29 ตุลาคม 2558

คำสอน 29/10/2015

 

แม้จิตหยาบ
จะนิพพานกิเลสตัณหา
จนหมดสิ้นได้แล้ว
แต่จิตหยาบของท่าน
ก็ยังจักต้องดับการมีอยู่จริง
ของบางสิ่งให้หมดสิ้นต่อไปอีก
จนเหลือแต่ความรู้ ความคิด
กับความรักบริสุทธิ์
เป็นคุณสมบัติอยู่เท่านั้น

สภาวะจิตสุญญตาจึงจะเกิด

14 ตุลาคม 2558

05 ตุลาคม 2558

23 กันยายน 2558

VDO. "อะไรกำลังเกิดขึ้นกับโลก"


"อะไรกำลังเกิดขึ้นกับโลก Part 1:"

"อะไรกำลังเกิดขึ้นกับโลก Part 2:"


โดย อนุตรธรรมาจารย์ปริญญา ตันสกุล



21 กันยายน 2558

คำสอน 21/09/2015

 

คนดวงดี

1.ดวงตาดี
2.ดวงใจดี
3.ดวงปัญญาดี

มี 3 ดวงนี้ไว้
ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงดวง

13 กันยายน 2558

VDO. ( บันทึกเสียง)การสื่อถ่ายทอดพระโอวาทจากองค์จิตจักรวาล ครั้งที่ 223


บันทึกการสื่อพระโอวาทในระบบจิตสู่จิตจากองค์จิตจักรวาล

โดย อนุตรธรรมาจารย์ปริญญา ตันสกุล

 

02 กันยายน 2558

จริตเป็นพฤติกรรมของจิต





เราได้กล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายมาแล้วว่า
ดวงจิตธรรมญาณผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของท่าน
ซึ่งรู้จักพระนามกันทั่วไปว่า "พระจิต" นั้น
ได้แบ่งภาคตนเองออกมา
เป็น "จิตมนุษย์" หรือจิตหยาบ

เพื่อมอบอำนาจให้จิตหยาบ
ทำหน้าที่แทนตนเอง
ในการขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรม
รูปธรรมมนุษย์
ด้วยการกระทำผ่านจิตสำนึกหรือ "จิตตปัญญา"
โดยอาศัยพระวิญญาณทั้ง 7 แห่งพระเจ้า
เป็นพลังอำนาจในการขับเคลื่อน
อันประกอบด้วย

1.พระวิญญาณแห่งการรู้สึก
2.พระวิญญาณแห่งอารมณ์
3.พระวิญญาณแห่งการนึก
4.พระวิญญาณแห่งการคิด
5.พระวิญญาณแห่งการจดจำ
เรื่องราวและอารมณ์

6.พระวิญญาณแห่งการแสดงออก
หรือกระทำทางกายภาพ

7.พระวิญญาณแห่งสัญชาตญาณ
ในการดำรงชีวิต
ซึ่งพระจิตเป็นผู้รับหน้าที่
ในการกำกับควบคุมเอง

ดังนั้น...ในชีวิตประจำวัน
ท่านทั้งหลายจึงต้องเรียนรู้ให้ได้ว่า
จะสั่นสะเทือน จิตตปัญญา ของตนกันอย่างไร
จึงจะสามารถเข้าถึงแรงสั่นสะเทือนของ
พระวิญญาณทั้ง 7 แห่งพระเจ้า
ดังกล่าวนี้ได้

เพื่อที่จะใช้พลังอำนาจแห่งพระเจ้า
หมุนธรรมจักรในชีวิตประจำวัน

ด้วยการสั่นสะเทือนอายตนะภายนอกทั้งห้า
เมื่อได้สัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งเร้าภายนอก
แล้วถ่ายทอดคลื่นการรับรู้ไปสู่จิตภายใน
และจิตภายในก็จะสั่นสะเทือน
เป็นคลื่นความถี่ด้านบวกทั้งเจ็ดที่เรียกกันว่า

"พระวิญญาณทั้ง 7 แห่งพระเจ้า"

ซึ่งท่านทั้งหลายจะใช้พระวิญญาณ (คลื่นพลังจิต) นี้
ขับเคลื่อนออกมาเป็นพฤติกรรมภายนอกในบั้นปลาย

สมดังคำกล่าวที่ว่า
"จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว" 
อย่างแท้จริง

เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายอีกว่า
เมื่อใดที่จิตหยาบสั่นสะเทือนเป็นด้านลบ
เมื่อนั้นจิตหยาบของท่าน
ก็จะไม่อาจเข้าถึงพระวิญญาณแห่งพระเจ้าได้
จิตก็จะผลิตสร้าง มวลพลังงานด้านลบ ขึ้นมาแทน
แล้วก็จะแสดงพฤติกรรมภายนอก
เป็นการแสดงออกหรือกระทำด้านลบออกมาด้วย
นี่จึงเป็นการ "หมุนกรรมจักร" โดยแท้

สำหรับจิตหยาบที่สั่นสะเทือนแล้ว
แต่ไม่สามารถยกระดับจนเข้าถึง
พระวิญญาณทั้งเจ็ดแห่งพระเจ้าได้นั้น
เราจะเรียกอาการต่างๆของจิตหยาบนั้นว่า "จริต"
ซึ่งจริตก็คือพฤติกรรมของจิตนั่นเอง

ดังนั้น...
อารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านลบทั้งหลาย
ที่มนุษย์แต่ละคนสั่นสะเทือนมันในชีวิตประจำวัน
ก็ล้วนจัดว่าเป็น "จริต" ของคนๆนั้นทั้งสิ้น

จริตในแบบที่มนุษย์แต่ละคน
สั่นสะเทือนมันทางด้านลบอยู่เป็นประจำ
เมื่อถูกกระตุ้นหรือปลุกเร้าจากสิ่งเร้า
จนกลายเป็นคุณสมบัติของคนๆนั้นไปแล้ว
เราจะเรียกจริตดังกล่าวนั้นว่า "พฤตินิสัย"

พฤตินิสัยซึ่งเป็นจริตด้านลบ
ที่มนุษย์โลกเสรีส่วนมากจะมีปัญหาอยู่กับมัน
จนไม่อาจหมุนธรรมจักรในชีวิตประจำวัน
เพื่อยกระดับจิตหยาบขึ้นเป็นหนึ่งเดียวกัน
กับจิตวิญญาณของตนเองได้

จึงทำหน้าที่ตามพันธะสัญญา 6 กันไม่สำเร็จ
ทั้งยังก่อเวรเกี่ยวกรรมสร้างสังสารวัฏขึ้นมาอีก

ที่บวชมานานก็ยังนิพพานไม่ได้
ที่ผ่านการเกิดมาแล้วหลายภพชาติ
ก็ยังคงหลุดพ้นกันไม่ได้
 
พฤติกรรมที่นำหน้าด้วยคำว่า "ขี้" นี่แหละ
คือพฤตินิสัยขยะที่ก่อปัญหาให้ชาวโลกมาช้านาน
ตัวอย่างเช่น....

ขี้บ่น ขี้โวยวาย
ขี้โมโห ขี้ใจน้อย ขี้กังวล
ขี้งก ขี้หวง ขี้หึง ขี้งอน
ขี้สงสัย ขี้ระแวง ขี้อิจฉา
ขี้เกียจ ขี้โกง ขี้ลืม

พฤติกรรมทางกาย และวาจา
ที่ถูกขับเคลื่อนด้วยจริตเหล่านี้
จะเป็นพฤติกรรมด้านลบล้วนๆ

ถ้าแต่ละวันท่านประพฤติกันเยี่ยงนี้แล้ว
เท่ากับว่าท่านล้มเหลวในการเป็นมนุษย์
เพราะเข้าถึงอำนาจด้านบวกสูงสุดในตนเองไม่ได้

อีกทั้งท่านก็ล้มเหลวทางจิตวิญญาณด้วย
เพราะปฏิบัติภารกิจทางจิตวิญญาณไม่ได้

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
2-09-2015

01 กันยายน 2558

พระวิญญาณทั้งเจ็ดแห่งพระเจ้า


พระวิญญาณทั้งเจ็ดแห่งพระเจ้า
คือ อะไร?




พระจิต ก็คือ รูปธรรมทางพลังงาน
ที่มีความสมดุลอยู่ในตนเอง
โดยมีรูปทรงเรขาคณิตเป็น 6 เหลี่ยมมุม

 

อันเกิดจากสามเหลี่ยมด้านเท่าสองรูปขนาดเท่ากัน
วางซ้อนทับกันอยู่ภายในวงกลมวงเดียวกัน
โดยมุมทั้งสามไม่ซ้อนทับกันเลย
ซึ่งจะมีการเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองอยู่ตลอดเวลา
เพื่อให้มุมทั้งหกซ้อนทับกันจนเป็นหนึ่งเดียว

ดวงจิตธรรมญาณที่เร้นอยู่ในรูปธรรมมนุษย์
จะมีพิกัดที่ตั้งอยู่ตรง ต่อมพิทูอิทารี หรือต่อมใต้สมอง
แต่จะเคลื่อนที่ไปทั่วทุกเซลอวัยวะร่างกาย
อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา

พระจิตหรือดวงจิตธรรมญาณที่ว่านี้
คือผู้อาสาพระบิดาลงมาเกิดเป็นมนุษย์
ด้วยการเข้ามาปฏิสนธิกับกายหยาบ
ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยโลหิตในครรภ์ของมารดา
เพื่อการเจริญเติบโตสู่การเป็นมนุษย์ต่อไป

ในขณะที่กำลังเจริญวัยเป็นทารกอยู่นั้น
พระจิตหรือดวงจิตธรรมญาณนั้นๆ
ก็จะแบ่งภาคพลังงานของตัวเอง
ออกมาเป็น "จิตหยาบ"
เพื่อมอบหมายให้จิตหยาบ
แสดงบทบาทของการเป็น คนสองมิติ แทนตนเอง
ขณะดำเนินชีวิตเป็นมนุษย์ในภพชาตินั้นๆ

เมื่อพระจิตหรือดวงจิตธรรมญาณ
เป็นผู้ที่มาจากพระเจ้าหรือพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ดังนั้นจิตหยาบหรือจิตมนุษย์
ซึ่งถูกแบ่งภาคออกมาจากจิตวิญญาณ
ก็ย่อมมาจากพระเจ้า
หรือพระบิดาแห่งจิตวิญญาณเช่นกัน


ด้วยเหตุนี้เอง
เราจึงสามารถที่จะกล่าวไว้โดยสรุปว่า
ทั้งจิตหยาบและจิตวิญญาณ
ต่างจึงเสมือนหนึ่งเป็นพระเจ้า
ที่สถิตย์อยู่ภายในรูปธรรมมนุษย์โดยแท้


ในขณะที่เป็นมนุษย์นั้น
จิตหยาบหรือจิตมนุษย์ซึ่งเป็นเสมอดั่งพระเจ้า
จะสามารถสั่นสะเทือนตนเองได้ถึง 7 ความถี่
เราจึงเรียกคลื่นพลังงานทั้ง 7 ย่านความถี่นี้ว่า
"พระวิญญาณทั้งเจ็ดแห่งพระเจ้า"

พระวิญญาณทั้งเจ็ดแห่งพระเจ้า
จะประกอบด้วยอาการของจิต 7 อย่างดังนี้ คือ

1.พระวิญญาณแห่งการรู้สึก
(คลื่นการรู้สึก)
2.พระวิญญาณแห่งอารมณ์ต่างๆ
(คลื่นอารมณ์)
3.พระวิญญาณแห่งการนึก
(คลื่นการนึก)
4.พระวิญญาณแห่งการคิด
(คลื่นการคิด)
5.พระวิญญาณแห่งการจดจำเรื่องราวและอารมณ์
(คลื่นการบันทึกและการจดจำไว้)
6.พระวิญญาณแห่งการแสดงออก
หรือการกระทำทางอวัยวะร่างกาย

(คลื่นแห่งการกระทำ)
7.พระวิญญาณแห่งสัญชาตญาณเพื่อการดำรงชีวิต
(คลื่นแห่งสัญชาตญาณ)

เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
พวกท่านที่เป็นมนุษย์ทุกคน
ต่างล้วนมีพระวิญญาณทั้ง 7 แห่งพระเจ้า
ที่สั่นสะเทือนอยู่ข้างในจนตลอดชีวิตด้วยกันทั้งสิ้น
โดยท่านจะต้องเข้าให้ถึงที่สุดของความถี่ด้านบวก
ในทุกครั้งที่ั่สั่นสะเทือนจิตหยาบเสมอ

*ที่สุดของพระวิญญาณแห่งการรู้สึก
ก็คือ ความเวทนาสงสาร
ก็คือ ความเมตตา
ก็คือ ความกรุณา
ก็คือ ความมีมุทิตา
ก็คือ ความมีอุเบกขา

*ที่สุดของพระวิญญาณแห่งอารมณ์
ก็คือ ความรักในแบบต่างๆ เช่น
การอดทน
การอดกลั้น
การให้อภัย

*ที่สุดของพระวิญญาณแห่งการคิด
ก็คือ สามารถกดปุ่มใช้ปัญญาญาณ
อันเกิดจากการสั่นสะเทือนสมองซีกขวา
นำสมองซีกซ้ายของท่านได้

ที่เรากล่าวมาเป็นอาทิเหล่านี้
มนุษย์ทุกคนมีหน้าที่จะต้องเข้าถึงกันให้ได้
เพื่อยกระดับจิตหยาบให้สั่นสะเทือนด้านบวก
จนเป็นหนึ่งเดียวกันกับจิตวิญญาณของท่านเอง
ด้วยการเข้าถึงพระวิญญาณทั้งเจ็ดแห่งพระเจ้า
ดังได้เปิดเผยมาให้รู้ตั้งแต่ต้นให้จงได้
เพื่อมิให้เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา

31-08-2015


 

31 สิงหาคม 2558

หลักปฏิบัติธรรมประจำวัน


หลักการปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน
โดยไม่ต้องปลีกวิเวก สำหรับฆราวาส
ตามมรรควิถีจิตจักรวาล




การปฏิบัติธรรม คือ อะไร

การปฏิบัติธรรมของมนุษย์ในชีวิตประจำวัน
หมายถึง การฏิบัติตนให้เป็นธรรมชาติแห่งตน
โดยมีหลักปฏิบัติ รวม 3 ประการ ดังต่อไปนี้

1.รักษาจิตให้สงบไว้  

หมายถึง:  การไม่ปล่อยจิตใจ
ให้ตกเป็นทาสของสิ่งปลุกเร้ายั่วยุจากภายนอก
ที่ท่านสัมผัสรู้ดูเห็นผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น และกายสัมผัส 
จนเกิดเป็น "ความรู้สึก" ชอบไม่ชอบ 
สวยไม่สวย เพราะไม่เพราะ เป็นอาทิ

ถ้าท่านยอมให้จิตตกเป็นทาสของสิ่งเร้า
จนสั่นสะเทือนเป็นความรู้สึกดังว่านั้นเมื่อใด
ตัวความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้น
มันจะเข้าไปทำลายความสงบของจิตแต่เดิม
จนเป็นเหตุให้สภาวะจิตเสียสมดุลไปทันที

ซึ่งเมื่อมันเกิดเป็นความรู้สึกขึ้นมาแล้ว
จิตของท่านจะมิอาจหยุดการสั่นสะเทือน
อยู่เพียงแค่นั้นได้
แต่มันจะสั่นสะเทือนแรงขึ้นๆ
จนท่านจะไม่สามารถควบคุมมันได้
ดุจดั่งเบรคไม่อยู่ก็มิปาน

ในที่สุดเจ้า ความรู้สึก ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นั้น
มันก็จะกลายเป็นเงื่อนไขให้ตัวท่าน
เกิด "ความอยาก" เพราะชอบ
หรือ เกิด "ความไม่อยาก" เพราะไม่ชอบ
อย่างใดอย่างหนึ่งตามมาให้เกิดปัญหาขั้นต่อไปอีก

ขั้นตอนนี้เองเป็นขั้นตอนสำคัญ
ที่จะยังผลให้มนุษย์ทั้งหลาย
สั่นสะเทือนเป็น มโนกรรม กายกรรม และวจีกรรม 
ทั้งที่เป็นการกระทำด้านบวกคือด้านดี
และการกระทำด้านลบคือด้านไม่ดีหรือด้านชั่ว

ดังนั้น...
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
หรือองค์จิตจักรวาล
จึงทรงจัดจำแนกให้  

ความรู้สึกทั้งหลาย เป็น กิเลส 
ความอยากไม่อยาก ซึ่งเป็นผลจากกิเลสเป็น ตัณหา

ถ้าท่านไม่รักษาจิตให้สงบไว้ในระหว่างวัน
โดยปล่อยให้มันตกเป็นทาสของสิ่งเร้าภายนอก
หรือตกเป็นทาสการปลุกเร้าของจิตตัวเองโดยไม่มีใครยั่ว
ท่านก็จะเป็นมนุษย์คนหนึ่ง
ที่สภาวะจิตจะเสมือนตกอยู่ในท่ามกลางทะเลแห่งโลกียะ 

ทะเลแห่งโลกียะ
จะเต็มไปด้วยคลื่นหยาบๆใหญ่ๆ
ที่จะส่งผลให้เรือมนุษย์แต่ละลำโคลงเคลงรุนแรง
จนเรือบางลำอาจพลิกคว่ำจมหายไปได้

คลื่นหยาบๆที่ในจิตซึ่งเปรี่ยบดั่งคลื่นลูกใหญ่
ในทะเลแห่งโลกียะที่ว่านี้ก็คือ
โลภะ โทสะ โมหะ
ซึ่งเป็นคลื่นการสั่นสะเทือนของจิต
ในย่านความถี่หยาบๆแต่อานุภาพการทำลายรุนแรงยิ่ง

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
โลภะ โทสะ แล โมหะ ที่ว่านี้
ก็เป็นผลมาจาก ตัณหา อันเนื่องมาแต่ กิเลส นั่นเอง

2.ระงับดับกิเลสไว้ให้ได้

เรารู้ดีว่าการที่ท่านจะไม่ตกเป็นทาสการยั่วยุ 
ด้วยการระวังจิตให้สงบไว้ตลอดเวลาเป็นไปได้ยาก
เพราะว่าท่านคุ้นเคยกับมันจนเป็นสันดานของตนไปแล้ว

ท่านจักต้องหมั่นฝึกฝนตนเองในชีวิตประจำวันให้ได้
อย่าไปใช้วิธีนั่งหลับตาส่องจิตอยู่ลำพัง
เพราะท่านยังมีสังคม ยังมีครอบครัว
ชีวิตจริงของท่านไม่ได้อยู่วิเวกคนเดียว

หลักการปฏิบัติตรงนี้ก็คือ
หมั่นดับความรู้สึกใดๆที่เกิดขึ้น
ให้ทันภายใน 3 นาที อย่าให้นานกว่านี้  
ดับทันทีที่พบว่ามันกำลังเกิดขึ้น
เช่น สวยไม่สวย ชอบไม่ชอบ ฯลฯ

ท่านจะรอไปดับมันตรงความอยากไม่อยากนั้นไม่ได้
เพราะมันสายเกินไปแล้วล่ะ
เนื่องจากพอเกิดอยากไม่อยากขึ้นเมื่อใด
จิตมันจะลื่นไถลไปสู่ โลภะ โทสะ โมหะ เมื่อนั้น

ทางที่ดีหากจะดับมันให้ได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว
ท่านจะสามารถนิพพานกิเลสหรือดับตัวความรู้สึกใดๆได้
ก็ด้วยการระวังจิตมิให้ตกเป็นทาสการยั่วยุ
ควบคุมมันไว้ให้ได้ตั้งแต่ต้นทางนั่นแหละ

ถ้าท่านดับกิเลสได้อย่างสิ้นเชิง คือ นิพพานกิเลส
นั่นเท่ากับว่า ตัณหา และอารมณ์หยาบๆรายวัน
ภายในสภาวะจิตของท่านนั้น
มันก็จะถูกดับอย่างสิ้นเชิงตามกันไปด้วย
เพราะทั้งตัณหาและอารมณ์
ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนการทำดีทำชั่วของท่านทั้งหลายน่ะ
เป็นผลลัพธ์ของ กิเลส ทั้งสิ้น


3.ครองมหาสติไว้ให้ได้

เพื่อยังความไม่ประมาท
ขอท่านทั้งหลายจงครองมหาสติไว้ให้มั่น

มหาสติ คือ รู้สติ มีสติ และใช้สติ

เพราะมันจะเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้ท่าน
สามารถข้ามผ่านการยั่วยุหรือปลุกเร้าทั้งปวงได้
จากการรู้สติและมีสติในชีวิตประจำวัน

นอกจากนั้นท่านยังจะสามารถเข้าถึง
การใช้ความฉลาดทางปัญญาของสมองสองซีก
สั่นสะเทือนร่วมกับจิตที่สงบและเปี่ยมรัก
เป็นการสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกด้านบวก
จากการ ใช้สติ ที่สามารถคิดก่อนพูด
คิดก่อนทำได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม ดีงามอีกด้วย

หากท่านปฏิบัติได้ตลอดวัน
มันก็คือการปฏิบัติธรรมของท่านทั้งหลายนั่นเอง
ท่านจะไม่มีวันก้าวล่วงผู้ใด
ท่านจะไม่โกรธอาฆาตให้เกิดการเกี่ยวกรรมกับใครง่ายๆ
ท่านจะสามารถรักใครก็ได้ ให้อภัยใครก็ได้
ท่านจะมีชีวิตที่สุขสงบ
ทำงานร่วมกับใครก็ได้
ใช้ชีวิตร่วมกับใครก็ได้
ท่านจักถึงนิพพานในโลกแห่งความจริงได้ชัดขึ้น

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
31-08-2015

29 สิงหาคม 2558

คำสอน 29/08/2015



ท่านรู้หรือไม่ว่า.....
 
ถ้าคนใกล้ชิดท่านกระทำไม่ถูกต้องต่อตัวท่าน
ปกติแล้วท่านมักจะเสียสมดุลไปในทาง
หงุดหงิด ขึ้ง เคียด เกลียด โกรธ นั่นล่ะ
ทำอย่างไรท่านจึงจะไม่โกรธ 
ทำอย่างไรท่านจึงจะดับโกรธที่เกิดขึ้นนั้นได้
ทำอย่างไรท่านจึงจะคืนความสมดุลทางจิตใจ
ให้ตนเองได้ภายในสามนาที
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
คำตอบแรกก็คือ....
มหาสติไงล่ะ
ขณะนี้ท่านฝึกฝนตนเอง
จนสามารถครองมหาสติได้หรือยัง
ถ้าท่านยังครองมหาสติไม่ได้
สามคำถามที่เรากล่าวไว้ข้างต้นนั้น
ท่านจะมิอาจเข้าถึงคำตอบที่ต้องการได้หรอก
แต่ถ้าท่านสามารถเข้าถึงการครองมหาสติ
อันเป็นธรรมชาติสมาธิในชีวิตประจำวันได้แล้ว
กล่าวคือ รู้สติ มีสติ และใช้สติตลอดทั้งวันเวลา
คำตอบที่สองถัดมา คือ 
การหยิบปัญญามานิพพานอารมณ์โกรธนั้นให้สิ้น
จึงจะเป็นจริงได้
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ขณะมีมหาสติอยู่นั้น.....
ขอให้ท่านจงระลึกถึงความจริงในธรรมชาติดูว่า
1.เวลากลางวันขณะแดดร้อนเปรี้ยงๆอยู่
หากท่านกำลังออกจากบ้านเดินทางไปทำธุระ
ในท่ามกลางเปลวแดดแผดจ้าอยู่นั้น
ท่านเคยจัดการอย่างไรในสถานการณ์เช่นว่านี้บ้าง
คำตอบคือ....
1.1 อดทนต่อความร้อนของเปลวแดดนั้น ใช่มั้ย?
1.2 หาร่มมากางบังแดดให้ตนเอง ใช่มั้ย?
1.3 เดินเลี่ยงหลบเข้ากำบังเงาในร่มเงา ร่มไม้ ชายคา
ที่มีอยู่ตามทางเดินนั้น ใช่มั้ย?
2.ให้ท่านถามตนเองต่อไปด้วยว่า...
ทำไมท่านจึงไม่สั่งให้ดวงอาทิตย์หยุดแผ่ความร้อน
ทำไมท่านจึงไม่คิดจะแช่งด่าดวงอาทิตย์
ทำไมท่านจึงไม่หาเรื่องชวนทะเลาะกับดวงอาทิตย์
ทำไมท่านจึงไม่กล่าวร้ายให้โทษดวงอาทิตย์
คำตอบก็คือ....
ท่านไม่สั่งดวงอาทิตย์ให้หยุดแผ่รังสีความร้อน
เพราะรู้ดีว่าตัวท่านเองไม่มีอำนาจมากพอ
เพราะท่านรู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้
ท่านไม่คิดจะแช่งด่าดวงอาทิตย์
เพราะรู้ดีว่ามันเป็นคุณสมบัติของดวงอาทิตย์
ที่ต้องร้อนแรงอย่างนั้นเอง...
เพราะท่านรู้ดีว่าไม่มีใครห้ามดวงอาทิตย์
มิให้เปล่งความร้อนแรงได้
มันต้องเป็นของมันเช่นนั้นเอง
ท่านไม่ชวนทะเลาะกับดวงอาทิตย์
เพราะท่านรู้ดีว่าแช่งด่าว่าไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
ดวงอาทิตย์ก็จะเงียบแล้วแผ่ความร้อนออกมาดังเดิม
เพราะเป็นคุณสมบัติของดวงอาทิตย์ดังกล่าวแล้ว
ท่านไม่กล่าวร้ายให้โทษดวงอาทิตย์
เพราะท่านรู้ดีว่าดวงอาทิตย์มีประโยชน์ต่อทุกชีวิต
ทั้งความร้อนแรงก็มีประโยชน์
ทั้งแสงสว่างของดวงอาทิตย์ก็มีประโยชน์
ด้านที่เป็นประโยชน์มีมากกว่าด้านที่เป็นโทษ
ด้านที่ท่านชอบมีมากกว่าด้านที่ท่านไม่ชอบ
3.ดังนั้น....
จากแนวคิดทั้งหมดทั้งสามข้อที่กล่าวมา
มันคงจะทำให้ได้เกิดดวงตาเห็นธรรมว่า
คนที่เขาทำไม่ดีต่อท่าน
คนที่ท่านไม่พอใจ
คนที่ท่านเห็นว่าไม่น่ารักนั้น
พวกเขาก็มิต่างกันกับ
ความร้อนแรงของแสงแดดเลย
คนที่เขาไม่ดี
เขาจะแสดงพฤติกรรมดีๆกับท่าน
ในกรณีนั้นๆได้อย่างไร
เพราะมันเป็นคุณสมบัติของเขา
ถ้าท่านยอมรับความไม่ดีของเขาเสียได้
การชวนคนไม่ดีนั้นทะเลาะมันก็จะไม่เกิดขึ้น
เพราะถึงทะเลาะกันด่าว่ากันสาปแช่งกัน
ท่านก็ไม่มีวันเปลี่ยนนิสัยแก้ไขสันดานไม่ดี
ของคนชั่วคนนั้นได้...ใช่หรือไม่ล่ะ?
ความชั่วของคนๆนั้น
มันยังมีประโยชน์ต่อท่านอีกด้วยนะ
เพราะทำให้ท่านได้เรียนรู้ว่า
ความชั่วในแนวๆนั้นมันเป็นอย่างไร
มิหนำซ้ำท่านยังตรวจสอบตัวเองได้ด้วยว่า
ท่านชั่วเหมือนคนๆนั้นด้วยมั้ย? 
ท่านมีนิสัยสันดานเหมือนเขาคนนั้นบ้างหรือเปล่า
นี่แสดงว่า...ความชั่วของเขา
มันช่วยให้ท่านสามารถประเมินตนเองได้
ถ้าพบว่าตัวเองชั่วแบบเขา
ท่านก็จะได้แก้ไขตนเองเสียทันที
จะได้เป็นคนที่ดีกว่า...ตามต้องการ
แสดงว่าความชั่วของเขาก็มีประโยชน์ต่อท่าน
มากกว่าจะมีโทษ
เช่นเดียวกับความร้อนของแดด
มีคุณมากกว่าโทษนั่นล่ะนะ
ใช่หรือไม่ล่ะท่านทั้งหลาย...
วิธีดับโกรธ...ลดอารมณ์ขยะ
สร้างสภาวะจิตให้สมดุลภายในสามนาที
มันต้องมีมหาสตินำหน้า
แล้วใช้ปัญญาตามหลัง
ทำบ่อยๆนานวันเข้า.....
จิตฝ่ายต่ำมันจะสลายตัวหายไปเอง
นิพพานโกรธได้ล่ะท่าน...
เอเมน...สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา

28 สิงหาคม 2558

คำสอน 28/08/2015


 ทำไม

จิตวิญญาณ
เมื่อย้อนกลับมาเกิดใหม่แล้ว
จึงยังคงทำผิดอยู่ซ้ำซาก

23 สิงหาคม 2558

จะรู้ได้อย่างไรว่า...ใครมาจากตัวตนภาคแรกรูปธรรมเดียวกันกับท่าน



คำถามจากคุณ: lipigar
ผ่านอีเมล์:myjitchakraval@gmail.com

Question 1:
จะทราบได้อย่างไรว่า
จิตวิญญาณที่อยู่ในเครื่องยนต์แห่งกรรม
ของลูกคนนี้(ลิปิการ์) เป็นจิตวิญญาณดวงเล็ก
ที่แบ่งภาคลงมาเป็นลำดับที่เท่าไร
และในจำนวน 35 ดวงนั้น
ขณะนี้ ได้แบ่งภาคลง
มาหมดแล้วหรือยังคะ

Answer:
1.ให้ทราบไม่ได้หรอกว่า
จิตวิญญาณมนุษย์คนไหน
เป็นจิตวิญญาณที่แบ่งภาคออกมา
จากตัวตนภาคแรกที่สูงส่งของตน
ซึ่งเป็นจิตจักรวาลดวงเล็กในแดนสุญญตานั้น
เป็นรูปธรรมลำดับที่เท่าใด

ที่ให้ทราบไม่ได้
เพราะจะยังผลให้การมาเกิดเป็นมนุษย์
ของจิตวิญญาณรูปธรรมนั้นๆเป็นโมฆะ

2.แม้พระบิดาจะทรงอนุญาตให้
ตัวตนภาคแรกที่สูงส่งของจิตวิญญาณมนุษย์ทุกคน
ที่เป็นจิตจักรวาลดวงเล็กในแดนสุญญตา
สามารถแบ่งภาคตนเองออกมาเป็นพระจิต
หรือจิตวิญญาณที่จะขันอาสามาเกิดเป็นมนุษย์
นับรวมได้ถึง 35 รูปธรรมก็ตาม

แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่มีพระบุตรรูปธรรมใดเลย
ที่ทรงเคยแบ่งภาคตนเองออกมา
จนครบทั้ง 35 รูปธรรม

เพราะพระบุตรทั้งหลายต่างทราบดีว่า
แม้การมาเกิดมากกว่า 1 รูปธรรม
จะมีคุณประโยชน์ต่อกันในการรวมพลัง
สร้างมหาบารมีที่จะมีผลต่อ
ความก้าวหน้าของแก่นแท้

แต่มันก็จะเป็นโทษได้เช่นกัน
ถ้าหากหนึ่งในทั้งหมดของพระจิต
ที่ถูกแบ่งภาคออกมาจากจิตจักรวาลดวงเล็ก
กระทำตนเหลวไหลจนต้องลื่นลงสู่อบายภูมิ
หรือเข้าไปติดอยู่ในกับดักแห่งสังสารวัฏ

มันจะส่งผลให้จิตวิญญาณดวงอื่นๆ
ที่แบ่งภาคตามๆกันมาจนสามารถปฏิบัติบำเพ็ญ
ให้มีคุณสมบัติเพียบพร้อมพอที่จะหลุดพ้นได้แล้ว
จักไม่อาจหลุดพ้นออกไปจากเอกภพนี้ได้

เนื่องจากทุกรูปธรรมที่มาจาก 1 เดียวกัน
ไม่ว่าจะจำนวนกี่รูปธรรมก็ตาม
จะต้องกลับพร้อมกัน หลุดพ้นไปด้วยกันเท่านั้น

มนุษย์จึงต้องรู้ว่า.....
การแบ่งภาคของจิตวิญญาณ
เพื่อลงมาเกิดเป็นมนุษย์นั้นง่ายมาก
แต่การจะจับมือกันกลับบ้าน
อย่างพร้อมหน้ากันนั้นมันแสนยากยิ่งนัก
อดีตกาลผ่านมาจึงมิมีผู้ใดกล้าเสี่ยง
กับความน่าท้าทายนี้

Question 2:
ที่ยังติดอยู่ในโลกนี้ มีอีกกี่ดวงคะ
เคยได้เจอกันบ้างไหมคะ
หากได้เจอจะทราบได้อย่างไรว่า
มาจากจิตจักรวาลดวงเล็กดวงเดียวกัน
และที่กำลังรอคอยอยู่ ณ ด่านนภาลัย
อีกกี่ดวง มีชื่ออะไรบ้างคะ

Answer:
1.เราบอกเธอไม่ได้หรอกนะ
และมิใช่หน้าที่ของเธอ
ที่จะต้องรู้ในเรื่องนี้ด้วยว่า
มีจิตวิญญาณกลุ่มเดียวกันกับเธอ
อยู่เป็นจำนวนเท่าใด
ที่ยังตกค้างอยู่ในระบบโลกในขณะนี้

แต่แม้ว่าเธอจะรู้ได้มันก็ไร้ประโยชน์
เพราะทุกรูปธรรมจักต้องมุ่งมั่นปฏิบัติ
เพื่อเอาตัวเองให้รอดก่อน

หน้าที่ของเธอคือหมั่นเพียรเรียนรู้พระโอวาท
เพื่อค้นพบวิธีปฏิบัติบำเพ็ญจิตตปัญญา
ในอันที่จะนำพาจิตวิญญาณแก่นแท้ของเธอเอง
ย้อนคืนสู่บ้านในแดนสุญญตา
ที่พระบิดาทรงรออยู่ให้จงได้ในภพชาตินี้
ก่อนที่วันปิดยุคพลังงานเก่าจะเดินทางมาถึง
ซึ่งมันจะเป็นประโยชน์ยิ่งกว่า

2.เราคงตอบเธอไม่ได้อีกเช่นกันว่า
จิตวิญญาณรูปธรรมอื่นๆของกลุ่มเธอ
ชื่อนามว่ากระไรบ้าง

เธอเคยพบเจอพวกเดียวกันบ้างรึยัง
ที่รอคอยอยู่ตรงด่านนภาลัยมีกี่รูปธรรม
และพวกเขาชื่อนามว่ากระไร

เพราะพระบิดามิได้ทรงใช้ให้เรามา
เพื่อทำหน้าที่ตอบคำถามส่วนตัวของใคร
จึงต้องขออภัยต่อท่านที่ใคร่รู้ไว้ในที่นี้ด้วย

เราบอกได้แค่เพียงว่า
มนุษย์แต่ละคนอาจพบเจอ
ผู้ที่มีแก่นแท้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน
มาจากจิตจักรวาลดวงเล็กดวงเดียวกันได้
เพราะเข้าเป็นสมาชิกในชมรมเดียวกัน
เพราะเป็นสมาชิกกลุ่มอาสากลุ่มเดียวกัน

Question 3:
จะช่วยแบ่งปันความรักความเมตตา
ถึงกันอย่างไรได้บ้างคะ
​จึ​งจะหลุดพ้นกันได้​ทั้ง​หมดโดยเร็ว
​ก่อนกาลปิดยุค

Answer:
เธอไม่ต้องทำอะไรให้มากไปกว่า
ปฏิบัติบำเพ็ญไปตามพระโอวาทพระบิดา
ที่เธอหมั่นเพียรปฏิบัติอยู่ในทุกวันนี้หรอก

เธอไม่ควรปริวิตกว่าเธอจะกลับบ้านไม่ได้
หรือเกรงว่าจะมีรูปธรรมอื่นในกลุ่มเธอเหลวไหล
จนทำให้จิตตกและพลังทางจิตวิญญาณเสื่อมลง

จงมุ่งมั่นบากบั่นต่อไปเถิด
ใครจะเหลวไหลอย่างไรช่างเขา
เพราะพลังอำนาจด้านบวกที่เธอสั่งสมไว้มากๆ
มันจะสามารถแบ่งปันสู่รูปธรรมอื่นๆ
ที่มีบารมีต่ำต้อยกว่าเธอโดยอัตโนมัติได้อยู่แล้ว

เธอคงนึกภาพน้ำที่ไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำได้นะ

จงหมั่นสร้างสมบารมีไว้ให้มากๆ
ชำระจิตให้ใสชำระใจให้สวย
ด้วยลูกแก้ววิเศษ 2 ดวงนั้น

จงสั่งสมความร่ำรวย
ทั้งความรักและปัญญา
เป็นคุณสมบัติอันล้ำค่าแห่งตน
เอาไว้ให้มากๆ

เพราะมันจะเป็นดั่งน้ำในระดับที่สูงกว่า
ซึ่งพร้อมที่จะไหลลงมาสู่แดนต่ำ
เพื่อถ่ายเทสู่ดวงจิตวิญญาณอื่นๆในกลุ่มเธอ
ที่ยังต่ำต้อยน้อยบุญบารมีให้เพิ่มพูนขึ้น

ไม่ว่าพวกเขาจะดำรงอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม
ต่างจะรับรู้แรงสั่นสะเทือนด้านบวกของเธอ
ได้เป็นอย่างดี

จงมุ่งมั่นสั่นสะเทือนตนเอง
ด้วยการทำหน้าที่ของเธอให้ดีที่สุด
ปฏิบัติบำเพ็ญอย่างจริงจังและตั้งใจ
อย่าไปหวั่นไหวในสิ่งที่เธอถามเรามา
เพราะมันหาประโยชน์อันใดมิได้

ขอความสำเร็จจงเป็นของเธอเถิดนะ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
22-08-2015

22 สิงหาคม 2558

ภารกิจของผู้ที่ข้ามสู่ยุคพลังงานใหม่ได้



คำถามจากคุณ: Phattraya Suwanchatree
ผ่านอีเมล์: myjitchakraval@gmail.com

Question:
อาจารย์กล่าวว่ามีทางเลือกเสรี
แก่จิตวิญญาณดวงเล็ก 7 ทางด้วยกัน
หนูสงสัยทางเลือกที่ 7

บุคคลที่ต้องทำหน้าที่ผดุงโลกใบนี้ให้ดำรงอยู่
หลังจากวันพิพากษาโลกของพระบิดา
ซึ่งเขาต้องเจอบททดสอบมากมาย
ทั้งการสูญเสียต่างๆ

อยากทราบว่าหลังจากนั้น
เมื่อการพิพากษาจบลงแล้ว
ดวงจิตนั้นจะได้กลับบ้านไปกราบพระบิดาเมื่อไหร่คะ
เพราะเขาต้องฟื้นฟูโลกหลังการพิพากษา..

ขอบพระคุณค่ะ

Answer:

1.ดวงจิตวิญญาณของผู้ที่จัดอยู่ในจำพวกที่ 7
คือ รูปธรรมมนุษย์ที่จะสามารถข้ามผ่าน - ฟันฝ่า
สถานการณ์วิกฤติร้ายแรงต่างๆ
ตามแผนปฏิบัติการชำระโลกของพระบิดา
โดยช่างเท็คนิกทั้งหลายไปได้

จนกระทั่งปฏิบัติการของพระองค์สิ้นสุดลง
ภายหลัง 56 วัน 8 ราตรี
ที่มืดมิดไม่สว่างเลย
อันเป็นการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานใหม่
โดยสมบูรณ์แบบแล้ว

2.เมื่อผ่านเข้าสู่ยุคพลังงานใหม่ได้อย่างสง่างามแล้ว
มนุษย์คนดังกล่าวก็จะได้ชื่อว่า "คนสองยุค"
เขาคนนั้นและผู้ถูกเลือกไว้
จะมีหน้าที่สำคัญให้ทำ
ตามความพร้อมของแต่ละคน ดังนี้

2.1 
ทำความสะอาดโลกตรงพิกัดที่ตนดำรงอยู่
เช่น กำจัดซากศพ กำจัดขยะวัตถุเท็คโนโลยี
ทำความสะอาดแหล่งน้ำบริโภคและอุปโภค
บูรณะที่พักอาศัย เป็นต้น

2.2 
ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ยังอยู่รอด
แต่หูบอด ตาบอด เป็นใบ้ สติเลื่อนลอย เป็นต้น
ให้คนพวกนี้ที่ยังมีผลกรรมหนักเหลือข้ามยุคอยู่
สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ตามยถากรรม
จนกว่าจะจบบทเรียนโลกของพวกเขา
ในอีกหลายปีโลก

2.3 
ช่วยเพาะปลูกพืชผักผลไม้
เท่าที่ค้นหามาได้จากแผ่นดินโดยทั่ว
สิ่งที่ปลูกง่ายที่สุด คือ จำพวกผักบุ้ง ผักกะเฉด
ผักกระถิน ถั่วลิสง ข้าวสาร(ก็ปลูกได้) ฯลฯ

2.4 
เป็นพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดกายสังขาร
เพื่อสร้างโอกาสให้จิตวิญญาณผู้มาใหม่
จากฟากฟ้าสีคราม
ได้ทะยอยกันเข้ามาปฏิสนธิทางวิญญาณ
เพื่อการเริ่มต้น "มนุษย์ยุคพลังงานใหม่" ต่อไป

3.ภารกิจพอสังเขปเหล่านี้
ผู้ที่ถูกคัดไว้ให้อยู่รอดจะเป็นผู้ปฏิบัติด้วยจิตอาสา
ด้วยจิตสำนึกภายในตนเอง
พระบิดามิได้บังคับหรือจูงใจใคร

ใครจะใช้เวลาในยุคพลังงานใหม่
ได้ยั่งยืนยาวนานแค่ไหนนั้น
ล้วนขึ้นอยู่กับพลังกายสังขารของคนผู้นั้นว่า

จะทานทน
ต่อสภาพภูมิอากาศใหม่ได้แค่ไหน

จะปรับตัว
ให้เข้ากับความเข้มสนามแม่เหล็กโลก
ที่เพิ่มขึ้นจาก 14 เก๊าส์ 
เป็นราวๆ 22 เก๊าส์ได้ไหม

จะสมดุลอยู่กับอัตราความเร็ว
ในการเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองของโลก
ที่จะเพิ่มจาก 24 เป็น 22 ชั่วโมง
ต่อรอบไหวไหม

ที่สำคัญคือ 
เขาคนนั้นจะสามารถเปิดหมวก
กล่าวคำอำลาดาวโลกเสรีดวงนี้
เมื่อไหร่วันใดก็จะสามารถเป็นจริงได้สมปรารถนา
จะคืนกลับได้ทันทีเมื่อต้องการ

เพราะสภาวะจิตเป็นสุญญตา
มาตั้งนานแล้ว
เพราะเขาคนนั้น
เป็นคนพิเศษแห่งดาวโลกไงล่ะ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
22-08-2015