11 ตุลาคม 2566

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 11/10/2023


#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
เมื่อพวกคุณรู้ความจริงแล้วว่า
เคล็ดลับในการใช้อายตนะทั้งห้าหมุนธรรมจักร
ซึ่งมีอยู่ด้วยกันทั้งหมดรวม 5 ประการกันแล้ว
ยังต้องรู้เพิ่มเติมอีกว่าคุณต้อง #หมั่นฝึกฝน ด้วย
 
จงอย่าเคยตัวเคยชินกับการใช้งานแบบอัตโนมัติ
โดยทำตนเป็นคนจำพวก #มีตาไว้ดูมีหูเอาไว้ฟัง
คือเป็นพวกที่มีตาเพื่อการแลเห็นมีหูเพื่อให้ได้ยิน
ค่อนไปในทางรับรู้ได้อย่างไม่เป็นสาระประโยชน์
เพราะขาดหลักการและวัตถุประสงค์ในการใช้งาน
 
นอกจากนั้น
ปากกับลิ้นที่คุณมีไว้เพื่อกินและพูดจาก็เช่นกัน
ส่วนมากจะเป็น #มีปากเพื่อพูดได้มีใช้เพื่อกินเป็น
บางวันจึงสักแต่พูดเป็นต่อยหอยบางวันก็พูดน้อย
โดยที่พูดมากมักจะเป็นพวกปากพล่อยปากเหม็น
คือเป็นพวกที่นึกแล้วพูดโดยไม่คิดก่อนที่จะพูด
กับพวกที่ไม่ค่อยพูดเหมือนปากอมอะไรอยู่ตลอด
เพราะเกรงว่าถ้าพูดแล้วที่อมอยู่มันจะร่วงหล่นไป
หรือพูดแล้วกลัวพิกุลทองจะร่วงตามที่โบราณว่าไว้
 
ดังนั้น
พวกคุณจึงต้องเรียนรู้และฝึกฝนการใช้อายตนะ
ที่เป็นกลไกสัมผัสสิ่งเร้าภายนอกทั้งห้าช่องทาง
และเป็นทั้ง “อวัยวะ” เพื่อการแสดงออกต่อผู้อื่นด้วย
ให้เกิดความรอบรู้เกิดความเข้าใจและชำนาญใช้ด้วย
เพื่อให้อายตนะทั้งห้าที่มันยังดีๆอยู่คือไม่พิการอะไร
ให้ใช้การได้ใช้งานเป็นและใช้ได้อย่างมีประสิทธิผล
แทนที่จะทำให้ของดีๆที่เกิดมาแล้วไม่พิการอะไร
แต่กลับใช้มันไม่เป็นหรือใช้มันอย่างไม่ถูกต้อง
ซึ่งไม่ต่างจากอายตนะเหล่านี้มันพิการนั่นแหละ
โดยที่มันพิการไปก็เพราะคุณเป็นคนทำใช่ใครอื่น
 
หลักการใช้กลไกอายตนะให้มีประสิทธิผลมีดังนี้
1.ฝึกตาให้ไวต่อสิ่งที่เป็นพิรุธ
2.ฝึกหูให้ไวต่อสิ่งที่ได้ยิน
3.ฝึกตนเองให้เป็นคนฉลาดรับรู้ด้วย #มหาสติ
ด้วยการปฏิบัติตนดังต่อไปนี้
 
#ต้องเป็นผู้รู้สติ คือ
1.รู้ว่าขณะนี้ปัจจุบันนี้กำลังทำอะไรอยู่
2.รู้ว่าเมื่อสักครู่หรืออดีตนั้นตนเพิ่งจะทำอะไรมา
3.รู้ว่าอนาคตข้างหน้าตนจะต้องพบเจอกับสิ่งใด
 
#ต้องเป็นผู้มีสติ คือ
1.ฉลาดรับรู้ด้วยอายตนะโดยเน้นสาระเป็นสำคัญ
2.ฉลาดรับเอาแต่สาระในสิ่งที่รับรู้นั้นเพื่อเรียนรู้มัน
3.ฉลาดวางเฉยหรือไม่รับเอาสิ่งที่ไร้สาระนั้นไว้
 
#ต้องเป็นผู้ใช้สติเป็น คือ
1.ต้องฉลาดนึกด้วยการฝึกกำหนดจิต
เพื่อสั่งการสมองทั้งสองซีกช่วยคิดหาคำตอบให้
โดยจิตจะต้องนึกตั้งคำถามตนเองให้เป็นว่า
ต้องการจะรู้เรื่องอะไรต้องการคำตอบในเรื่องใด
ต้องฝึกถามตนเองให้ตรงประเด็นที่คุณอยากรู้ด้วย
 
ไม่ใช่เก่งแต่ถามคนรอบข้างเมื่ออยากรู้ได้ทันที
แต่กลับตั้งคำถามตนเองเพื่อการคิดรู้เองไม่เป็น
ทั้งๆที่คำถามที่คุณเที่ยวเอาไปถามคนอื่นอยู่นั้น
เป็นคำถามเดียวกันกับที่ควรนึกถามตนเองแท้ๆ
 
2.ต้องฉลาดคิดให้รอบครอบก่อนพูดหรือก่อนทำ
โดยพิจารณาว่าควรจะพูดหรือทำแบบไหนอย่างไร
จึงจะไม่สร้างเงื่อนไขด้านลบให้กระทบจิตของผู้อื่น
จนทำให้เขาเกิดอาการเสียสมดุลทางจิตขึ้นมาได้
หมายถึงการชวนให้เขามาร่วมหมุนกรรมจักรนั่นเอง
นอกจากจะช่วยคุณและเขายกระดับจิตหยาบสูงขึ้น
ด้วยพลังงานร่วมทางจิตด้านบวก คือ βₓ ไม่ได้แล้ว
คุณกับคนนั้นจะเกิดการเกี่ยวเวรเกี่ยวกรรมกันอีกด้วย
 
ดังนั้น
เพื่อเป็นการป้องกันความล้มเหลวในเรื่องนี้
เราจึงมีวิธีป้องกันการก่อกรรมเพื่อมิให้เกี่ยวกรรม
ด้วยการหมุนธรรมจักรแทนกรรมจักรเอาไว้ก่อน
เรามีกฎแห่ง 6 ถูก ของ Parinya ให้คิดพิจารณา
ก่อนจะพูดหรือก่อนจะกระทำสำแดงออกไปดังนี้
 
ถูกที่ 1. คือ ถูกคนหรือไม่?
ถูกที่ 2. คือ ถูกวิธีหรือไม่?
ถูกที่ 3. คือ ถูกสถานที่หรือไม่?
ถูกที่ 4. คือ ถูกเวลาหรือไม่?
ถูกที่ 5. คือ ถูกต้องแล้วหรือไม่?
ถูกที่ 6. คือ ถูกใจทั้งเขาและเราหรือไม่?
 
จงจำเอาไว้ว่า “กฎแห่ง 6 ถูก” นี้
คุณต้องมั่นใจว่ามันถูกครบทั้ง 6 ถูกแล้วเท่านั้น
คุณจึงจะสามารถแสดงออกหรือกระทำตามนั้นได้
ถ้าพบว่ามันผิดข้อใดแม้เพียงข้อเดียว
จงอย่าทำอย่าพูดอย่าแสดงออกโดยเด็ดขาด
 
3.ฝึกทักษะการนึกก่อนคิดให้เป็นธรรมชาติไว้ให้ได้
เพราะคุณต้องนึกก่อนคิดเป็นลำดับแรกก่อนนี่แหละ
ทำให้การคิดเพื่อเรียนรู้ของคุณนั้นมีหลายขั้นตอน
เมื่อมีหลายขั้นตอนการคิดจึงเป็น #กระบวนการ
เมื่อการคิดเป็นกระบวนการจึงต้องใช้เวลาหาคำตอบ
เวลาที่ใช้ไปจึงเป็นตัวชี้วัดได้ว่าคุณนึกเอาหรือคิดได้
 
ถ้าเจอปัญหาหรือมีคำถามปุ๊บคุณตอบได้ทันควัน
แสดงว่าคำตอบนั้นมาจากการนึกด้วยจิตของคุณล้วนๆ
แต่ถ้ากว่าจะได้คำตอบมาคุณต้องใช้เวลาอยู่พอสมควร
นั่นแสดงว่าคำตอบนั้นผ่านกระบวนการคิดมาก่อนแล้ว
ยกเว้นกรณีที่คุณนึกเอาเดาเอาแล้วเกิดลังเลไม่แน่ใจ
ซึ่งคุณอาจใช้เวลานานผิดปกติได้ก่อนจะสำแดงออก
 
4.ฝึกทักษะการคิดก่อนพูดและคิดก่อนทำ
โดยไม่ทำลายความสงบสมดุลของคนรอบข้าง
โดยเน้นการสร้างประโยชน์สุขของตนกับคนอื่นไว้
หมายถึงต้องเป็นเงื่อนไขด้านบวกของผู้อื่นเท่านั้น
ถ้าคุณช่วยสร้างเงื่อนไขด้านบวกให้ใครๆเขาไม่ได้
ก็จงอย่าทำตัวเป็นเงื่อนไขใดๆให้พวกเขาจะดีกว่า
 
5.ฝึกทักษะการแสดงปณิธานแห่งนิพพาน
ด้วยการปฏิบัติตนดังต่อไปนี้
 
#รักคนที่ทำตัวไม่น่ารักให้ได้ทุกคน
#ให้อภัยแก่ทุกคนที่ทำตัวไม่น่าจะให้อภัยให้เป็น
#ทำบุญสุนทานได้โดยไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน
#ทำความดีได้อย่างไม่มีเงื่อนไขและไร้ข้อยกเว้น
 
6.ฝึกทักษะการสั่นสะเทือนทางจิตตปัญญา
เพื่อเข้าถึง #ความรักบริสุทธิ์ คือรักเพื่อให้ที่แท้จริง
ฝึกทักษะการเข้าถึงความฉลาดทางจิตคือฉลาดนึก
และฝึกทักษะการใช้สมองทั้งสองซีกให้ชำนาญไว้
 
วิธีฝึกคิดวิเคราะห์ด้วยสติปัญญาของสมองซีกซ้าย
คือคิดอย่างมีหลักการและมีเหตุผลสนับสนุนเสมอ
แต่ให้ระวังเส้นแบ่งระหว่าง #เหตุผลกับข้ออ้าง ด้วย
เพราะว่าเส้นแบ่งของสองสิ่งนี้มันบางนิดเดียวเอง
เนื่องจาก “เหตุผล” คือสิ่งที่เป็นสากลคนทั่วไปรับได้
ส่วน “ข้ออ้าง” ไม่เป็นสากลมีแต่ตนรับได้แค่คนเดียว
 
พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
การสั่นสะเทือนทางจิตตปัญญาทั้ง 6 อย่างนี้
คือการหมุนธรรมจักรในตนเองที่คุณต้องฝึกต้องทำ
เพราะเป็นหน้าที่ทางจิตวิญญาณของตัวคุณเอง
ที่ต้องปฏิบัติกับตนเองและปฏิบัติต่อทุกคนในโลกนี้
โดยไม่ต้องหา “ทำ” อย่างอื่นอีกเลย
โลกกำลังถูกชำระครั้งใหญ่และรุนแรงมากขึ้นแล้ว
หันหน้ามาทางพระบิดาผ่านมาทางเราเร็วๆเถอะ
 
เอเมน สาธุ
ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากองค์จิตจักรวาล
โดย #ปัญญาวิสุทธิ์
11/10/2566