#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
เรื่อง “ขันธ์ 5” เราสาธยายให้คุณรู้มาสามขันธ์แล้ว
คือ #รูปขันธ์ ขั้นตอนแรกของกระบวนการทำงาน
ระหว่างจิตหยาบกับกลไกอายตนะภายนอกทั้งห้า
ขั้นที่สองคือ #สัญญาขันธ์ ขั้นตอนการจำได้หมายรู้
ขั้นที่สามคือ #เวทนาขันธ์ ขั้นตอนในการเกิดกิเลส
ที่เป็นมารหรือเป็น #อุปสรรค ของการหมุนธรรมจักร
เพราะกิเลสเป็นต้นเหตุแห่งตัณหาราคะอารมณ์ขยะ
ซึ่งปิดกั้นจิตหยาบไม่ให้เข้าถึงความรักและปัญญาได้
เราต้องการให้พวกคุณย้อนไปทบทวนพระโอวาท
ในบทที่ผ่านมาเกี่ยวกับการทำงานของจิตกับอายตนะ
ให้รู้เช่นเห็นชาติกันให้กระจ่างว่ามันทำงานอย่างไร
รวมทั้งค้นหาให้พบว่าจะจัดการกิเลสมารตอนไหน
มิให้ลอบเข้ามาผจญในจิตหยาบคุณขณะที่มันสงบอยู่
ในอดีตเราเคยกล่าวเปรียบเปรยเรื่องนี้เอาไว้ว่า
แรกเริ่มจิตหยาบของมนุษย์เช่นพวกคุณนั้น
เปรียบเป็นดั่งทุ่งนาที่พระเจ้าทรงหว่านเมล็ดข้าวไว้
พอเวลานานผ่านไปเพียงไม่กี่ทิวาและราตรีกาล
ก็มี #หญ้าละมาน ซึ่งเป็น “วัชพืช” เติบโตขึ้นมาด้วย
โดยไม่รู้ว่าหัวขโมยคนไหนแอบเอามาปลูกไว้ในนา
ในยามมืดค่ำตอนที่เจ้าของนาไม่อยู่
คำกล่าวเปรียบเปรยเหล่านี้
เป็นคำอธิบายถึง “กิเลสมาร” ที่เข้าแทรกแซงขันธ์ห้า
ในขั้นตอนของ “เวทนาขันธ์” จากจิตเดิมที่สุขสงบอยู่
เมื่อจิตหยาบรับรู้สิ่งเร้าผ่านมาทางอายตนะนั้นๆแล้ว
แทนที่คุณจะฉลาดรับรู้และฉลาดรับเอาด้วยจิตปัญญา
กลับปล่อยให้กิเลสมารเข้าแทรกกันดื้อๆเสียอย่างนั้น
คนส่วนใหญ่จึงตกเป็นทาสกิเลสมารเป็นทาสอารมณ์
ยอมทำตามอำนาจของพวกมันในปัจจุบันขณะ
แล้วแต่กิเลสมารกับอารมณ์ขยะนั้นมันจะพาทำนำไป
คุณจะต้องจำเอาไว้เสมอว่า
คนส่วนใหญ่บนโลกเสรีนี้ที่สอบตกเรื่อง #ธรรมจักร
มักจะตกม้าตายกันตั้งแต่สามขั้นตอนแรกนี้แล้ว
ในขั้นตอนของ “รูปขันธ์”
จิตคุณจะเกิดอาการป่วยด้วยอาการหลงรูปจูบเงา
เพราะไปหลงผิดคิดว่า “เงามายา” ของสรรพสิ่งนั้น
ซึ่งเป็นรูปรสกลิ่นเสียงเย็นร้อนอ่อนแข็งทั้งหลาย
ที่พระเจ้าทรงออกแบบให้เป็นคุณสมบัติทางกายภาพ
เพื่อให้คุณแลเห็นเงาของแก่นแท้ของมันที่อยู่ข้างใน
คุณจึงเข้าใจว่าสิ่งที่สัมผัสได้นั้นเป็นตัวตนที่แท้จริง
ด้วยการ “เชื่อว่า” ที่อายตนะภายนอกสัมผัสรู้ดูเห็นนั้น
มันมีตัวตนของมันอยู่จริงๆซึ่งยึดได้จับได้ปัดป้องได้
พวกคุณจึงแสดงพฤติกรรมออกมากันแบบนี้
ดังนั้น
เมื่อจิตหยาบสั่นสะเทือนผ่านไปสามขั้นตอน
โดยผ่านมาถึง “สัญญาขันธ์” กันแล้ว
จิตก็จะบันทึกเรื่องราวเหตุการณ์และสภาวะจิตปัจจุบัน
เป็น “บันทึกกรรม” ที่เกิดขึ้นนั้นไว้ใน #จิตใต้สามนึก
ซึ่งจิตวิญญาณของคุณเมื่อตายแล้วจะถือติดตัวไปด้วย
เพื่อไปชำระทิ้งในชาติหน้าด้วยการแก้ไขและชดใช้มัน
ชะตากรรมต่างๆที่คุณเผชิญอยู่ในชาตินี้ทั้งดีและร้าย
จึงเป็นตัวบ่งชี้ว่ามันเป็นเรื่องของกฎแห่งกรรมจากอดีต
ที่จิตวิญญาณของคุณถือติดตัวมาเกิดด้วยแทบทั้งสิ้น
จิตใต้สามนึกที่คอยสั่นสะเทือนตามจิตสามนึก
เพื่อทำหน้าที่จารึกบันทึกทุกกรรมที่คุณกระทำเอาไว้
ทำให้กฎแห่งกรรมยุติธรรมเสมออย่างที่พวกคุณพูดกัน
เพราะคำว่า “ยุติธรรม” เกิดจากการไม่บิดเบือนใส่ร้าย
ความจริงที่เกิดขึ้นนั้นเป็นอย่างไรใครทำใครถูกกระทำ
ตั้งแต่คุณอายุครบสามขวบปีบริบูรณ์มาแล้วถึงทุกวันนี้
จิตวิญญาณโดยจิตใต้สามนึกคุณจะจำกรรมที่ก่อนั้นไว้
โดยไม่มีวันลืมเลือนและไม่มีใครแก้ไขบันทึกกรรมนี้ได้
กฎแห่งกรรมจึงเป็น “สัจจะ” จนกว่าจะชำระมันเท่านั้น
กระบวนการขันธ์ห้าขั้นตอนที่สี่ก็คือ #สังขารขันธ์
โดยจิตหยาบคุณจะทำการ #ปรุงแต่ง สิ่งที่รับรู้นั้น
ถ้าจิตในปัจจุบันขณะมีตัณหาราคะอารมณ์ขยะอยู่
จิตจะปรุงแต่งสิ่งที่รับรู้ด้วยตัณหาอารมณ์ขยะทันที
เรียกว่า #รับรู้แล้วรับเอาสิ่งนั้น มาเป็นเงื่อนไข
ถ้าจิตหยาบเกิดการ “นึกลบ” ขึ้น
ไม่ว่าจะเกิดจากสันดานเคยตัวหรือกิเลสตัณหาพาไป
จิตหยาบจะปรุงแต่งสิ่งนั้นเรื่องนั้นหนักไปทางด้านลบ
ที่เรียกว่าจิตหยาบเกิดมโนกรรมด้านลบเป็นอกุศลจิต
ซึ่งเป็นได้ทั้งนึกออกนึกเอาและนึกเองด้านลบเช่นกัน
เมื่อคุณนึกด้วยจิตที่เป็นด้านลบด้านไม่ดีหรือด้านชั่ว
จิตก็จะบงการให้สมองซีกซ้าย “คิดลบ” คิดชั่วไปด้วย
เมื่อคุณใช้สมองคิดลบหรือคิดชั่วไปตามที่จิตนึก
วาจาที่กล่าวเป็นภาษาพูดและหรือภาษาท่าทาง
ซึ่งเป็นวจีกรรมและกายกรรมก็จะเป็นลบคือไม่ดี
เพราะว่าคุณมีมโนกรรมไม่ดีหรือมีจิตเป็นอกุศลอยู่
พฤติกรรมโดยรวมที่คุณแสดงออกมาต่อใครคนนั้น
จึงเป็น #พฤติกรรมขยะ ที่คนรอบข้างไม่ยอมรับ
เมื่อไม่มีใครยอมรับจึงเป็นเงื่อนไขลบของคนอื่นไป
นี่เท่ากับว่าคุณกำลังหมุนกรรมจักรในตนเองอยู่
แถมสำแดงออกเป็นเงื่อนไขด้านลบให้คนอื่นด้วย
มันคือการชวนคนอื่นให้หมุนกรรมจักรไปกับคุณ
แต่ถ้าจิตหยาบเกิดการ “นึกบวก” ขึ้น
ไม่ว่าจะเกิดจากนิสัยดีที่เคยชินเป็นทุนอยู่แล้ว
เพราะพ่อแม่ผู้ปกครองอบรมบ่มนิสัยให้คุณมาดีพอ
หรือเป็นเพราะใช้มหาสติของจิตจักรวาลได้สำเร็จ
ด้วยการรู้สติ มีสติ และใช้สติเป็นอย่างชำนาญแล้ว
จิตหยาบจะปรุงแต่งสิ่งนั้นเรื่องนั้นไปทางด้านบวก
เรียกว่าจิตหยาบเกิดมโนกรรมด้านบวกเป็นกุศลจิต
ซึ่งเป็นได้ทั้งนึกออกนึกเอาและนึกเองทางด้านบวก
เมื่อคุณนึกด้วยจิตที่เป็นด้านบวกหรือด้านดี
จิตก็จะบงการให้สมองซีกซ้าย “คิดบวก” คิดดีไปด้วย
เมื่อคุณใช้สมองคิดบวกหรือคิดดีไปตามที่จิตนึก
วาจาที่กล่าวเป็นภาษาพูดและหรือภาษาท่าทาง
ซึ่งเป็นวจีกรรมและกายกรรมก็จะเป็นบวกคือดีด้วย
เพราะว่าคุณมีมโนกรรมดีหรือมีจิตเป็นกุศลอยู่แล้ว
พฤติกรรมโดยรวมที่คุณแสดงออกมาต่อใครคนนั้น
จึงเป็น #พฤติกรรมที่พึงประสงค์ ซึ่งทุกคนยอมรับ
เมื่อแสดงออกหรือกระทำพฤติกรรมที่คนอื่นยอมรับ
แสดงว่าคุณหยิบยื่นเงื่อนไขด้านบวกหรือดอกไม้ให้
นี่คือการหมุนธรรมจักรในตนเองเองร่วมกับผู้อื่น
ที่คุณอาสาพระเจ้ามาเกิดเป็นคนสองมิติเพื่อทำสิ่งนี้
ให้สำเร็จในชาติเดียวคือ 6 หมื่นปีโดยไม่ต้องตาย
(เรื่องนี้ยังมีตอนต่อไป)
เอเมน สาธุ
ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากองค์จิตจักรวาล
โดย #ปัญญาวิสุทธิ์
14/10/2566