13 ตุลาคม 2566

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 13/10/2023

#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
พระเจ้าทรงกำหนดสร้าง #อายตนะภายนอกทั้ง 5
ให้แก่พี่น้องชาวดาวโลกทั้งชายหญิงไว้ตั้งแต่เกิด
เพื่อใช้เป็นขั้นตอนแรกในกระบวนการ
 “ขันธ์ห้า”
อันเป็นการกระตุ้นหรือปลุกเร้าให้จิตหยาบทำงาน
โดยสั่นสะเทือนจิตสามนึกคือนึกออกนึกเอานึกเอง
เพื่อทำให้เกิดการสั่นสะเทือนของ
 #จิตใต้สามนึก
ในมิติแห่งจิตวิญญาณซึ่งเป็นมิติคู่ขนานกันด้วย
 
อายตนะภายนอกทั้งห้าประกอบด้วย
ตา หู จมูก ปากหรือลิ้น และกายสัมผัสเหล่านี้
เป็นประตูมิติของเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
ที่พระองค์ทรงสร้างไว้เพื่อเปิดรับสิ่งเร้าหรือเงื่อนไข
จำพวกมายาที่เป็นตัวตนรูปลักษณ์ รสชาติ กลิ่น เสียง
รวมทั้งเย็น ร้อน อ่อน แข็ง เป็นต้น
 
กลไกอวัยประสาทสัมผัสทั้งห้าที่ว่านี้
เมื่อ
 #สัมผัส สิ่งเร้าทั้งห้าจำพวกดังกล่าวแล้ว
จะส่งสัญญาณการสัมผัสนั้นตรงเข้าไปยังตาที่สาม
โดยจะมีศูนย์รวมแห่งการ
 #รับรู้ อยู่ที่ต่อมไพเนียล
ตรงกลางหน้าผากหว่างคิ้วเหนือขึ้นไปเล็กน้อย
ตาเห็นอะไร หูได้ยินเสียงอะไร จมูกได้กลิ่นอะไร
ลิ้นรับรสอะไร และผิวกายสัมผัสเข้ากับสิ่งใด
พวกมันจะไม่อาจบอกตัวคุณได้ว่าอะไรเป็นอะไร
กลไกประสาทสัมผัสทั้งห้ามีหน้าที่แค่ส่งข้อมูลนั้น
ให้ตาที่สามได้
 “รับรู้” เพื่อจะบอกว่าอะไรเป็นอะไร
 
ดังนั้น
กระบวนการทางจิตหยาบหรือจิตมนุษย์
จะเริ่มต้นจากการสั่นสะเทือนร่วมกันระหว่าง
อายตนะภายนอกทั้งห้ากับจิตหยาบที่อยู่ข้างใน
โดยจิตหยาบจะมี
 “ตัวรู้” ที่บันทึกอยู่ในสัญญาขันธ์
คอยทำหน้าที่ให้คำตอบว่าสิ่งนั้นคืออะไรเป็นอะไร
ถ้าเป็นความรู้ใหม่ที่ตนยังไม่เคยรู้ยังไม่เคยมีข้อมูล
จิตหยาบโดยสัญญาขันธ์ก็จะบันทึกข้อมูลนั้นเก็บไว้
ซึ่งสัญญาขันธ์บันทึกได้ทั้งอารมณ์รู้สึกและเรื่องราว
ตามคำกล่าวที่ว่า
 “จำได้หมายรู้” นั่นเอง
 
หลังจาก #จิตรับรู้ ข้อมูลที่อายตนะภายนอกทั้งห้า
ส่งเข้าไปให้เรียบร้อยแล้วทั้งรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส
ตามคุณสมบัติในการทำงานของแต่ละอย่างแล้ว
หน้าที่หลักของจิตหยาบก็คือ
 #รับรู้เพื่อเรียนรู้
โดยเรียนรู้ว่าสิ่งที่กำลังรับรู้อยู่นั้น “อะไรเป็นอะไร”
 
คำว่า #อะไรเป็นอะไร หมายถึง
คุณจะต้องเรียนรู้ให้ได้ว่า...
1.สิ่งที่กำลังสัมผัสอยู่นั้นมันคืออะไร
2.สิ่งที่กำลังสัมผัสอยู่นั้นมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง
3.สิ่งที่กำลังสัมผัสอยู่นั้นเป็นคุณหรือโทษอย่างไร
4.สิ่งที่กำลังสัมผัสอยู่นั้นทำประโยชน์อะไรได้บ้าง
5.สิ่งที่กำลังสัมผัสอยู่นั้นมีเจ้าของอยู่หรือไม่
 
ทั้ง 5 ประการที่ว่านี้
คือ การรับรู้เพื่อเรียนรู้ว่า
 “อะไรเป็นอะไร”
เมื่อได้คำตอบคือรับรู้ข้อมูลที่เป็นจริงเหล่านี้แล้ว
คุณจึงค่อยปฏิบัติการในขั้นตอนต่อไปว่า
ไหนควรรับรู้แล้วรับเอามาเรียนรู้ต่อให้ลึกซึ้งขึ้น
ไหนควรรับรู้แล้วพอแค่นั้นหรือละวางไว้แค่นั้น
ไหนควรปฏิเสธด้วยการวางเฉยคือไม่รับรู้ไม่รับเอา
 
คำว่า “ไม่รับรู้ไม่รับเอา” หมายถึงพฤติกรรมต่อไปนี้
1.เห็นสักแต่ว่าเห็น คือ ไม่สนใจที่จะมอง
2.ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน คือ ไม่สนใจที่จะฟัง
3.ได้กลิ่นสักแต่ว่าได้กลิ่น คือ ไม่สนใจในกลิ่นนั้น
4.ได้รู้รสชาติสักแต่ว่าได้รู้ คือ ไม่สนใจในรสชาตินั้น
5.ได้สัมผัสสักแต่ว่าสัมผัส คือ ไม่สนใจในสัมผัสนั้น
 
ทั้ง 5 ประการนี้
คือปฏิบัติการทางจิตแบบ
 #การรับรู้ด้วยจิตว่าง
อันเป็นการรับรู้สิ่งเร้าที่เป็นเงื่อนไขภายนอกนั้น
ด้วยสภาวะจิตที่สุขสงบสมดุลอยู่ในตนเอง
โดยจิตหยาบว่างไปจากอารมณ์รู้สึกนึกคิดทั้งปวง
ซึ่งป้องกันมิให้จิต
 #ปรุงแต่ง ข้อมูลที่รับรู้ได้นั้น
เกิดเป็นกิเลสแล้วตามด้วยตัณหาและอารมณ์ขยะ
ที่จะทำให้คุณตกเป็นทาสของจิตปัจจุบันนั้นแทน
จนยังผลให้คุณมองโลกผิดไปจากความเป็นจริง
เพราะจิตหยาบสวมแว่นที่ไม่ใสไปเสียก่อนแล้ว
คุณจึงควรรับรู้แล้วไม่รับเอามาปรุงแต่งนั่นแหละ
 
ขั้นตอนการรับรู้แล้วรับเอามาปรุงแต่งนี้
กระบวนการทางจิตในขันธ์ห้าเรียกว่า
 #เวทนาขันธ์
ซึ่งเป็นขั้นตอนที่เกิดอารมณ์รู้สึกขึ้นมาที่ในจิต
เพราะจิตหยาบไปหลงใหลในมายารูปลักษณ์
ที่เป็นรูปรสกลิ่นเสียงเย็นร้อนอ่อนแข็งของสรรพสิ่ง
ที่จิตหยาบรับรู้ข้อมูลนั้นมาจากอายตนะภายนอก
เพราะคิดเข้าใจและเชื่อว่าสิ่งที่ตนสัมผัสรู้ดูเห็นอยู่นั้น
มันคือ
 “ตัวตนแก่นแท้” ของสรรพสิ่งนั้นจริงๆ
ทั้งๆที่ตัวตนที่แท้จริงนั้นมันคือพลังงานที่เร้นข้างใน
คุณไม่อาจแลเห็นแก่นแท้ที่เป็นพลังงานนั้นได้
พระเจ้าจึงทรงช่วยคุณโดยกำหนดให้เห็นมายาแทน
 
เพื่อสอนให้คุณรู้ว่า
ถ้าสิ่งใดมีเงาแสดงว่าสิ่งนั้นมีตัวตนอยู่จริง
ถ้าสิ่งใดไม่มีตัวตนที่แท้จริงสิ่งนั้นย่อมไร้เงา
 
ความหวานของน้ำตาลจึงเป็นแค่ “เงา” ของน้ำตาล
เพราะว่าตัวตนแท้จริงของน้ำตาลเป็นพลังงาน
ความหวานจึงเป็นคุณสมบัติของน้ำตาลเท่านั้น
ถ้าคุณชอบรสหวานความหวานก็จะมีตัวตนเกิดขึ้น
 
ความเค็มของเกลือจึงเป็นแค่ “เงา” ของเกลือ
เพราะว่าตัวตนแท้จริงของเกลือเป็นแค่พลังงาน
ความเค็มจึงเป็นคุณสมบัติของเกลือเท่านั้น
ถ้าคุณชอบรสเค็มความเค็มก็จะมีตัวตนเกิดขึ้น
 
ที่เรากล่าวมาทั้งสองขั้นตอนนี้
เป็นขั้นตอนที่จิตหยาบล้วนล้มเหลวใน
 #ธรรมจักร
เพราะปล่อยให้จิตหยาบเกิดกิเลสมารที่เป็นขยะขึ้น
ยังผลให้กระบวนการขันธ์ห้าเพื่อธรรมจักรล้มเหลว
อันเกิดจาก
 “กิเลสมาร” กับบริวารทั้งหลายเหล่านั้น
ทำตัวเป็นอุปสรรคขัดขวางมิให้จิตหยาบสั่นสะเทือน
ย่านความถี่ที่สูงกว่าได้คือ
 #ความรักเพื่อให้และสงบ
 
ดังนั้น
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณหรือพระเจ้า
จึงทรงมีเมตตาต่อพวกคุณให้เรารีบกลับมาบอกกล่าว
เล่าความจริงที่เป็น
 #อนุตรธรรม เหล่านี้ให้ทราบ
เพื่อเป็นมนุษย์ให้เป็นโดยหมุนธรรมจักรร่วมกันให้ได้
โดยต้องพยายาม
 “นิพพานกิเลส” ให้หมดสิ้นเสียก่อน
เพราะถ้าจิตหยาบยังมีกิเลสติดเป็นคุณสมบัติอยู่แล้ว
คุณคนนั้นจะไม่อาจหมุนธรรมจักรในตนเองให้สำเร็จได้
แถมยังจะทำตัวเป็นเงื่อนไขด้านลบให้คนอื่นเขาไปทั่ว
โดยชวนคนอื่นให้
 “หมุนกรรมจักร” จนเป็นสันดานเลย
 
ถ้าคุณใช้อายตนะทั้งห้ารับรู้ทุกสิ่งเพื่อเรียนรู้ได้
โดยไม่รับเอามันมาปรุงแต่งจนเกิดกิเลสและบริวารแล้ว
คุณจะมองโลกตามความเป็นจริงได้ตลอดเวลา
เพราะจิตคุณว่างจากการมีกิเลสตัณหาได้อย่างสิ้นเชิง
จิตคุณจึงไม่หลอกตัวคุณเองว่ารูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสนั้น
มันเป็นอัตตาตัวตนจนคุณไปหลงยึดติดพวกมันเข้าให้
ตัวที่หลอกลวงให้คุณหลงมายาคิดว่าจริงก็คือกิเลสมาร
ซึ่งเป็นแผนการอันแยบยลของมอดที่อยากให้คุณโง่ไว้
กับแผนการอันแยบยลของ
 “มาร” ที่อยากให้คุณงมงาย
โดยใช้กิเลสตัณหาอารมณ์ขยะในจิตคุณเป็นเครื่องมือ
ด้วยวิธีการจูงใจให้เกิดความชอบไม่ชอบอยากไม่อยาก
ในสิ่งที่พวกเขานำมาหลอกล่อนำมาจูงใจพวกคุณนั้น
แม้กระทั่งการทำบุญสุนทานก็ยังต้องมีสิ่งจูงใจจึงจะทำ
 
ตัวอย่างเช่นการมีคำถามที่ว่า
ระหว่างทำบุญกับพระกับทำบุญกับเณรนั้น
ทำกับใครจะได้บุญกุศลมากน้อยกว่ากัน
บริจาคปัจจัยสร้างโบสถ์กับเจดีย์สร้างไหนได้บุญกว่า
ฯลฯ
 
แต่กลับไม่มีคำถามตนเองกันบ้างเลยว่า
ถ้าจะนิพพานกิเลสต้องทำบุญด้วยอะไรแบบไหน
ถ้าจิตวิญญาณจะหลุดพ้นกลับบ้านแดนสุญตาได้
จะต้องปฏิบัติธรรมแบบไหนอย่างไรกันบ้าง
 
การถือศีลฟังธรรมสวดมนต์อธิษฐานภาวนาอยู่ทุกวัน
เป็นภารกิจทางจิตวิญญาณที่อาสามาเกิดกันหรือเปล่า
ปฏิบัติแล้วช่วยค้ำจุนสมดุลโลกให้มั่นคงได้หรือเปล่า
ปฏิบัติแล้วช่วยจิตวิญญาณตนเองหลุดพ้นได้หรือไม่
 
ทันทีที่คุณรับรู้แล้วรับเอาจนเกิดกิเลสขึ้นในจิตหยาบ
ขั้นตอนที่เกิดกิเลสก็คือ
 #ความรู้สึก ชอบไม่ชอบ
ขั้นตอนนี้ในกระบวนการขันธ์ห้าเรียกว่า
 #เวทนาขันธ์
ถ้าคุณสามารถแทรกแซงไม่ให้เกิดความรู้สึกใดๆได้
ตัวตัณหาที่จิตจะสร้างมันขึ้นมาเพื่อทำให้สิ่งนั้นเรื่องนั้น
มีตัวตนพร้อมที่จะให้
 “ยึดติด” ก็จะไม่มีทางเกิดขึ้นได้
 
คุณต้องจำเอาไว้ว่า
อัตตาตัวตนที่จิตหยาบคุณเกิดการยึดติดมันนั้น
แท้จริงแล้วไม่ใช่รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสกายที่เป็นมายา
แต่เป็น
 “อัตตาตัวตน” ที่มันเกิดขึ้นในจิตหยาบคุณเอง
เพราะถูกจิตหยาบปรุงแต่งมันขึ้นมาเอง
โดยขั้นตอนของการปรุงแต่งที่ว่านี้ในขันธ์ห้า
จะเรียกว่า
 #สังขารขันธ์ นั่นเองคุณ
 
ด้วยเหตุนี้เอง
ที่พระศาสดาเรียกกายหยาบของคุณว่า
 #กายสังขาร
เพราะเป็นร่างกายในมิติโลกมายาทางด้านกายภาพ
ซึ่งถูกจิตหยาบโดยจิตวิญญาณของใครของมัน
ทำการ
 “ปรุงแต่ง” มันขึ้นมาตามรหัสกรรมของตนนั้น
คำว่า
 “รหัสกรรม” นี้เราหมายถึงพันธุกรรมโดยยีนส์
ที่พ่อและแม่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมมาให้แก่คุณ
กับหมายถึงรหัสบุรพกรรมแม่เหล็กที่จิตหยาบก่อไว้
ซึ่งจิตวิญญาณคือตัวคุณเองถือมาเกิดในชาตินี้ด้วย
(เรื่องนี้ยังมีตอนต่อไป)
 
เอเมน สาธุ
 
ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากองค์จิตจักรวาล
โดย
 #ปัญญาวิสุทธิ์
13/10/2566