06 กรกฎาคม 2559

กระตุ้นพลังแห่งการเรียนรู้












คลิปภาพ : วัตถุบนท้องฟ้า

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
หน้าที่สำคัญของมนุษย์โลกเสรีเช่นท่านนั้น
ทุกลมหายใจเข้าออกในทุกจังหวะการเต้นของหัวใจ
ก็คือ "การเรียนรู้" นั่นเอง

โดยท่านทั้งหลาย
จะต้องใช้กลไกอายตนะภายนอกทั้งห้า
ทำงานร่วมกันกับจิตและสมอง
เพื่อการเรียนรู้สรรพสิ่งและสถานการณ์รายรอบตัวท่าน
ตลอดวันยันค่ำจากยามตื่นจนกว่าจะถึงยามหลับ
เป้าหมายหลักก็คือเรียนรู้ว่า "อะไรเป็นอะไร"
ท่านจึงต้องมีความสามารถในการใช้อายตนะที่มีอยู่
ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการสัมผัสรู้ดูเห็น
ทั้งยังจะต้องมีความสามารถทางจิตตปัญญา
ในการเข้าถึงองค์ความรู้บางสิ่ง
ที่กลไกอายตนะทั้งห้าของท่านสัมผัสรู้ดูเห็นไม่ได้
ซึ่งจิตตปัญญานี่แหละเปรียบดั่งตาที่สามล่ะนะ
นอกจากนั้นเมื่อท่านมีความรู้นั้นๆแล้ว
ท่านก็จงอย่าปิดกั้นตนเองไม่เรียนรู้เรื่องนั้นต่อไปอีก
โดยไปหลงยึดติดความรู้นั้นไว้

เพราะท่านอาจเป็นตาบอดคลำช้างกับเขาก็ได้
เนื่องจากช้างทั้งตัวมันมีอวัยวะหลายส่วน
มันมีหลายด้านหลายมุมให้เลือกมองเพื่อเรียนรู้
ท่านจะรู้ว่า "ช้าง" มีรูปลักษณ์อย่างไร
ท่านจึงมองมุมเดียวไม่ได้ฉันใดก็ฉันนั้น
เมื่อท่านผ่านการเรียนรู้มามาก
สั่งสมประสบการณ์ความรู้มาเยอะ
เรียนรู้โลกมายาวนานระดับหนึ่ง

ท่านก็จงอย่า "หลงตัวเอง" ว่าเป็นเลิศดั่งน้ำเต็มแก้ว
โดยไม่คิดว่าจะมีอะไรให้ตนต้องเรียนรู้อีกแล้ว
ทั้งเชื่อมั่นว่าความรู้ที่รู้อยู่มันถูกต้องที่สุดแล้ว

สิ่งใดที่ท่านไม่เคยเรียนรู้มาก่อนแบบความรู้ใหม่
ท่านก็จงอย่าปฏิเสธว่าไม่มี ไม่จริง ไม่เชื่อ ไม่ใช่
เพราะความรู้ทั้งหลายในจักรวาลนี้
แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ
1.ความรู้ที่ท่านเคยอยากรู้ และเรียนรู้มาบ้างแล้ว
2.ความรู้ที่ท่านกำลังอยากรู้อยู่ แต่ยังไม่รู้
3.ความรู้ที่ท่านไม่รู้ว่า ทำไมจะต้องรู้
4.ความรู้ที่ท่านไม่เคยรู้ว่า ท่านน่ะไม่รู้

หากท่านไม่หลงตัวเอง
ท่านจะพบว่ารายรอบตัวท่านในแต่ละวัน
มันเต็มไปด้วยความรู้ 4 ประเภทนี้ทั้งนั้นแหละ
เราจึงจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ท่านจะหยุดการเรียนรู้ไม่ได้หรอก

อันคำกล่าวที่ว่า
"สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น"
"สิบตาเห็นไม่เท่าเอามือคลำดู"

สองประโยคนี้สอนท่านให้เรียนรู้ด้วยอายตนะ
แต่เราจะกล่าวต่อท่านทั้งหลายว่า

ท่านจะต้องใช้ "จิตตปัญญา" ของจิตกับสมอง
เพื่อการเรียนรู้สรรพสิ่งในโลกกว้างนี้ด้วย
เพราะว่า "บางสิ่ง" ที่ท่านมองไม่เห็น
"บางสิ่ง" ที่ท่านทั้งไม่เห็น และไม่ได้ยินเสียง
"บางสิ่ง" ที่ทั้งไม่เห็น ไม่มีเสียง และสัมผัสไม่ได้
คนส่วนใหญ่มักจะปฏิเสธว่าไม่มี
ขณะที่บางสิ่งก็ปรากฏให้เห็นกับตาอยู่โทนโท่
แต่ก็กลับไม่เชื่อสายตาของตัวเองก็มี

ดังนั้น
คนฉลาดจึงต้องไม่ปฏิเสธการเรียนรู้
คนฉลาดจึงต้องฉลาดในการเรียนรู้
คนที่ฉลาดในการเรียนรู้
จึงต้องฉลาดใช้อายตนะและจิตตปัญญา
โดยไม่หลงตัวเองว่าเลิศล้ำแล้วเด็ดขาด
ลองใช้คลิปพิเศษนี้ให้เกิดประโยชน์

เพื่อการเรียนรู้ของท่านสิ
ภาพในคลิปคงจะกระตุ้นพลังแห่งการเรียนรู้
ของท่านทั้งหลายได้บ้างไม่มากก็น้อย

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
6-07-2016


05 กรกฎาคม 2559

ไม่พบพระสุริยะมีจุดดำ (Sun Spots) มานาน15 วัน


นาซ่าตรวจพบว่า
จนถึงวันที่ 4 กรกฎาคม 2559 นี้
ไม่พบว่าพระสุริยะมีจุดดำ (Sun Spots)
มานาน15 วันติดต่อกันแล้ว
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้มีจุดดำเกิดขึ้น
และส่งโซล่าแฟลร์หรือพายุสุริยะมายังโลก
เข้มข้นมากบ้างน้อยบ้างอย่างต่อเนื่อง

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า...

เดิมทีนั้นทีมช่างเท็คนิกได้ใช้วิธีส่งพลังงานจากพระสุริยะ
เข้ามากระตุ้นชีพจรของโลกในแกนโลก
เพื่อให้ดาวโลกดวงนี้มีอัตราการเต้นหรือการสั่นสะเทือน
ตรงจิตสำนึกที่แกนโลกเป็นปกติแบบเฉียบพลัน
อันมีสาเหตุมาจาก "มนุษย์โลก" ส่วนใหญ่ไม่รักกัน
เพราะว่ามนุษย์พากันสั่นสะเทือนจิตสำนึก
ด้วยจิตไร้สำนึกกันมากขึ้นนั่นเอง

จิตสำนึกมนุษย์โลกโดยรวมจึงตกต่ำลงหรือดิ่งลง
จนยังผลให้จิตสำนึกของโลกหรือชีพจรของโลก
อันหมายถึงการระเบิดของอะตอมของธาตุออกซิเจน
ที่ติดตั้งอยู่ในแกนโลกมีอัตราการระเบิดไม่สม่ำเสมอ
เปรียบได้ดั่งชีพจรของพวกท่านเต้นช้าลง
เหมือนคนใกล้ขาดใจตายนั่นแหละ
ก็ต้องใช้วิธีที่สะดวกรวดเร็วที่สุดในการช่วยชีวิต
นั่นคือ การกระตุ้นหัวใจด้วยการใช้ไฟฟ้าช้อต

ดาวเคราะห์โลกดวงนี้ที่ผ่านมา
ก็ถูก "กระตุ้น" ให้กระตุก
ด้วยปฏิบัติการแบบเดียวกัน
ที่พวกท่านและนาซ่าแลไม่เห็นจุดดำมา 15 วันแล้วนั้น

มิได้หมายความว่า
จุดดำหรือจุดดับบนผิวพระสุริยะไม่มี
แท้จริงแล้วยังมีอยู่ครบ 6 จุดเหมือนเดิม ไม่มีไม่ได้

เพียงแต่จุดดำปกตินั้นเป็นจุดที่เล็กมาก
ซึ่งกระจายอยู่รายรอบพื้นผิวดวงอาทิตย์

เดิมจุดดำที่ท่านเห็นจากกล้องโทรทัศน์ที่ถ่ายไว้ได้นั้น
เป็น "จุดดำที่ไม่ปกติ" เป็นจุดดำพิเศษที่ถูกสร้างขึ้น
ในปฏิบัติการทางเท็คนิกเพื่อการชำระระบบโลก
จุดดำหรือจุดดับสีดำๆก็คือพิกัดที่
ถูกทำให้เกิดการระเบิดรุนแรงบนพื้นผิวดวงอาทิตย์

เนื่องจากดวงอาทิตย์มีองค์ประกอบหลักเป็นก๊าซเหลว
เมื่อระเบิดก็จะมีลักษณะเป็นคลื่นวงกลม
กระจายตัวออกทุกทิศทางจากจุดที่ระเบิดนั่น
คล้ายดั่งโยนก้อนหินลงไปในน้ำนั่นแหละนะ
แต่เพราะระเบิดออกมาจากข้างในสู่พื้นผิวภายนอก
มันจึงเกิดเป็นหลุมกลมๆขนาดยักษ์ลึกลงไปข้างใน
เมื่อท่านบันทึกภาพจากระยะไกลก็จะเห็นเป็นจุดสีดำ


บัดนี้...
การกระตุ้นชีพจรโลกแบบเฉียบพลันผ่านไปแล้ว
บนพื้นผิวดวงอาทิตย์ก็จะปรากฏจุดดำ
ไปตามปกติที่เคยเป็นอยู่เห็นอยู่กันต่อไป
ทีมช่างเท็คนิกอีกทีมหนึ่งได้เดินทางเข้ามา
ปฏิบัติการ "กระตุ้น" ชีพจรโลกอยู่ในระบบแล้ว
ดังท่านทั้งหลายจะสังเกตเห็นได้จาก
ดาวโลกเกิดเหตุแผ่นดินไหวหนักบ้างเบาบ้าง
ให้รับรู้รับทราบกันอยู่ทุกวัน (เราเน้นว่า "ทุกวัน")
โดยสั่นทั้งวันทั้งคืน สั่นไปในหลายๆที่แม้ในมหาสมุทร
รวมทั้งปรากฏการณ์ภูเขาไฟเก่าๆพากันปะทุไปทั่ว
ปรากฏการณ์เหล่านี้เป็นมายาของปฏิบัติการ
ซึ่งทีมช่างเท็คนิกกระทำต่อแกนโลกทั้งสิ้น
ต่อเมื่อช่างเท็คนิกเอาไม่อยู่

พระสุริยะเทพก็คงจะต้องใช้พลังงานมากอีกครั้ง
เพื่อที่จะหาทางค้ำจุนดาวโลกดวงนี้ไว้ให้ได้
เราจึงจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
เร่งฝึกการครอง "มหาสติ" มีปณิธานแห่งนิพพาน
ด้วยการ "ไม่เดินถ่างขา" กันอยู่อีกต่อไป
หันมาเอาจริงเอาจังในการปฏิบัติตน
ตามมรรควิถีแห่งจิตจักรวาลเพื่อการหลุดพ้น
บนเส้นทางฆราวาสในบทบาทนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง
เพื่อการปิดยุคพลังงานเก่าร่วมกันอย่างสวยงามเถิด
เวลาแหงการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานใหม่นั้น
เหลือน้อยเต็มทีแล้วล่ะท่าน...

เราสื่อถ่ายทอดพระโอวาทเหล่านี้
มาจากพระบิดาแห่งจิตวิญญาณของท่านทั้งหลาย
ด้วยความรักและปรารถนาดีอย่างสุดซึ้ง

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
5-07-2016