23 ตุลาคม 2566

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 23/10/2023

#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
คำว่า #นิพพาน สำหรับชาวโลกที่เป็น #คนสองมิติ
มีความหมายอยู่สองประการเท่านั้น คือ
 
1.นิพพานก่อนตาย
คำว่า “นิพพานก่อนตาย” หมายถึง
#ดับการเกิดดับของกิเลสที่ในจิตหยาบจนหมดสิ้นได้
 
โดย “กิเลส” หมายถึง ความรู้สึก
ชอบหรือไม่ชอบ พอใจหรือไม่พอใจ
โอเคหรือไม่โอเค เอาหรือไม่เอา ถูกใจหรือไม่ถูกใจ
ซึ่ง #ความรู้สึก กับ #การรู้สำนึก นั้นไม่เหมือนกัน
เพราะ “ความรู้สึก” เป็นกิเลสที่เกิดจากการหลงมายา
เมื่ออายตนะภายนอกทั้งห้าสัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งต่างๆ
ที่พระเจ้าทรงสร้างมายาให้เป็นตัวแทนของแก่นแท้
ซึ่งเป็นรูปธรรมทางพลังงานที่เร้นอยู่ในสรรพสิ่งนั้น
เนื่องจากตาเนื้อของพวกคุณไม่อาจแลเห็นพลังงานได้
 
จึงทรงออกแบบให้กายสังขารพวกคุณ
ที่เป็นเปลือกนอกของจิตวิญญาณซึ่งเป็นตัวตนแก่นแท้
มีตาทั้งห้าคือตาหูจมูกลิ้นและกายสัมผัสอยู่รอบตัว
เพื่อใช้ในการสัมผัสตัวแทนของแก่นแท้ของสรรพสิ่ง
ด้วยอายตนะภายนอกทั้งห้าได้ในช่องทางใดทางหนึ่ง
เพื่อบ่งชี้คุณสมบัติของแก่นแท้นั้นๆด้วยคุณลักษณะ
 
ตัวอย่างเช่น
ถ้าชิมผลไม้นั้นด้วยลิ้นแล้วรู้ว่ามีรส “เปรี้ยว”
คุณก็แยกประเภทได้เลยว่ามันคือผลไม้จำพวกส้ม
โดยผลไม้แต่ละชนิดก็จะมีรูปรสกลิ่นสีที่แตกต่างกันไป
เมื่อคุณเรียนรู้คุณลักษณ์และคุณสมบัติของมันได้แล้ว
ก็จะสรุปได้ว่ามันคือผลไม้ชนิดใดอ่อนแก่สุกพอหรือยัง
 
ถ้าเป็นผลึกหยาบๆสีขาวที่มีรสเค็มก็รู้ว่ามันคือเกลือ
ผลึกละเอียดสีเหลืองอ่อนมีรสหวานก็รู้ว่ามันคือน้ำตาล
สองอย่างนี้ต้องดูด้วยตาและชิมรสด้วยลิ้นดมกลิ่นไม่รู้
ซึ่งต้องใช้กลไกอายตนะทั้งห้าสัมผัสรู้ดูเห็นมันทั้งสิ้น
โดยคุณสามารถเลือกใช้อายตนะที่มีอยู่แล้วนั้นได้เอง
จะช่องทางเดียวหรือมากกว่าตามความเหมาะสมก็ได้
 
ดังนั้น
คุณจึงมีหน้าที่ใช้กลไกอายตนะภายนอกทั้งห้าให้ได้
ต้องใช้มันให้เป็นประโยชน์และใช้มันให้ถูกต้องด้วย
เพราะพระเจ้าทรงออกแบบและติดตั้งเอาไว้ให้ที่ศีรษะ
ซึ่งเป็นส่วนเดียวกันกับที่ตั้งของจิตวิญญาณแก่นแท้
ที่เป็นตัวตนแท้จริงของคุณผู้อาสาเข้ามาเกิดเป็นมนุษย์
เพื่อแสดงนัยให้คุณฉุกคิดว่าอายตนะเหล่านี้มันสำคัญยิ่ง
คุณจักต้องเห็นความสำคัญและใช้มันอย่างมีคุณค่า
เพราะกลไกอายตนะภายนอกทั้งห้าเป็นเครื่องมือสำคัญ
ที่คุณต้องใช้เพื่อการเรียนรู้ทุกสรรพสิ่งที่ทรงสร้างไว้
 
เป้าหมายของการเรียนรู้ด้วยอายตนะในเบื้องต้นก็คือ
ต้องรู้ให้ได้ว่าที่ตนสัมผัสรู้ดูเห็นอยู่นั้น “มันเป็นอย่างไร”
ต้องรู้ให้ได้ว่าที่ตนสัมผัสรู้ดูเห็นอยู่นั้น “มันคืออะไร”
ต้องรู้ว่าที่ตนสัมผัสรู้ดูเห็นอยู่นั้น “ใช้มันทำอะไรได้บ้าง”
 
เมื่อเรียนรู้เบื้องต้นแล้ว
จึงนำเอาข้อมูลที่ได้จากการเรียนรู้เบื้องต้นดังกล่าว
มาคิดพิจารณาด้วยสติปัญญาของสมองซีกซ้ายต่อไปว่า
สิ่งนั้นเป็นสมบัติสากลหรือสาธารณะหรือว่ามีเจ้าของอยู่
สิ่งนั้นใช้แล้วเป็นคุณคือเป็นอาหารหรือยาที่บริโภคได้
สิ่งนั้นใช้แล้วเป็นโทษหรือเป็นพิษต่อสุขภาพถึงตายได้
ไม่ว่าสิ่งนั้นจะมีสีสันสวยงามมีกลิ่นหอมจรุงใจแลดูน่ากิน
คุณจะต้องไม่หวั่นไหวใจสั่นไปกับมันเด็ดขาด
 
เพราะความรู้สึกว่าน่ากิน น่าชิม น่าดม น่าจับต้อง
ที่เราเรียกว่า “กิเลส” มันเกิดจากการหลงมายาทั้งสิ้น
พอรู้สึกว่าน่ากินความอยากกินคือตัณหาก็จะเกิดตามมา
พอรู้สึกว่าน่าชิมความอยากชิมคือตัณหาก็จะเกิดตามมา
พอรู้สึกว่าน่าดมความอยากดมคือตัณหาก็จะเกิดตามมา
พอรู้สึกว่าน่าจับความอยากจับคือตัณหาก็จะเกิดตามมา
 
คุณจงสังเกตให้ดีจะพบว่า
เมื่อ “กิเลส” เกิดขึ้นมา “ตัณหา” ก็จะเกิดตามในทันใด
ถ้าคุณปล่อยให้จิตหยาบเกิดกิเลสขึ้นมาได้แล้ว
คุณจะไม่อาจปฏิเสธความอยากไม่อยากที่เป็นตัณหาได้
คำว่า “ปฏิเสธไม่ได้” แปลว่าระงับยับยั้งตัวอยากไม่ได้
เหมือนรถยนต์ที่แล่นมาด้วยความเร็วสูงสุดนั่นแหละ
คุณจะไม่อาจเบรกให้รถหยุดกะทันหันได้อย่างใจแน่นอน
ยิ่งรถยนต์คันนั้นกำลังแล่นอยู่บนถนนสายลื่นอีกต่างหาก
ไม่ว่าใครขับหรือเบรกดีแค่ไหนยังไงก็ไม่มีใครเอาอยู่
 
รถยนต์ที่เสียหลักลื่นไถลพลัดตกถนนหรือว่าพลิกคว่ำ
รถคันนั้นก็จะไม่อาจเดินทางต่อไปได้ฉันใด
ตัวมนุษย์เองก็จะต้องเป็นเฉกเช่นเดียวกันนั่นแหละ
จะเดินทางต่อไปให้สุดทางคือถึงที่หมายที่ต้องการก็ไม่ได้
ปลายทางสุดท้ายของพวกคุณก็คือ #รับรู้เพื่อเรียนรู้ นี่แหละ
 
การรับรู้เพื่อเรียนรู้ดังกล่าวนี้
เป็นการทำงานของจิตหยาบร่วมกันกับอายตนะภายนอก
ที่มีรูปรสกลิ่นเสียงกายสัมผัส เช่น เย็นร้อนอ่อนแข็ง
อันเป็นมายาของสรรพสิ่งที่เป็นคุณลักษณ์ของแก่นแท้
ซึ่งพวกคุณจะต้องนำคุณสมบัตินั้นๆมาทำการเรียนรู้
เพื่อให้รู้ว่า #อะไรเป็นอะไร ตามที่เรากล่าวไว้ข้างต้นนั้น
โดยที่ปลายทางสุดท้ายของการเรียนรู้ของคุณก็คือ
ต้องเรียนรู้ให้ได้ว่าสิ่งนั้น “มันเป็นคุณหรือเป็นโทษ”
ใช้ประโยชน์ได้หรือไม่หรือใช้ได้แค่ไหนอย่างไร เป็นต้น
 
กระบวนการเรียนรู้จะเกิดขึ้นไม่ได้
ถ้าคุณยอมให้กิเลสเข้ามาครอบงำในจิตหยาบ
เพราะกิเลสมาเมื่อไหร่ตัณหาจะตามมาติดๆเมื่อนั้น
ความอยากรู้อยากเห็นหรืออยากเรียนรู้จะถูกปิดกั้น
เพราะจิตหยาบของคุณถูกกิเลสชักใบให้เรือเสียทิศทาง
โดยจิตคุณจะถูกชักพาไปตกหลุมพรางพวกมารแทน
นั่นคือ อยากกิน อยากดม อยากเอา อยากจับ อยากชิม
จิตหยาบที่ตกเป็นทาสความอยากดังกล่าวเหล่านี้
มันจะชิงทำหน้าที่ขับเคลื่อนพฤติกรรมของคุณทันที
มันจะบงการให้สมองคุณทำในสิ่งผิดบาปไปจากที่ควร
คือทำตามกิเลสตัณหาที่ว่านี้นี่แหละ
คุณจะเป็น “คนเสียคน” โดยปฏิบัติทำไม่ถูกต้องทันที
เพราะคุณคนสองมิติให้เข้ากันด้วยจิตตปัญญาไม่ได้
นั่นคือการเสียอาการ “คน” นั่นเอง
 
เมื่อคนสองมิติให้เข้ากันเพื่อเป็นหนึ่งเดียวกัน
ด้วยความรักและสติปัญญาที่มีอยู่ในตนเองไม่ได้
คุณคนนั้นก็จะเป็น #มนุษย์ ไม่ได้ด้วย
การเป็นมนุษย์คือหน้าที่หลักซึ่งตัวคุณจะต้องไปให้ถึง
เหมือนกับรถยนต์คันหนึ่งจะต้องไปให้ถึงปลายทาง
แต่ดันเกิดอุบัติเหตุเสียหลักพลิกคว่ำกลางทางเสียก่อน
รถยนต์คันนั้นจึงแล่นไปไม่ถึงปลายทางนั่นแหละ
 
อาการเสียกระบวนแบบนี้
พระเจ้าทรงเรียกว่า #เกิดการรับรู้แล้วรับเอา
จึงยังผลให้ “รับรู้แล้วเรียนรู้” ไปตามปกติเกิดขึ้นไม่ได้
เพราะจิตหยาบถูกกิเลสมารครอบงำหรือบงการแทน
ถ้าจิตหยาบของมนุษย์ถูกกิเลสมารเข้าครอบงำเมื่อใด
จะเข้าถึงความรักและปัญญาของสมองไม่ได้เมื่อนั้น
การจะเรียนรู้ที่ถูกต้องถ่องแท้ตามทำนองคลองธรรม
เพื่อการมองโลกตามจริงด้วยอายตนะทั้งห้าก็เกิดไม่ได้
เพราะสติปัญญามืดบอดจิตเองก็บอดเพราะรักไม่ได้
 
เมื่อพวกคุณตกเป็นทาสกิเลสมารแล้ว
จึงกลายเป็นคนอับเฉาเบาปัญญาหรือว่า “โง่” นั่นเอง
หนักเข้าก็จะถอยหลังลงไปกลายเป็นคนประเภทโง่ง่าย
ถูกชักจูงให้เชื่อตามทำตามคล้อยตามอย่างว่าง่าย
เพราะจิตหยาบถูกกระตุ้นให้เสพติดกิเลสมารจนเคยตัว
เสพติดกิเลสที่เรียกว่าซึมลึกจนเข้าไปถึงกระดูกเลย
โดยจะนึกคิดพูดหรือทำอะไรจะใช้กิเลสขับเคลื่อนเสมอ
ซึ่งมันจะเป็นไปเองเหมือนระบบอัตโนมัติกันเลยทีเดียว
 
นี่เป็นจุดอ่อนของ “คนสองมิติ”
ที่จะต้องคนตนเองในสองมิติให้เป็นหนึ่งเดียวกันให้ได้
ด้วยการสั่นสะเทือนด้านบวกคือความรักเพื่อให้และสงบ
เพื่อยกระดับแรงสั่นสะเทือนของจิตหยาบให้สูงขึ้น
จนเสมอกันกับจิตวิญญาณแก่นแท้ของคุณให้จงได้
ถ้าทำสำเร็จคุณคนนั้นก็จะถูกเรียกว่าเป็น “มนุษย์” ได้
จุดอ่อนที่ว่านี้ก็คือจิตหยาบจะเขวออกนอกลู่นอกทาง
เพราะหลงมิติของมายาที่เป็นรูปรสกลิ่นเสียงกายสัมผัส
โดยเข้าใจผิดว่ามายาที่สัมผัสเหล่านี้เป็นตัวตนแก่นแท้
จึงทำให้กิเลสมารเข้าแทรกแซงกระบวนการรับรู้ของจิต
ทำให้เกิดการรับรู้แล้วรับเอาแทนการรับรู้เพื่อเรียนรู้
 
พระพุทธองค์ทรงค้นพบว่ามีเพียงแค่วิธีเดียวเท่านั้น
คือ #ต้องนิพพานกิเลส ที่ครอบงำจิตหยาบอยู่ให้สิ้นซาก
มิเช่นนั้นแล้วมนุษย์จะหมุนธรรมจักรในตนเองไม่สำเร็จ
และจะหมุนธรรมจักรร่วมกันกับคนอื่นๆไม่ได้อีกด้วย
เพราะมีกิเลสมารนี่แหละเป็นอุปสรรคที่แฝงเร้นอยู่ในจิตหยาบ
 
คำว่า “นิพพานกิเลส” จึงหมายถึง
ต้องดับการเกิดดับของกิเลสหรือหยุดเกิดความรู้สึกเสียให้ได้
ทุกครั้งที่สัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งใดผ่านมาจากช่องทางไหนก็ตาม
เมื่อ #เกิดผัสสะแล้ว ให้รับรู้มันตามที่รับผัสสะมาได้เท่านั้น
รับรู้แล้วจงอย่านำเอาผัสสะนั้นมา #ปรุงแต่ง จนเกิดการรู้สึก
จิตที่รับผัสสะนั้นมีหน้าที่รับเอาข้อมูลหรือสาระนั้นมาเรียนรู้
มิใช่รับเอาข้อมูลของมายานั้นๆมาปรุงแต่งเพราะมิใช่หน้าที่
ถ้าคุณปล่อยให้เกิดความรู้สึกที่เป็นกิเลสก่อตัวขึ้นมาในจิต
มันก็จะพาคุณหมุนไปหาตัณหาคือความอยากหรือไม่อยาก
จากอยากไม่อยากมันก็จะลื่นไถลไปสู่อารมณ์ขยะต่างๆอีก
จนเกิดเป็นโทสจริต โลภะจริต และโมหะจริต ตามลำดับ
 
ดังนั้น
ภารกิจหลักของจิตหยาบในการทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณ
คือการเร่งดับการเกิดดับของกิเลสมารกับบริวารให้สิ้นเชื้อ
เพราะมันเป็น “ขยะ” หรือสนิมของจิตหยาบที่ต้องเคาะทิ้ง
ซึ่งสนิมพวกนี้พระเยซูทรงเปรียบเหมือนดั่ง #หญ้าละมาน
ที่ถูกลักนำมาหว่านไว้ในนาข้าวคือในจิตหยาบของพวกคุณ
ในตอนที่คุณคือชาวนากำลังหลับหรือตอนที่คุณเผลอสติ
 
ในขณะที่จิตหยาบกำลังยกระดับจากมิติเดิมสู่มิติที่สูงกว่า
เหมือนต้นข้าวในนาที่กำลังเจริญเติบโตอยู่ทุกวันคืนนั้น
พวกวัชพืชหรือหญ้าละมานก็จะเติบโตขึ้นมาที่ในจิตด้วย
ถ้าจะถอนทิ้งหรือกำจัดวัชพืชออกก็ต้องรอให้เติบโตก่อน
โดยต้องให้รู้เช่นเห็นชาติเสียก่อนว่าไหนคือกิเลสตัณหา
แปลว่าคุณคือชาวนาเจ้าของที่นาอันหมายถึงจิตหยาบนั้น
ต้องเข้าใจความหมายตามที่พระเยซูกล่าวความจริงนี้ก่อน
เมื่อเรียนรู้จนแยกแยะโดยสำนึกในถูกผิดดีชั่วได้แล้ว
จึงจะถอนหญ้าละมานที่เป็นกิเลสมารกับบริวารทิ้งไปได้
ซึ่งเรากำลังอธิบายเรื่องวิธีการถอนหญ้าละมานคือกิเลส
ออกไปจากนาข้าวคือจิตหยาบของคุณอยู่นี่เอง
 
พวกมารที่เป็นจิตวิญญาณผีโสโครกของพวกคนยักษ์
ลูกผสมระหว่างมนุษย์กับสิ่งมีชีวิตที่บินมาจากดาวอื่น
ที่เรียกตนเองว่า Angel ซึ่งคนฝรั่งแปลว่า “ผู้มาจากฟ้า”
ซึ่งจมน้ำตายหมดในการชำระโลกของพระเจ้ายุคโนอาห์
ทำให้ชาวโลกที่เสพติดกิเลสจนฝังลึกลงในสัญญาขันธ์
จนยากที่จะทำลายทิ้งหรือถอนออกได้คล้ายคนเลิกยา
ตอนแรกเสพติดก็ติดง่ายแต่ตอนจะเลิกเสพกลับยากกว่า
เป็นผู้ทำให้มนุษย์สับสนกับคำว่า “นิพพาน” ของชาวพุทธ
โดยหลอกให้คนชอบธรรมหลงทางนิพพานไปหมดสิ้น
 
พวกจิตวิญญาณผีโสโครกยืมมือคนนำทางตาบอด
บิดเบือนคำว่า “นิพพาน” ไปเป็นว่าตายแล้วไม่มาเกิดอีก
ด้วยการวางแผนลวงว่าการเกิดแก่เจ็บตายนั้นเป็นทุกข์ยิ่ง
มนุษย์จึงไม่ควรมาเกิดไม่ควรมีสังสารวัฏไม่ควรมีภพชาติ
พวกคุณจึงสมควรตายไปเพื่อจะได้พ้นทุกข์กันเสียที
แล้วก็นำเสนอว่าถ้าตายไปเกิดบนสวรรค์มายาน่าจะดีกว่า
บนนั้นมีวิมานเมืองแก้วอยู่สุขสบายไม่ต้องทำอะไรเลย
กิจวัตรคือนั่งกรรมฐานเป็นอาชีพงานการไม่ต้องทำ
เวลาหิวอยากจะกินอะไรสิ่งนั้นก็ปรากฏขึ้นมาให้กิน
ซึ่งจะอิ่มได้โดยไม่ต้องกลืนกินไม่ต้องเคี้ยวเหมือนมนุษย์
 
มันคือการชักชวนคุณขึ้นไปเสพสุขบนแดนสวรรค์มายา
อันเป็นดินแดนที่พระบิดาแห่งจิตวิญญาณมิได้ทรงสร้าง
ซึ่งเป็นดินแดนที่มันไม่มีอยู่จริงในเอกภพอันไพศาลนี้เลย
พระพุทธองค์ทรงเปรียบการนิพพานเทียมเท็จแบบนี้ว่า
เป็นการ #นิพพานแบบตาลยอดด้วน
ตอนต่อไปเราจะกล่าวถึงนิพพานในความหมายที่สอง
 
เอเมน สาธุ
ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากองค์จิตจักรวาล
โดย #ปัญญาวิสุทธิ์
23/10/2566