07 ตุลาคม 2566

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 7/10/2023

#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
ไม่มีผู้ใดจะห้ามมิให้โลกเกิด #ภัยพิบัติ ได้
เพราะเหตุผลสำคัญ 2 ประการ คือ
 
#เหตุผลประการแรก
เพราะว่ามนุษย์เป็นผู้ทำให้ระบบโลกเสียสมดุล
ด้วยการประพฤติปฏิบัติตนไม่ถูกต้องดังนี้
 
1.ใช้กิเลสตัณหาขับเคลื่อน #กรรมจักร
จนทำให้จิตหยาบสั่นสะเทือนขันธ์ห้าด้วยกิเลส
แล้วผลิตพลังงานจิตด้านลบที่เป็น “ขยะ” รกโลก
ซึ่งเป็นพลังงานจิตในแบบที่โลกไม่ต้องการ
 
ส่วนพลังงานจิตในแบบที่โลกต้องการก็คือ
คลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กซึ่งเป็น #พลังงานจิตด้านบวก
ที่จิตหยาบสั่นสะเทือนขันธ์ห้าด้วยความรักเพื่อให้
จากจิตสามนึกแห่งการเป็นมนุษย์โลกด้วยกัน
จากจิตสามนึกแห่งการเป็นหนึ่งเดียวกัน
โดยโลกสามารถนำเอาพลังงานจิตด้านบวกที่ว่านี้
ไปใช้จุดระเบิดอะตอมธาตุออกซิเจนในแกนโลก
เพื่อทำให้แกนโลกบิดตัวจนหมุนรอบตัวเองได้
 
เพราะโลกมีสองด้านคือด้านกลางวันกับกลางคืน
มนุษย์ที่อยู่คนละซีกโลกจะผลัดกันผลิตพลังงานจิต
ด้วยการหมุนธรรมจักรร่วมกันอย่างต่อเนื่อง
เหมือนกับการทำหน้าที่ผลัดกันส่ง “คบเพลิง” ให้โลก
ระหว่างซีกโลกฝั่งตะวันออกกับซีกโลกฝั่งตะวันตก
โดยถ้ามนุษย์ช่วยกันทำหน้าที่ดังกล่าวนี้ได้อย่างดียิ่ง
ก็จะช่วยให้โลกเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง
ดาวโลกดวงนี้ก็จะมี #ความสมดุล อยู่ได้อย่างยั่งยืน
 
ถ้าโลกจะมีความสมดุลได้อย่างต่อเนื่อง
ระบบโลกทั้งดินน้ำลมไฟหรือพลังงานจะต้องสมดุล
โดยมนุษย์โลกทุกคนจะต้องช่วยกันรักษาระบบไว้
เช่นต้องไม่ทำลายระบบนิเวศน์ไม่ทำลายธรรมชาติ
ต้องพยายามรักษาชีวิตตนเองเอาไว้ให้ยืนยาวที่สุด
เพราะพระเจ้าทรงกำหนดให้มนุษย์ไม่ต้องตาย
เพื่อให้ทำหน้าที่เป็น “เพื่อนร่วมงาน” กับดาวโลก
ต้องช่วยกันใช้เมตตาธรรม “ค้ำจุน” โลกทั้งระบบ
ซึ่งจะละทิ้งหน้าที่ด้วยการตายไปจากโลกไม่ได้
 
2.มนุษย์ทำลายระบบนิเวศน์ของตนเอง
ด้วยการตัดโค่นต้นไม้ทำลายป่าต้นน้ำลำธาร
อันเป็นที่อยู่อาศัยและแหล่งอาหารของสัตว์โลก
มนุษย์ล่าสัตว์เพื่อฆ่ากินเป็นอาหารและเป็นเกมกีฬา
จนสัตว์ประจำโลกบางชนิดต้องสูญพันธุ์ไปจากโลก
สัตว์ประจำโลกมีจำนวนลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ
 
โดยมนุษย์ไม่มีสำนึกที่จะรู้ว่า
สัตว์แต่ละตัวก็เป็นเครื่องยนต์แห่งกรรมชิ้นหนึ่ง
ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างพวกเขาขึ้นมาบนโลกเสรีนี้
ให้มาช่วยกันผลิตสร้างพลังงานด้านบวกค้ำจุนโลก
ก่อนที่จะทรงสร้างมนุษย์ให้เข้ามาทำหน้าที่ร่วมด้วย
 
ดังนั้น
ถ้าคุณฆ่าสัตว์ตายไปตัวหนึ่ง
จึงเท่ากับว่าเครื่องยนต์ที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าให้โลก
มันชำรุดเสียหายใช้การไม่ได้ไปตัวหนึ่งนั่นแหละ
หากคุณฆ่าสัตว์ตายไปเป็นจำนวนมากเท่าไหร่
เครื่องยนต์ผลิตไฟฟ้าช่วยโลกก็สูญหายไปเท่านั้น
โลกก็จะมีปัญหาด้านขาดแคลนพลังงานไปทันที
 
เลือดสัตว์หนึ่งหยดกับเนื้อสัตว์หนึ่งชิ้นที่คุณกินเข้าไป
เท่ากับว่าคุณใช้ปากร่วมทำลายระบบโลกให้เสียสมดุล
ด้วยการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตซึ่งเป็นการทำลายเครื่องยนต์
ที่พระเจ้าทรงกำหนดให้พวกเขาผลิตพลังงานให้โลก
เพื่อช่วยเสริมเติมเต็มพลังงานในส่วนขาดของมนุษย์
โดยไม่ยอมให้โลกเสียสมดุลไปจากปกติได้นั่นเอง
 
3.มนุษย์ระเบิดภูเขาเพื่อเอาหินดินทราย
เสมือนการย้ายภูเขาในพิกัดที่พระเจ้าสร้างไว้ดีแล้ว
เอาไปติดตั้งใหม่ในสถานที่ใหม่ตามใจตนปรารถนา
อันเป็นที่มาของการทำให้โลกเสียสมดุลได้เช่นกัน
 
เราเคยยกตัวอย่างให้พวกคุณรู้กันมาแล้วว่า
ภูเขาหนึ่งลูกหรือหนึ่งเทือกที่ถูกระเบิดทิ้งไปนั้น
ไม่ต่างจากชิ้นตะกั่วเล็กๆชิ้นหนึ่งบนกระทะล้อรถยนต์
ถ้าคุณไปดึงมันออกจากที่เดิมซึ่งช่างถ่วงล้อติดตั้งไว้
ล้อรถยนต์ล้อนั้นมันจะเกิดอาการเสียสมดุลไปทันที
แม้ว่าคุณจะย้ายตะกั่วชิ้นนั้นไปติดตั้งที่ตำแหน่งใหม่
ล้อนั้นก็ยังจะเสียสมดุลเช่นเดิมเพราะติดตั้งผิดที่
 
ภูเขาทุกเทือกทุกลูกบนโลกนี้
ไม่ต่างจากตะกั่วชิ้นหนึ่งบนกระทะล้อรถยนต์ที่หมุนไป
ซึ่งพระเจ้าทรงออกแบบและติดตั้งมันเอาไว้เหมาะแล้ว
เพราะช่วยให้โลกหมุนรอบตัวเองได้โดยไม่แกว่งส่าย
ถ้าเป็นล้อรถยนต์ก็เมื่อรถแล่นไปล้อนั้นก็จะ “ไม่สะบัด”
อาการที่ล้อรถยนต์เมื่อแล่นไปไม่สะบัดก็คือไม่เสียสมดุล
แสดงว่าแม้ตะกั่วเล็กๆแต่ละชิ้นบนกระทะล้อรถยนต์
ยังเป็นสิ่งสำคัญที่พวกคุณจะมองข้ามไม่ได้เลย
ภูเขาทุกลูกทุกเทือกบนโลกนี้จึงสำคัญต่อโลกเช่นกัน
 
4.มนุษย์ทำให้ปริมาณก๊าซออกซิเจนลดลง
เพราะมนุษย์ไม่รู้ว่า “โรงงานผลิตก๊าซออกซิเจน”
ถูกติดตั้งเอาไว้ภายในแกนโลกซึ่งอยู่ใต้ฝ่าเท้าของตน
โดยใช้พลังงานจิตด้านบวกที่ผลิตด้วยขันธ์ห้า
จากจิตสามนึกด้านบวกของจิตหยาบหรือจิตมนุษย์
ที่ทุกคนบนโลกต้องร่วมด้วยช่วยกันทำช่วยกันผลิต
ให้เป็นตัวช่วยจุดระเบิดอะตอมของธาตุออกซิเจน
แล้วทำให้อะตอมแตกตัวออกมาเป็นก๊าซได้
 
เมื่อก๊าซออกซิเจนในระบบโลกลดลงคือเสียสมดุล
ทั้งมนุษย์และสัตว์ประจำโลกที่ต้องใช้ในการหายใจ
ก็จะเริ่มมีอาการขาดก๊าซออกซิเจนให้เห็นได้เช่นกัน
วันไหนเวลาใดที่ระบบโลกขาดออกซิเจนมากๆ
คุณจะพบว่าตนเองนั้นมีอาการ “สมองมึนงง” เบลอๆ
คิดช้าสมองช้าเหตุเพราะว่าสมองขาดก๊าซออกซิเจน
คุณจะไม่สดชื่นไม่กระปรี้กระเปร่าง่วงเหงาหาวนอน
ทั้งๆที่ได้หลับนอนพักผ่อนมาจนเต็มอิ่มอยู่แล้วก็ตาม
 
สัตว์ประจำโลกเช่นฝูงนกที่บินหากินกันเป็นฝูง
ขณะกำลังบินอยู่บนฟ้ากันอยู่ดีๆเขาก็ร่วงลงมาตาย
เพราะพวกเขาบินผ่านน่านฟ้าที่มีออกซิเจนเจือจาง
จึงไม่เพียงพอต่อการใช้เพื่อหายใจของพวกเขา
จนทำให้สมองของนกขาดก๊าซออกซิเจนเฉียบพลัน
พวกเขาจึงพากันพลัดตกลงมากระแทกพื้นจนตาย
ซึ่งมีตัวอย่างเป็นข่าวให้ประจักษ์กันมาแล้วนั่นแหละ
 
นอกจากนั้น
ฝูงปลาตัวน้อยๆทั้งในน้ำจืดและน้ำทะเลก็เช่นกัน
วันไม่ดีคืนไม่ดีคุณจะเห็นพวกเขาลอยคอกันเป็นฝูง
ลอยขึ้นมาเพื่อหาอากาศหายใจบริเวณเหนือพื้นน้ำ
ทั้งๆที่พวกเขาเป็นปลาต้องหายใจด้วยเหงือกเท่านั้น
 
เนื่องจากขณะพวกเขาว่ายน้ำไปด้วยกันเป็นฝูงใหญ่
ซึ่งต้องใช้ปริมาณก๊าซออกซิเจนในน้ำค่อนข้างมาก
เมื่อว่ายไปถึงบริเวณที่ออกซิเจนในน้ำเจือจางเข้า
อาการ “ช็อก” ออกซิเจนของพวกเขาจึงเกิดขึ้นให้เห็น
โดยพวกเขาจะพากันลอยคอรอความตายกันเป็นฝูง
ถ้าในน้ำนั้นขาดออกซิเจนอยู่นานๆพวกเขาก็ตายหมู่
 
ปลาที่อยู่ในทะเลซึ่งหากินเป็นฝูงก็เช่นกัน
จะพากันลอยคอมาเกยหาดเกยตื้นให้เห็นกันบ่อยขึ้น
แต่ละครั้งจะพบว่าพวกเขาจะพากันมาตายน้ำตื้นกัน
นับพันนับหมื่นนับแสนหรือนับล้านตัวเลยก็เคยมีให้เห็น
ที่ฝูงปลาพากันตายน้ำตื้นเพราะบริเวณผิวน้ำมีคลื่นลม
เมื่อลอยคออยู่ด้วยอาการเสียสมดุลเพราะทรงตัวไม่ได้
เกิดการพลิกคว่ำพลิกหงายเพราะควบคุมตนเองไม่ได้
จึงถูกคลื่นลมซัดพาเข้าหาฝั่งจนพากันมาตายน้ำตื้น
 
นี่ก็เป็นผลจากการที่มนุษย์ไม่ร่วมกันหมุนธรรมจักร
เพราะขาดจิตสามนึกแห่งการเป็นมนุษย์โลกเสรี
เพราะว่าเป็นมนุษย์ไม่เป็นและส่วนใหญ่เห็นแก่ตัว
 
นอกจากนั้น
ภาวะโลกร้อนจนทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลายเร็วขึ้น
ที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ “เอลนีโญ” กับ “ลานีญา”
จากปรากฏการณ์ “เรือนกระจก” ที่วางเฉยกันอยู่นั้น
ก็เกิดจากการที่โลกขาดก๊าซออกซิเจนหรือมีน้อยลง
เพราะโลกมีก๊าซออกซิเจนที่เป็นก๊าซมวลเบาลดลง
จึงไม่อาจช่วยขับดันก๊าซที่มีน้ำหนักมวลมากที่ไร้ค่า
ให้ลอยสูงขึ้นหนีแรงดึงดูดโลกออกไปจากระบบได้
จึงลอยขึ้นไปค้างเติ่งอยู่ในบรรยากาศโลกตรงจุดนั้น
 
จะลอยต่ำลงมาก็ไม่ได้เพราะพวกตนเป็นก๊าซ
จะลอยสูงขึ้นไปกว่านั้นก็ไม่ได้เพราะถูกโลกดึงดูดไว้
ไม่ต่างจากจิตวิญญาณพี่ๆน้องๆของพวกคุณที่หลงมิติ
พากันหลุดลอยขึ้นไปเสพกิเลสกันอยู่บนสวรรค์มายา
เพราะหลงไหลในสิ่งสมมุติคือเทพเทวดาและวิมานแก้ว
จะลอยสูงขึ้นไปก็ยากจะกลับลงมายังโลกอีกก็ไม่ได้
หรือเมฆฝนที่มีน้ำหนักมวลมากก็จะลอยต่ำๆให้เห็น
ขณะเมฆขาวซึ่งมีมวลน้อยกว่าจะลอยอยู่ในระดับสูงกว่า
มันจะสลับกันลอยขึ้นลอยลงตามใจฉันนั้นไม่ได้
 
คุณลองคิดดูเอาเองก็ได้ว่า
ถ้าโลกมีก๊าซออกซิเจนลดน้อยลงไปกว่าวันนี้อีก
ก๊าซเรือนกระจกจะลอยตัวต่ำลงมาเหมือนเมฆฝนใช้ไหม
ถ้าพวกคุณรู้ดีอยู่แล้วว่าก๊าซเรือนกระจกคือก๊าซพิษ
ถ้ามันลอยต่ำลงมาจนถึงจมูกคุณเพราะคุณอยู่คอนโด
คุณต้องหนีตายลงมาอาศัยอยู่ชั้นล่างๆแทนใช่หรือไม่
 
ถ้าก๊าซพิษพวกนี้มีมากขึ้นจนลอยต่ำระดับฝุ่นพีอี
เพราะปริมาณก๊าซออกซิเจนในระบบโลกลดลงถึงขีดสุด
คุณมิต้องคลานเรี่ยพื้นเหมือนสัตว์เลื้อยคลานหรอกหรือ
คุณจะยืนไม่ได้เพราะบริเวณที่สูงไม่มีอากาศจะหายใจ
รู้เช่นนี้แล้วคุณอย่าคิดว่ามันเป็นเรื่องตลกรับประทานนะ
หากตราบใดที่มนุษย์ยังสนุกกับโครงการอุตสาหกรรม
ขยันผลิตก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นกันอยู่ตลอดทั้งวันคืน
ขณะก๊าซออกซิเจนจากแกนโลกถูกผลิตออกมาน้อยลง
แถมพวกคุณมองปรากฏการณ์ด้วยตาเปล่าไม่เห็นด้วยสิ
กว่าจะรู้ว่าภัยมาถึงตัวในวันนั้นมันก็สายไปเสียแล้ว
 
สาเหตุทั้ง 4 ประการพอสังเขปที่เรากล่าวมานี้
ล้วนเกิดจากความเหลวไหลของมนุษย์โลกทั้งสิ้น
นี่จึงเป็นสาเหตุหรือที่มาของภัยธรรมชาติสาเหตุแรก
 
#เหตุผลประการที่สอง
เป็นภัยร้ายแรงสุดติ่งที่มันจะเกิดขึ้นกับโลกต่อนี้ไป
ซึ่งบางครั้งมันก็จะเกิดภัยซ้อนทับกับภัยธรรมชาติ
ในแบบ “ภัยซ้อนภัย” ที่เราเคยกล่าวให้รู้กันมาแล้ว
 
เหตุผลประการที่สองของการเกิดภัยก็คือ
เป็นภัยพิบัติหรือวิบัติจากปฏิบัติการชำระโลก
ตามแผนการของพระเจ้าผู้สร้างโลกเอกภพและทุกสิ่ง
ที่ถูกกำหนดและออกแบบเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่า
 
1.จะใช้วิธีการใดในการ “ชำระ” ระบบโลกนี้บ้าง
2.จะชำระโลกเพื่อเป้าหมายและวัตถุประสงค์ใดบ้าง
3.สิ่งที่จะชำระออกไปจากระบบที่เป็น “ขยะ” คืออะไร
 
ทั้งสามประการเหล่านี้
เป็นเรื่องของภัยซ้อนภัยที่รุนแรงและน่ากลัวยิ่ง
ที่น่าห่วงใยก็คือมนุษย์ส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่าตนไม่รู้
เราจึงพยายามเป็นไก่ที่โก่งคอขันอยู่ตรงนี้ทั้งวันคืน
เพื่อช่วยสร้างสติทางวิญญาณให้มนุษย์โลก
จนกว่าไก่จะไร้พลังขันหรือกว่าถึงวันที่มนุษย์มีหู
 
หมายเหตุ:
พระโอวาทบทนี้ถ้าเห็นว่าดีมีประโยชน์
เราอนุญาตให้แชร์เพื่อแบ่งปันคนอื่นได้
 
เอเมน สาธุ
ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากองค์จิตจักรวาล
โดย #ปัญญาวิสุทธิ์
7/10/2566