้นไปค้างคาอยู่ในมิติที่สูงกว่า
หากใครประกอบกิจดังว่านี้น้อยกว่า
จิตวิญญาณของผู้นั้นก็จะ "หลุดลอย"
ขึ้นไปค้างคาอยู่ในมิติที่ต่ำกว่า
แต่ไม่ว่าจะหลุดลอยไปติดค้างอยู่สูงหรือต่ำ
มันก็เป็นการหลงมิติของจิตวิญญาณอยู่นั่นเอง
เพราะเหตุดั่งว่านี้แหละ
จึงยังผลให้ภพภูมิสวรรค์นั้น มีหลายชั้นจริง!
ในขณะที่จิตวิญญาณมนุษย์บางรายเมื่อตายแล้ว
จะหลุดลอยไปติดค้างอยู่บนนั้นเสียเนิ่นนาน
กว่าจะเกิดการมีสำนึกทางวิญญาณ
ว่าตนนั้นก้าวเดินผิดทางหรือหลงมิติ
ก็กินเวลาทางโลกไปมากโข
น้อยรายจะโชคดีที่จะได้รับโอกาสจากจอมฟ้า
ให้ได้แบ่งภาคลงมาบำเพ็ญธรรมยังโลกมนุษย์อีกครั้ง
เพื่อสร้างสำนึกใหม่ของตนเสียให้ถูกต้อง
ด้วยการดำเนินวิถีที่จะหลุดพ้นให้ถูกทาง
ทั้งยังให้ทำตนเป็นแบบอย่างที่ถูกต้อง
แก่มวลมนุษย์โลกเสรีที่ยังไร้สำนึกอีกด้วย
แต่ปรากฏว่ากลับมีอยู่มากราย
เมื่อได้รับโอกาสให้ก้าวลงมาจากสวรรค์มายาแล้ว
กลับใช้โอกาสพิเศษของตนนั้นไปอย่างสิ้นเปลือง
ทั้งๆมีรูปเป็นทรัพย์ คือ หล่อ-สวย
มีปัญญาเป็นทรัพย์ คือ เฉลียวฉลาดปราดเปรื่อง
มีธรรมเป็นทรัพย์ คือ กล่าวธรรมะได้น่ารับฟัง
มีบารมีเป็นทรัพย์ คือ มีสาวกก้าวตามมาก
ซึ่งจิตวิญญาณได้พกพาทรัพย์เหล่านี้
ติดตัวลงมาด้วย
แต่พวกเขากลับใช้มันไปไม่ถูกทาง
สิ่งที่พวกเขามักกระทำกันเป็นต้นว่า
แข่งขันกันสร้างวิมานวัตถุมายา
ที่ตนจำแบบมาจากสวรรค์เบื้องบน
ซึ่งท่านทั้งหลายเรียกกันสั้นๆว่า
*สร้างวัด = สร้างวัตถุ* นั่นล่ะนะ
แล้วก็ชักพาสาวกมาเข้าวิมานของตน
ยังผลให้แก่นแท้เบื้องบนต้องเสียใจ
เพราะมันผิดวัตถุประสงค์
ขณะภาคส่วนเบื้องล่างก็เสียทีที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์
เพราะพากัน "หลุดไม่พ้น" ดุจเดิม

2.ผู้ฝักใฝ่เทวนิยม:
...........................................
อันเทวะเบื้องบนทั้งหลายนั้น
แม้ท่านเทวะจะสูงส่งกว่ามนุษย์ก็จริงอยู่
แต่ท่านก็ล้วนผ่านการเป็นมนุษย์มาก่อนแล้ว
ท่านเทวะเองก็ปรารถนาการ "หลุดพ้น"
ด้วยวิถีทางที่ถูกต้องอยู่เช่นกัน
การที่มนุษย์แสดงความคารวะ
ต่อเทพเทวะผู้สูงส่งกว่าตนนั้นชอบแล้ว
แต่ท่านจักต้องไม่ลืมเคารพตนเอง นับถือตนเอง
และมีศรัทธาในตนเองด้วย
มิใช่ยอมรับใครแล้วเที่ยวยกเอาอำนาจที่ในตน
ไปถวายให้คนนั้นผู้นั้นสิ่งนั้นจนหมด
เสมือนว่าตนไม่มีคุณค่าพอที่จะเป็นมนุษย์
การเน้นการเซ่นไหว้บูชา
การยึดถือศรัทธาในวัตถุมงคล
การหวังผลในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์
การมุ่งคิดแต่จะให้เทพช่วย
พฤติกรรมเหล่านี้แม้จะแลดูดี
แต่ก็มิใช่วิถีแห่งการหลุดพ้นแต่อย่างใด

3.ผู้มุ่งประพฤติธรรม
แต่มิได้ทำด้วยจิตสำนึกตนเอง:
.........................................................................
คนเหล่านี้เป็นผู้มีจิตใจศรัทธาในองค์ธรรม
เป็นผู้ที่ยอมก้าวตามพระบรมศาสดา
เป็นผู้ยอมรับว่าพระศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
แต่น่าเสียดายที่พวกเขาเหล่านี้
ถูกเสี้ยมสอนให้เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ด้วยวิธีการชี้แนะให้ท่องจำ
และวิธีการชี้นำให้ทำตามผู้รู้อย่างว่าง่าย
ท่านผู้รู้กำหนดให้ต้องทำอะไรอย่างไร
ก็ทำตามว่าตามไปอย่างนั้น
โดยธรรมะที่ประพฤตินั้นแม้มันจะดี
แต่ก็มิได้ออกมาจากจิตสำนึกของตนเลย
เพราะคิดรู้เองไม่เป็นว่า
ที่ผู้รู้เขาห้ามทำ และสอนให้ทำนั้น
เหตุผลที่แท้จริงคืออะไร
ดังนั้น.....
ถ้าหากยังเป็นคนดีด้วยตนเองไม่ได้
ก็ยังไร้สติทางวิญญาณอยู่ดังเดิม
ผู้ที่มีคุณสมบัติบกพร่องดังกล่าวนี้
จึงยังขาดความเหมาะสมที่จะหลุดพ้นอยู่
ด้วยเหตุผลสำคัญคือ
สั่นสะเทือนจิตสำนึกด้วยตนเองไม่เป็น
หรือขาดคุณสมบัติหลัก
แห่งการเป็นมนุษย์โดยแท้

4.ผู้ขาดปณิธานแห่งการหลุดพ้น:
....................................................................................
เราขอกล่าวตามความจริงว่า
ถ้าท่านจะทำสิ่งใดให้สำเร็จแต่ไม่รู้ว่า
เป้าหมายและวัตถุประสงค์ของตนนั้นคืออะไรแน่
ท่านจะสามารถประสบความสำเร็จ
ในสิ่งที่จะกระทำนั้นได้หรือ...
สภาวะแห่งการหลุดพ้น
ทางจิตวิญญาณของท่านทั้งหลายก็เช่นกัน
มันจะต้องกระทำกันในชีวิตประจำวัน
มันจะต้องกระทำผ่านจิตสำนึกของตัวเอง
มันจะต้องกระทำกันอย่างมีเป้าหมายชัดเจน
มันจะต้องกระทำต่อคนใกล้ตัว
มันจะต้องกระทำต่อเพื่อนร่วมงาน
มันจะต้องกระทำต่อเพื่อนร่วมสังคม
มันจะต้องกระทำต่อเพื่อนร่วมชาติ
มันจะต้องกระทำต่อเพื่อนร่วมโลก
มันจะต้องกระทำต่อดาวโลกดวงนี้
เราขอถามท่านทั้งหลายว่า
หากท่านปฏิบัติธรรมด้วยการกระทำทั้ง 9 นี้
โดยไม่มีเป้าหมายเพื่อการหลุดพ้นเลย
แล้วท่านจะค้นพบ "วิธีการปฏิบัติธรรม"
ที่จะนำพาจิตวิญญาณแก่นแท้ของท่าน
ไปให้ถึงด่านนภาลัย
ซึ่งเป็นประตูแห่งการหลุดพ้น
เพียงบานเดียวนั้นได้อย่างไรกัน
ดังนั้น....
ท่านจึงต้องเรียนรู้ด้วยว่า
การปฏิบัติธรรมเพื่อการหลุดพ้นนั้น
ต้องมีปณิธานอย่างไร
หากไม่รู้....แม้ท่านจะทำดีหรือมีดีที่ในธรรม
แก่นแท้ของท่านก็ยังมีวัน "หลุดลอย" อยู่เช่นเดิม
เอเมน....สาธุ.....

ป.วิสุทธิปัญญา
30-12-2014


29 ธันวาคม 2557

หลุดหล่น


เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ถ้าหากท่านไม่ใส่รหัสการมีสวรรค์มายาเอาไว้ที่ใจ

ไม่คิดฝักใฝ่ว่าตายแล้วตนจะได้ไปสวรรค์
โดยมุ่งแต่การทำบุญเบื้องล่าง
เพื่อหมายว่าจะเอาไปสร้างสวรรค์วิมานเบื้องบน
โดยยึดมั่นในปณิธานแห่งการหลุดพ้น
เอาไว้สถานเดียวจุดหมายเดียวเท่านั้นแล้ว
จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่าน
ก็จะได้รับโอกาสให้ "หลุดหล่น" เสมอ

คำว่า "หลุดหล่น" ทางจิตวิญญาณนี้
มิได้แตกต่างจากลูกหมากผลไม้หรอกนะ
ผลไม้ไม่ว่าผลไหนต้นไหนเมื่อสุกงอมได้ที่แล้ว
มันก็ย่อมจะหลุดหล่นลงมาตรงโคนต้นนั้นเสมอ

จิตวิญญาณของพวกท่านก็เช่นกัน
เมื่อได้รับโอกาสให้ได้เกิดเป็นมนุษย์ในภพชาตินี้แล้ว
ถ้าท่านได้ทำหน้าที่ของท่านในการพัฒนาตนเอง
จากผลอ่อนๆจนกระทั่งแก่แลกระทั่งสุกงอม

ด้วยการยึดเกาะอยู่กับกิ่งก้านของต้นแม่
อันหมายถึงดาวเคราะห์โลกดวงนี้ได้อย่างมั่นคง

ด้วยพลังอำนาจในดอกผลของตนเอง
ที่สามารถฟันฝ่าอุปสรรคปัญหาทั้งหลาย คือ
ความร้อน ความหนาว ความแฉะชื้น
และความแห้งแล้ง ในวันเวลาที่ผ่านมา
จนเกิดความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ
เสมือนการเจริญเติบโต
จนถึงขั้นผลไม้นั้นสุกงอมพร้อมขยายพันธุ์ได้

หากเปรียบไปแล้วผลไม้สุกงอมผลนั้น
ก็ไม่ต่างจาก เมล็ดพันธ์ุทางจิตวิญญาณของท่าน
ที่จะได้รับโอกาสให้หล่นลงมายังโลกนี้ใหม่
เพื่อเจริญเติบโตเป็นผลไม้ต้นใหม่
ที่มีคุณค่าต่อโลกนี้ต่อไปนั่นเอง

จงเป็นผลไม้ที่สมบูรณ์
อยู่กับต้นแม่พันธุ์ของตนคือโลกนี้อย่างร่าเริง
เมื่อหมดสิ้นอายุขัย คือ สุกงอมได้ที่แล้ว
ก็หล่นลงมายังโคนต้นเดิมของท่านต่อไป
จงอย่าหลุดลอยไปทางไหน
จงอย่าหลุดลงไปในเหวลึก
จะดีกว่ามั้ย.......

เอเมน.....สาธุ........

ป.วิสุทธิปัญญา
29-12-2014

หลุดลง


เราขอกล่าวความจริง
ต่อนักเรียนทั้งหลายว่า "นรก" มีจริง
พระองค์ทรงกำหนดสร้างนรกขึ้นไว้
สำหรับเป็นสถานบำบัดจิตวิญญาณของมนุษย์
ที่หลงมิติจนไม่สามารถปฏิบัติภารกิจ
ตามพันธะสัญญา 6 ประการได้อย่างเต็มกำลัง
ในภพชาติแห่งการเป็นมนุษย์นั้น
ดังนั้น.....ถ้าท่านใดเหลวใหล
เมื่อจบสิ้นอายุขัยในภพชาตินั้นๆแล้ว
แก่นแท้ของคนๆนั้นก็จะถูกจัดการให้ "หลุดลง"
เพื่อส่งไปบำบัดอาการหลงมิติให้คืนสมดุลดุจเดิม
ก่อนที่จะได้รับโอกาสให้
กลับคืนสู่การเกิดใหม่อีกครั้ง
จะในภพภูมิสัตว์หรือมนุษย์ก็ว่ากันไป
ซึ่งจะเคลื่อนไปตามพลังแห่งผลกรรมที่ตนก่อไว้
คำว่า "เหลวใหล" ในที่นี้หมายถึง

1.ทำตนเป็นอุปสรรค
ในการดำเนินชีวิตของผู้อื่นอยู่เป็นนิจ

2.ตกเป็นทาสของกิเลสตัณหา
เพราะหลงยึดติดในวัตถุมายาอย่างไร้สติ

3.ใช้อายตนะทั้ง 6 เพียงเพื่อสนองตัณหาตนเอง
และใช้ก้าวล่วงบุคคลอื่นอย่างไร้สติอยู่เป็นนิจ
โดยไม่ใช้มันเพื่อ "คนตนเองให้เป็นมนุษย์"
ตามภารกิจที่ขันอาสาพระบิดากันมา

4.เป็นคนงมงาย
โดยใช้สติปัญญาของสมองตนเองไม่ได้
จึงถูกชักจูงให้ประพฤติผิดคิดชั่วต่อผู้อื่นอยู่เนืองๆ
ชอบนับถือภูติผีปีศาจ นิยมในวัตถุอวิชชา
ลดพลังอำนาจในตนเองลงมาต่ำ
ให้ภูติผีเป็นผู้ชี้นำชะตาชีวิต

5.ทำตนเป็นคนไม่มีศาสนา
ปฏิเสธพระธรรมคำสอนของพระศาสดา
ไม่เชื่อว่ากฎแห่งกรรมมีจริง
ไม่เชื่อว่าภพภูมิและภพชาตินั้นมีจริง
ไม่เชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นมีจริง
ไม่เชื่อเรื่องนิพพานว่า คือการหลุดพ้น
ก้าวล่วงพระบิดาแห่งจิตวิญญาณตนเอง
อย่างไร้มหาสติและเป็นบุตรอกตัญญู
ทั้งไม่ใส่ใจที่จะรับฟังพระโอวาท
และยังเป็นผู้ปรมาสตัวแทนแห่งพระองค์
เพราะไร้มหาสติ เป็นต้น
ปกตินั้นกรรมในข้อ 5 นี้ เป็นกรรมหนัก
ต้องหลุดลงไปลึกๆ
จนมิอาจกำหนดวันเวลาย้อนคืนล่วงหน้าได้
แต่ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนยุคนี้
ดวงจิตวิญญาณผู้ผิดบาปซี่งพเนจรร่อนเร่พวกนี้
จักต้อง "แตกสลาย" อย่างทุกข์ทรมานสถานเดียว!
เพื่อจัดองค์กรโลกใหม่ให้สมดุล
เพื่อชำระโลกทั้งระบบในทุกมิติ
ให้สะอาดพิสุทธิ์ดุจเดิม
เอเมน....สาธุ......

ป.วิสุทธิปัญญา
29-12-2014

17 ธันวาคม 2557

คำสอน 17/12/2014

 

ในตัวยา 1 เม็ด ประกอบด้วย:

1.ตัวรู้ว่าขณะนั้นกำลังทำอะไรอยู่
2.ตัวรู้ว่าเมื่อสักครู่เพิ่งทำอะไรมา
3.ตัวรู้ว่าต่อไปข้างหน้าจะต้องทำสิ่งใด

จงศึกษาคุณสมบัติก่อนใช้ยา

ยาเพิ่มสติ

สรรพคุณ
เร่งการเจริญเติบโตของสติ
รับประทานครั้งละ 1 เม็ด

พระบิดาประทานให้ท่านละ 1 ขวด
ใช้รับประทานได้ตลอดชีวิต

คำสอน 17/12/2014

 

Don't Eat Me,
Please!

I've Just be
A Cool-dog,
I'm Not A Hot-dog.

คำสอน 17/12/2014

 

ความอยากเล่น อยากลอง
เป็นของเด็ก
สิ่ง "น้อย - เล็ก" ดูเป็น
อาจเห็น "ใหญ่"
เพียง "ฉุดคิด" ฉุกเห็น
ที่เป็นไป
มากสิ่งใหม่ ใหญ่ - น้อย
อีกร้อยพัน

16 ธันวาคม 2557

คำสอน 16/12/2014

 

ปณิธานแห่งการหลุดพ้น มหาสติ

แก้ววิเศษ 2  ดวงนี้
พระบิดาประทานมาให้
เพื่อนำทางพวกท่านกลับบ้าน

คำสอน 16/12/2014

 

กฏแห่ง "กำ"

1.กรรมใคร ใครกำ
2.กรรมดี กำได้
3.กรรมชั่ว อย่ากำ
4.กำแทน ไม่ได้
5.ไร้กรรม ไม่ต้องกำ

15 ธันวาคม 2557

14 ธันวาคม 2557

คำสอน 14/12/2014


องค์จิตจักรวาล

ทรงเป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง
ทรงเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ทรงใช้ให้เรามากล่าวพระโอวาทแทนพระองค์
เพื่อแจ้งข่าวสารการชำระโลกและนำพาทุกท่านกลับบ้าน 

13 ธันวาคม 2557

คำสอน 13/12/2014

 

ปฏิบัติการชำระโลกเพื่อการเปลี่ยนยุค
โลกทั้งโลกจะมืดมิดนาน
56 วัน คือ 8 ราตรี

มาเรียนรู้กันล่วงหน้าดีไหมว่า
เหตุแห่งการเกิด คือ อะไร
วันที่โลกมืดจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

10 ธันวาคม 2557

คำสอน 10/12/2014


 ในพระนามแห่งพระองค์ ขอพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ทรงโปรดประทานพระพรอันศักดิ์สิทธิ์ต่อท่านทั้งหลายทั่วโลกเสรี
ที่เฝ้าฟังพระวจนะซึ่งทรงสื่อผ่านมาทางเราอยู่ทุกเพรางาย
ต่อผู้ที่รับรู้ได้ในสัจจะแห่งการกลับมาของเรา
ณ ภพชาติสุดท้ายแห่งการเปลี่ยนยุคพลังงานเก่าสู่โลกยุคพลังงานใหม่นี้
โดยทั่วหน้ากันเทอญ....เอเมน.....อามีน.....สาธุ

คำสอน 10/12/2014

 

แม้จะสูงไกลแค่ไหนก็ไปถึง

ถ้า
พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ
พร้อมทั้งมหาสติและปัญญา
พร้อมทั้งวิธีที่จะพาตนเองก้าวสูงขึ้นไป
พร้อมทั้งเครื่องมือและกลไก
พร้อมทั้งเสบียงที่ใช้ระหว่างทาง
พร้อมทั้งเป้าหมายที่ชัดเจน
พร้อมทั้งปณิธานอันแรงกล้า
พร้อมทั้งความกล้าหาญ
พร้อมทั้งแรงบันดาลใจ

05 ธันวาคม 2557

คำสอน 5/12/2014

 

ในพระนามแห่งพระองค์ ขอพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ทรงโปรดประทานพระพรอันศักดิ์สิทธิ์ต่อท่านทั้งหลายทั่วโลกเสรี
ที่เฝ้าฟังพระวจนะซึ่งทรงสื่อผ่านมาทางเราอยู่ทุกเพรางาย
ต่อผู้ที่รับรู้ได้ในสัจจะแห่งการกลับมาของเรา
ณ ภพชาติสุดท้ายแห่งการเปลี่ยนยุคพลังงานเก่าสู่โลกยุคพลังงานใหม่นี้
โดยทั่วหน้ากันเทอญ.....เอเมน.....อามีน.....สาธุ

04 ธันวาคม 2557

คำสอน 4/12/2014

 

พายุสุริยะ
ระดับ X-Class
จะทำให้โลกมืดไม่ได้

แต่ช่วยกระตุก
จิตสำนึกของโลก
ให้ยกระดับการสั่นสะเทือน
เป็นคลื่นความถี่สูงขึ้นได้