24 ตุลาคม 2566

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 24/10/2023

#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
การปฏิบัติธรรมด้วยการดับการเกิดดับของกิเลส
แท้จริงแล้วมันคือการปฏิเสธสิ่งที่เรียกว่าความรู้สึก
ไม่ให้มันก่อตัวขึ้นมาบนเส้นทางการรับรู้เพื่อเรียนรู้
เมื่ออายตนะภายนอกทั้งห้าสัมผัสสิ่งเร้าแล้วส่งมาให้
ด้วยการวางเฉยไม่นำมาปรุงแต่งเป็นชอบหรือไม่ชอบ
ทำหน้าที่แค่เพียงรับรู้ว่าอะไรเป็นอะไรอย่างไรเท่านั้น
ซึ่งฟังดูเหมือนว่าถ้าทำตามที่เราบอกนั้นมันง่ายมาก
แต่เวลาทำจริงในชีวิตจริงแล้วมันจะไม่ง่ายอย่างที่คิด
 
เพราะพวกคุณคุ้นชินกับการรับรู้สิ่งเร้าแล้วรับเอาเสมอ
คำว่า
 #รับเอานี้ หมายถึง “ชอบหรือไม่ชอบ” นั่นแหละ
จนถึงขนาดที่ว่ารับรู้แล้วไปรับเอาเรื่องราวของเขาด้วย
ทั้ง ๆที่เป็นเรื่องส่วนตัวของเขาไม่ได้เกี่ยวกับเราเลย
ซึ่งพวกคุณเรียกกันว่า
 #เสือก #สอด #แส่ นั่นแหละ
ล้วนเป็นพฤติกรรมไม่น่ารักที่หลายคนยังปฏิบัติกันอยู่
มันคือการ
 “ก้าวล่วง” หรือ “ก้าวก่าย” บุคคลอื่น
ที่ผิดกฎธรรมชาติของพระเจ้าขั้นร้ายแรงเลยทีเดียว
 
คุณลองสังเกตดูต้นไม้ในป่าใหญ่บ้างสิ
ต้นไม้ใหญ่ในป่าที่ยืนต้นใกล้ชิดติดกันนั้น
รากแขนงและรากฝอยของเขาก็จะเกยก่ายกันเสมอ
เพื่อดูดดึงน้ำและอาหารขึ้นไปหล่อเลี้ยงลำต้น
และทำการค้ำจุนลำต้นไว้ไม่ให้ล้มหรือเสียสมดุลง่ายๆ
เพราะพวกเขา
 #เกยก่ายกัน โดยไม่ทะเลาะกัน
ต่างต้นต่างอยู่ร่วมกันในป่านั้นได้ไม่ทำตนเป็นศัตรูกัน
ไม่ทำร้ายซึ่งกันและกันให้วอดวายกันไปข้างหนึ่ง
เพราะต้นไม้ของพระเจ้า
 #เกยก่ายแต่ไม่ก้าวก่าย
การอยู่ร่วมกันในป่าใหญ่จึงไม่มีใครทำตนเป็นศัตรูใคร
โดยไม่มีใครมองว่าใครเป็นศัตรูของตนอีกด้วย
 
การที่มนุษย์ทะเลาะเบาะแว้งกันนั้น
นอกจากจะแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์กันแล้ว
ยังมีปัญหาจากการก้าวก่ายล่วงเกินซึ่งกันและกันด้วย
โดยไม่มีใครยอมใครต่างฝ่ายต่างจะเอาชนะกันให้ได้
เพราะจิตหยาบตกเป็นทาสของกิเลสมารตัวร้ายนี่แหละ
เพื่อนจึงฆ่าเพื่อนได้พี่น้องพ่อแม่ก็ทำร้ายกันเองได้
ด้วยจิตใจที่มืดดำอำมหิตผิดมนุษย์เพราะใช้จิตมาร
มิใช่จิตมนุษย์ซึ่งเป็นจิตประเสริฐที่เปี่ยมล้นด้วยเมตตา
 
ดังนั้น
ที่พวกคุณสอนกันเองว่า
ถ้าละวางอัตตาตัวกูของกูเสียได้
การก้าวล่วงซึ่งกันและกันของพวกคุณจะไม่เกิดนั้น
มันเป็นการสอนให้จัดการที่ปลายเหตุ
ซึ่งไม่มีวันที่จะแก้ไขให้ลุล่วงได้อย่างแน่นอน
เพราะสาเหตุของการก้าวล่วงกันด้วยของกูของมึง
แท้แล้วเพราะ
 “กิเลสตัณหา” เป็นตัวเริ่มต้นต่างหาก
 
กิเลสคือ “ความรู้สึก” ที่มันเกิดขึ้น
แล้วนำพาไปสู่
 “ตัณหา” คือความอยากไม่อยาก
พอถูกขัดอกขัดใจ
 “โทสจริต” คืออารมณ์ขยะก็ตามมา
นี่คือกระบวนการที่จิตหยาบถูกมารเข้าแทรก
จนทำให้พวกคุณเสียผู้เสียคนกันมาตลอด
จะเห็นได้ว่าการยึดติดตัวกูของกูมันมิได้เป็นตัวต้นเหตุ
ความอยากได้ใคร่มีหรือมีอยู่ได้อยู่แต่ไม่อยากเสียมันไป
นี่ต่างหากที่ทำให้พวกคุณต่อสู้กันขัดแย้งกัน
เพราะต่างก็อยากได้อยากมีหรือไม่อยากเสียสิ่งนั้นไป
 
ถ้าจะป้องกันความขัดแย้งในเรื่องผลประโยชน์
ซึ่งเป็นสาเหตุใหญ่ที่สุดที่ทำให้มนุษย์ฆ่ากันตายแล้ว
พวกคุณจะต้องจัดการ
 #นิพพานกิเลส ให้ได้เท่านั้น
เพราะมันเป็นที่มาของคำว่า
 “ของกู-ของมึง”
จนทำให้เกิด “กูต้องเอาชนะมึง” ในภายหลัง
 
พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนเอาไว้แล้วว่า
ทุกสิ่งอย่างล้วนเกิดจากเหตุถ้าเหตุดับทุกสิ่งก็ดับด้วย
เมื่อปัญหาของมนุษย์มีเหตุมาจากกิเลสมารแล้ว
พวกคุณจึงต้องเรียนรู้ที่จะดับการเกิดดับของกิเลสมารให้ได้
หลักการดับการเกิดดับของกิเลสก็คือ
จักต้อง
 “ปิดกั้น” ไว้มิให้มันเกิดขึ้นมาที่ในจิตได้
เหมือนชาวนาที่เห็นวัชพืชหรือหญ้าละมานเมื่อไหร่
ก็จะรีบถอนทิ้งทันทีโดยไม่ปล่อยให้มันเติบโต
เพราะมันจะทำให้ต้นข้าวไม่เติบโตไม่งอกงาม
เนื่องจากถูกวัชพืชแย่งน้ำและอาหารไปจนหมดสิ้น
 
หมายความว่า
จิตหยาบที่รกไปด้วยกิเลสตัณหาที่เป็นดั่งวัชพืช
จะคอยแย่งน้ำแย่งอาหารของต้นข้าวคือจิตวิญญาณ
ที่พระเจ้าทรงเอามาหว่านปลูกไว้ในนาข้าวก็คือโลกนี้
จนยังผลให้ต้นข้าวของชาวนาไม่เติบโตมีแต่เติบตาย
เพราะถูกวัชพืชคือกิเลสตัณหาปกคลุมอยู่เต็มไปหมด
จนแยกไม่ออกว่าไหนต้นข้าวไหนต้นวัชพืชกันแน่
ตัวอย่างเช่นเมื่อทำบุญยังต้องร้องขอสิ่งตอบแทน
เมื่อทำความดียังทำอย่างมีเงื่อนไขหรือมีข้อแม้
 
การร้องขอและการมีเงื่อนไขนี่แหละ
มันคือ
 “วัชพืช” ของต้นข้าวที่ขึ้นอยู่ในนาข้าว
ที่พระเจ้ามิได้ทรงปลูกไว้แต่อย่างใดทั้งสิ้น
พวกผีโสโครกหรือพวกมารต่างหาก
ที่แอบนำเอาเข้ามาปลูกไว้ในนาข้าวของพระเจ้า
ตอนที่พวกคุณเผลอสติหรือที่พระเยซูตรัสว่าหลับอยู่
 
ถ้าพวกคุณคอยถอนหญ้าละมานทิ้งไป
โดยไม่ปล่อยให้มันเจริญเติบโตขึ้นมาได้ง่ายๆ
พวกมันก็จะสูญพันธุ์ไม่เช่นนั้นก็จะเติบโตขึ้นมาไม่ได้
พอโผล่ขึ้นมาให้เห็นเมื่อไหร่ก็จัดการถอนทิ้งไปทันที
นี่คือลักษณะของการ
 “ดับการเกิดดับ” ของกิเลส
ที่เป็นดั่งหญ้าละมานหรือวัชพืชในนาข้าวนั่นเอง
การมีมหาสติหรือธรรมชาติสมาธิของพระเจ้าเท่านั้น
ที่จะช่วยให้คุณสังเกตพบต้นอ่อนของวัชพืช
เพื่อจะถอนทิ้งหรือกำจัดมันได้ทันควันก่อนที่มันจะโต
 
เอเมน สาธุ
ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากองค์จิตจักรวาล
โดย
 #ปัญญาวิสุทธิ์
24/10/2566