27 สิงหาคม 2562

สนทนาประสาจิตจักรวาล 27/08/2019

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

เรามีข่าวสารพิเศษจากจักรวาลมาฝาก

เพื่อบอกกล่าวให้ท่านรู้อยู่เรื่องหนึ่งว่า

 

เมื่อบ่ายวันที่ 19 สิงหาคม 2019

ได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นในอวกาศ

เมื่อดวงอาทิตย์ดูเหมือนจะถูกบดบัง

ด้วย "บางสิ่ง" ที่ไม่สามารถอธิบายได้

จนทำให้อาทิตย์อับแสงมัวสลัวลง

โดยจอภาพดาวเทียม NASA หลายเครื่อง

ได้บันทึกภาพดังกล่าวนี้ไว้ได้เหมือนกันทุกจอ

 

เหตุการณ์ที่แปลกประหลาดนี้

ทำให้ทุกคนที่แลเห็นความผิดปกติ

เกิดความงงงันกันไปหมด

นักวิจัยหลายคนยังคงมีสมมติฐาน

ที่แตกต่างกันออกไปหลายแนวเดา

เนื่องจากภาพดวงอาทิตย์

ที่ดาวเทียมบันทึกได้

มีความสว่างน้อยกว่าดวงจันทร์อย่างผิดสังเกต

ซึ่งปรากฏการณ์ที่ว่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

นอกจากตอนที่เกิดสุริยุปราคาเท่านั้น

 

อย่างไรก็ตามทั้งๆที่รู้ทั้งรู้

ก็ยังมีบางคนคิดว่า

เป็นไปได้ไหมที่ความผิดปกตินั้น

หมายถึงการเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคา

เพราะดวงจันทร์โคจรเข้ามา

อยู่ระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์

และเงาดวงจันทร์บดบังดวงอาทิตย์ไว้

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราขอกล่าวความจริงให้รู้ว่า

 

เส้นทาง "เดา" ที่ว่านี้มันเป็นไปไม่ได้

เพราะโลกเพิ่งเกิดสุริยุปราคาครั้งสุดท้าย

ให้เห็นเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2019 ที่ผ่านมา

และจะเกิดสุริยุปราคาให้เห็นครั้งต่อไป

ในวันที่ 26 ธันวาคม 2019 ก่อนสิ้นปี

ไม่ใช่วันที่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมาแน่นอน

ถ้ามันเกิดจริงแสดงว่าโลกกับดวงจันทร์

ต้องมีวงโคจรวิปริตผิดปกติไปแล้วล่ะ

 

นอกจากนั้น

หอสังเกตการณ์พลังงานแสงอาทิตย์

แห่ง Mauna Loa ในสหรัฐอเมริกา

จากดาวเทียม SOHO และ SDO

ก็บันทึกภาพได้เหมือนๆกันอีกด้วย

จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ภาพดวงอาทิตย์อับแสง

จะเกิดเพราะความขัดข้องทางเท็คนิก

ของกล้องบันทึกภาพจากดาวเทียม

 

อ้าว...ถ้าเช่นนั้นดวงอาทิตย์ของโลก

เกิดอะไรขึ้นกันแน่

จึงมีแสงสว่างลดลงอย่างมาก

จนสว่างน้อยกว่าดวงจันทร์เสียอีกแน่ะ

 

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้

หลายคนเดาว่าเกิดจากเท็คโนโลยีของ “มอด”

หรือเอเลี่ยนส์ในจักรวาลนี่แหละ

ที่ถักทอตาข่ายขึ้นมาเพื่อดักดูดซับพลังงาน

ของดวงดาวต่างๆรวมทั้งดวงอาทิตย์ของโลกด้วย

ฟังแล้วดูเป็นวิชาการดีนะ

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

นักวิชาการจะกล่าวว่าอย่างไร

ก็ล้วนเป็นการดูแล้วคาดเดาตั้งสมมติฐาน

แต่พวกเราชาว #จิตจักรวาล จะได้รู้ความจริงนี้

โดยไม่ต้อง “เดา” เหมือนพวกเขาเลย

 

ถ้าเราพบว่ามีพวกท่านเข้ามากดไลค์สเตตัสนี้

เกินหลักร้อยคนขึ้นไปและเขียนบอกเราว่า

ท่านอยากรู้ความจริงของปรากฏการณ์นี้ชัดๆ

 

เราจะขอพระอนุญาตจากพระบิดา

นำความจริงในจักรวาลมาเปิดเผยให้รู้ทันที

ในนามของ The King of the Universe

ผู้เป็นจ้าวแห่งอนันตจักรวาลอันไพศาลนี้

ที่ได้ร่วมรับรู้งานปฏิบัติการชำระโลกของฟ้า

ซึ่งเชื่อมสัมพันธ์กับการเกิดมหันตภัยพิบัติโลก

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

27-08-2019

23 สิงหาคม 2562

สนทนาประสาจิตจักรวาล 23/08/2019

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

ถ้าท่านยังไม่สามารถนำพาตนเอง

ลืมตาขึ้นให้เห็นแสงสว่างสะท้อนสรรพสิ่ง

ขณะก้าวตามคนนำทางตาบอดอยู่ในขณะนี้

ท่านจะไม่สามารถเข้าถึง "ความจริง"

ในทุกมิติแห่งสัจธรรมของพระองค์ได้

 

ไม่ว่าจะเป็นสัจธรรมง่ายๆไปหายาก

จากโลกิยธรรม โลกุตรธรรม จนถึงอนุตรธรรม

ล้วนต้องอาศัยแสงสว่างคือดวงปัญญา

ที่จะต้องถูกจุดขึ้นมาจากภายในตนเองทั้งสิ้น

การย่างก้าวตามคนนำทางที่เขาพาเดินนั้น

ท่านจะหลับหูหลับตาก้าวตามอย่างว่าง่าย

เพราะมีความเชื่อถือศรัทธาแต่ไร้ปัญญา

ไม่ว่าเขาจะพาเดินถูกทิศหรือไปผิดทาง

ท่านทั้งหลายก็ตกเป็นฝ่าย #คนงมงาย แล้ว

 

ความหมายของคำว่า "คนงมงาย"

เราหมายถึง คนที่มีจิตและสมองเหมือนคนอื่น

แต่มิอาจสั่นสะเทือนจิตกับสมอง

เพื่อสร้างกระบวนการคิดรู้ด้วยจิตปัญญาได้

จึงใช้แต่อารมณ์กับความรู้สึก

ในการรับรู้ รับเอา ไม่รับรู้ ไม่รับเอา

แทนการใช้ความฉลาดทางปัญญาของสมอง

เพื่อการดำเนินชีวิตแบบผิดๆถูกๆสุกๆดิบๆ

จนมิอาจหมุนธรรมจักรในตนเอง

และหมุนธรรมจักรร่วมกับผู้อื่นเพื่อค้ำจุนโลก

อันเป็นภารกิจหลักทางจิตวิญญาณได้

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

บริบทแห่งการนำทางของผู้นำทางตาบอด

ก็คือการนำพาจิตวิญญาณของท่าน

หนีทุกข์ออกไปให้พ้นจากดาวโลกเสรีนี้

โดยพยายามตายแล้วไม่กลับมาเกิดที่นี่อีก

เพราะ "หลงผิด" คิดว่าการเกิดแก่เจ็บตาย

เป็นสาเหตุเป็นที่มาแห่งทุกข์ทุกสิ่งในชีวิต

ถ้าหยุดการเกิดใหม่ของจิตวิญญาณได้

พวกเขาเชื่อว่าจะไม่ต้องเผชิญทุกข์อีกเลย

 

ความเชื่อที่ทำให้ตาบอดเช่นนี้ได้

เป็นความเชื่อจากความศรัทธาที่ขาดปัญญา

จึงยังผลให้คนนำทางทั้งหลายเหล่านั้น

เข้าถึง "แผนที่การคิด" ของพระศาสดามิได้

อีกทั้งยังจัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง

เพื่อเรียนรู้ให้เข้าใจและให้เข้าถึง

ในพระธรรม พระโอวาท และพระวจนะ

อย่างซาบซึ้งโดยไม่สับสนกันไม่ได้อีกด้วย

 

เป็นต้นว่า

คนนำทางตาบอดทั้งหลาย "สับสน" กันเอง

ในการสรุปความว่าพระศาสดาตรัสรู้อะไรแน่

ระหว่าง "อริยสัจ 4" ที่มี "มรรค 8" รวมอยู่ด้วย

ซึ่งพระศาสดาทรงคิดรู้ได้เองขณะทรงผนวช

หลังเสด็จออกจากวังมาได้พักหนึ่งแล้ว

กับองค์ความรู้เรื่อง "ธรรมจักรกัปปวัฒนสูตร"

สัจธรรมขันธ์สุดท้ายที่ทรงประกาศไว้ในโลกนี้

ก่อนที่พระองค์จะทรงดับขันธปรินิพพาน

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า

 

1. อริยสัจ 4 (รวมมรรค 8 ด้วยแล้ว)

เป็นสัจธรรมเบื้องต้นที่เป็นโลกิยธรรม

เป็นองค์ความรู้เบื้องต้นที่พระองค์ทรงเข้าถึงได้

หลังจากทรงเรียนรู้เรื่องทุกข์มาอย่างลึกซึ้งแล้ว

 

2. สัจธรรมเรื่อง "อริยสัจ 4" นี้

พระศาสดาทรงใช้สติปัญญาของสมองซีกซ้าย

คิดวิเคราะห์ความทุกข์ทางจิตแล้วพบว่า

ความทุกข์เกิดจากปัญหาในชีวิตที่เผชิญ

ถ้าชีวิตไม่มีปัญหาความทุกข์ในจิตก็ไม่เกิด

พระองค์ทรงเข้าใจดีว่าปัญหาคือเหตุแห่งทุกข์

 

ดังนั้น

หากไม่ต้องการมีทุกข์เป็นทุกข์

ก็จะต้องทำให้ชีวิตตนเอง "ว่าง" จากปัญหา

 

จึงทรงค้นพบคำตอบว่า

ถ้าจะทำให้ตนเองว่างไปจากปัญหา

ก็สามารถที่จะทำได้ 2 ประการร่วมกัน คือ

หนึ่ง แก้ปัญหาให้เป็น

สอง ต้องไม่สร้างปัญหาให้ตนเอง

อันเป็นที่มาของ "อริยสัจ 3" คือ

ทุกข์ สมุทัย และนิโรธ

ที่เป็นสูตรสำเร็จในการจัดการปัญหาชีวิต

ซึ่งเป็นที่มาแห่งทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง

 

โดยหลักแห่งสัจธรรมเบื้องต้นนี้

ทรงคิดรู้ได้ด้วย "สติปัญญา" สมองซีกซ้าย

ซึ่งใช้หลักการคิดอย่างมีเหตุผล

และทรงใช้เหตุผลได้อย่างแยบยล

 

ส่วนสัจธรรมความจริงของ "มรรค 8"

เป็นการคิดเชื่อมโยงจากหลักอิทัปปัจยตา

ของสมองซีกซ้ายสู่การหยั่งรู้ด้วยสมองซีกขวา

โดยทรงใช้ "ปัญญาญาณ" เข้าสังเคราะห์

จึงพบว่าถ้ามนุษย์ฉลาดดำเนินชีวิต

ด้วยการประพฤติดีประพฤติชอบ

มีความรอบคอบในการดำเนินชีวิตแล้ว

จะไม่สร้างปัญหาให้กับตนเองและใครอื่น

ทั้งชีวิตนี้ก็ไม่มีปัญหาที่จะพาทุกข์มาให้

 

3. ท่านทั้งหลายจะเห็นได้ว่า

ความรู้เรื่องอริยสัจ 3 กับ มรรค 8 นี้

ไม่มีลักษณะธรรมอันเป็นพิเศษอันใดเลย

 

เพราะพระองค์สามารถรู้คิดด้วยจิตมนุษย์

จากพลังปัญญาของสมองสองซีก

ตามปกติได้ไม่มีอะไรพิเศษ

เป็นสัจธรรมที่ได้มาจากกระบวนการคิด

ของผู้ที่ฉลาดตั้งคำถามตนเองได้

สร้างแผนที่การคิดของตนเองเป็น

และต่อยอดความคิดความรู้ของตนเองได้

ซึ่งเป็นคุณสมบัติของคนที่มีปรีชาญาณ

ที่สามารถฝึกฝนให้เข้าถึงความฉลาดนี้ได้

อย่างไม่ยากเย็นอะไรเลย

 

4. เพราะพระองค์ต้องการดับทุกข์ในชีวิต

ทำให้พระองค์ทรงค้นพบวิธีจัดการความทุกข์

และมีวิธีดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขได้แล้ว

พระองค์ก็พร้อมที่จะเผชิญกับทุกปัญหา

ที่คนรอบข้างหยิบยื่นมาให้เสมอ

 

ขณะเดียวกันพระองค์ก็พร้อมที่จะไม่ก่อปัญหา

ให้กับทั้งตนเองและคนรอบข้างอีกเลย

ด้วยการมี "สัมมา" ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด

 

ดังนั้น

ที่คนนำทางตาบอดเล่าว่า

พระศาสดาทรงปฏิเสธการมีสังสารวัฏ

เพราะมองว่า "การเกิด" มีภพชาตินั้นเป็นทุกข์

จึงพยายามดับทุกข์ด้วยการหยุดสังสารวัฏ

น่าจะเป็นการหลงผิดหลงทิศทางธรรม

ของคนนำทางตาบอดกันเองเสียมากกว่า

 

พระองค์จะทรงหนีทุกข์ไปทำไมกัน

เมื่อทรงมีเครื่องมือกำจัดสกัดทุกข์ทั้งปวง

ทั้งอริยสัจและมรรคที่เฉียบคมแยบยลอยู่แล้ว

 

5. เมื่อมาพิจารณาถึงสัจธรรม

เรื่อง "ธรรมจักรกัปปวัฒนสูตร" บทสุดท้าย

ที่พระองค์ทรงประกาศไว้ในพุทธจักรนี่สิ

จะพบว่าสัจธรรมบทนี้ต่างหาก

ที่ท่านสามารถกล่าวได้เต็มปากว่าพระองค์ตรัสรู้

 

เพราะคำถามตนเองที่ว่า

จะพ้นทุกข์ จะดับทุกข์นี้ได้อย่างไร

จนเป็นที่มาของ "อริยมรรค" ดังกล่าวแล้วนั้น

เป็นการ "คิดรู้" จากการ "รู้คิด"

เพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเองเท่านั้น

 

สำหรับกรณีของ "ธรรมจักรกัปปวัฒนสูตร" นั้น

แม้พระองค์จะทรงค้นพบสัจธรรมนี้เช่นกัน

แต่ก็มีที่มาที่แตกต่างจากสัจธรรมขันธ์อื่น

เพราะสัจธรรมขันธ์ใหญ่ดังกล่าวนี้

เป็นองค์ความรู้ที่ทรงได้มาโดยมิต้องคิด

 

โดยเพียงแค่พระองค์ทรงนึกถามตนเองว่า

"จิตวิญญาณมาเกิดเป็นมนุษย์โลกกันทำไม"

พระองค์ยังมิได้ทรงสร้างกระบวนการคิดเลย

แค่ทรงเริ่ม "นึกถามตนเอง" เท่านั้น

คำตอบก็ผุดขึ้นกลางพระจิตพระองค์แล้วว่า

จิตวิญญาณมาเกิดเป็นมนุษย์

เพื่อหมุนธรรมจักรในตนเอง

และหมุนร่วมกันให้ได้อย่างต่อเนื่อง

ด้วยพลังอำนาจแห่งรักบริสุทธิ์

 

ทั้งนี้เพื่อช่วยให้ดาวเคราะห์โลก

มีพลังงานความรักจากจิตมนุษย์

ในการเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง

ด้วยอัตราเร็วคงที่ตลอดกาลนิรันดร์

อันเป็นนัยความหมายของคำว่า

#ธรรมจักรกัปปวัฒนสูตร นั่นเอง

 

6. พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

สัจธรรมเรื่อง "อริยสัจ" นั้น

เป็นสัจธรรมเบื้องต้นระดับโลกิยธรรม

ที่ใครๆสามารถใฝ่รู้กันได้

 

แต่สัจธรรมเรื่อง "ธรรมจักรฯ" นั้น

เป็นสัจธรรมระดับ "อนุตรธรรม"

ซึ่งไม่มีใครคนใดในโลกนี้หรอกท่าน

ที่สามารถจะเข้าถึงกันได้ง่ายๆ

เพราะเครื่องยนต์แห่งกรรมมนุษย์ไม่อำนวย

 

องค์ความรู้ที่เป็นสัจธรรมชั้นสูงนี้

มีเพียงสองพระองค์ คือ องค์จิตจักรวาล

พระบิดาแห่งจิตวิญญาณมนุษย์

กับพระบุตรเอกที่ทรงมอบหมายให้มาจุติเท่านั้น

ที่จะทรงทราบความจริงทั้งหลายเหล่านี้

 

ดังนั้น

เราเชื่อว่าถ้าคนนำทางตาบอดรับฟังเรา

แล้วกล้าที่จะคิดพิจารณาตามที่เรากล่าวมา

ก็จะพบคำตอบว่า "ตาบอด" ตรงไหน

มองไม่เห็นความจริงอันใดบ้าง

 

ท่านรู้หรือไม่ว่า

เพราะไปยึดติดกับการเกลียดกลัวความทุกข์

เพราะเข้าใจผิดว่าพระศาสดาตรัสรู้อริยสัจ 4

จึงยังผลให้กลายเป็นคนนำทางตาบอดทันที

เพราะไปมุ่งเน้นให้เห็นทุกข์ดับทุกข์

เพื่อนิพพานการเกิดดับทั้งปวง

โดยไม่เคยแตะเรื่อง "การหลุดพ้น"

ไม่เคยสนใจเรื่อง "ธรรมจักร" แต่อย่างใด

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

23-08-2019

22 สิงหาคม 2562

สนทนาประสาจิตจักรวาล 22/08/2019

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

การที่เราอาสาพระบิดาฯ

ย้อนกลับมาช่วยเหลือท่านทั้งหลาย

ให้สามารถนำพาจิตวิญญาณของท่าน

"หลุดพ้น" ออกไปจากเอกภพ

ที่พระพุทธองค์ทรงเรียกว่าอนันตจักรวาล

เพื่อกลับคืนบ้านในแดนสุญตาที่จากมา

ก่อนครบกาลเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานใหม่

ล้วนเป็นความสัจจริงทุกประการ

 

เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

องค์จิตจักรวาลดวงใหญ่

พระบิดาผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณของท่าน

ทรงมีพระบัญชาให้เรากลับมา

ทำหน้าที่ช่วย "แกะ" จิตวิญญาณของท่าน

ที่ยึดติดโลกและเอกภพกันอยู่อย่างไร้สติ

ให้สามารถ "หลุดพ้น" ออกไปจากระบบได้

 

ด้วยพระอำนาจที่พระองค์ประทานให้

เราพร้อมที่จะช่วยแกะพวกท่านออก

อย่างสุดกำลังและเต็มปรีชาญาณที่เรามี

เพราะพระองค์ได้ทรงประทานรางวัล

ที่จะมอบให้ท่านทั้งหลายไว้กับเราแล้ว

เพียงแค่ท่านมีคุณสมบัติครบ 5 ประการ

รางวัลแห่งการหลุดพ้นในชาตินี้

จะเป็นของนักสู้เพื่อการรู้แจ้งเช่นท่านทันที

 

1. ท่านต้องรู้จัก "อ่อนน้อม" และ "ถ่อมใจ"

2. ท่านต้องรู้จัก "คิดตาม" แทน "คิดต้าน"

3. ท่านต้องรู้จัก "ใช้ปัญญา" แทน "อารมณ์"

4. ท่านต้องรู้จัก "ยอมรับ" และ "ปรับตัว"

5. ท่านต้อง "ไม่กลัว" การเปลี่ยนแปลงตนเอง

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

ความเชื่อที่ว่าการเวียนว่ายตายเกิดนั้น

เป็นเรื่องปกติธรรมดามิใช่ปัญหาของมนุษย์

เพราะมันเป็นวัตรจักรธรรมชาติตามปกติ

ที่ใครๆก็ต้องเป็นแบบนี้ด้วยกันทั้งนั้น

เราขอยืนยันต่อท่านทั้งหลายว่า

มันเป็นความเชื่อที่ผิดมหันต์

ที่จะทำให้จิตวิญญาณของท่านเดือดร้อน

 

เพราะการเวียนว่ายตายเกิดของจิตวิญญาณ

อันเป็นที่มาของการมีภพชาติของท่าน

จนก่อให้เกิด #สังสารวัฏ ขึ้นมานั้น

มันมิใช่เรื่องปกติธรรมดาอย่างที่คิด

แต่มันเป็นความเสื่อมทางวิญญาณต่างหาก

ที่จิตหยาบของมนุษย์เองก่อขึ้นเหตุเพราะไม่รู้

 

ความเสื่อมที่จิตหยาบเป็นผู้ก่อ

แล้วจิตวิญญาณแก่นแท้ต้องรับผลกรรมนั้น

คือ การเวียนว่ายตายเกิดหรือมีภพชาติใหม่

เพราะจิตหยาบบกพร่องเหลวไหลดังต่อไปนี้

 

1. เพราะสอบตกบททดสอบจิตสามนึกรายวัน

จนจิตวิญญาณต้องขอโอกาสสอบใหม่

ด้วยการมีภพชาติใหม่เรื่อยมา

 

ที่จิตวิญญาณสอบตกเพราะจิตหยาบทำเหตุ

เนื่องจากรักไม่ได้ ให้อภัยไม่เป็น

เห็นแก่ตัว และกระทำตัวก้าวล่วงผู้อื่น

ในการดำเนินชีวิตประจำวันอยู่ในสังคม

ซึ่งความบาปชั่วทั้ง 4 ประการนี้แหละ

เป็นต้นเหตุแห่งการเวียนว่ายตายเกิด

 

เพราะต้องกลับมาเกิดใหม่

เพื่อแก้ไขจิตสามนึกของตนเองที่บกพร่อง

เพราะเข้าถึงความรักเพื่อให้ไม่ได้

 

กล่าวคือ...

 

เพราะว่าท่านรักคนที่ไม่น่ารักไม่ได้

ให้อภัยแก่คนที่ทำตัวไม่น่าให้อภัยไม่เป็น

ซึ่งตัวท่านเองมุ่งแต่จะแก้แค้นเอาคืน

โดยอ้างว่าเขาทำไม่ถูกต้องต่อท่านก่อน

ทั้งๆที่การแก้แค้นเอาคืนมิใช่หน้าที่ของท่าน

 

พฤตินิสัยไม่ดีทั้ง 3 ประการนี้

เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้จิตวิญญาณของท่าน

เกิดอาการหลงมิติจนต้องถูกส่งลงไปยังนรก

เพื่อให้ท่านยมบาลช่วยบำบัดแก้ไข

ก่อนที่จะได้รับโอกาสให้กลับมาเป็นมนุษย์ใหม่

เพื่อทำการแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดทั้งสามนั้น

ในบทบาทแห่งการเป็นมนุษย์

ซึ่งมันจะเป็น "บทเรียน" ของจิตวิญญาณ

ที่จำเป็นจะต้องเรียนรู้ไปในเวลาเดียวกันด้วย

 

นี่แหละ...

จึงเป็นที่มาของการมี #สังสารวัฏ

มันมิได้เป็นเรื่องปกติธรรมชาติแต่อย่างใด

 

2. เพราะสอบตกบททดสอบจิตสามนึกรายวัน

ที่คนรอบข้างตัวท่านขยันหยิบยื่นมาให้

จึงเป็นเหตุให้มนุษย์บางคนเสียสมดุลทางจิตใจ

จนเกิดอาการโกรธ เกลียด เคียด แค้น อาฆาต

จนเกิดแรงผูกจิตพยาบาทข้ามภพชาติขึ้น

 

จึงยังผลให้ทั้งตัวท่านและผู้อาฆาตนั้น

ต้องจูงมือกันย้อนกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่

เมื่อหมดอายุขัยตายไปจากการเป็นมนุษย์แล้ว

ย้อนกลับมาเกิดใหม่เพื่ออะไรงั้นหรือ

ก็เพื่อให้ผู้กระทำผิดบาปได้เรียนรู้ที่จะแก้ไข

ให้ผู้มีสภาวะจิตคิดอาฆาตได้ "แก้แค้นเอาคืน"

ก่อนที่จะเรียนรู้กันใหม่เพื่อให้อภัยต่อกันให้ได้

 

นี่แหละ...

จึงเป็นที่มาของการมี #สังสารวัฏ อีกเช่นกัน

มันมิได้เป็นเรื่องปกติธรรมชาติแต่อย่างใด

 

3. เพราะเมื่อได้รับโอกาสมาเกิดเป็นมนุษย์

จิตหยาบกระทำบกพร่องต่อกายสังขาร

ด้วยการกินอาหารที่ไม่ถูกต้องเข้าไป

เช่น กินเลือดเนื้อของสัตว์เข้าสู่ร่างกาย

ซึ่งมีสารโปรตีนและไขมันต่างๆ

ที่เซลล์อวัยวะร่างกายมนุษย์รับไม่ได้

เพราะมีโครงสร้างทางเคมีแบบเดียวกัน

 

หยินคู่กับหยิน และหรือ

หยางคู่กับหยาง ไม่ได้ฉันใด

 

โปรตีนและสารอื่นๆที่ได้จากสัตว์

จึงไม่เกิดประโยชน์ทางโภชนาการ

ต่อมนุษย์อย่างท่านด้วยเช่นเดียวกัน

 

ด้วยเหตุนี้เอง

การตายของกายสังขารเพราะความเสื่อม

จนทำให้ต้องมีการกลับมาเกิดใหม่

จึงต้องเป็นไปตามเหตุที่กล่าวนี้

 

นอกจากนั้น

นิสัยการกินแบบตามใจลิ้นตามใจอยาก

ก็มีส่วนทำให้ร่างกายขาดสารอาหาร

จนทำให้อวัยวะร่างกายเสื่อมโทรมลง

จึงมีอายุขัยให้จิตวิญญาณใช้งานได้สั้นลง

ยังผลให้เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์

ต้องหมดสภาพไม่อยู่ในฐานะที่จะใช้การได้

การตายของกายสังขารก็ต้องเกิดขึ้น

จิตวิญญาณจึงต้องเปลี่ยนอาภรณ์เก่าทิ้ง

แล้วรอโอกาสกลับมาเกิดใหม่ต่อไป

 

นี่แหละ...

จึงเป็นที่มาของการมี #สังสารวัฏ อีกเช่นกัน

มันมิได้เป็นเรื่องปกติธรรมชาติแต่อย่างใด

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

 

ยังมีมนุษย์หลายคนที่เชื่อผิดๆกันอีกว่า

การหลุดพ้นไม่มีจริง เป็นเรื่องเพ้อฝัน

ขนาดเทพเจ้าสูงสุดที่ตนนับถือ

ก็ยังต้องอวตารลงมาเวียนว่ายตายเกิด

ตนเป็นมนุษย์จึงขอแค่มีชาติหน้าที่ดีก็พอแล้ว

 

เราจึงขอกล่าวความจริงให้รู้ว่า

 

เพราะท่านเหล่านี้ไม่รู้ไม่เข้าใจว่า

 

1. "หลุดพ้น" คือ อะไร หมายความว่าอย่างไร

2. ทำไมจิตวิญญาณของมนุษย์ต้องหลุดพ้น

3. จะนำพาตนเองหลุดพ้นได้อย่างไร

 

ส่วนการนำเอาเทพเจ้าอวตารมาอ้างว่า

ยังต้องลงมาเกิดเป็นมนุษย์

ยังต้องมามีสังสารวัฏ

แสดงว่าการหลุดพ้นเป็นเรื่องไม่จริง

การหลุดพ้นเป็นเรื่องเพ้อฝันแน่ๆ

 

เราขอกล่าวความจริงให้รู้ว่าการเชื่อเช่นนั้น

เป็นการกล่าวสรุปด้วยวิธีคิดแบบโชว์โง่

เป็นการแสดงความเห็นที่ขาดแคลนความรู้

 

เราจะบอกให้ท่านรู้ว่า

เรื่องเทพเจ้าอวตารนั้นเป็นแค่เรื่องในตำนาน

เป็นแค่เพียงเรื่องเล่าของพวกเทวะนิยม

คนที่คิดเชื่อผิดๆเช่นว่านี้

เป็นเพราะไปนำเอาเรื่องเล่าในการแต่งตำนาน

มาขึ้นหิ้งบูชาโดยเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง

เพียงเพราะเห็นคนส่วนใหญ่เขาเชื่อกันเท่านั้น

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

เพราะเหตุนี้แหละ

เราจึงกล่าวให้สติแก่ท่านทั้งหลายเสมอว่า

"ความเชื่อ" กับ "ความจริง" มันคนละเรื่องกัน

จงฉลาดใช้ปัญญาเพื่อแยกกันให้ออก

จงอย่าสับสนกับตนเองอีกเลย

 

ท่านไม่รู้หรอกว่า

การที่จิตวิญญาณมนุษย์เมื่อตายแล้ว

หลุดลอยไปติดค้างอยู่บนสวรรค์มายา

ไปเกิดเป็นเทพเจ้าหรือเทพเทวดาทั้งหลาย

ทั้งๆที่ควรจะต้องกลับมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์

ก็เพราะไปหลงเชื่อคนนำทางตาบอด

จึงสร้างทางเบี่ยงไปเกิดใหม่อยู่บนนั้น

จิตวิญญาณเหล่านี้เกือบทั้งหมด

หลุดลอยไปค้างบนนั้นแล้วกลับลงมายาก

ให้ค่อยๆลอยสูงขึ้นเลื่อนชั้นขึ้นยังง่ายกว่า

 

แต่โอกาสที่จะกลับลงมาได้บ้างก็พอมีอยู่

ถ้าจิตวิญญาณรูปธรรมนั้น "สำนึกได้" ว่า

ตนกำลังหลงทางไปนิพพานแล้ว

หากมีบุญบารมีสูงมากพอจากการมุ่งบำเพ็ญ

ก็อาจสามารถแบ่งภาคลงมาเกิดเป็นมนุษย์

เพื่อสั่นสะเทือนตนเองที่ลอยค้างอยู๋บนนั้น

ให้เป็นหนึ่งเดียวกันกับเบื้องล่างให้จงได้

แล้วเหนี่ยวรั้งรูปธรรมเบื้องบนลงมา

กลับสู่การเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง

แต่มันไม่ง่ายนะ

 

ที่ไม่ง่ายก็ตรงที่จะมีสำนึกได้มั้ยว่า

ที่ตนเองหลุดลอยไปค้างอยู่บนนั้น

แท้แล้วตนกำลังหลงทางไปนิพพานอยู่

 

เพราะขณะที่ยังเป็นมนุษย์อยู่

ผู้คนเหล่านี้ยังทำตัวดื้อรั้นดันทุรัง

ยังไม่ยอมรับฟังพระโอวาทพระบิดา

ที่ทรงเมตตาสื่อผ่านมาทางเรากันเลย

แถมยังต่อต้านเราเสียอีกต่างหาก

 

นอกจากนั้นรูปธรรมที่อวตารลงมา

มีปัญญาที่จะสั่นสะเทือนด้านบวกสูงสุด

เพื่อสั่นสะเทือนรูปธรรมข้างบนของตน

ตามที่อวตารลงมาเพื่อปฏิบัติการพิเศษนี้ได้มั้ย

ที่สำคัญคือเมื่อลงมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว

ยังจดจำภารกิจของตนเองได้อยู่หรือเปล่า

เมื่อกายสังขารมนุษย์ของตนถูกปิดมิติ

ด้วยอำนาจแม่เหล็กโลกที่เข้มข้นไว้

 

ท่านเห็นการหลงมิติของจิตวิญญาณ

จากเบื้องบนที่ลงมาเกิดใหม่บ้างหรือไม่

 

บางรายอวตารลงมาเกิดเป็นมนุษย์

เพื่อฉุดช่วยอีกภาคหนึ่งที่หลุดลอยไปติดค้าง

ให้ละเลิกการหลงใหลในวิมานมายา

ละเลิกการหลงใหลในราคะจริต

จนติดอยู่ในสภาวะจิตโดยมิอาจชำระได้ง่ายๆ

แต่เมื่อลงมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว

กลับเชิญชวนพี่ๆน้องๆที่อยู่เบื้องล่าง

ให้ทำบุญเบื้องล่างเอาไปสร้างวิมานเบื้องบน

 

โดยจำลองวิมานมายาเบื้องบนเท่าที่จำได้

มาชวนญาติธรรมร่วมกันสร้างขึ้นไว้บนโลก

ให้มีขนาดใหญ่สุด งดงามอลังการณ์สุด

ใครหลงเข้าไปข้างในก็จะรู้สึกตัวลอยๆ

เหมือนได้ขึ้นสวรรค์เลยทีเดียว

 

นี่เท่ากับว่าเมื่ออวตารลงมาได้แล้ว

ยิ่งหลงทางนิพพานมากยิ่งขึ้น

ยิ่งก่อกรรมทำบาปกับพี่ๆน้องมากยิ่งขึ้น

เพราะนำพาพวกเขาเดินทางผิดนั่นเอง

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

 

คาบเวลาที่พระบิดาทรงเมตตา

เปิดมิติแห่งการชำระฟ้าสวรรค์มายา

ในโอกาสพิเศษที่ทรงสื่อพระโอวาททุกครั้ง

หากรูปธรรมใดได้รับโอกาสเฝ้าฟัง

แล้วสร้างสำนึกใหม่ทางวิญญาณได้

โดยไม่หลงติดในอัตตาและหลงในมายา

 

พุทธิปัญญาก็จะผุดขึ้นในจิตรู้

ดุจดั่งดอกบัวงามที่โผล่ชูเชิดขึ้นเหนือน้ำ

สำนึกใหม่ทางวิญญาณจะบังเกิดขึ้นทันที

ประตูมิติแห่งการหลุดพ้นก็จะถูกเปิดออกให้

ซึ่งเป็นวิธีการที่ง่ายกว่า "อวตาร" เสียอีก

 

แต่น่าเสียดายยิ่งนัก

ที่ท่านทั้งหลายต่างมีหูแต่ก็มิเคยได้ยิน

บางท่านแม้จะได้ยินแต่ก็ไม่รับฟัง

ภารกิจแห่งการ "แกะ" ทั้งสามภพ

มันแสนยากแสนเข็นเสียจริงๆ

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

22-08-2019