16 ตุลาคม 2566

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 16/10/2023


#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
ถ้าคุณเป็น #คนชอบธรรม คุณก็ต้องรู้ให้ได้ว่า
"คนชอบธรรม" นั้นควรชอบที่จะ "ทำ" อะไรอย่างไร
และอะไรเป็นสิ่งที่คนชอบธรรมไม่ควรจะหาทำบ้าง
 
ดังนั้น
เรื่องแรกที่คุณจะต้องรู้ให้ถูกตรงกันเสียก่อนก็คือ
คำว่า #ธรรม หรือ “ธรรมะ” นี้หมายความว่าอะไร
คำตอบมี 2 อย่าง ดังนี้
 
1.ธรรม หมายถึง #ธรรมดา
ซึ่งเป็นความจริงของมนุษย์ในมิติโลกทางกายภาพ
ที่คุณสัมผัสรู้ดูเห็นมันได้ด้วยกลไกอายตนะภายนอก
โดยมองเห็นได้ ได้ยิน ได้กลิ่น รับรู้รสและจับต้องได้
เป็นปรากฏการณ์ที่คุ้นเคยกันมาอย่างยาวนาน
จนทุกคนเห็นสิ่งนั้นเรื่องนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดาไป
 
ตัวอย่างเช่น
1.#ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
2.#อดีตไม่ขยันปัจจุบันไม่ขวนขวาย
#อนาคตไม่ต้องทำนาย
 
3.#เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา
4.#เรือล่มในหนองทองจะไปไหน
5.#ขี้แพ้ ชวนตี
6.#หน้าไหว้ หลังหลอก
7.#ตีวัวกระทบคราด
8.#เห็นช้างขี้อย่าขี้ตามช้าง
9.#ขี่ช้างจับตั๊กแตน
ฯลฯ
 
ตัวอย่างทั้ง 9 ข้อเหล่านี้
เป็นความจริงของมนุษย์ที่เรียกว่าเป็น “ธรรมดา”
เพราะมิใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงกำหนดสร้างเอาไว้ให้
แต่เป็นความจริงที่ได้จากประสบการณ์ของมนุษย์
ที่สัมผัสรู้ดูเห็นจากการกระทำของพวกตนมาได้
ซึ่งเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นมาทั้งในด้านดีและไม่ดี
โบราณจึงหยิบยกเอามาเป็นสุภาษิตหรือคำพังเพย
เพื่อใช้อบรมสั่งสอนลูกหลานให้รู้ดีรู้ชั่วไปตามนั้น
 
ตัวอย่างเช่นเมื่อพวกตนแลเห็นว่า
มนุษย์ทุกคนเกิดมาแล้วต้องมีการเกิดแก่เจ็บตาย
จึงมองว่าเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องที่มนุษย์หนีไม่พ้น
ทุกคนที่เกิดมาแล้วไม่เจ็บป่วยไม่ชราไม่ตายก็ไม่ได้
ว่าแต่ว่าใครจะตายช้าตายเร็วกว่าใครเท่านั้น
จึงสรุปกันเอาเองดื้อๆง่ายๆว่า #อนิจจังไม่เที่ยง
เพราะหลงผิดคิดเข้าใจว่าเป็นความจริงของมนุษย์
ซึ่งการสรุปเอาเองนี้เป็นการสรุปเอาจากภาพที่เห็น
จึงทรงให้สติกับมนุษย์ไว้ว่า #สิ่งที่เห็นมิใช่สิ่งที่เป็น
แปลว่าอย่าด่วนสรุปง่ายๆจากการที่สองตามองเห็น
แท้จริงนั้นเกิดแก่เจ็บตายอาจไม่ใช่เรื่องธรรมดาก็ได้
 
ดังนั้น
สิ่งที่เป็น “ธรรมดา” ของมนุษย์โลก
จึงเป็นสิ่งที่คุณใช้อายตนะภายนอกสัมผัสรู้ดูเห็น
ปรากฏการณ์เหตุการณ์เรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงนั้นได้
ถ้าไม่พิการด้านอายตนะก็จะสัมผัสได้ตรงกันทุกคน
ส่วนใหญ่จึงเป็นความจริงในระดับ #โลกิยะธรรม
อันเป็นที่มาของประโยคเด็ดที่คุ้นเคยกันอยู่คือ...
#สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น
#สิบตาเห็นไม่เท่าเอามือคลำ
 
คนไหนใครก็ตามที่ช่างสังเกตและช่างนึกคิด
จะเป็นคนฉลาดมองโลกเข้าใจโลกด้านกายภาพได้ดี
สามารถหยิบนำเอาสิ่งที่พบเห็นในชีวิตมาเสี้ยมสอน
นำมาเป็นบทเรียนเตือนสติเตือนใจเพื่อนมนุษย์ได้มาก
ความจริงในระดับธรรมดานี้จึงพอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง
สำหรับคนที่พอมีเหตุผลและใช้เหตุผลเป็น
การเข้าถึงความจริงในระดับโลกด้านกายภาพที่ว่านี้
แค่คุณ “ฉลาดมองโลก” และใช้สมองซีกซ้ายเป็น
คุณก็สามารถเข้าถึงสัจธรรมในระดับธรรมดากันได้แล้ว
 
2.ธรรม หมายถึง #ธรรมชาติ
ซึ่งเป็นความจริงที่มนุษย์ต้องรู้ไม่รู้ไม่ได้
โดยความจริงนี้พระเจ้าหรือพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ทรงฝากแฝงไว้กับทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติแวดล้อม
ซึ่งอยู่รายรอบตัวของคุณทั้งที่อยู่ไกลและใกล้ตัว
เป็นความจริงที่ต้องฉลาดใช้อายตนะภายนอกที่มีอยู่
ในการสัมผัสรู้ดูเห็นความจริงนั้นอย่างรอบครอบถี่ถ้วน
แล้วใช้สมองสองซีกในการวิเคราะห์และสังเคราะห์
จึงจะเข้าถึงความจริงในธรรมชาติของพระองค์ได้
 
ขั้นตอนแรกที่เป็นเบื้องต้นนั้น
จิตหยาบของมนุษย์จะต้องรับรู้รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส
รวมทั้งเรื่องราวเหตุการณ์และสถานการณ์ต่างๆให้ได้
โดยรับรู้ข้อมูลทั้งหมดมา “เรียนรู้” ด้วยสภาวะจิตว่าง
 
คำว่าสภาวะจิตว่างหมายถึงว่างจากกิเลสมารและพวก
คำว่า “พวก” คือตัณหาราคะกับอารมณ์ขยะทั้งปวง
ซึ่งคุณต้องกำกับควบคุมจิตไว้ด้วย #มหาสติ
อันเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกว่า #ธรรมชาติสมาธิ
เพื่อทำให้คุณฉลาดรับรู้ฉลาดรับเอาสิ่งนั้นมาเรียนรู้
แทนที่จะรับรู้แล้วรับเอาสิ่งนั้นมาเป็น “เงื่อนไข”
จนเป็นเหตุให้จิตหยาบมีกิเลสมารเข้าแทรกแซงได้
จะทำให้คุณกระทำตอบสนองความต้องการของกิเลส
แทนการเรียนรู้ความจริงของสิ่งนั้นด้วยสภาวะจิตว่าง
ซึ่งกิเลสมารนี้จะทำให้คุณเห็นความจริงบิดเบี้ยวไป
โดยความจริงที่บิดเบี้ยวนั้นจะเรียกว่าสัจธรรมไม่ได้
 
สัจธรรมความจริงในธรรมชาติทั้งหลาย
เป็นสัจธรรมที่พระเจ้าทรงปรารถนาให้พวกคุณเข้าถึง
ด้วยจิตปัญญาของสมองทั้งสองซีกของตนเองที่มีอยู่
ในลักษณะของการเรียนรู้โดยพึ่งพาตนเองเป็นสำคัญ
ตามคำกล่าวที่ว่า #อัตตาหิอัตตโนนาโถ นั่นแหละ
 
เพียงแค่ว่าคุณต้องเป็นคนฉลาดมองโลก
ต้องเป็นคนฉลาดเรียนรู้คือช่างนึกและช่างคิด
ต้องเป็นคนไม่เกียจคร้านไม่เบื่อหน่ายในการเรียนรู้
ที่สำคัญคือต้องมีทักษะในการใช้สมองสองซีกด้วย
 
น่าเสียดายที่ค่านิยมทางสังคมของมนุษย์
#นิยมชมชอบคนเก่งหรือผู้รอบรู้มากกว่าคนฉลาด
พวกคุณนับถือบูชาคนที่มีความรอบรู้ว่าเป็น #พหูสูต
จึงชื่นชมกันจนติดปากว่า “เก่งจริงนะตัวแค่เนี้ย...”
ในสังคมโลกจึงอุดมไปด้วย “คนเก่ง” เป็นส่วนใหญ่
พวกคนเก่งจึงพากันแข่งขันความเก่งกันยกใหญ่
หลายคนเก่งไม่จริงแต่อยากเก่งเลยต้อง “อวดเก่ง”
ก็ปรากฏให้เห็นกันอยู่ทั่วไปในปัจจุบัน
 
แทนที่พวกคุณจะเข้าถึงสัจธรรมกันได้ง่ายๆ
จึงกลายเป็นเรื่องยากแบบหญ้าปากคอกวัวควายไป
เพราะมนุษย์นิยมคนเก่งผู้รอบรู้ที่เป็นพหูสูตเท่านั้น
เนื่องจากสัจธรรมระดับธรรมดาแสวงหาได้ง่ายกว่า
แค่สนใจใฝ่รู้ก็ฟังแล้วคิดตามถามผู้รู้เพื่อจำเอาก็ได้
เนื่องจากคิดเองไม่เป็นเพราะมุ่งเน้นแต่สอนให้จดจำ
ทั้งพ่อแม่ผู้ปกครองลูกจนถึงครูบาอาจารย์ของศิษย์
คิดแต่จะปั้นคนเก่งมากกว่าคนฉลาดกันตลอดมา
คนส่วนใหญ่ในสังคมจึงมีแต่คนเก่งอยู่มากมาย
ขณะที่คนฉลาดทางจิตปัญญาแทบจะหาไม่ได้เลย
 
เพราะเหตุนี้เอง
สัจธรรมที่คนนำทางในทุกศาสนาพากันเสี้ยมสอน
ส่วนมากจึงหยิบเอาความรู้มาจากตำราหรือพระคัมภีร์
ที่พระศาสดามิได้ทรงบันทึกด้วยพระหัตถ์เอาไว้เอง
ซึ่งมีทั้งถูกตรงมีทั้งที่ผิดเพราะถูกพวกมารบิดเบือนไว้
โดยที่ไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่าคำสอนนั้น
ไหนจริงไหนเท็จไหนถูกไหนผิดไหนใช่ไหนไม่ใช่
โดยมีสัจธรรมระดับธรรมดาคือโลกิยะธรรมแทรกบ้าง
ล้วนอ้างว่าพระศาสดาสอนมาเพื่อชวนให้เชื่อตาม
ผู้ที่ใช้จิตปัญญาไม่เป็นและศรัทธาศาสดาจึงเชื่อตาม
 
พระเจ้าหรือองค์จิตจักรวาล
ทรงรักลูกแกะของพระองค์คือพวกคุณเป็นอันมาก
จึงทรงฝากแฝงสัจธรรมที่พวกคุณต้องรู้ต้องปฏิบัติ
ไว้กับสรรพสิ่งในธรรมชาติรายรอบตัวของพวกคุณ
เพื่อให้สัมผัสรู้ดูเห็นได้ง่ายๆและสบายต่อการเรียนรู้
แต่น่าเสียดายที่พวกคุณถูกหลอกให้ปฏิบัติธรรม
ด้วยการปิดตาปิดหูปิดปากปิดตัวหรือปลีกวิเวกเสียนี่
จึงยังผลให้พวกคุณเหมือนเป็นคนอายตนะพิการไป
โดยปิดหน้าต่างแห่งการรับรู้ทั้งห้าบานที่ประทานให้
โอกาสที่จะสร้างกระบวนการเรียนรู้ด้วยจิตปัญญา
ตามที่ทรงออกแบบเอาไว้ให้จึงถูกปิดจนสนิทแน่น
ตั้งแต่เริ่มต้นทำตนเป็นคนชอบทำ ณ บัดนั้นกันแล้ว
 
เมื่อความจริงของพวกคุณมันเป็นแบบนี้
การหาคนฉลาดสักคนจึงหายากยิ่งกว่าค้นหาคนเก่ง
ที่สำคัญคือถ้าพบคนฉลาดได้บ้างก็เป็นพวกฉลาดชั่ว
มากกว่าจะพบคนฉลาดที่เป็นคนดีได้สักคนสองคน
เนื่องจากจะพึ่งพาคนชอบธรรมกันก็ไม่ได้
เพราะถูกมารหลอกให้ปฏิบัติทำด้วยการเข้าป่าเข้าถ้ำ
หลอกให้ปฏิบัติธรรมด้วยการปิดอายตนะทั้งห้าไว้
จึงไม่อาจพบเห็นสัจธรรมจากธรรมชาติรายรอบตนเอง
ที่พระเจ้าทรงแฝงเอาไว้ให้พบเห็นเพื่อเป็นประเด็นคิด
ในรูปแบบของการ “ฉุกคิด” คือสะกิดหรือกระตุ้นจิต
ให้มีประเด็นที่จะนึกเพื่อนำมันไปคิดต่อ
 
ขั้นแรกให้นึกด้วยจิตแล้วคิดวิเคราะห์ต่อ
ด้วย “สติปัญญา” ก็คือใช้ความฉลาดของสมองซีกซ้าย
ที่คุณจะเข้าถึงการใช้มันได้ขณะที่มีสติกำกับอยู่เท่านั้น
ถ้าคุณไม่มีสติกำกับไว้คุณจะกำหนดนึกเพื่อคิดต่อไม่ได้
เพราะสมองคุณมันจะทำงานการคิดได้เมื่อจิตสั่งเท่านั้น
การมีสติหมายถึงระลึกได้หรือนึกได้ว่าคุณจะคิดอะไร
ซึ่งคุณต้องมีสัมปชัญญะควบคู่กันเพื่อกำกับไว้อีกด้วย
เพราะ “สัมปชัญญะ” จะช่วยให้คุณรู้ความจริงได้ว่า
สิ่งที่กำหลังนึกเพื่อจะคิดอยู่นั้นไหนควรไม่ควร
ไหนถูกไหนผิดไหนบุญไหนบาปไหนถูกต้องไม่ถูกต้อง
 
ถ้าจะเปรียบไปแล้ว
สติก็เหมือนกับ “คันเร่ง” ของรถยนต์นั่นแหละ
รถยนต์จะมีแต่คันเร่งให้เหยียบอย่างเดียวไม่ได้
ต้องสร้างเบร็คเอาไว้ให้ชะลอความเร็วหรือหยุดรถด้วย
เบร็คก็คือ #สัมปชัญญะ ที่ต้องใช้คู่กับ #สติ นี่เอง
ซึ่งตัวคุณก็ไม่ต่างจากรถยนต์นั่นแหละ
จะต้องมีสติและสัมปชัญญะตลอดเวลาด้วย
เพื่อกำกับควบคุมวิถีชีวิตสู่มรรคผลสูงสุดที่ถูกทิศ
มิให้เดินผิดทางจนตกลงไปในบ่อย่ำองุ่นหรือบึงไฟ
หรือไม่ให้หลงเดินตามผีโสโครกไปเป็นกรรมกรแสง
เพื่อปีนรั้วเข้าคอกผ่านทางสวรรค์มายาที่ไม่มีอยู่จริง
 
ตัวอย่างของสัจธรรมในธรรมชาติ
ที่ต้องใช้สมองทั้งสองซีกวิเคราะห์และสังเคราะห์
จึงจะเข้าถึงสัจธรรมความจริงของพระเจ้าได้
มีหลักการและขั้นตอนพอสังเขปดังนี้ คือ
 
1.ใช้สติปัญญาวิเคราะห์ข้อมูล
จากความจริงที่เป็นธรรมดาของพวกคุณกันเอง
ด้วยหลักแห่งเหตุและผลให้ได้เสียก่อน
โดยจะต้องเป็นการมองโลกตามความเป็นจริง
ด้วยจิตว่างจากกิเลสมารทั้งปวงอย่างสิ้นเชิงเท่านั้น
 
นี่จึงเป็นที่มาของการที่พวกคุณทุกคน
ต้อง #นิพพานกิเลสให้สิ้น ก่อนที่คุณจะตายในชาตินี้
มิเช่นนั้นแล้วคุณจะเข้าถึงสัจธรรมระดับธรรมดาไม่ได้
เมื่อเข้าถึง “โลกิยะธรรม” ไม่ได้เสียตั้งแต่แรกแล้ว
ความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณก็จะเป็นจริงไปไม่ได้
เพราะคุณต้องเรียนรู้สัจธรรมจากธรรมชาติแวดล้อม
ตามที่เรากล่าวมาข้างต้นแล้วในขั้นต่อไปนั่นเอง
 
ตัวอย่างของสัจธรรมที่มีอยู่ในธรรมชาติ
 
1.เมื่อคุณค้นพบ “โลกิยะธรรม” ความจริง
ด้วยอายตนะภายนอกกับสมองซีกซ้ายจนพบว่า
#น้ำจะตกหรือจะไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำเสมอ
 
คุณก็นำเอาประเด็นที่พบได้นี้
มาคิดต่อด้วย “ปัญญาญาณ” ของสมองซีกขวา
ด้วยการคิดให้เป็นภาพหรือคิดแบบ #จินตนาการ
ก็จะเข้าถึงสัจธรรมที่ทรงฝากแฝงคำสอนเอาไว้ว่า
#ผู้มีมากจะต้องแบ่งปันหรือเสียสละให้ผู้มีน้อยกว่า
นี่ก็เป็นสัจธรรมความจริงในระดับ #โลกุตรธรรม
ที่คุณนำโลกิยะธรรมมาสังเคราะห์เป็นโลกุตรธรรม
เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการดำเนินชีวิตร่วมกัน
 
2.เมื่อคุณค้นพบ “โลกิยะธรรม” ความจริงแล้วว่า
ต้นไม้ที่ในป่านั้นมันจะขึ้นกันอยู่อย่างหนาแน่นเสมอ
ไม่มีป่าไหนในธรรมชาติที่มีต้นไม้แค่ต้นสองต้นขึ้นอยู่
แต่พวกเขาก็สามารถอยู่ร่วมกันเติบโตไปด้วยกันได้
 
คุณก็นำเอาประเด็นที่พบได้นี้
มาคิดต่อด้วย “ปัญญาญาณ” ของสมองซีกขวา
ด้วยการคิดให้เป็นภาพหรือคิดแบบ #จินตนาการ
ก็จะเข้าถึงสัจธรรมที่ทรงฝากแฝงคำสอนเอาไว้ว่า
 
#การอยู่ร่วมกันเป็นสังคมนั้นต้องเติบโตไปด้วยกัน
#จะอยู่คนเดียวตามลำพังโดยเติบโตคนเดียวไม่ได้
#ทุกคนต้องยอมรับยอมปรับและยอมร่วมสังคมกัน
#กิ่งก้านใบรากอาจมีการเกยก่ายกันไปบ้าง
#ทุกต้นก็ไม่นำมาสร้างปมปัญหาว่าก้าวล่วงกัน
#ไม่นำมาเป็นเงื่อนไขทะเลาะกันทำร้ายเข่นฆ่ากัน
 
นี่ก็เป็นการสังเคราะห์โลกิยะธรรมที่พบเห็น
มาเป็นสัจธรรมระดับโลกุตรธรรมที่เป็นแบบปฏิบัติ
โดยมีธรรมชาติของพระเจ้าเป็นคู่มือของพวกคุณ
การทะเลาะกันขัดแย้งกันเรื่องศาสดาและศาสนา
ที่เป็นเรื่องของพวกปัญญาน้อยก็จะไม่เกิดขึ้นเลย
 
เอเมน สาธุ
ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากองค์จิตจักรวาล
โดย #ปัญญาวิสุทธิ์
16/10/2566