23 สิงหาคม 2562

สนทนาประสาจิตจักรวาล 23/08/2019

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

ถ้าท่านยังไม่สามารถนำพาตนเอง

ลืมตาขึ้นให้เห็นแสงสว่างสะท้อนสรรพสิ่ง

ขณะก้าวตามคนนำทางตาบอดอยู่ในขณะนี้

ท่านจะไม่สามารถเข้าถึง "ความจริง"

ในทุกมิติแห่งสัจธรรมของพระองค์ได้

 

ไม่ว่าจะเป็นสัจธรรมง่ายๆไปหายาก

จากโลกิยธรรม โลกุตรธรรม จนถึงอนุตรธรรม

ล้วนต้องอาศัยแสงสว่างคือดวงปัญญา

ที่จะต้องถูกจุดขึ้นมาจากภายในตนเองทั้งสิ้น

การย่างก้าวตามคนนำทางที่เขาพาเดินนั้น

ท่านจะหลับหูหลับตาก้าวตามอย่างว่าง่าย

เพราะมีความเชื่อถือศรัทธาแต่ไร้ปัญญา

ไม่ว่าเขาจะพาเดินถูกทิศหรือไปผิดทาง

ท่านทั้งหลายก็ตกเป็นฝ่าย #คนงมงาย แล้ว

 

ความหมายของคำว่า "คนงมงาย"

เราหมายถึง คนที่มีจิตและสมองเหมือนคนอื่น

แต่มิอาจสั่นสะเทือนจิตกับสมอง

เพื่อสร้างกระบวนการคิดรู้ด้วยจิตปัญญาได้

จึงใช้แต่อารมณ์กับความรู้สึก

ในการรับรู้ รับเอา ไม่รับรู้ ไม่รับเอา

แทนการใช้ความฉลาดทางปัญญาของสมอง

เพื่อการดำเนินชีวิตแบบผิดๆถูกๆสุกๆดิบๆ

จนมิอาจหมุนธรรมจักรในตนเอง

และหมุนธรรมจักรร่วมกับผู้อื่นเพื่อค้ำจุนโลก

อันเป็นภารกิจหลักทางจิตวิญญาณได้

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

บริบทแห่งการนำทางของผู้นำทางตาบอด

ก็คือการนำพาจิตวิญญาณของท่าน

หนีทุกข์ออกไปให้พ้นจากดาวโลกเสรีนี้

โดยพยายามตายแล้วไม่กลับมาเกิดที่นี่อีก

เพราะ "หลงผิด" คิดว่าการเกิดแก่เจ็บตาย

เป็นสาเหตุเป็นที่มาแห่งทุกข์ทุกสิ่งในชีวิต

ถ้าหยุดการเกิดใหม่ของจิตวิญญาณได้

พวกเขาเชื่อว่าจะไม่ต้องเผชิญทุกข์อีกเลย

 

ความเชื่อที่ทำให้ตาบอดเช่นนี้ได้

เป็นความเชื่อจากความศรัทธาที่ขาดปัญญา

จึงยังผลให้คนนำทางทั้งหลายเหล่านั้น

เข้าถึง "แผนที่การคิด" ของพระศาสดามิได้

อีกทั้งยังจัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง

เพื่อเรียนรู้ให้เข้าใจและให้เข้าถึง

ในพระธรรม พระโอวาท และพระวจนะ

อย่างซาบซึ้งโดยไม่สับสนกันไม่ได้อีกด้วย

 

เป็นต้นว่า

คนนำทางตาบอดทั้งหลาย "สับสน" กันเอง

ในการสรุปความว่าพระศาสดาตรัสรู้อะไรแน่

ระหว่าง "อริยสัจ 4" ที่มี "มรรค 8" รวมอยู่ด้วย

ซึ่งพระศาสดาทรงคิดรู้ได้เองขณะทรงผนวช

หลังเสด็จออกจากวังมาได้พักหนึ่งแล้ว

กับองค์ความรู้เรื่อง "ธรรมจักรกัปปวัฒนสูตร"

สัจธรรมขันธ์สุดท้ายที่ทรงประกาศไว้ในโลกนี้

ก่อนที่พระองค์จะทรงดับขันธปรินิพพาน

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า

 

1. อริยสัจ 4 (รวมมรรค 8 ด้วยแล้ว)

เป็นสัจธรรมเบื้องต้นที่เป็นโลกิยธรรม

เป็นองค์ความรู้เบื้องต้นที่พระองค์ทรงเข้าถึงได้

หลังจากทรงเรียนรู้เรื่องทุกข์มาอย่างลึกซึ้งแล้ว

 

2. สัจธรรมเรื่อง "อริยสัจ 4" นี้

พระศาสดาทรงใช้สติปัญญาของสมองซีกซ้าย

คิดวิเคราะห์ความทุกข์ทางจิตแล้วพบว่า

ความทุกข์เกิดจากปัญหาในชีวิตที่เผชิญ

ถ้าชีวิตไม่มีปัญหาความทุกข์ในจิตก็ไม่เกิด

พระองค์ทรงเข้าใจดีว่าปัญหาคือเหตุแห่งทุกข์

 

ดังนั้น

หากไม่ต้องการมีทุกข์เป็นทุกข์

ก็จะต้องทำให้ชีวิตตนเอง "ว่าง" จากปัญหา

 

จึงทรงค้นพบคำตอบว่า

ถ้าจะทำให้ตนเองว่างไปจากปัญหา

ก็สามารถที่จะทำได้ 2 ประการร่วมกัน คือ

หนึ่ง แก้ปัญหาให้เป็น

สอง ต้องไม่สร้างปัญหาให้ตนเอง

อันเป็นที่มาของ "อริยสัจ 3" คือ

ทุกข์ สมุทัย และนิโรธ

ที่เป็นสูตรสำเร็จในการจัดการปัญหาชีวิต

ซึ่งเป็นที่มาแห่งทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง

 

โดยหลักแห่งสัจธรรมเบื้องต้นนี้

ทรงคิดรู้ได้ด้วย "สติปัญญา" สมองซีกซ้าย

ซึ่งใช้หลักการคิดอย่างมีเหตุผล

และทรงใช้เหตุผลได้อย่างแยบยล

 

ส่วนสัจธรรมความจริงของ "มรรค 8"

เป็นการคิดเชื่อมโยงจากหลักอิทัปปัจยตา

ของสมองซีกซ้ายสู่การหยั่งรู้ด้วยสมองซีกขวา

โดยทรงใช้ "ปัญญาญาณ" เข้าสังเคราะห์

จึงพบว่าถ้ามนุษย์ฉลาดดำเนินชีวิต

ด้วยการประพฤติดีประพฤติชอบ

มีความรอบคอบในการดำเนินชีวิตแล้ว

จะไม่สร้างปัญหาให้กับตนเองและใครอื่น

ทั้งชีวิตนี้ก็ไม่มีปัญหาที่จะพาทุกข์มาให้

 

3. ท่านทั้งหลายจะเห็นได้ว่า

ความรู้เรื่องอริยสัจ 3 กับ มรรค 8 นี้

ไม่มีลักษณะธรรมอันเป็นพิเศษอันใดเลย

 

เพราะพระองค์สามารถรู้คิดด้วยจิตมนุษย์

จากพลังปัญญาของสมองสองซีก

ตามปกติได้ไม่มีอะไรพิเศษ

เป็นสัจธรรมที่ได้มาจากกระบวนการคิด

ของผู้ที่ฉลาดตั้งคำถามตนเองได้

สร้างแผนที่การคิดของตนเองเป็น

และต่อยอดความคิดความรู้ของตนเองได้

ซึ่งเป็นคุณสมบัติของคนที่มีปรีชาญาณ

ที่สามารถฝึกฝนให้เข้าถึงความฉลาดนี้ได้

อย่างไม่ยากเย็นอะไรเลย

 

4. เพราะพระองค์ต้องการดับทุกข์ในชีวิต

ทำให้พระองค์ทรงค้นพบวิธีจัดการความทุกข์

และมีวิธีดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขได้แล้ว

พระองค์ก็พร้อมที่จะเผชิญกับทุกปัญหา

ที่คนรอบข้างหยิบยื่นมาให้เสมอ

 

ขณะเดียวกันพระองค์ก็พร้อมที่จะไม่ก่อปัญหา

ให้กับทั้งตนเองและคนรอบข้างอีกเลย

ด้วยการมี "สัมมา" ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด

 

ดังนั้น

ที่คนนำทางตาบอดเล่าว่า

พระศาสดาทรงปฏิเสธการมีสังสารวัฏ

เพราะมองว่า "การเกิด" มีภพชาตินั้นเป็นทุกข์

จึงพยายามดับทุกข์ด้วยการหยุดสังสารวัฏ

น่าจะเป็นการหลงผิดหลงทิศทางธรรม

ของคนนำทางตาบอดกันเองเสียมากกว่า

 

พระองค์จะทรงหนีทุกข์ไปทำไมกัน

เมื่อทรงมีเครื่องมือกำจัดสกัดทุกข์ทั้งปวง

ทั้งอริยสัจและมรรคที่เฉียบคมแยบยลอยู่แล้ว

 

5. เมื่อมาพิจารณาถึงสัจธรรม

เรื่อง "ธรรมจักรกัปปวัฒนสูตร" บทสุดท้าย

ที่พระองค์ทรงประกาศไว้ในพุทธจักรนี่สิ

จะพบว่าสัจธรรมบทนี้ต่างหาก

ที่ท่านสามารถกล่าวได้เต็มปากว่าพระองค์ตรัสรู้

 

เพราะคำถามตนเองที่ว่า

จะพ้นทุกข์ จะดับทุกข์นี้ได้อย่างไร

จนเป็นที่มาของ "อริยมรรค" ดังกล่าวแล้วนั้น

เป็นการ "คิดรู้" จากการ "รู้คิด"

เพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเองเท่านั้น

 

สำหรับกรณีของ "ธรรมจักรกัปปวัฒนสูตร" นั้น

แม้พระองค์จะทรงค้นพบสัจธรรมนี้เช่นกัน

แต่ก็มีที่มาที่แตกต่างจากสัจธรรมขันธ์อื่น

เพราะสัจธรรมขันธ์ใหญ่ดังกล่าวนี้

เป็นองค์ความรู้ที่ทรงได้มาโดยมิต้องคิด

 

โดยเพียงแค่พระองค์ทรงนึกถามตนเองว่า

"จิตวิญญาณมาเกิดเป็นมนุษย์โลกกันทำไม"

พระองค์ยังมิได้ทรงสร้างกระบวนการคิดเลย

แค่ทรงเริ่ม "นึกถามตนเอง" เท่านั้น

คำตอบก็ผุดขึ้นกลางพระจิตพระองค์แล้วว่า

จิตวิญญาณมาเกิดเป็นมนุษย์

เพื่อหมุนธรรมจักรในตนเอง

และหมุนร่วมกันให้ได้อย่างต่อเนื่อง

ด้วยพลังอำนาจแห่งรักบริสุทธิ์

 

ทั้งนี้เพื่อช่วยให้ดาวเคราะห์โลก

มีพลังงานความรักจากจิตมนุษย์

ในการเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง

ด้วยอัตราเร็วคงที่ตลอดกาลนิรันดร์

อันเป็นนัยความหมายของคำว่า

#ธรรมจักรกัปปวัฒนสูตร นั่นเอง

 

6. พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

สัจธรรมเรื่อง "อริยสัจ" นั้น

เป็นสัจธรรมเบื้องต้นระดับโลกิยธรรม

ที่ใครๆสามารถใฝ่รู้กันได้

 

แต่สัจธรรมเรื่อง "ธรรมจักรฯ" นั้น

เป็นสัจธรรมระดับ "อนุตรธรรม"

ซึ่งไม่มีใครคนใดในโลกนี้หรอกท่าน

ที่สามารถจะเข้าถึงกันได้ง่ายๆ

เพราะเครื่องยนต์แห่งกรรมมนุษย์ไม่อำนวย

 

องค์ความรู้ที่เป็นสัจธรรมชั้นสูงนี้

มีเพียงสองพระองค์ คือ องค์จิตจักรวาล

พระบิดาแห่งจิตวิญญาณมนุษย์

กับพระบุตรเอกที่ทรงมอบหมายให้มาจุติเท่านั้น

ที่จะทรงทราบความจริงทั้งหลายเหล่านี้

 

ดังนั้น

เราเชื่อว่าถ้าคนนำทางตาบอดรับฟังเรา

แล้วกล้าที่จะคิดพิจารณาตามที่เรากล่าวมา

ก็จะพบคำตอบว่า "ตาบอด" ตรงไหน

มองไม่เห็นความจริงอันใดบ้าง

 

ท่านรู้หรือไม่ว่า

เพราะไปยึดติดกับการเกลียดกลัวความทุกข์

เพราะเข้าใจผิดว่าพระศาสดาตรัสรู้อริยสัจ 4

จึงยังผลให้กลายเป็นคนนำทางตาบอดทันที

เพราะไปมุ่งเน้นให้เห็นทุกข์ดับทุกข์

เพื่อนิพพานการเกิดดับทั้งปวง

โดยไม่เคยแตะเรื่อง "การหลุดพ้น"

ไม่เคยสนใจเรื่อง "ธรรมจักร" แต่อย่างใด

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

23-08-2019