30 ตุลาคม 2566

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 30/10/2023

#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
นอกจากคำว่า
 “ปัจจัตตัง” ที่คนนำทางตาบอดใช้อ้าง
ที่แปลความว่า
 #เป็นความรู้ที่ผู้บรรลุนั้นรู้ได้เฉพาะตน
เพื่อปิดบังความไม่รู้ไม่เข้าใจเรื่องที่ตนอธิบายไม่ได้
โดยปัดให้คนอยากรู้อยากเรียนต้องเรียนเองรู้เองแล้ว
ยังมีอีกคำหนึ่งซึ่งนิยมใช้ไม่แพ้กันคือคำว่า
 #อจินไตย
 
คำว่า “อจินไตย” แปลว่า สิ่งที่ไม่ควรคิดพิจารณา
มาจากคำว่า
 “อะ” ที่แปลว่า #ไม่ สนธิกับ “จินไตย”
ที่แปลว่า #การนึกคิดพิจารณาด้วยจิตตปัญญา
สองคำรวมกันหมายถึงสิ่งอันไม่ควรคิดพิจารณา
ในตำราพุทธศาสนาหมายถึง
 
1.สิ่งที่มันเกินสติปัญญามนุษย์ซึ่งสุดที่จะคิด
2.มีส่วนทำให้บ้าหรือเสียสติได้เพราะว่ายากที่จะคิด
3.เป็นการนึกเอาเองเพราะคิดแทนผู้อื่นคือก้าวล่วง
 
#สิ่งที่เกินสติปัญญามนุษย์สุดจะคิด
เป็นสิ่งที่สมองสองซีกคือซีกซ้ายกับขวาคิดเองไม่ได้
เพราะไม่มี
 #ตัวกระตุ้นการคิด หรือสิ่งที่จะกำหนดนึก
เพื่อป้อนคำสั่งให้สมองซีกใดซีกหนึ่งคิดพิจารณาต่อได้
จึงล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่รู้ว่าตนไม่รู้ทั้งสิ้น
 
ตัวอย่างเช่น
1.โลกหมุนรอบตัวเองได้อย่างไร
2.พระเจ้าสร้างเอกภพและทุกสิ่งในเอกภพทำไม
3.จิตวิญญาณของมนุษย์เป็นใคร มาจากไหน
4.จิตวิญญาณมาเกิดเพื่อทำหน้าที่อะไรบ้าง
5.ใครเป็นผู้อนุญาตให้จิตวิญญาณของคุณมาเกิด
6.จิตวิญญาณมนุษย์มาจากไหน
7.แก่นแท้มนุษย์กับสัตว์เหมือนกันและต่างกันอย่างไร
8.เมตตาธรรมคืออะไรช่วยค้ำจุนโลกได้อย่างไร
9.นิพพานคืออะไร นิพพานคืออย่างไร
10.ธรรมจักรคืออะไร ต่างจากกรรมจักรอย่างไร
 
ทั้งสิบประการนี้เป็นคำถามที่จะนำไปสู่คำตอบ
ที่พระเจ้าทรงเรียกว่า
 #อนุตรธรรม ความจริงอันสูงสุด
ซึ่งมนุษย์โลกทุกคนไม่รู้ว่าตนจะต้องรู้และไม่รู้ไม่ได้
พระองค์จึงต้องบัญชาให้
 #พระบุตรเอก ของพระองค์
มาจุติเป็นมนุษย์เพื่อกล่าวพระโอวาทในนามพระองค์
ให้มนุษย์ได้รู้ในบทบาทพระศาสดาผู้มาจากพระเจ้า
เช่น พระเยซู ท่านการ์ดี และตัวเราเองในยุคนี้ เป็นต้น
 
#สิ่งไม่ควรนำมาคิดพิจารณาเพราะก้าวล่วงผู้อื่น
เช่นเรื่องส่วนตัวของผู้อื่นที่เรารู้ไปก็ไม่เกิดประโยชน์
หรือเป็นความลับส่วนบุคคลที่เขาไม่ต้องการให้ใครรู้
 
ตัวอย่างเช่น
1.พุทธวิสัยที่เป็นนิสัยในการดำเนินชีวิต
ซึ่งเป็นพระบุคลิกส่วนตัวของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
 
2.ระดับพลังอำนาจทางจิตหรือพลังฌานของผู้อื่น
ที่ได้จากการหมั่นปฏิบัติสมถะกรรมฐานสมาธิของเขา
หรือได้จากการครองธรรมชาติสมาธิตามวิถีจิตจักรวาล
ของผู้ที่เป็นฆราวาสซึ่งมิใช่นักพรตและนักบวช
 
ดังนั้น
จึงไม่สมควรนึกคิดในเรื่องพลังจิตพลังฌาน
ที่เป็นคุณสมบัติจำเพาะตนหรือเรื่องส่วนตัวของผู้อื่น
เขาจะมีอำนาจจิตแก่กล้าแค่ไหนก็เป็นเรื่องของเขา
 
3.ระดับพลังอำนาจทางปัญญาหรือพลังญาณของผู้อื่น
ที่ได้จากการหมั่นปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานสมาธิของเขา
หรือได้จากการครองธรรมชาติสมาธิตามวิถีจิตจักรวาล
ของผู้ที่เป็นฆราวาสซึ่งมิใช่นักพรตและนักบวช
 
ดังนั้น
จึงไม่สมควรนึกคิดในเรื่องพลังปัญญาหรือพลังญาณ
ที่เป็นคุณสมบัติจำเพาะตนหรือเรื่องส่วนตัวของผู้อื่น
เขาจะฉลาดมากน้อยแค่ไหนก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา
 
4.วิบากกรรมหรือบุรพกรรมของผู้อื่น
ที่เขาเคยก่อกรรมทำเข็ญเอาไว้ในอดีตชาติที่ผ่านมา
ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากเกินกว่าจิตของคุณจะหยั่งถึงได้
 
เนื่องจากจิตวิญญาณของมนุษย์ได้ผ่านการเกิดมาแล้ว
ด้วยการทำผิดบาปต่างๆนับจำนวนภพชาติแทบไม่ถ้วน
จึงไม่ง่ายเลยที่จะเข้าถึงอดีตของพวกเขาทั้งหลายได้
มันยากมากแม้กระทั่งจะหยั่งรู้วิบากกรรมของตนด้วยซ้ำ
เพราะพระเจ้าทรงปิดมิติเอาไว้ไม่ให้มนุษย์เข้าถึงอดีต
โดยนำเอาจิตวิญญาณแก่นแท้ของมนุษย์
กักเก็บเอาไว้ที่ต่อมพิทูอิทารีซึ่งตั้งอยู่ตรงใต้สมอง
ทรงใช้อำนาจแม่เหล็กโลกที่เข้มข้นระดับ
 14 เก๊าส์
ทำการปิดมิติแห่งอดีตชาติเอาไว้มิให้เชื่อมต่อได้
จึงยังผลให้มนุษย์ทั่วไปแม้อยากรู้อดีตชาติก็รู้ไม่ได้
 
เวรที่ทำกรรมใดที่ก่อไว้ในอดีตชาติของมนุษย์
แต่ละภพชาติจะถูกจัดเรียงกันไว้เป็นชั้นๆดั่งเนื้อเยื่อ
ภพชาติแรกๆจะเป็นเนื้อเยื่อที่อยู่ในชั้นล่างสุด
ภพชาติต่อมาก็จะเรียงตามลำดับขึ้นมาด้านบนเรื่อยๆ
ลองนึกคิดเอาก็ได้ว่าถ้าผ่านการเกิดมาแล้วหลายชาติ
เนื้อเยื่อนั้นก็จะมีหลายชั้นทับซ้อนกันจนหนาเตอะเลย
คุณว่ามันยากต่อการเจาะทะลุมิติให้เข้าถึงแต่ละชั้นมั้ย
 
ดังนั้น
จึงไม่สมควรจะไปก้าวล่วงบุรพกรรมส่วนตัวของผู้อื่น
นอกจากเพราะว่าการเจาะเวลาหาอดีตที่มีหลายชาติ
ซึ่งการจะเจาะไขไชให้เข้าถึงความจริงได้ไม่ง่ายแล้ว
คุณยังต้องถามจิตวิญญาณของเขาคนนั้นเสียก่อนว่า
แก่นแท้ผู้เป็นเจ้าของบุรพกรรมนั้นอนุญาตหรือไม่ด้วย
 
เพราะจิตวิญญาณของเขาแม้จะรู้ความจริงอยู่ทุกเรื่อง
แต่ก็มีสัจจะจนไม่อาจบอกความจริงให้จิตหยาบรู้ได้
เนื่องจากพระบิดาหรือพระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้เผย
เพราะการมาเกิดเป็นมนุษย์ของคุณจะเป็นโมฆะทันที
หมายถึงถ้ารู้อดีตหมดแล้วคุณก็จะเสียชาติเกิดนั่นเอง
 
ด้วยเหตุนี้เอง
คำว่า
 “ปัจจัตตัง” กับคำว่า “อจินไตย”
ทั้งสองคำนี้จะถูกหยิบฉวยขึ้นมาใช้อ้างอิงเสมอ
ในกรณีที่คนถูกถามเกิดการจำนนจนมุมกับบางคำถาม
ที่ตนไม่รู้คือคิดไม่ออกบอกไม่ได้และไม่มีคำตอบให้
เพราะยังสง่างามดีอยู่เหมาะกว่าจะตอบว่า
 “ฉันไม่รู้”
ภาษาชาวบ้านเขาใช้คำว่า “กลัวเสียฟอร์ม” นั่นแหละ
 
ทั้งหมดที่เรากล่าวมาแล้วนั้น
เป็นวิธีซึ่งประดาพวกมารใช้ที่เรียกว่า
 #ฝากให้ทึ่ง
ทำให้เกิดอาการฉงนเกิดความสับสนเกิดความสงสัย
จนไม่สามารถตั้งคำถามพวกเขาที่อ้างตนเป็นผู้รู้ได้
เพราะไม่เข้าใจประเด็นหรือประเด็นถูกทำให้เบี่ยงเบน
มนุษย์จึงจำต้องอยู่กับความไม่รู้ไม่เข้าใจนั้นต่อไป
เพราะถูกคนนำทางตาบอดหลอกให้เชื่อตามแทนแล้ว
 
เอเมน สาธุ
ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากองค์จิตจักรวาล
โดย
 #ปัญญาวิสุทธิ์
30/10/2566